Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last
Memory
Chapter 17
“นายเนี่ยตัวเล็กชะมัดเลย”
นั่นคือประโยคแรกที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนทักทายมา ท่าทางที่ดูเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งบวกกับความปากร้ายของเจ้าตัวก็บ่งบอกได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ยียวนและถูกตามใจมากขนาดไหน
หลังจากจบชั้นประถมก็เข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นช่วงมัธยม
และนั่นเป็นการเจอกันครั้งแรกกับเด็กหนุ่มร่างสูง แจน กิลชูไตน์ กับกลุ่มของเขา แล้วดูเหมือนการเจอกันของเอเลนกับแจนก็ราวกับว่าเป็นการพบเจอของคู่กัดและคู่ปรับตามธรรมชาติ
เขายังจำได้ดีถึงการเจอกันของทั้งคู่ที่บอร์ดคะแนนสอบประจำภาคเรียน ชื่อของเอเลน
ที่อยู่บนชื่อของแจน
“เอเลน
เยเกอร์ ชื่อผู้ชายแน่เหรอวะ นามสกุลนักล่าซะด้วยท่าทางจะเป็นหมาน้อยล่ากระต่ายล่ะมั่ง”
หันไปล้อเลียนเจ้าของชื่อกับเพื่อนหน้าตกกระในกลุ่มของตน
เด็กหนุ่มปากร้ายอย่างแจนล้อเลียนชื่ออีกคนโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของชื่อนั้นยืนอยู่ข้างๆ
“เฮ้ยนายน่ะมีปัญหาอะไรกับชื่อชาวบ้านเขาวะไอหน้าม้า?!” ความเลือดร้อนและไม่ยอมแพ้ของเอเลนจึงทำให้เด็กหนุ่มหันไปเอาเรื่องทันที
แต่ดูเหมือนตัวต้นเหตุก็ไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านหรือสำนึกผิดเลยสักนิด
นัยน์ตาสีเปลือกไม้จึงหันมาทางเจ้าของชื่อด้วยท่าทางที่กวนประสาท
“หืม?
แกเองเหรอที่ชื่อเอเลน” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนไล่มองอีกคนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าไปมาอย่างยียวน
“ตัวบางๆแบบนี้แกไปเอาชุดผู้หญิงมาใส่เถอะว่ะ ฮ่าฮ่า”
ทันที่ที่พูดจบเสื้อของแจนก็ถูกมือบางของเด็กหนุ่มกระชากทันที
มิคาสะ เข้ามาจับไหล่ของเอเลนเพื่อให้เจ้าตัวใจเย็นลง
ถึงกระนั่นนัยน์ตาสีเขียวมรกตก็ยังคงจ้องไปที่เด็กหนุ่มอีกคนอย่างเอาเรื่อง คนหาเรื่องก่อนเองก็ไม่ยอมแพ้กระชากคอเสื้ออีกคนกลับเช่นกัน
“เออทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลยครับ
นี่อยู่ในโรงเรียนนะครับ” อาร์มินพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยคนทั้งคู่ที่ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าใครจะยอมใครเลย
ใบหน้าคมของเด็กหนุ่มหันมองตามต้นเสียง
คิ้วสีเข้มเลิกขึ้นเมื่อเห็นตัวคนพยายามห้าม
“นายเนี่ยตัวเล็กชะมัด”
นัยน์ตาสีน้ำทะเลมองเพื่อนของตนเองสลับไปมากับเด็กหนุ่มอีกคน
กลัวว่าถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นจะต้องโดนเชิญผู้ปกครองแน่ๆ
“ชริ”
ดูเหมือนเอเลนจะเป็นฝ่ายสงบลงได้ก่อน มือที่กำคอเสื้ออีกคนจึงยอมปล่อยออก
และแจนเองก็ให้ความร่วมมือปล่อยคอเสื้อของเอเลนออกตามเช่นกัน
เรียกได้ว่าเป็นการเจอกันครั้งแรกที่ไม่น่าจดจำหรือประทับใจเลยสักนิด
แต่ไม่รู้ทำไมกลับกลายเป็นว่าตั้งแต่วันนั้นเด็กหนุ่มต่างห้องถึงได้คอยมาหาเรื่องเอเลนตลอด
ไม่ว่าจะบังเอิญเจอกันที่ ห้องสมุด โรงอาหาร หรือตามทางเดินช่วงเปลี่ยนคาบเรียน
ทุกครั้งที่เจอสงครามปะทะคารมขนาดย่อมก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ไป
พอขึ้นมัธยมปลายก็กลายเป็นว่ากลุ่มของเขาและแจนได้รวมตัวมาอยู่ห้องเดียวกัน
ห้องเรียนที่เป็นแห่งเดียวในโรงเรียนที่เคยสงบสุข จึงกลายเป็นห้องเรียนที่เกิดสงครามย่อมๆตลอดเวลา
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็กลายเป็นว่าการทะเลาะของทั้งคู่เป็นสีสันให้กับกลุ่มไป
พอรู้ตัวอีกทีแจนและเอเลนก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกัน
เรียกได้ว่าทะเลาะจนสนิทกันก็ได้ล่ะมั่ง
บางครั้งเขาก็รู้สึกอิจฉาความตรงไปตรงมาของเอเลนที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งให้ดึงดูดใครหลายต่อหลายคนเข้ามาหา
และเปิดใจด้วยได้โดยง่าย
ผิดกับเขาที่ค่อนข้างจะเป็นเด็กเก็บตัวและใช้เวลาอยู่กับหนังสือเสียส่วนใหญ่
ห้องสมุดจึงเป็นที่โปรดปรานของเขา
“อ่านหนังสือตลอดเลยนะนายน่ะ”
เสียงทักที่คุ้นเคย ทำให้นัยน์ตาสีน้ำทะเลละออกจากหนังสือที่อ่านหันไปมองตามต้นเสียง
“แจนไม่ได้ไปซ้อมบาสกับคนอื่นๆเหรอครับ?”
เพราะใกล้วันงานกีฬาสีเข้ามาแล้ว
คนอื่นๆในกลุ่มต่างกระตือรือร้นในการฝึกซ้อมกีฬาที่จะลงแข่งในอีกไม่นาน
ตัวเขาที่ไม่ได้ถนัดกีฬาประเภทไหนจึงอยู่ฝ่ายสนับสนุนทำให้ไม่ต้องไปซ้อมกับคนอื่นๆ
“รอเจ้าบ้าเอเลนอยู่น่ะ
มันโดนอาจารย์เรียกไปใช้งาน”
เด็กหนุ่มเขยิบเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะนั่งรออีกคน
“งั้นเหรอครับ”
อาร์มินตอบรับพลางหันไปให้ความสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ
“บางครั้งฉันก็รู้สึกรำคาญกับท่าทางแบบนั้นของนายแฮะ
อาร์มิน” นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองเด็กหนุ่มตัวเล็กตรงหน้าท่าทางที่เรียบร้อย
และดูคล้อยตามได้ง่ายหลายครั้งที่ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกรำคาญ
“อ….เอ๊ะ?”
“หลายครั้งที่ฉันคิดว่า
ทำไมหมอนี่มันไม่พูดหรือเถียงอะไรออกมาบ้าง อย่างเรื่องตอนแบ่งหน้าที่ในงานกีฬาสี
ดูเหมือนนายอยากที่จะลงบาสแต่พอมีคนเสนอให้นายอยู่ฝ่ายสนับสนุน
นายก็ตอบรับคำอย่างง่ายดาย” ทั้งที่ตอนแบ่งหน้าที่ตัวเขาที่นั่งอยู่ข้างหลังของเด็กหนุ่มผมทองยังสังเกตุเห็นถึงประกายตาความสนใจและความลังเลในตอนคัดเลือกนักแข่งทีมบาสที่ดูเหมือนเจ้าตัวก็อยากที่จะลง
“ก็ผมตัวก็เล็ก
แถมไม่ได้สูงคงได้แต่เป็นตัวถ่วงให้คนอื่นเปล่าๆ”
ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะทันสังเกตุเห็น
ความจริงแล้วเขาเองก็แอบสนใจในกีฬาบาสเก็ตบอลอยู่ไม่น้อย
แม้ในชั่วโมงเรียนพละเขาจะทำได้ไม่ดี แต่ความรู้สึกที่ได้รับส่ง
และชู๊ตลูกนั้นเป็นความรู้สึกที่สนุกมากจริงๆ
“แล้วไง?
โคนี่ตัวก็พอๆกับนายหมอนั่นยังดึงดันที่จะลงแข่งฟุตบอลทั้งที่ไม่เคยยิงเข้าประตูเลยสักครั้งเดียว”
คำพูดของแจนทำให้อาร์มินไม่สามารถเถียงออกได้
ตัวเขาที่ไม่ได้มีความมั่นใจและกลัวว่าจะเป็นแค่ตัวถ่วงของคนอื่นๆจึงเลือกที่จะอยู่ฝ่ายสนับสนุน
เพราะอย่างน้อยก็ยังคงได้ช่วยเหลือเพื่อนๆอยู่บ้าง
“จ…แจน จะไปเข้าใจอะไรล่ะครับ
ตัวผมที่ไม่ได้สูงและเก่งกีฬาแค่วิ่งยังช้ากว่าคนอื่นๆแบบนี้”
ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังถูกคนตรงหน้านี้ตำหนิ
ทั้งที่คิดว่าไม่ได้อยากเป็นตัวถ่วงและอยากให้การสนับสนุนทุกคนแท้ๆ
“แต่นายก็มีสิ่งที่พวกฉันไม่มี
ไม่ใช่เหรอไง?”
ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มมองอีกคนอย่างสงสัย
นิ้วชี้ของแจนจิ้มลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มผมสีทองตรงหน้า
“นี้ไงล่ะ”
ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“ถึงนายจะไม่ได้มีพละกำลังแต่นายมีสมองและความคิดที่เก่งกาจจนใครๆต้องยอมรับ และถ้าเอามาประยุกต์ใช้กับทีมมันจะส่งผลดีให้มากกว่าการที่นายวิ่งเอาน้ำมาให้พวกฉันอีกนะเว๊ย”
นัยน์ตาสีน้ำทะเลตกใจกับคำพูดของคนตรงหน้า
แล้วใบหน้าหวานต้องกลั้นยิ้มหัวเราะออกมา ไม่คิดเลยว่าตัวเขาที่ไม่ได้เด่นหรือน่าสนใจ
อีกทั้งยังอ่อนแอแบบนี้ จะได้รับความไว้วางใจและเชื่อใจจากคนตรงหน้าขนาดนี้
“แจนนี่เป็นคนดีกว่าที่คิดนะครับ”
“หา?
อะไรของนาย ฉันน่ะมันเป็นคนดีอยู่แล้วต่างหาก” ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นริ้วสีระเรื่อ
ไม่คิดว่าจะถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเอ่ยชม
“ถ้างั้นผมจะลองทำตามที่แจนว่า
ผมจะไปช่วยวางแผนเกมการเล่นให้ดีไหมครับ?”
“ถ้าแบบนั้นก็เยี่ยมเลย
ฉันจะไปบอกทุกคนเองรับรองว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแน่นอน!!” ถ้าได้มันสมองของคนที่เก่งที่สุดในชั้นปีมาช่วย
ก็ราวกับว่าตอนนี้มือข้างหนึ่งของทีมเขาก็คว้าเหรียญทองเอาไว้แล้ว
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผมจะลองเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะพยายามพูดและทำตามที่ตัวเองคิดดูนะครับ” อย่างน้อยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกิดประโยชน์ต่อคนรอบข้างได้บ้าง
และตัวเขาเองก็คงสามารถที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของกลุ่มได้เช่นเดียวกับคนอื่น
“แบบนั้นแหละดีแล้ว”
จากความช่วยเหลือของอาร์มินทำให้งานกีฬาสีปีนั้นของพวกเขากีฬาแทบทุกประเภทเกือบคว้าเหรียญทองได้หมด
หลังจบงานกีฬาเหล่าประธานชมรมกีฬาต่างๆพยายามดึงตัวอาร์มินให้ไปเป็นผู้จัดการทีมหรืออย่างน้อยก็ช่วยวางแผนก่อนการแข่งขัน
ซึ่งเจ้าตัวก็รู้สึกยินดีที่จะร่วมมือและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ชื่อของอาร์มิน อัลเรลโต จึงเป็นที่รู้จักในฐานะของนักวางแผนอัจฉริยะของโรงเรียน
หลังจากวันนั้นตัวเขาก็เปลี่ยนแปลง
กล้าที่จะพูดและทำในสิ่งที่คิดมากขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครมาถาม
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้หลายคนรู้สึกตกใจ แต่ทุกคนก็ยอมรับและชื่นชมในความเปลี่ยนแปลงของเขา
แม้บางครั้งดูเหมือนเพื่อนๆในกลุ่มจะรู้สึกหวั่นๆและเกรงใจเขาอยู่บ้าง
แต่มันกลับทำให้ตัวเขาและเพื่อนๆเข้าใจกันมากขึ้น และเชื่อใจกันมากขึ้น
และพอเข้ามหาลัยกลุ่มเพื่อนทุกคนก็ยังคงอยู่ด้วยกันและช่วยเหลือกันแม้จะเรียนต่างคณะกันก็ตาม
ความสนิทสนมและความไว้วางใจที่ต่างมีให้กันนั่นมากมายราวกับว่าทุกคนรู้จักและผ่านสิ่งต่างๆด้วยกันมามากมายและเนิ่นนาน
ทั้งที่นิสัยของทุกคนช่างแตกต่างและไม่น่ารวมกลุ่มกันได้
แต่ความแตกต่างเหล่านั้นกลับลงตัวและเติมเต็มในส่วนที่มีและขาดหายให้แก่กัน ยิ่งนานวันยิ่งเข้าใจ
ราวกับว่าพวกเราเกิดมาเพื่อพบเจอกันจริงๆ
และบางสิ่งก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นในความสัมพันธ์ของแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็น โคนี่กับชาช่า เบลทรูธกับไรเนอร์ คริสต้ากับยูมิล
หรือแม้กระทั่งสายตาและท่าทางของแจนที่เริ่มเปลี่ยนไปให้กับเอเลนอย่างไม่รู้ตัว จากคู่ปรับที่คอยหาเรื่องกัดอีกคน
กลับกลายเป็นว่าพยายามหาเรื่องให้อีกคนมาสนใจ ท่าทางโอหังเอาแต่ใจ
แต่พออีกคนเดือดร้อนกลับรีบเข้าไปช่วยโดยไม่บ่ายเบี่ยง คอยสังเกตุและดูแลในท่าทางที่กวนประสาทนั่น
ทั้งที่คนอื่นๆต่างก็ดูออกว่าคิดยังไง จะมีก็แต่เจ้าตัวกับคู่กรณีที่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเสียบ้าง
เหล่าคนที่คอยเฝ้ามองดูทั้งคู่จึงได้แต่แอบลุ้นอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
เว้นก็แต่มิคาสะที่ดูเหมือนว่าพอรู้ว่าแจนคิดอย่างไรกับเอเลนจึงได้พยายามหาทางกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มร่างสูงสารพัด
ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นรักสามเศร้าของเพื่อนสนิทไปเสียแล้ว
แต่ท่าทีของมิคาสะที่มีให้กับเอเลนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงยังคงอยู่ในฐานะของพี่สาวหรือบางทีจะเขยิบขึ้นไปจนเรียกว่าเป็นแม่ก็ว่าได้
จนวันที่คนในกลุ่มรอคอยก็มาถึง
วันที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนรับรู้ถึงหัวใจของตนเองเสียที
ทุกคนถึงได้พยายามช่วยลุ้น รวมทั้งสนุกกับการกลั่นแกล้งคนรู้สึกตัวช้าไปตามๆกัน หลายครั้งที่รู้สึกอิจฉาเอเลนที่ได้รับการเอาใจใส่และดูแลจากคนรอบข้าง
แต่ก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถเป็นอย่างเด็กหนุ่มร่างโปร่งได้
อีกทั้งเอเลนเป็นเพื่อนรักที่หาไม่ได้อีกแล้วจึงอยากให้เด็กหนุ่มร่างโปร่งนั้นมีความสุขยิ่งกว่าใครเป็นความปรารถนาที่มีให้ตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรก
ไม่รู้ว่าทำไมถึงแม้จะอิจฉาแต่ก็หวังให้เอเลนมีความสุขยิ่งกว่าใคร
ถึงได้คอยเชียร์เพื่อนทั้งคู่ที่แม้จะเป็นคู่กัดกัน
แต่กลับเข้ากันได้ดีในหลายๆเรื่อง
ทั้งอย่างนั่นอยู่ๆการปรากฏตัวของชายหนุ่มอายุมากกว่าแปลกหน้าก็เริ่มทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป
ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกราวกับว่าคนนี้นี่ล่ะที่จะสามารถทำให้เอเลนมีความสุขได้ จากตอนแรกที่เชียร์เพื่อนของตนเองจึงได้เอนเอียงไปทางชายหนุ่มอายุมากกว่า
และดูเหมือนกับว่ามิคาสะเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน เพราะคนที่ทั้งหวงและห่วงเอเลนอย่างเธอกลับยอมเปิดโอกาสให้อีกคนอย่างง่ายดายจนเขารู้สึกแปลกใจ
จะเป็นห่วงก็แต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเหมือนกับว่าจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นสังเวียนจริงจัง
ถึงกระนั้นท่าทีที่เอาใจใส่และคอยห่วงใยในตัวร่างโปร่งก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ยังคอยช่วยเหลือและสังเกตุความเป็นไปของอีกฝ่าย
จากตอนแรกที่อยากจะสนับสนุนทั้งคู่ความคิดและความรู้สึกก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
อยากให้คนคนนั้นหันมาเอาใจใส่ตัวเขาแบบนั้นบ้าง
อยากให้นัยน์ตาสีเปลือกไม้คอยไล่ตามเขาเช่นเดียวกับร่างโปร่งบาง
อยากเป็นคนหนึ่งที่คนคนนั้นเอาใจใส่และอยากเป็นคนที่ทำให้ใบหน้าขี้เก๊กนั่นหลุดขำและหัวเราะออกมาได้
อยากที่จะได้การกระทำเหล่านั้นที่อีกคนได้รับมาเป็นของตัวเอง
ตัวเขาที่คิดแบบนี้คงเพราะเห็นถึงความพยายามและความเอาใจใส่ของร่างสูงจนเผลอชอบไปแล้วสินะ……
“นี่อาร์มินฉันจะทำยังไงดี?
เป็นแบบนี้อึดอัดชะมัด” แจนนั่งฟุ่บลงกับโต๊ะสีขาวในร้างกาแฟ
โดยมีอีกคนนั่งเป็นเพื่อนระบายความกลัดกลุ้มของตน
วันนี้เป็นเวรคริสต้าและแอนนี่ไปช่วยงานที่ร้านของเพทร่าเลยทำให้
แจน อาร์มิน มิคาสะ และเอเลน ว่างงานหลังจากที่คลาสเช้าของวันนี้จบลงแล้ว
หลังจากที่สารภาพออกไปก็ราวกับว่าทั้งตัวเขาและเอเลนต่างเข้าหน้ากันไม่ติด แม้จะพยายามหาเรื่องชวนคุยแต่อีกคนก็มีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
และบางครั้งที่ได้สบตากันต่างคนก็ต่างหลบสายตากัน
ที่ร้ายกว่านั้นคือหลายวันมานี้เขาทั้งคู่พยายามหลบหน้ากันตลอดจนตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์เต็มแล้ว
ทั้งที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้
แต่พอต้องมาเจอกับตัวจริงๆก็ทำให้อึดอัดไม่น้อยทีเดียว
ไม่รู้ว่าเอเลนจะทำยังไงกับความรู้สึกที่เขามีให้ดี
การทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ใช่นิสัยปกติของเขาทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ก็มีแต่ต้องต้องรอเวลาเท่านั้น ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่บรรยากาศอึดอัดกับร่างโปร่งบางก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นชิน
สู้ทะเลาะกันยังจะรู้สึกดีกว่านี้
“เอาน่า
ผมว่าอีกไม่นานทุกอย่างก็คงดีขึ้นล่ะครับ”
เด็กหนุ่มพูดให้กำลังใจเพื่อนตรงหน้าที่กำลังห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันก็หวังจะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน”
ร่างโปร่งถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ถ้าเอเลนปฏิเสธ
แจนจะทำยังไงเหรอครับ?”
คำถามจากอาร์มินทำให้เด็กหนุ่มเริ่มคิดอย่างวิตกกังวล
นั่นสิเขาจะทำยังไงถ้าหมอนั่นปฏิเสธ?
ตัวเขาไม่เคยคิดถึงข้อเท็จจริงตรงนี้เลยสักนิด เพราะแค่การที่จะบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ก็แสนยากเหลือเกินแล้ว
“ก็มีแต่ต้องทำใจ
และหวังว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกับหมอนั่นได้”
ถึงแม้จะยากแสนยากก็ตามทีกับความรู้สึกนี้ที่เกิดขึ้นมาแล้ว
ถ้าจะต้องโดนปฏิเสธก็หวังว่าทุกอย่างจะสามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้
“ผมว่าเอเลนเองก็คงคิดแบบเดียวกัน
สบายใจเถอะครับ” เอเลนเองก็คงอึดอัดกับความรู้สึกตอนนี้ไม่น้อย
และก็คงไม่อยากสูญเสียความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่กับเด็กหนุ่มตรงหน้าไปด้วยเช่นกัน
และถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้วถึงตอนนั้นผมจะเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆแจนคงจะได้สินะ
“นายเนี่ยไม่ให้กำลังใจฉันเลยนะ
ไหนตอนแรกเชียร์ฉันไง?”
แจนมองค้อนอีกฝ่ายที่ตอนแรกสนับสนุนเขาแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลอยแพเขาเสียแล้ว
“แต่ตอนนี้ผมไม่เชียร์แจนแล้วล่ะครับ”
พูดพลางยกกาแฟขึ้นดื่ม
“อ้าวเฮ้ย
ทำไมงั้นล่ะ!!”
“นั่นสิ
ทำไมกันน๊า”
คำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มบางของคนตรงหน้าทำให้แจนรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
นี่เขาไปทำอะไรให้อาร์มินไม่พอใจหรือเปล่า? เจ้าตัวถึงได้เลิกที่จะคอยสนับสนุนเขา
หรือว่าเพราะคิดว่าเขาไม่มีทางชนะลุงเตี้ยที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นานอย่างนั้นเหรอไงกัน
แค่คิดเรื่องตาลุงนั่นที่อยู่ๆก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“อาร์มินแกนี่มัน”
ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไปสายตาที่มองผ่านกระจกของร้านกาแฟก็พลันเห็นคนน่าหงุดหงิดที่ไม่อยากนึกถึง
ร่างกายไวกว่าความคิดจึงวิ่งออกจากร้านกาแฟไปหาอีกคนที่อยู่เลยจากร้านไปไม่ไกลนัก
อาร์มินนั่งมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มร่างสูงที่วิ่งออกไป
ใบหน้าหวานยกยิ้มบางขึ้นมาก่อนค่อยจิบกาแฟร้อนที่อยู่ในถ้วย
ถ้าความกระตือรือร้นนั่นส่งผ่านมาให้เขาบ้างคงจะดีไม่น้อย
ตอนนี้ก็เพียงแต่รอเวลาให้ทุกอย่างดำเนินไปแล้วหวังว่าจะจบลงด้วยดีทุกฝ่าย
“คุณรีไวรอเดี๋ยวครับ”
แจนที่วิ่งตามชายหนุ่มตะโกนเรียกให้อีกคนหันมา
ทั้งที่ขาก็สั้นกว่าเขาแต่ทำไมถึงได้เดินเร็วนักนะ
ใบหน้าคมเฉยชาหันมาเหลือบมองตามเสียงเรียกก่อนจะหยุดฝีเท้าลง
เมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเป็นคนที่รู้จัก
“มีอะไรไอหน้าม้าเหลือขอ?”
“คุณนี่ปากร้ายชะมัด”
“แกยังหาว่าฉันเป็นตาลุงบ้ากามได้เลยนะ”
อย่าคิดว่าเขาจำไม่ได้นะว่าไอเด็กร่างสูงคนนี้ชี้หน้าเขาแล้วเรียกเขาว่าอะไร
ทั้งยังหาว่าเขาลวนลามเด็กหนุ่มอีกคนเสียด้วย
“ครับๆ
ผมผิดเองวันนั้นสติแตกไปหน่อย”
ถึงไม่ได้อยากจะรับผิดเลยสักนิดแต่ตัวเขาที่วันนั้นพูดจาหาเรื่องคนอายุมากกว่าก็ผิดอยู่ดี
“แล้วนายมีอะไร
ฉันมีธุระคุยนานไม่ได้หรอกนะ”
“ผมอยากถามคุณเรื่องเอเลน”
“เรื่องอะไรล่ะไอหนู?”
ใบหน้าคมขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย เพราะเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มที่เขากำลังให้ความสนใจ
และอยู่ในขั้นของการศึกษากันและกัน เพียงได้ยินชื่อนั่นออกมาจากเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกชวนหงุดหงิดนัก
“ผมอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับหมอนั่น?”
ถึงเขาจะรู้ความรู้สึกตัวเองช้า
แต่ไอท่าทางของเอเลนที่เขาเห็นก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าต้องรู้สึกพิเศษกับชาหนุ่มตรงหน้าอย่างแน่นอน
ตัวเขาที่ชอบเอเลนจึงอยากรู้ว่าชายหนุ่มนั้นคิดอย่างไรกับร่างโปร่งบาง
ถ้าคิดจะล้อเล่นกับความรู้สึกของเด็กหนุ่มแล้วล่ะก็เขาจะไม่มีวันให้อภัยอย่างแน่นอน
ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจกับคำถามจากเด็กหนุ่มร่างสูง
“เรื่องของฉันกับเอเลนไม่จำเป็นต้องบอกนาย”
“ผม...” นัยน์ตาสีเปลือกไม้สบกับใบหน้าเฉยชาด้วยแววตาจริงจัง
“ผมสารภาพรักกับเอเลนไปแล้ว ถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นแล้วล่ะก็ !!!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบมือแกร่งคว้าเข้าที่คอเสื้อของเด็กหนุ่มตรงหน้าทันที
นัยน์ตาสีขี้เถ้าฉายแววความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วหมอนั่นตอบว่ายังไง?”
มือหนากระชับคอเสื้อของเด็กหนุ่มตรงหน้าจนแจนเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก
“อึก! ม… หมอนั่นไม่ได้ตอบอะไร” รีไวปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่ายลง
“แค่ก
แค่ก” ร่างสูงไอและพยายามสูดออกซิเจนเข้าปอด ทั้งที่ตัวเตี้ยกว่าเขาแต่แรงของชายหนุ่มนั้นมีมากอย่างไม่น่าเชื่อ
“งั้นเหรอ”
ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคนโหดร้ายและป่าเถื่อนแบบนี้มีดีตรงไหนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นเพียงแค่เขาบอกว่าได้สารภาพรักกับร่างโปร่งบางไป
ชายหนุ่มตรงหน้าก็ฉุนเฉียวขนาดนี้ หรือว่า…
“แล้วตกลงคุณคิดยังไงกับเอเลนกันแน่”
ถามย้ำอีกครั้งเพื่อต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากอีกฝ่าย
ใบหน้าเฉยชาเหลือบมองเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้า
ความรู้สึกไม่ชอบใจยังคงคุกรุ่นเพียงแค่ได้ยินว่ามีใครอีกคนให้ความสนใจในตัวของเอเลน
บางทีการศึกษาระหว่างเขาและเด็กหนุ่มอาจได้ข้อสรุปเร็วกว่าที่คิด
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกนาย แต่….” เพื่อเห็นแก่ความมุมานะและความเป็นห่วงในตัวเอเลนของเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขาก็ควรทำอะไรให้ชัดเจน “ตอนนี้ฉันบอกได้แค่ว่าฉันเองก็สนใจหมอนั่น”
รีไวเดินหันหลังกลับไปโดยไม่ได้กล่าวลาเด็กหนุ่มอีกคน
นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองตามหลังคนสูงน้อยกว่าไปจนลับตา มือหนาบีบกำแน่นจนขึ้นเกร็ง
เจ็บใจ ที่รู้สึกราวกับว่าตัวเองพ่ายแพ้ อกซ้ายบีบเกร็งรัดด้วยความขุ่นเคือง แม้จะเริ่มรู้สึกราวกับหมดหวังที่จะเขยิบความสัมพันธ์ของตนเองกับเด็กหนุ่มร่างโปร่ง
แต่ถึงกระนั้นส่วนลึกในจิตใจยังคงแอบหวังให้ท้ายที่สุดผู้ที่ถูกเลือกยังคงเป็นตนเอง
ลานน้ำพุใหญ่ในสวนสาธารณะการเมือง
ร่างโปร่งบางกำลังนั่งมองเหล่านกพิราบสีขาวที่พยายามจิกหาอาหารลงบนพื้น
ใบหน้ามนยังคงครุ่นคิดและกังวลเรื่องเกี่ยวกับคู่กัดของตนที่ความสัมพันธ์ตอนนี้แปลกไป
ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้อย่างไรดี
เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด และใกล้ชิดสนิทสนม
อีกทั้งสามารถพูดคุยเรื่องต่างๆได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์เหล่านั้นสักวันหนึ่งจะเปลี่ยนไป ไม่อยากที่จะสูญเสียหรือทำร้ายคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท
แต่จะปล่อยให้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้
ทั้งที่คิดอย่างนี้ตัวเขาควรจำอย่างไรดี?
“คุณรีไวหายไปนานจังครับ
ผมกำลังเป็นห่วงอยู่พอดี” เด็กหนุ่มรีบเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าคนที่หายไปนานกลับมาแล้ว
วันนี้หลังจากเลิกเรียนเอเลนก็รีบตรงดิ่งไปให้ทันทานข้าวกลางวันกับชายหนุ่มทันที
และด้วยที่ว่าชายหนุ่มอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เขาจึงโดนลากออกมาหาอะไรทานข้างนอก
หลังจากมื้อกลางวันผ่านพ้นไปชายหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปทำงานจึงได้ชวนเขาออกมาเดินเล่นในเมืองเพื่อค่าเวลา
“ห้องน้ำคนเยอะเหรอครับ?”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าสบมองกับเด็กหนุ่มร่างโปร่งตรงหน้า
หลายวันมานี้คิดอยู่หลายครั้งว่าเจ้าหนูนี่แปลกไป
บางครั้งก็เหม่อลอยและถอนหายใจขึ้นมา พอถามก็พยายามบ่ายเบี่ยงตลอด จนในที่สุดก็รู้สาเหตุจนได้
เอเลนเอียงคอมองชายหนุ่มที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำตั้งแต่เดินกลับมาหาเขาอย่างสงสัย
“คุณรีไวมีอะไรรึเปล่าครับ?”
หรือว่าอาหารที่กินเข้าไปวันนี้จะทำให้ชายหนุ่มท้องเสีย
แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ปวดท้องหรือเป็นอะไรนี่นา
“เอเลน”
ใบหน้าคมเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า
“ครับ?”
เด็กหนุ่มมองคนอายุมากกว่าอย่างสงสัย
“ไอเด็กที่ชื่อแจนสารภาพรักกับนายสินะ”
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“ค…..คุณรีไว ทำไมถึง…” ไปรู้มาจากไหนทั้งที่เขาพยายามบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้ารับรู้แท้ๆ
“ถามแบบนี้นายคิดจะปิดฉันงั้นสิไอหนู?”
“ม…ไม่ใช่ครับ” ใบหน้ามนก้มลงมองพื้นอิฐสีเทา ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเพียงแค่
“ ผม….ผมเพียงแต่ไม่อยากให้คุณคิดมาก”
“ถ้านายไม่อยากให้ฉันคิดมาก
ทำไมนายถึงไม่ทำอะไรให้ชัดเจน
หรือที่จริงแล้วความรู้สึกของนายมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น”
“ไม่ใช่นะครับ
แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง” เพราะอีกฝ่ายคือคุ่กัดที่เป็นเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ด้วยกันและคุ้นเคยกันมานานจนไม่อาจที่จะทำร้ายอีกฝ่ายได้
มือแกร่งเลื่อนจับใบหน้ามนให้ขึ้นสบกับตาของตนเอง
“ฟังนะเอเลน”
“ครับ?”
“นายไม่ใช่คนแรกที่มาสารภาพรักกับฉัน
และถ้าฉันคบกันนาย นายก็ไม่ใช่คนแรกที่เป็นแฟนฉัน” คำพูดของชายหนุ่มทำให้ใบหน้ามนเริ่มมองค้อน
ทั้งที่เขาเพิ่งเริ่มรู้จักที่จะชอบคนอื่นอย่างลึกซึ้ง
และรอคอยการได้พบเจอชายหนุ่มตรงหน้ามาตลอด
แต่เจ้าตัวกลับผ่านใครต่อใครมามากมายแบบนี้มันน่าน้อยใจนักเชียว
“แล้วไงครับ?”
ถามออกไปด้วยความขุ่นเคือง ถึงจะไม่ใช่คนแรกก็ขอเป็นคนสุดท้ายของคุณละกัน
“แต่นายเป็นคนแรกที่ฉันคิดอยากลองจริงจังกับการคบหาใครสัก
นายแตกต่างจากคนอื่นๆนะเอเลน”
ใบหน้ามนขึ้นสีสุกปลั่ง
ทั้งอายทั้งเขินกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูดออกมา
ถึงอย่างนั้นอกซ้ายก็เต้นระรัวและพองโตด้วยความดีใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คุณรีไว
ตอนนี้คุณก็เริ่มรู้สึกชอบผมแล้วสินะครับ
มือเรียวยกสัมผัสกับมือของชายหนุ่มที่สัมผัสบนใบหน้าของตน
ความรู้สึกที่ราวกับได้ถูกเติมเต็มทำให้ใบหน้ามนยิ้มจนแก้มแทบปริ
“ผมจะทำทุกอย่างให้ชัดเจนครับคุณรีไว”
“ก็ดี
ฉันรู้ว่ามันอาจจะยากแต่ไม่มีใครรู้ผลสรุปที่ตามมาได้หรอกนะ” แม้จะเป็นการทำให้เด็กหนุ่มต้องลำบากใจ
แต่เพื่อเป็นการดีในการเดินหน้าต่อไปของความสัมพันธ์ของเขาและเด็กหนุ่มทุกอย่างควรจะชัดเจนทั้งตัวเขา
และเอเลนก็เช่นกัน อีกอย่างการที่มีคนมายุ่มย่ามกับสิ่งที่เขาสนใจ
เขาเองก็ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรหรอกนะ
“ผมเข้าใจ”
จะต้องตัดสินใจเพื่อไม่ให้คนตรงหน้ารู้สึกผิดหวังกับตนเอง
และเพื่อตัวเขาเองกับแจนที่จะต้องก้าวเดินต่อไป
และต้องทำใจรับเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นให้ได้ รู้ดีว่าจะต้องทำให้เพื่อนสนิทที่สำคัญต้องเจ็บปวด
รู้ดีว่าจะเป็นการทำร้ายคนที่คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมา
ถึงอย่างนั้นก็หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
เขาและแจนจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนที่สนิทสนม และคู่ปรับของกันและกันได้
แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ หรือต้องใช้เวลายาวนานเท่าไร แต่มือที่อบอุ่นตรงหน้าคู่นี้ที่เขาเฝ้ารอมาตลอด
เขาเองก็ไม่สามารถที่จะปล่อยไปได้เช่นกัน
คงได้แต่ภาวนาขอให้สักวันเขาและเด็กหนุ่มร่างสูงจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนสนิทที่สำคัญของกันและกันได้เช่นเดิม
จะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้เหล่าคนสำคัญไม่ต้องเจ็บปวด
จะมีวิธีใดบ้างที่ไม่ต้องทำร้ายใคร
ทั้งในอดีตหรือปัจจุบันไม่ว่าเมื่อไรก็ยังมีคนที่ต้องเจ็บปวดและถูกเขาทำร้ายสินะ
โลกนี้ช่างโหดร้ายถึงกระนั่นก็ยังคงสวยงามจนไม่อาจที่จะปล่อยมือไปได้
TBC.
โลกนี้มันโหดร้ายแต่ก็งดงาม เหมือนขนมอาบยาพิษจริงๆ...
ตอบลบทั้งที่ใจนึงก็อาจจะเกลียด แต่ก็ชอบหลงัไหลจนไม่อาจละทิ้งไปได้ ;w;
ว่าตามตรงไม่ค่อยรีไวในเรื่องนี้เท่าไหร่ ;A;
เอเลนก็รู้สึกน่าสงสารมากเลย น่าสงสารจริงๆ ถึงจะมีเรื่องดีๆ หวานๆ เกิดขึ้นก็เถอะ แต่ทำไมสลัดความรู้สึกสงสารออกไปไม่ได้กันนะ...
เอเลนน่าสงสารจริงค่ะ ได้เเต่มองดูอีกคนที่เหมือนกับความจำเสื่อมจำเรื่องราวที่เคยมีมาไม่ได้ เเละยิ่งความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งเจ็บปวดค่ะ
ลบรีไวมาวินๆแบบลอยลำเลย สงสารแจนนะ แต่มีอามินคอยปลอบแล้ววว ฮิ้วววว เป็นคู่ที่มีคนนึงฉลาด ก็ต้องมีอีกคนซื่อ(บื้อ)สินะ หุหุ
ตอบลบ