วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 17



Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 17

 
“นายเนี่ยตัวเล็กชะมัดเลย” นั่นคือประโยคแรกที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนทักทายมา ท่าทางที่ดูเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งบวกกับความปากร้ายของเจ้าตัวก็บ่งบอกได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ยียวนและถูกตามใจมากขนาดไหน
หลังจากจบชั้นประถมก็เข้าสู่ชีวิตวัยรุ่นช่วงมัธยม และนั่นเป็นการเจอกันครั้งแรกกับเด็กหนุ่มร่างสูง แจน กิลชูไตน์ กับกลุ่มของเขา แล้วดูเหมือนการเจอกันของเอเลนกับแจนก็ราวกับว่าเป็นการพบเจอของคู่กัดและคู่ปรับตามธรรมชาติ เขายังจำได้ดีถึงการเจอกันของทั้งคู่ที่บอร์ดคะแนนสอบประจำภาคเรียน ชื่อของเอเลน ที่อยู่บนชื่อของแจน
“เอเลน เยเกอร์ ชื่อผู้ชายแน่เหรอวะ นามสกุลนักล่าซะด้วยท่าทางจะเป็นหมาน้อยล่ากระต่ายล่ะมั่ง” หันไปล้อเลียนเจ้าของชื่อกับเพื่อนหน้าตกกระในกลุ่มของตน เด็กหนุ่มปากร้ายอย่างแจนล้อเลียนชื่ออีกคนโดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของชื่อนั้นยืนอยู่ข้างๆ
“เฮ้ยนายน่ะมีปัญหาอะไรกับชื่อชาวบ้านเขาวะไอหน้าม้า?!” ความเลือดร้อนและไม่ยอมแพ้ของเอเลนจึงทำให้เด็กหนุ่มหันไปเอาเรื่องทันที
แต่ดูเหมือนตัวต้นเหตุก็ไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านหรือสำนึกผิดเลยสักนิด นัยน์ตาสีเปลือกไม้จึงหันมาทางเจ้าของชื่อด้วยท่าทางที่กวนประสาท
“หืม? แกเองเหรอที่ชื่อเอเลน” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนไล่มองอีกคนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าไปมาอย่างยียวน “ตัวบางๆแบบนี้แกไปเอาชุดผู้หญิงมาใส่เถอะว่ะ ฮ่าฮ่า”
ทันที่ที่พูดจบเสื้อของแจนก็ถูกมือบางของเด็กหนุ่มกระชากทันที มิคาสะ เข้ามาจับไหล่ของเอเลนเพื่อให้เจ้าตัวใจเย็นลง ถึงกระนั่นนัยน์ตาสีเขียวมรกตก็ยังคงจ้องไปที่เด็กหนุ่มอีกคนอย่างเอาเรื่อง คนหาเรื่องก่อนเองก็ไม่ยอมแพ้กระชากคอเสื้ออีกคนกลับเช่นกัน
“เออทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลยครับ นี่อยู่ในโรงเรียนนะครับ” อาร์มินพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยคนทั้งคู่ที่ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าใครจะยอมใครเลย
ใบหน้าคมของเด็กหนุ่มหันมองตามต้นเสียง คิ้วสีเข้มเลิกขึ้นเมื่อเห็นตัวคนพยายามห้าม
“นายเนี่ยตัวเล็กชะมัด”
นัยน์ตาสีน้ำทะเลมองเพื่อนของตนเองสลับไปมากับเด็กหนุ่มอีกคน กลัวว่าถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นจะต้องโดนเชิญผู้ปกครองแน่ๆ
“ชริ” ดูเหมือนเอเลนจะเป็นฝ่ายสงบลงได้ก่อน มือที่กำคอเสื้ออีกคนจึงยอมปล่อยออก และแจนเองก็ให้ความร่วมมือปล่อยคอเสื้อของเอเลนออกตามเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นการเจอกันครั้งแรกที่ไม่น่าจดจำหรือประทับใจเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมกลับกลายเป็นว่าตั้งแต่วันนั้นเด็กหนุ่มต่างห้องถึงได้คอยมาหาเรื่องเอเลนตลอด ไม่ว่าจะบังเอิญเจอกันที่ ห้องสมุด โรงอาหาร หรือตามทางเดินช่วงเปลี่ยนคาบเรียน ทุกครั้งที่เจอสงครามปะทะคารมขนาดย่อมก็เกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ไป
พอขึ้นมัธยมปลายก็กลายเป็นว่ากลุ่มของเขาและแจนได้รวมตัวมาอยู่ห้องเดียวกัน ห้องเรียนที่เป็นแห่งเดียวในโรงเรียนที่เคยสงบสุข จึงกลายเป็นห้องเรียนที่เกิดสงครามย่อมๆตลอดเวลา แต่ถึงจะอย่างนั้นก็กลายเป็นว่าการทะเลาะของทั้งคู่เป็นสีสันให้กับกลุ่มไป พอรู้ตัวอีกทีแจนและเอเลนก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกัน เรียกได้ว่าทะเลาะจนสนิทกันก็ได้ล่ะมั่ง
บางครั้งเขาก็รู้สึกอิจฉาความตรงไปตรงมาของเอเลนที่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งให้ดึงดูดใครหลายต่อหลายคนเข้ามาหา และเปิดใจด้วยได้โดยง่าย ผิดกับเขาที่ค่อนข้างจะเป็นเด็กเก็บตัวและใช้เวลาอยู่กับหนังสือเสียส่วนใหญ่ ห้องสมุดจึงเป็นที่โปรดปรานของเขา
“อ่านหนังสือตลอดเลยนะนายน่ะ” เสียงทักที่คุ้นเคย ทำให้นัยน์ตาสีน้ำทะเลละออกจากหนังสือที่อ่านหันไปมองตามต้นเสียง
“แจนไม่ได้ไปซ้อมบาสกับคนอื่นๆเหรอครับ?” เพราะใกล้วันงานกีฬาสีเข้ามาแล้ว คนอื่นๆในกลุ่มต่างกระตือรือร้นในการฝึกซ้อมกีฬาที่จะลงแข่งในอีกไม่นาน ตัวเขาที่ไม่ได้ถนัดกีฬาประเภทไหนจึงอยู่ฝ่ายสนับสนุนทำให้ไม่ต้องไปซ้อมกับคนอื่นๆ
“รอเจ้าบ้าเอเลนอยู่น่ะ มันโดนอาจารย์เรียกไปใช้งาน” เด็กหนุ่มเขยิบเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะนั่งรออีกคน
“งั้นเหรอครับ” อาร์มินตอบรับพลางหันไปให้ความสนใจกับหนังสือตรงหน้าต่อ
“บางครั้งฉันก็รู้สึกรำคาญกับท่าทางแบบนั้นของนายแฮะ อาร์มิน” นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองเด็กหนุ่มตัวเล็กตรงหน้าท่าทางที่เรียบร้อย และดูคล้อยตามได้ง่ายหลายครั้งที่ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกรำคาญ
“อ….เอ๊ะ?”
“หลายครั้งที่ฉันคิดว่า ทำไมหมอนี่มันไม่พูดหรือเถียงอะไรออกมาบ้าง อย่างเรื่องตอนแบ่งหน้าที่ในงานกีฬาสี ดูเหมือนนายอยากที่จะลงบาสแต่พอมีคนเสนอให้นายอยู่ฝ่ายสนับสนุน นายก็ตอบรับคำอย่างง่ายดาย” ทั้งที่ตอนแบ่งหน้าที่ตัวเขาที่นั่งอยู่ข้างหลังของเด็กหนุ่มผมทองยังสังเกตุเห็นถึงประกายตาความสนใจและความลังเลในตอนคัดเลือกนักแข่งทีมบาสที่ดูเหมือนเจ้าตัวก็อยากที่จะลง
“ก็ผมตัวก็เล็ก แถมไม่ได้สูงคงได้แต่เป็นตัวถ่วงให้คนอื่นเปล่าๆ” ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะทันสังเกตุเห็น ความจริงแล้วเขาเองก็แอบสนใจในกีฬาบาสเก็ตบอลอยู่ไม่น้อย แม้ในชั่วโมงเรียนพละเขาจะทำได้ไม่ดี แต่ความรู้สึกที่ได้รับส่ง และชู๊ตลูกนั้นเป็นความรู้สึกที่สนุกมากจริงๆ
“แล้วไง? โคนี่ตัวก็พอๆกับนายหมอนั่นยังดึงดันที่จะลงแข่งฟุตบอลทั้งที่ไม่เคยยิงเข้าประตูเลยสักครั้งเดียว”
คำพูดของแจนทำให้อาร์มินไม่สามารถเถียงออกได้ ตัวเขาที่ไม่ได้มีความมั่นใจและกลัวว่าจะเป็นแค่ตัวถ่วงของคนอื่นๆจึงเลือกที่จะอยู่ฝ่ายสนับสนุน เพราะอย่างน้อยก็ยังคงได้ช่วยเหลือเพื่อนๆอยู่บ้าง
“จแจน จะไปเข้าใจอะไรล่ะครับ ตัวผมที่ไม่ได้สูงและเก่งกีฬาแค่วิ่งยังช้ากว่าคนอื่นๆแบบนี้” ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังถูกคนตรงหน้านี้ตำหนิ ทั้งที่คิดว่าไม่ได้อยากเป็นตัวถ่วงและอยากให้การสนับสนุนทุกคนแท้ๆ
“แต่นายก็มีสิ่งที่พวกฉันไม่มี ไม่ใช่เหรอไง?”
ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มมองอีกคนอย่างสงสัย
นิ้วชี้ของแจนจิ้มลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่มผมสีทองตรงหน้า
“นี้ไงล่ะ” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มให้กับอีกฝ่าย “ถึงนายจะไม่ได้มีพละกำลังแต่นายมีสมองและความคิดที่เก่งกาจจนใครๆต้องยอมรับ และถ้าเอามาประยุกต์ใช้กับทีมมันจะส่งผลดีให้มากกว่าการที่นายวิ่งเอาน้ำมาให้พวกฉันอีกนะเว๊ย”
นัยน์ตาสีน้ำทะเลตกใจกับคำพูดของคนตรงหน้า แล้วใบหน้าหวานต้องกลั้นยิ้มหัวเราะออกมา ไม่คิดเลยว่าตัวเขาที่ไม่ได้เด่นหรือน่าสนใจ อีกทั้งยังอ่อนแอแบบนี้ จะได้รับความไว้วางใจและเชื่อใจจากคนตรงหน้าขนาดนี้
“แจนนี่เป็นคนดีกว่าที่คิดนะครับ”
“หา? อะไรของนาย ฉันน่ะมันเป็นคนดีอยู่แล้วต่างหาก” ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นริ้วสีระเรื่อ ไม่คิดว่าจะถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเอ่ยชม
“ถ้างั้นผมจะลองทำตามที่แจนว่า ผมจะไปช่วยวางแผนเกมการเล่นให้ดีไหมครับ?”
“ถ้าแบบนั้นก็เยี่ยมเลย ฉันจะไปบอกทุกคนเองรับรองว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแน่นอน!!” ถ้าได้มันสมองของคนที่เก่งที่สุดในชั้นปีมาช่วย ก็ราวกับว่าตอนนี้มือข้างหนึ่งของทีมเขาก็คว้าเหรียญทองเอาไว้แล้ว
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมจะลองเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะพยายามพูดและทำตามที่ตัวเองคิดดูนะครับ” อย่างน้อยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกิดประโยชน์ต่อคนรอบข้างได้บ้าง และตัวเขาเองก็คงสามารถที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของกลุ่มได้เช่นเดียวกับคนอื่น
“แบบนั้นแหละดีแล้ว”
จากความช่วยเหลือของอาร์มินทำให้งานกีฬาสีปีนั้นของพวกเขากีฬาแทบทุกประเภทเกือบคว้าเหรียญทองได้หมด หลังจบงานกีฬาเหล่าประธานชมรมกีฬาต่างๆพยายามดึงตัวอาร์มินให้ไปเป็นผู้จัดการทีมหรืออย่างน้อยก็ช่วยวางแผนก่อนการแข่งขัน ซึ่งเจ้าตัวก็รู้สึกยินดีที่จะร่วมมือและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ชื่อของอาร์มิน อัลเรลโต จึงเป็นที่รู้จักในฐานะของนักวางแผนอัจฉริยะของโรงเรียน
หลังจากวันนั้นตัวเขาก็เปลี่ยนแปลง กล้าที่จะพูดและทำในสิ่งที่คิดมากขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครมาถาม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้หลายคนรู้สึกตกใจ แต่ทุกคนก็ยอมรับและชื่นชมในความเปลี่ยนแปลงของเขา แม้บางครั้งดูเหมือนเพื่อนๆในกลุ่มจะรู้สึกหวั่นๆและเกรงใจเขาอยู่บ้าง แต่มันกลับทำให้ตัวเขาและเพื่อนๆเข้าใจกันมากขึ้น และเชื่อใจกันมากขึ้น
และพอเข้ามหาลัยกลุ่มเพื่อนทุกคนก็ยังคงอยู่ด้วยกันและช่วยเหลือกันแม้จะเรียนต่างคณะกันก็ตาม ความสนิทสนมและความไว้วางใจที่ต่างมีให้กันนั่นมากมายราวกับว่าทุกคนรู้จักและผ่านสิ่งต่างๆด้วยกันมามากมายและเนิ่นนาน ทั้งที่นิสัยของทุกคนช่างแตกต่างและไม่น่ารวมกลุ่มกันได้ แต่ความแตกต่างเหล่านั้นกลับลงตัวและเติมเต็มในส่วนที่มีและขาดหายให้แก่กัน ยิ่งนานวันยิ่งเข้าใจ ราวกับว่าพวกเราเกิดมาเพื่อพบเจอกันจริงๆ
และบางสิ่งก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นในความสัมพันธ์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น โคนี่กับชาช่า เบลทรูธกับไรเนอร์ คริสต้ากับยูมิล หรือแม้กระทั่งสายตาและท่าทางของแจนที่เริ่มเปลี่ยนไปให้กับเอเลนอย่างไม่รู้ตัว จากคู่ปรับที่คอยหาเรื่องกัดอีกคน กลับกลายเป็นว่าพยายามหาเรื่องให้อีกคนมาสนใจ ท่าทางโอหังเอาแต่ใจ แต่พออีกคนเดือดร้อนกลับรีบเข้าไปช่วยโดยไม่บ่ายเบี่ยง คอยสังเกตุและดูแลในท่าทางที่กวนประสาทนั่น ทั้งที่คนอื่นๆต่างก็ดูออกว่าคิดยังไง จะมีก็แต่เจ้าตัวกับคู่กรณีที่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเสียบ้าง เหล่าคนที่คอยเฝ้ามองดูทั้งคู่จึงได้แต่แอบลุ้นอยู่ในใจว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เว้นก็แต่มิคาสะที่ดูเหมือนว่าพอรู้ว่าแจนคิดอย่างไรกับเอเลนจึงได้พยายามหาทางกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มร่างสูงสารพัด ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นรักสามเศร้าของเพื่อนสนิทไปเสียแล้ว แต่ท่าทีของมิคาสะที่มีให้กับเอเลนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงยังคงอยู่ในฐานะของพี่สาวหรือบางทีจะเขยิบขึ้นไปจนเรียกว่าเป็นแม่ก็ว่าได้
จนวันที่คนในกลุ่มรอคอยก็มาถึง วันที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนรับรู้ถึงหัวใจของตนเองเสียที ทุกคนถึงได้พยายามช่วยลุ้น รวมทั้งสนุกกับการกลั่นแกล้งคนรู้สึกตัวช้าไปตามๆกัน หลายครั้งที่รู้สึกอิจฉาเอเลนที่ได้รับการเอาใจใส่และดูแลจากคนรอบข้าง แต่ก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถเป็นอย่างเด็กหนุ่มร่างโปร่งได้ อีกทั้งเอเลนเป็นเพื่อนรักที่หาไม่ได้อีกแล้วจึงอยากให้เด็กหนุ่มร่างโปร่งนั้นมีความสุขยิ่งกว่าใครเป็นความปรารถนาที่มีให้ตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรก ไม่รู้ว่าทำไมถึงแม้จะอิจฉาแต่ก็หวังให้เอเลนมีความสุขยิ่งกว่าใคร ถึงได้คอยเชียร์เพื่อนทั้งคู่ที่แม้จะเป็นคู่กัดกัน แต่กลับเข้ากันได้ดีในหลายๆเรื่อง
ทั้งอย่างนั่นอยู่ๆการปรากฏตัวของชายหนุ่มอายุมากกว่าแปลกหน้าก็เริ่มทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกราวกับว่าคนนี้นี่ล่ะที่จะสามารถทำให้เอเลนมีความสุขได้ จากตอนแรกที่เชียร์เพื่อนของตนเองจึงได้เอนเอียงไปทางชายหนุ่มอายุมากกว่า และดูเหมือนกับว่ามิคาสะเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน เพราะคนที่ทั้งหวงและห่วงเอเลนอย่างเธอกลับยอมเปิดโอกาสให้อีกคนอย่างง่ายดายจนเขารู้สึกแปลกใจ จะเป็นห่วงก็แต่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเหมือนกับว่าจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นสังเวียนจริงจัง
ถึงกระนั้นท่าทีที่เอาใจใส่และคอยห่วงใยในตัวร่างโปร่งก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยังคอยช่วยเหลือและสังเกตุความเป็นไปของอีกฝ่าย จากตอนแรกที่อยากจะสนับสนุนทั้งคู่ความคิดและความรู้สึกก็ค่อยๆเปลี่ยนไป อยากให้คนคนนั้นหันมาเอาใจใส่ตัวเขาแบบนั้นบ้าง อยากให้นัยน์ตาสีเปลือกไม้คอยไล่ตามเขาเช่นเดียวกับร่างโปร่งบาง อยากเป็นคนหนึ่งที่คนคนนั้นเอาใจใส่และอยากเป็นคนที่ทำให้ใบหน้าขี้เก๊กนั่นหลุดขำและหัวเราะออกมาได้ อยากที่จะได้การกระทำเหล่านั้นที่อีกคนได้รับมาเป็นของตัวเอง ตัวเขาที่คิดแบบนี้คงเพราะเห็นถึงความพยายามและความเอาใจใส่ของร่างสูงจนเผลอชอบไปแล้วสินะ……

“นี่อาร์มินฉันจะทำยังไงดี? เป็นแบบนี้อึดอัดชะมัด” แจนนั่งฟุ่บลงกับโต๊ะสีขาวในร้างกาแฟ โดยมีอีกคนนั่งเป็นเพื่อนระบายความกลัดกลุ้มของตน
วันนี้เป็นเวรคริสต้าและแอนนี่ไปช่วยงานที่ร้านของเพทร่าเลยทำให้ แจน อาร์มิน มิคาสะ และเอเลน ว่างงานหลังจากที่คลาสเช้าของวันนี้จบลงแล้ว หลังจากที่สารภาพออกไปก็ราวกับว่าทั้งตัวเขาและเอเลนต่างเข้าหน้ากันไม่ติด แม้จะพยายามหาเรื่องชวนคุยแต่อีกคนก็มีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด และบางครั้งที่ได้สบตากันต่างคนก็ต่างหลบสายตากัน ที่ร้ายกว่านั้นคือหลายวันมานี้เขาทั้งคู่พยายามหลบหน้ากันตลอดจนตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์เต็มแล้ว
ทั้งที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่พอต้องมาเจอกับตัวจริงๆก็ทำให้อึดอัดไม่น้อยทีเดียว ไม่รู้ว่าเอเลนจะทำยังไงกับความรู้สึกที่เขามีให้ดี การทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ใช่นิสัยปกติของเขาทั้งคู่ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ก็มีแต่ต้องต้องรอเวลาเท่านั้น ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่บรรยากาศอึดอัดกับร่างโปร่งบางก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นชิน สู้ทะเลาะกันยังจะรู้สึกดีกว่านี้
“เอาน่า ผมว่าอีกไม่นานทุกอย่างก็คงดีขึ้นล่ะครับ” เด็กหนุ่มพูดให้กำลังใจเพื่อนตรงหน้าที่กำลังห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันก็หวังจะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน” ร่างโปร่งถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ถ้าเอเลนปฏิเสธ แจนจะทำยังไงเหรอครับ?”
คำถามจากอาร์มินทำให้เด็กหนุ่มเริ่มคิดอย่างวิตกกังวล นั่นสิเขาจะทำยังไงถ้าหมอนั่นปฏิเสธ? ตัวเขาไม่เคยคิดถึงข้อเท็จจริงตรงนี้เลยสักนิด เพราะแค่การที่จะบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ก็แสนยากเหลือเกินแล้ว
“ก็มีแต่ต้องทำใจ และหวังว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกับหมอนั่นได้” ถึงแม้จะยากแสนยากก็ตามทีกับความรู้สึกนี้ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าจะต้องโดนปฏิเสธก็หวังว่าทุกอย่างจะสามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้
“ผมว่าเอเลนเองก็คงคิดแบบเดียวกัน สบายใจเถอะครับ” เอเลนเองก็คงอึดอัดกับความรู้สึกตอนนี้ไม่น้อย และก็คงไม่อยากสูญเสียความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่กับเด็กหนุ่มตรงหน้าไปด้วยเช่นกัน และถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้วถึงตอนนั้นผมจะเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆแจนคงจะได้สินะ
“นายเนี่ยไม่ให้กำลังใจฉันเลยนะ ไหนตอนแรกเชียร์ฉันไง?” แจนมองค้อนอีกฝ่ายที่ตอนแรกสนับสนุนเขาแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลอยแพเขาเสียแล้ว
“แต่ตอนนี้ผมไม่เชียร์แจนแล้วล่ะครับ” พูดพลางยกกาแฟขึ้นดื่ม
“อ้าวเฮ้ย ทำไมงั้นล่ะ!!
“นั่นสิ ทำไมกันน๊า”
คำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มบางของคนตรงหน้าทำให้แจนรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก นี่เขาไปทำอะไรให้อาร์มินไม่พอใจหรือเปล่า? เจ้าตัวถึงได้เลิกที่จะคอยสนับสนุนเขา หรือว่าเพราะคิดว่าเขาไม่มีทางชนะลุงเตี้ยที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นานอย่างนั้นเหรอไงกัน แค่คิดเรื่องตาลุงนั่นที่อยู่ๆก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“อาร์มินแกนี่มัน” ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไปสายตาที่มองผ่านกระจกของร้านกาแฟก็พลันเห็นคนน่าหงุดหงิดที่ไม่อยากนึกถึง
ร่างกายไวกว่าความคิดจึงวิ่งออกจากร้านกาแฟไปหาอีกคนที่อยู่เลยจากร้านไปไม่ไกลนัก อาร์มินนั่งมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มร่างสูงที่วิ่งออกไป ใบหน้าหวานยกยิ้มบางขึ้นมาก่อนค่อยจิบกาแฟร้อนที่อยู่ในถ้วย
ถ้าความกระตือรือร้นนั่นส่งผ่านมาให้เขาบ้างคงจะดีไม่น้อย ตอนนี้ก็เพียงแต่รอเวลาให้ทุกอย่างดำเนินไปแล้วหวังว่าจะจบลงด้วยดีทุกฝ่าย
“คุณรีไวรอเดี๋ยวครับ” แจนที่วิ่งตามชายหนุ่มตะโกนเรียกให้อีกคนหันมา ทั้งที่ขาก็สั้นกว่าเขาแต่ทำไมถึงได้เดินเร็วนักนะ
ใบหน้าคมเฉยชาหันมาเหลือบมองตามเสียงเรียกก่อนจะหยุดฝีเท้าลง เมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเป็นคนที่รู้จัก
“มีอะไรไอหน้าม้าเหลือขอ?”
“คุณนี่ปากร้ายชะมัด”
“แกยังหาว่าฉันเป็นตาลุงบ้ากามได้เลยนะ” อย่าคิดว่าเขาจำไม่ได้นะว่าไอเด็กร่างสูงคนนี้ชี้หน้าเขาแล้วเรียกเขาว่าอะไร ทั้งยังหาว่าเขาลวนลามเด็กหนุ่มอีกคนเสียด้วย
“ครับๆ ผมผิดเองวันนั้นสติแตกไปหน่อย” ถึงไม่ได้อยากจะรับผิดเลยสักนิดแต่ตัวเขาที่วันนั้นพูดจาหาเรื่องคนอายุมากกว่าก็ผิดอยู่ดี
“แล้วนายมีอะไร ฉันมีธุระคุยนานไม่ได้หรอกนะ”
“ผมอยากถามคุณเรื่องเอเลน”
“เรื่องอะไรล่ะไอหนู?” ใบหน้าคมขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย เพราะเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มที่เขากำลังให้ความสนใจ และอยู่ในขั้นของการศึกษากันและกัน เพียงได้ยินชื่อนั่นออกมาจากเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกชวนหงุดหงิดนัก
“ผมอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับหมอนั่น?” ถึงเขาจะรู้ความรู้สึกตัวเองช้า แต่ไอท่าทางของเอเลนที่เขาเห็นก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าต้องรู้สึกพิเศษกับชาหนุ่มตรงหน้าอย่างแน่นอน ตัวเขาที่ชอบเอเลนจึงอยากรู้ว่าชายหนุ่มนั้นคิดอย่างไรกับร่างโปร่งบาง ถ้าคิดจะล้อเล่นกับความรู้สึกของเด็กหนุ่มแล้วล่ะก็เขาจะไม่มีวันให้อภัยอย่างแน่นอน
ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจกับคำถามจากเด็กหนุ่มร่างสูง “เรื่องของฉันกับเอเลนไม่จำเป็นต้องบอกนาย”
“ผม...” นัยน์ตาสีเปลือกไม้สบกับใบหน้าเฉยชาด้วยแววตาจริงจัง “ผมสารภาพรักกับเอเลนไปแล้ว ถ้าคุณไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นแล้วล่ะก็ !!!
ยังไม่ทันที่จะพูดจบมือแกร่งคว้าเข้าที่คอเสื้อของเด็กหนุ่มตรงหน้าทันที นัยน์ตาสีขี้เถ้าฉายแววความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วหมอนั่นตอบว่ายังไง?” มือหนากระชับคอเสื้อของเด็กหนุ่มตรงหน้าจนแจนเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก
“อึก! หมอนั่นไม่ได้ตอบอะไร” รีไวปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่ายลง
“แค่ก แค่ก” ร่างสูงไอและพยายามสูดออกซิเจนเข้าปอด ทั้งที่ตัวเตี้ยกว่าเขาแต่แรงของชายหนุ่มนั้นมีมากอย่างไม่น่าเชื่อ
“งั้นเหรอ”
ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคนโหดร้ายและป่าเถื่อนแบบนี้มีดีตรงไหนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเพียงแค่เขาบอกว่าได้สารภาพรักกับร่างโปร่งบางไป ชายหนุ่มตรงหน้าก็ฉุนเฉียวขนาดนี้ หรือว่า
“แล้วตกลงคุณคิดยังไงกับเอเลนกันแน่” ถามย้ำอีกครั้งเพื่อต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากอีกฝ่าย
ใบหน้าเฉยชาเหลือบมองเด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้า ความรู้สึกไม่ชอบใจยังคงคุกรุ่นเพียงแค่ได้ยินว่ามีใครอีกคนให้ความสนใจในตัวของเอเลน บางทีการศึกษาระหว่างเขาและเด็กหนุ่มอาจได้ข้อสรุปเร็วกว่าที่คิด
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกนาย  แต่….” เพื่อเห็นแก่ความมุมานะและความเป็นห่วงในตัวเอเลนของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาก็ควรทำอะไรให้ชัดเจน “ตอนนี้ฉันบอกได้แค่ว่าฉันเองก็สนใจหมอนั่น”
รีไวเดินหันหลังกลับไปโดยไม่ได้กล่าวลาเด็กหนุ่มอีกคน นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองตามหลังคนสูงน้อยกว่าไปจนลับตา มือหนาบีบกำแน่นจนขึ้นเกร็ง เจ็บใจ ที่รู้สึกราวกับว่าตัวเองพ่ายแพ้ อกซ้ายบีบเกร็งรัดด้วยความขุ่นเคือง แม้จะเริ่มรู้สึกราวกับหมดหวังที่จะเขยิบความสัมพันธ์ของตนเองกับเด็กหนุ่มร่างโปร่ง แต่ถึงกระนั้นส่วนลึกในจิตใจยังคงแอบหวังให้ท้ายที่สุดผู้ที่ถูกเลือกยังคงเป็นตนเอง



ลานน้ำพุใหญ่ในสวนสาธารณะการเมือง ร่างโปร่งบางกำลังนั่งมองเหล่านกพิราบสีขาวที่พยายามจิกหาอาหารลงบนพื้น ใบหน้ามนยังคงครุ่นคิดและกังวลเรื่องเกี่ยวกับคู่กัดของตนที่ความสัมพันธ์ตอนนี้แปลกไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้อย่างไรดี เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด และใกล้ชิดสนิทสนม อีกทั้งสามารถพูดคุยเรื่องต่างๆได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่เคยคิดเลยว่าความสัมพันธ์เหล่านั้นสักวันหนึ่งจะเปลี่ยนไป ไม่อยากที่จะสูญเสียหรือทำร้ายคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่จะปล่อยให้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ ทั้งที่คิดอย่างนี้ตัวเขาควรจำอย่างไรดี?
“คุณรีไวหายไปนานจังครับ ผมกำลังเป็นห่วงอยู่พอดี” เด็กหนุ่มรีบเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าคนที่หายไปนานกลับมาแล้ว
วันนี้หลังจากเลิกเรียนเอเลนก็รีบตรงดิ่งไปให้ทันทานข้าวกลางวันกับชายหนุ่มทันที และด้วยที่ว่าชายหนุ่มอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เขาจึงโดนลากออกมาหาอะไรทานข้างนอก หลังจากมื้อกลางวันผ่านพ้นไปชายหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปทำงานจึงได้ชวนเขาออกมาเดินเล่นในเมืองเพื่อค่าเวลา
“ห้องน้ำคนเยอะเหรอครับ?”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าสบมองกับเด็กหนุ่มร่างโปร่งตรงหน้า หลายวันมานี้คิดอยู่หลายครั้งว่าเจ้าหนูนี่แปลกไป บางครั้งก็เหม่อลอยและถอนหายใจขึ้นมา พอถามก็พยายามบ่ายเบี่ยงตลอด จนในที่สุดก็รู้สาเหตุจนได้
เอเลนเอียงคอมองชายหนุ่มที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำตั้งแต่เดินกลับมาหาเขาอย่างสงสัย
“คุณรีไวมีอะไรรึเปล่าครับ?” หรือว่าอาหารที่กินเข้าไปวันนี้จะทำให้ชายหนุ่มท้องเสีย แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ปวดท้องหรือเป็นอะไรนี่นา
“เอเลน” ใบหน้าคมเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า
“ครับ?” เด็กหนุ่มมองคนอายุมากกว่าอย่างสงสัย
“ไอเด็กที่ชื่อแจนสารภาพรักกับนายสินะ”
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“ค…..คุณรีไว ทำไมถึง” ไปรู้มาจากไหนทั้งที่เขาพยายามบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้ารับรู้แท้ๆ
“ถามแบบนี้นายคิดจะปิดฉันงั้นสิไอหนู?”
“มไม่ใช่ครับ” ใบหน้ามนก้มลงมองพื้นอิฐสีเทา ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเพียงแค่ “ ผม….ผมเพียงแต่ไม่อยากให้คุณคิดมาก”
“ถ้านายไม่อยากให้ฉันคิดมาก ทำไมนายถึงไม่ทำอะไรให้ชัดเจน หรือที่จริงแล้วความรู้สึกของนายมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น”
“ไม่ใช่นะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง” เพราะอีกฝ่ายคือคุ่กัดที่เป็นเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ด้วยกันและคุ้นเคยกันมานานจนไม่อาจที่จะทำร้ายอีกฝ่ายได้
มือแกร่งเลื่อนจับใบหน้ามนให้ขึ้นสบกับตาของตนเอง “ฟังนะเอเลน”
“ครับ?”
“นายไม่ใช่คนแรกที่มาสารภาพรักกับฉัน และถ้าฉันคบกันนาย นายก็ไม่ใช่คนแรกที่เป็นแฟนฉัน” คำพูดของชายหนุ่มทำให้ใบหน้ามนเริ่มมองค้อน ทั้งที่เขาเพิ่งเริ่มรู้จักที่จะชอบคนอื่นอย่างลึกซึ้ง และรอคอยการได้พบเจอชายหนุ่มตรงหน้ามาตลอด แต่เจ้าตัวกลับผ่านใครต่อใครมามากมายแบบนี้มันน่าน้อยใจนักเชียว
“แล้วไงครับ?” ถามออกไปด้วยความขุ่นเคือง ถึงจะไม่ใช่คนแรกก็ขอเป็นคนสุดท้ายของคุณละกัน
“แต่นายเป็นคนแรกที่ฉันคิดอยากลองจริงจังกับการคบหาใครสัก นายแตกต่างจากคนอื่นๆนะเอเลน”
ใบหน้ามนขึ้นสีสุกปลั่ง ทั้งอายทั้งเขินกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูดออกมา ถึงอย่างนั้นอกซ้ายก็เต้นระรัวและพองโตด้วยความดีใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คุณรีไว ตอนนี้คุณก็เริ่มรู้สึกชอบผมแล้วสินะครับ
มือเรียวยกสัมผัสกับมือของชายหนุ่มที่สัมผัสบนใบหน้าของตน ความรู้สึกที่ราวกับได้ถูกเติมเต็มทำให้ใบหน้ามนยิ้มจนแก้มแทบปริ
“ผมจะทำทุกอย่างให้ชัดเจนครับคุณรีไว”
“ก็ดี ฉันรู้ว่ามันอาจจะยากแต่ไม่มีใครรู้ผลสรุปที่ตามมาได้หรอกนะ” แม้จะเป็นการทำให้เด็กหนุ่มต้องลำบากใจ แต่เพื่อเป็นการดีในการเดินหน้าต่อไปของความสัมพันธ์ของเขาและเด็กหนุ่มทุกอย่างควรจะชัดเจนทั้งตัวเขา และเอเลนก็เช่นกัน อีกอย่างการที่มีคนมายุ่มย่ามกับสิ่งที่เขาสนใจ เขาเองก็ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรหรอกนะ

“ผมเข้าใจ”
จะต้องตัดสินใจเพื่อไม่ให้คนตรงหน้ารู้สึกผิดหวังกับตนเอง และเพื่อตัวเขาเองกับแจนที่จะต้องก้าวเดินต่อไป และต้องทำใจรับเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นให้ได้ รู้ดีว่าจะต้องทำให้เพื่อนสนิทที่สำคัญต้องเจ็บปวด รู้ดีว่าจะเป็นการทำร้ายคนที่คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมา ถึงอย่างนั้นก็หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เขาและแจนจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนที่สนิทสนม และคู่ปรับของกันและกันได้ แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ หรือต้องใช้เวลายาวนานเท่าไร แต่มือที่อบอุ่นตรงหน้าคู่นี้ที่เขาเฝ้ารอมาตลอด เขาเองก็ไม่สามารถที่จะปล่อยไปได้เช่นกัน
คงได้แต่ภาวนาขอให้สักวันเขาและเด็กหนุ่มร่างสูงจะสามารถกลับมาเป็นเพื่อนสนิทที่สำคัญของกันและกันได้เช่นเดิม
จะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้เหล่าคนสำคัญไม่ต้องเจ็บปวด จะมีวิธีใดบ้างที่ไม่ต้องทำร้ายใคร ทั้งในอดีตหรือปัจจุบันไม่ว่าเมื่อไรก็ยังมีคนที่ต้องเจ็บปวดและถูกเขาทำร้ายสินะ
โลกนี้ช่างโหดร้ายถึงกระนั่นก็ยังคงสวยงามจนไม่อาจที่จะปล่อยมือไปได้


TBC.

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 มีนาคม 2557 เวลา 00:51

    โลกนี้มันโหดร้ายแต่ก็งดงาม เหมือนขนมอาบยาพิษจริงๆ...
    ทั้งที่ใจนึงก็อาจจะเกลียด แต่ก็ชอบหลงัไหลจนไม่อาจละทิ้งไปได้ ;w;

    ว่าตามตรงไม่ค่อยรีไวในเรื่องนี้เท่าไหร่ ;A;
    เอเลนก็รู้สึกน่าสงสารมากเลย น่าสงสารจริงๆ ถึงจะมีเรื่องดีๆ หวานๆ เกิดขึ้นก็เถอะ แต่ทำไมสลัดความรู้สึกสงสารออกไปไม่ได้กันนะ...

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เอเลนน่าสงสารจริงค่ะ ได้เเต่มองดูอีกคนที่เหมือนกับความจำเสื่อมจำเรื่องราวที่เคยมีมาไม่ได้ เเละยิ่งความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งเจ็บปวดค่ะ

      ลบ
  2. รีไวมาวินๆแบบลอยลำเลย สงสารแจนนะ แต่มีอามินคอยปลอบแล้ววว ฮิ้วววว เป็นคู่ที่มีคนนึงฉลาด ก็ต้องมีอีกคนซื่อ(บื้อ)สินะ หุหุ

    ตอบลบ