Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last
Memory
Chapter 14
“ผมชอบคุณครับ
คุณรีไว”
ภายในห้องเก็บของด้านหลังของร้านเพทร่าที่เงียบสงบ
ร่างสองร่างที่ส่วนสูงต่างกันต่างยืนนิ่งมองหน้ากันและกัน
ไร้การเคลื่อนไหวและคำพูดใดใด
เงียบเสียจนแทบจะได้ยืนเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของร่างโปร่งบางที่อยู่ในห้อง
เสียงหัวใจที่เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะเพื่อรอการโต้ตอบของอีกฝ่ายช่างรุนแรงและปวดหนึนเจ็บไปทั้งอกซ้ายจนต้องยกมือขึ้นมาจับกุมไว้ไม่ให้หัวใจที่สั่นระรัวนั้นหลุดกระเด็นออกมาจากอก
ทว่าท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวจนเอเลนเริ่มรู้สึกอึดอัด
เด็กหนุ่มรู้สึกกดดันกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่จ้องสบกับดวงตาของตนเองโดยไม่ฉายแววอารมณ์หรือความหวั่นไหวใดใด
ไม่มีแม้กระทั่งความตกใจในสิ่งที่ตัวเขาได้พูดไป
จะว่าชายหนุ่มไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็คงไม่ใช่เพราะห้องเก็บของนั้นเงียบมากทีเดียวและระยะห่างระหว่างตัวเขาเองกับคุณรีไวก็ห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือถึงเท่านั้น
ความกังวลและความกดดันเริ่มรุมเร้าเด็กหนุ่มร่างโปร่งแต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจถอยหนี
ความมุทะลุคือนิสัยของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็จะขอเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คุณรีไว ผม”
ริมฝีปากบางเตรียมเอ่ยเพื่อย้ำคำพูดของตนให้ชายหนุ่มได้รับรู้อีกครั้ง
แต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ถ้าทุกอย่างครบแล้วก็ไปกัน”
รีไวเดินออกไปจากห้องโดยไม่หันกลับมามองเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
อกซ้ายบีบอย่างเจ็บแปลบ
ไม่มีคำปฏิเสธแต่ไร้ซึ่งการตอบรับใดใดจากชายหนุ่ม
เอเลนรู้สึกหัวสมองว่างเปล่าเหมือนมีหมอกสีขาวมาปกคลุมทำให้มองไม่เห็นสิ่งใด
จากปฏิกิริยาเมื่อสักครู่เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่ได้ยิน
แต่แสร้งทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นต่างหาก
เอเลนรู้สึกหัวสมองตื้อตันไปหมดจนไม่อาจรับรู้สิ่งต่างๆรอบข้าง
ไม่รู้แม้กระทั่งว่าชายหนุ่มออกจากร้านไปเมื่อใด? คุณเพทร่า แจน และอาร์มิน
กลับมากันตอนไหน? แม้กระทั่งแขกที่เข้ามาในร้านเขาก็ยังคงรับรายการอาหารและจัดแจงทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยตามสัญชาตญาณ
แต่เพื่อนที่รู้จักกันมานานอย่าง มิคาสะ แจน
และอาร์มินเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างบางที่พยายามฝืนทำตัวให้เป็นปกติอยู่ได้
ความสงสัยและเป็นห่วงที่เห็นท่าทีของเพื่อนตนเองเปลี่ยนไปทำให้แจนเดินไปหาเอเลนที่กำลังทำความสะอาดอยู่หลังร้าน
“เอเลน
แกไม่สบายรึเปล่าวะ?”
คำถามจากแจนทำให้เอเลนหลุดออกจากห้วงความคิดสีขาวที่ขุ่นมัวในหัวออกมาได้
ใบหน้ามนมองหน้าเด็กหนุ่มเพื่อนสนิทของตนที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วง
“แค่เหนื่อยน่ะแจน ขอโทษที่ทำให้ห่วง” เด็กหนุ่มพยายามส่งยิ้มให้กับเพื่อนสนิทเพื่อให้คลายกังวล
แม้จะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำหน้าแบบไหนอยู่ก็ตาม
เมื่อแจนเห็นคนตรงหน้าที่พยายามแสร้งว่าสบายดีอยู่นั่นก็ยิ่งอดรู้สึกหัวเสียด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
ทำไมไอเจ้าบ้านี่ไม่เคยเล่าหรือบอกอะไรเขาเลย นายจะรู้มั่งหรือเปล่าว่าตอนนี้นายกำลังทำหน้าแบบไหน
หน้าของนายที่เหมือนกับฝืนยิ้มแบบนั้นเห็นแล้วมันชวนหงุดหงิดจริงๆ
เด็กหนุ่มร่างสูงไม่รอช้าเดินกลับเข้ามาหาหญิงสาวเจ้าของร้านที่กำลังวุ่นกับการเตรียมวัตถุดิบสำหรับเหล่าลูกค้าที่จะมาในช่วงเย็น
เสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาอย่างร้อนรนทำให้เพทร่าละจากการกวนส่วนผสมในอ่างผสมหันมองตามต้นเสียง
“พี่เพทร่าขอโทษนะครับ
ผมขออนุญาตให้เอเลนกลับก่อนได้ไหม? ดูเหมือนมันจะไม่สบาย” คำขอของแจนทำให้เอเลนที่เดินตามเข้ามากำลังจะคัดค้าน
แต่ไหล่บางถูกมือของหญิงสาวเพื่อนสนิทอีกคนดึงไว้ก่อน เมื่อเอเลนหันไปมอง
มิคาสะส่ายศรีษะช้าๆไปมาเพื่อไม่ให้เอเลนเข้าไปขัดคำขอของแจน
ซึ่งเธอเองก็เห็นสมควรด้วย
“เอ๊ะ?
เอเลนไม่สบายเหรอจ๊ะ กลับก่อนเลยก็ได้นะ”
หญิงสาวมองมาที่เด็กหนุ่มใบหน้ามนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอกครับพี่เพทร่า
ผมสบายดีครับ” เอเลนพยายามส่งยิ้มทำตัวให้เป็นปกติ
และนั่นยิ่งทำให้แจนรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“หน้าตาแบบนั้นเนี่ยนะที่นายเรียกว่าไหวน่ะ!?” นัยน์ตาสีเปลือกไม้หันสบกับใบหน้ามนด้วยความหงุดหงิด
“แจน
นายคิดมากไปน่าฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย!” เอเลนเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับการคิดและตัดสินใจเอาเองของร่างสูง
“ฉันไม่อยากทะเลาะกับนายนะเอเลน
นายกลับไปพักซะ”
แจนพยายามข่มอารมณ์ของตนไม่ให้ขึ้นตามคนดื้อด้านที่ไม่ยอมฟังตรงหน้า
“หา?
อะไรคือนายไม่อยากทะเลาะวะแจน ฉันบอกไม่เป็นไรนายต่างหากที่ดื้อด้าน อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย!” น้ำเสียงที่เริ่มโวยวายของเอเลนทำให้แจนเริ่มหมดความอดทนจนมือแกร่งคว้าที่คอเสื้อของคนสูงน้อยกว่าอย่างเริ่มมีน้ำโห
“ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะวะว่าตอนนี้แกไม่ปกติไอบ้าเอ๊ย”
ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนของตนทำไปเพราะความเป็นห่วงแต่อารมณ์ขุ่นมัวที่กำลังเข้าเล่นงานทำให้เอเลนไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เช่นกัน
มือเรียวจึงคว้าคอเสื้อของคนสูงกว่าคืนเช่นกัน
“แล้วเพราะอะไรล่ะวะแจน!!” นัยน์ตาสีมรกตสบกับนัยน์ตาสีเปลือกไม้
นัยน์ตาของทั้งคู่ต่างฉายแววหงุดหงุดใส่กันและกัน
“นั่นก็เพราะ…!!”
กริ๊ง…
ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ตอบออกไปเสียงกระดิ่งประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน
ทำให้อารมณ์ที่กำลังขึ้นของเด็กหนุ่มทั้งสองลดลงมาบ้างเพื่อเตรียมต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาตามสัญชาตญาณ
“ฮัลโหลลลล
ทุกคนขอลาเต้เย็นสักแก้วสิจ้า!”
ฮันซี่เดินเข้ามาในร้านแล้วต้องหยุดชะงัก มือเรียวยกขึ้นเกาศรีษะประเมิณสถาณการณ์ที่เห็นอย่างไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มสองคนที่หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกำลังกระชากคอเสื้อกันให้ความรู้สึกเหมือนสุนัขสองตัวกำลังแง่งใส่กัน
เพทร่าที่กำลังหน้าตื่นตระหนกและทำตัวไม่ถูกกับเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังทะเลาะกัน
มิคาสะที่ถือไม้กวาดเตรียมพร้อมจะฟาดหัวหนึ่งในนั้นและคาดว่าคงไม่พ้นจะเป็นแจนที่จะโดน
อาร์มินที่พยายามทำท่าทางหาทางไกล่เกลี่ยทั้งคู่ ดูเหมือนว่าเธอจะมาถูกจังหวะสินะ
ยิ่งเพทร่าส่งสายตาเป็นประกายมองเธอมาด้วยความหวังอย่างนั้น “หืม
นี่ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?”
“ไม่ครับ คุณฮันซี่มาก็ดีแล้วครับถ้ายังไงผมขอฝากลากไอบ้านี่กลับบ้านหน่อยนะครับ”
แจนกระชากคอเสื้อของเอเลนส่งไปทางหญิงสาวสวมแว่นตา
ร่างบางถลาไปซุกกับบ่าของหญิงสาวที่เตรียมรอรับอยู่พอดี
“เฮ้ยแจน แก!!” ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เอ่ยปากมือเรียวของหญิงสาวซึ่งมีฐานะเป็นอาจารย์ด้วยแล้วหยิกแก้มของเด็กดื้อเสียก่อนจนเอเลนต้องอุทานร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“เอาน่าหนุ่มน้อยบ่ายนี้เราไปออกเดทกันสองคนดีกว่านะ
ระหว่างที่ฉันรอกาแฟนายก็ไปเปลี่ยนชุดซะเอเลน” เด็กหนุ่มไม่สามารถขัดคำสั่งของหญิงสาวได้
จึงได้แต่ทำหน้างออย่างไม่พอใจนัก แล้วเดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแต่งตัวสำหรับพนักงานหลังร้าน
“เฮ้อ
ขอบคุณนะคะคุณฮันซี่” เพทร่าถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทุกอย่างเริ่มกลับเป็นปกติ
“ขอโทษนะครับพี่เพทร่าและก็ขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับ”
แจนก้มหัวสำนึกผิดให้กับหญิงสาวทั้งสอง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
ว่าแต่พวกเธอสองคนทะเลากันทำไมน่ะ?” เท่าที่รู้จักเด็กกลุ่มนี้มาแม้แจนและเอเลนจะชอบกัดและทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง
แต่น้อยครั้งนักที่จะถึงขั้นลงไม้ลงมือกันรุนแรง
“เออ….” แจนพยายามจะหาทางอธิบาย แต่ก็คิดไม่ถูกว่าควรเริ่มจากตรงไหน
ตรงที่เขารู้สึกว่าเอเลนทำตัวแปลกๆหรือหงุดหงิดที่รายนั้นไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังบ้างเลยกันแน่?
สีหน้าลังเลของเด็กหนุ่มร่างสูงทำให้อาร์มินต้องช่วยอธิบายให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนฟังแทน
“คือแจนเขาเป็นห่วง เห็นว่าเอเลนดูเหมือนจะไม่สบายเลยอยากให้ไปพักผ่อนแต่รายนั้นกลับไม่ยอมฟังเลยมีปากเสียงกันน่ะครับ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเด็กหนุ่มผมทอง
หญิงสาวทั้งสองอดรู้สึกเห็นใจในความหวังดีของเด็กหนุ่มร่างสูงไม่ได้
ทั้งที่ทำไปเพราะเป็นห่วงแต่อีกคนกลับไม่เข้าใจเสียเลย
เมื่อเห็นว่าเอเลนเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
ฮันซี่จึงเข้าไปกอดคอเด็กหนุ่มพร้อมคว้าแก้วกาแฟลาเต้ที่สั่งไว้ ก่อนกล่าวลาทุกคนแล้วออกจากร้านไปพร้อมเด็กหนุ่มร่างโปร่ง
เมื่อทั้งสองเดินเข้ามายังลานจอดรถของสำนักงานที่อยู่ข้างกันกับร้านกาแฟเพทร่า
ฮันซี่เข้าไปถอยมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ฮาร์เล่ย์ เดวิดสัน รุ่นร็อกเกอร์
สีขาวออกมาพร้อมทั้งโยนหมวกกันน็อคสีขาวเช่นเดียวกับตัวรถให้กับเด็กหนุ่ม
“คุณฮันซี่ผมกลับเองก็ได้นะครับ”
เอเลนรู้สึกเกรงใจที่หญิงสาวซึ่งมีฐานะเป็นถึงอาจารย์จะต้องไปส่งตนเอง
“ใครว่าฉันจะไปส่งเธอล่ะ
เราจะไปเดทกันต่างหากล่ะ”
ฮันซี่คลี่ยิ้มกว้างพร้อมทั้งดึงเด็กหนุ่มให้ขึ้นมาซ้อนท้ายยังพาหานะของตน
ร่างโปร่งที่กำลังขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายต้องรีบคว้าเอวคนขับอย่างไม่ทันตั้งตัว
เมื่อฮันซี่บิดคันเร่งออกตัวพาหนะคู่ใจโดยไม่สนใจเด็กหนุ่มที่ยังไม่ทันได้นั่งที่ดี
แจนมองตามมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีขาวที่แล่นผ่านหน้าร้านไปจนลับตาแล้วต้องถอนหายใจ
ถ้าคุณฮันซ่ไม่เข้ามาได้จังหวะพอดีก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาและเอเลนจะเป็นอย่างไรกัน
เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าใสเข้าไปลูบศีรษะคนสูงกว่าอย่างเอ็นดู
แจนค่อยๆเอนตัวลงมาพิงลงบนบ่าเพื่อนตัวเล็กพลางถอนหายใจ
“โชคดีนะครับที่ไม่หลุดปากไปเพราะอารมณ์”
ทั้งที่เป็นความรู้สึกที่เก็บมานานและตั้งใจจะบอกถ้าต้องเผลอพลั้งเพราะอารมณ์ที่พาไปคงไม่ดีเสียเท่าไร
“นั่นน่ะสิ ดีแล้วล่ะ…….ขอบใจนะอาร์มิน” ดีแล้วที่คุณฮันซี่เข้ามา
ถ้าจะบอกคำคำนั้นกับนายฉันอยากให้ออกมาจากความตั้งใจจริงของฉันมากกว่านะ….เอเลน
มิคาสะเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มทั้งสองพลางวางแก้วนมเย็นให้กับเด็กหนุ่มร่างสูง
ปฏิกิริยาที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับจากเด็กสาวใบหน้าคมผมดำดุจราตรีทำให้แจนมองแก้วนมอย่างแปลกใจพลางมองสบกับใบหน้าสวยนั้นอย่างสงสัย
“ขอบใจแจน เพราะนายเอเลนถึงได้กลับมาร่าเริงได้บ้าง”
ถึงแม้จะทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน
แต่ปฏิกิริยาของเอเลนที่มีการตอบสนองตามอารมณ์และความรู้สึกยังดูดีกว่าที่ตอบสนองตามสัญชาตญาณแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณในตอนที่ออกมาจากห้องเก็บของ
ไม่รู้ว่าในห้องนั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณรีไวและเอเลน
สิ่งที่รับรู้ได้คือท่าทีของเด็กหนุ่มเพื่อนคนสำคัญที่แปลกไปจนทำให้เป็นห่วงและกังวล
ใบหน้าหล่อของเด็กหนุ่มมองเด็กสาวที่เดินจากไปแล้วต้องเกาแก้มแก้เขิน
เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เด็กสาวขอบคุณเขา
มันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจระคนดีใจไม่น้อยทีเดียวจนอาร์มินหลุดขำน้อยๆกับท่าทางของเพื่อนสนิทร่างสูงของตน
เอเลนจะรู้ตัวบ้างไหมว่าบางครั้งผมก็อิจฉาที่มีคนที่แสนดีเหล่านี้รักและห่วงใยอยู่เสมอ………..
.
.
.
.
สายลมของแม่น้ำที่พัดกระทบผิวหน้าช่างสดชื่นและเย็นสบาย
ยิ่งบรรยากาศร่มรื่นย์รายล้อมไปด้วยต้นไม้ในสวนสาธารณะที่ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมา
บรรยากาศเหล่านี้คงทำให้ปลอดโปร่งและเบาสบายไม่น้อยถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ตัวเขาจะต้องนั่งบนม้านั่งข้างริมน้ำในสวน
ความรู้สึกพะอีดพะอมเวียนหัวและคลื่นไส้ยังไม่หายตั้งแต่หลุดรอดลงมาจากการขับมอเตอร์ไซค์ที่เรียกได้ว่าผาดโผนจากหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้ยื่นน้ำผลไม้กระป๋องจากตู้กดอัตโนมัติมาให้
“โทษที
โทษที ฉันเห็นรีไวเคยไปส่งนายแล้วเลยคิดว่าน่าจะมีภูมิคุ้มกันเสียอีก”
อย่างรีไวเรียกได้ว่าขับรถได้เร็วจนน่ากลัวทีเดียวล่ะต่อให้จะทำตามกฏจราจรก็เถอะนะ
“เอ๋?
ม…ไม่นี่ครับ คุณรีไว
ขับปรกตินะครับ…..เฮ้อ”
เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายและเริ่มปรับสภาพให้กลับเป็นปกติ
ฮันซี่เลิกคิ้วฟังคำตอบเรื่องการขับรถของคนสูงน้อยอย่างแปลกใจ
ไม่คิดว่าคนขับรถไม่สนคนนั่งข้างอย่างรายนั้นจะยอมขับรถแบบนิ่มๆเป็นด้วย
ปากบอกว่าไม่เข้าใจคำว่าพิเศษแต่ที่นายทำทั้งหมดเขาเรียกว่าพิเศษล่ะนะ
จะเรียกว่าโง่หรือบ้าดีนะเนี่ย
“ว่าแต่นายเป็นอะไรเหรอเอเลน?
หรือต้องถามว่าใครทำอะไรนายงั้นเหรอ?”
ใบหน้ามนมองหน้าหญิงสาวแล้วต้องผลุบลงต่ำเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของชายหนุ่มที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่น
แค่คิดก็รู้สึกหน่วงไปทั้งอกข้างซ้าย
“ถ้าให้ฉันเดา……รีไวสินะ”
เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบสิ่งใด
แต่นัยน์ตาสีมรกตที่สั่นไหวกับชื่อที่เอ่ยออกมานั้นยิ่งทำให้ฮันซี่รู้ว่าเธอคงเดาไม่ผิดจริงๆ
หญิงสาวนั่งลงข้างเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม
นัยน์ตาสีเข้มเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ริมฝีปากบางของหญิงสาวค่อยๆเอ่ยถาม
“เอเลน…..เธอชอบรีไวงั้นเหรอ?”
“อ…เอ๊ะ!?” นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างตกใจ
เพราะไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจะถามตนเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปิดบัง “ค…ครับ”
“งั้นเหรอ”
ถึงแม้จะคาดเดาได้อยู่แล้ว การที่ได้ยินเด็กหนุ่มยืนยันยิ่งทำให้เธอแน่ใจยิ่งขึ้น
“ขอฉันถามหน่อยนะทำไมเธอถึงชอบรึไวล่ะ?
ถ้านับดูแล้วเธอเพิ่งเจอรีไวไม่นานยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ”
เอเลนก้มมองน้ำผลไม้กระป๋องในมือของตน
ควรจะอธิบายอย่างไรให้กับหญิงสาวฟังดี เพราะคนคนนั้นคือคนที่เขาเฝ้ารอคอยและตามหา
ถ้าจะให้พูดแล้วล่ะก๊…….
“คุณฮันซี่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตรึเปล่าครับ?”
คำตอบของเอเลนทำให้ฮันซี่มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ
ไม่คาดคิดว่าเด็กผู้ชายสมัยนี้จะยังคงคิดฝันเรื่องอะไรแบบนี้อยู่
แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย
“เธอจะบอกว่าเธอกับรีไวเคยเจอกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
เด็กหนุ่มยิ้มแห้งให้กับหญิงสาว
“มันฟังดูแปลกสินะครับที่ผู้ชายอย่างผมคิดแบบนี้”
ถึงไม่มีบันทึกเล่มนั้นช่วยผลักดันแต่เชื่อได้เลยว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาและคุณรีไว
จะต้องได้พบเจอกันอีกครั้งแน่นอน และเขาก็มั่นใจแล้วว่าต่อให้ไม่มีเรื่องของ เอเลน
เยเกอร์ ในอดีต ตัวเขาจะต้องตกหลุมรักผู้ชายคนนี้อีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะคงไม่มีใครอีกแล้วที่สามารถทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้พบเจอ อกซ้ายสั่นไหวและกระตุกเพียงได้ยินชื่อ
คอยเฝ้าและมองตามทุกครั้งอย่างไม่รู้ตัว จวบจนตอนนี้คนที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ได้ก็มีเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้น
“ไม่แปลกหรอกนะ
ในโลกนี้มีเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆมากมายที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ อย่างเช่นในอเมริกามีการทดลองจับแยกเด็กคู่แฝดจากกันโดยที่ทั้งคู่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นลูกแฝดจนกระทั่งเวลาผ่านไปโชคชะตาก็ผลักดันให้พวกเขามาพบเจอกัน
และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นทั้งที่พวกเธออยู่คนละซีกโลกแต่การดำเนินชีวิต ความถนัด
นิสัยส่วนตัว หรือแม้กระทั่งเรื่องของคนรัก พวกเธอยังเหมือนกันอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ
เพราะงั้นฉันก็คิดว่าจะต้องมีสายใยที่พวกเราต่างมองไม่เห็นถูกถักทอและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน”
ฮันซี่ยิ้มกว้างให้กับเด็กหนุ่ม
กงล้อแห่งโชคชะตาที่ขับเคลื่อนต่างพาผู้คนมากมายมาให้ได้รู้จักและพบเจอ
สายใยที่เชื่อมโยงที่มองไม่เห็นล้วนพากันสานสายสัมพันธ์ถักทอให้แน่นแฟ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายใยความผูกพันธ์ลึกซึ้งที่ต่างมีให้แก่กันข้ามผ่านห้วงของช่วงเวลา
สลักล้ำตราตรึงในจิตวิญญาณจนไม่อาจลบเลือนแม้จะผ่านมาแสนเนิ่นนานก็ตาม
“คุณฮันซี่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดรึเปล่าครับ?”
“ที่ว่าเราต่างเคยเจอและผูกพันกันมาก่อนในอดีตเลยทำให้มาเจอกันในปัจจุบันนี้รึเปล่า?”
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มให้กับหญิงสาวพลางพยักหน้ารับ
“ครับ
ผมกับคุณรีไวเรียกได้ว่าเป็นกรณีแบบนั้น…”
คำบอกเล่าของเอเลนทำให้ฮันซี่คิดถึงเรื่องความฝันของชายหนุ่มที่เคยเล่าให้เธอฟัง
บางทีสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิตอย่างที่เด็กหนุ่มกล่าวไว้คงจะมีจริง
เพราะไม่ว่าจะเป็นรีไว เอลวิน เพทร่า หรือแม้กระทั่งเอเลน ที่เธอต่างได้พบเจอ
ตั้งแต่ครั้งแรกกลับรู้สึกว่ารู้จักกันมาเนิ่นนาน
ความรู้สึกเหมือนกับได้พบเพื่อนสนิทที่ได้เจอกันหลังจากจากกันไปนาน
ความคิดถึงและโหยหา โชคชะตาเหล่านั้นคงผลักดันเรามาพบเจอกันอีกครั้งสินะ……
-Pi
po Pi po
Pi po-
เสียงไซเรนที่ดังขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งมองหาต้นเสียงแล้วก็พบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ว่าไงมิเกะ?
อะไรนะตอนนี้นายกลับมาจากสำนักงานที่ต่างประเทศแล้วงั้นเหรอ” หญิงสาวแสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจเมื่อรับสายจากปลายสาย
แต่แล้วสักพักก็ต้องตีสีหน้าเคร่งเครียดกับเนื้อหาที่ปลายสายต้องการความช่วยเหลือ
“ หา
แต่ฉันเพิ่งออกมาจากสำนักงานเองนะ เอ๊ะข้อมูลคดีนั้นน่ะเหรอ…… ก็ได้ฉันจะกลับไป”
ฮันซี่เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงของตนก่อนหันมาทางเด็กหนุ่มพลางยกมือขึ้นเป็นเชิงขอโทษที่คงไม่อาจไปส่งร่างโปร่งกลับบ้านได้เสียแล้ว
“งานด่วนเหรอครับคุณฮันซี่?”
เอเลนเอียงคอถามอย่างสงสัย จากบทสนทนาเมื่อสักครู่คาดว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว
“ใช่แล้วล่ะคดีใหญ่ที่มิเกะกำลังตามสีบกับหน่วยงานต่างชาติเลยทีเดียวนะ
เธอยังไม่เคยเจอมิเกะสินะ
เขาเป็นผู้ชายที่จมูกไวและเก่งมากๆเลยล่ะคราวหน้าคงได้เจอกัน”
หญิงสาวตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงคดีที่ชายหนุ่มมาให้เธอช่วยสืบค้น
“ครับ คุณฮันซี่รีบไปเถอะครับ”
ไม่อยากบอกเลยว่าต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่หญิงสาวไม่ได้ไปส่งตน
การที่ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ผาดโผนแบบนั้นอีกรอบแค่คิดก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว
เมื่อหญิงสาวจากไปทำภารกิจของตนพร้อมกับพาหนะคู่ใจก็ถึงเวลาที่เด็กหนุ่มเองก็ควรจะกลับบ้านของตนได้แล้วเช่นกัน
ครืนนน
ซ่า ซ่า
ซ่า….
สายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้เอเลนต้องรีบวิ่งฝ่าสายฝนไปหลบใต้หลังคาของร้านดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ฝนเปลี่ยนฤดูแบบนี้คิดจะตกก็ตกหรือไงนะ เด็กหนุ่มอดบ่นกับสภาพอากาศที่คาดเดายากเมื่อใกล้ช่วงเปลี่ยนฤดูมิได้
“นายมาทำอะไรตรงนี้น่ะ?”
น้ำเสียงที่หลงใหลทำให้เอเลนหันไปมองตามต้นเสียง และพบเจอกับชายหนุ่มร่างไม่สูงนักที่คุ้นตา
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายยังคงทำให้เอเลนรู้สึกหน่วงที่อกซ้ายตอนนี้เลยไม่กล้าที่จะสบตากับนัยน์ตาสีขี้เถ้านั้นตรงๆ
“คุณรีไวมาซื้อของเหรอครับ?”
เด็กหนุ่มพยายามฝีนทำตัวให้เป็นปกติแม้จะลำบากเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มก็ตาม
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มพร้อมกางร่มที่ตนพกมาโดยให้อีกคนได้อาศัยอยู่ในร่มด้วยกัน
“ตามมาคอนโดฉันอยู่ใกล้ๆนี้
กว่านายจะถึงบ้านจะเป็นหวัดซะก่อน”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของชายหนุ่มนัก
แต่เอเลนก็เดินตามชายร่างเล็กแต่แข็งแกร่งไปแต่โดยดี
คอนโดชั้นบนท่ามกลางตัวเมือง
ห้องสีขาวสะอาดตาตามแบบคนรักความสะอาด เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแม้จะผ่านการใช้งานมาแล้วแต่ก็ยังคงความใหม่และสะอาดอย่างเหลือเชื่อ
บ่งบอกถึงความเป็นระเบียบและรักความสะอาดของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
เอเลนมองสำรวจสิ่งของต่างๆภายในห้องและต้องสะดุดกับกรอบรูปสีน้ำตาลที่วางไว้บนชั้นหนังสือ
รูปถ่ายของคุณรีไวที่กำลังอุ้มเจ้าน้องหมาพันธุ์ปอมเปอเรเนียน
สีหน้าของคุณรีไวที่ถ่ายรูปนั้นยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนเจ้าน้องหมาเอเลนที่ชายหนุ่มพูดถึงนั้นในรูปก็เห็นได้ชัดเจนถึงความเอาใจใส่ของผู้เป็นเจ้าของเพราะขนที่ดูเรียบร้อยและเงางามรวมทั้งท่าทางที่สดใสร่างเริงนั้นยืนยันได้ว่าต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นเข้าของมากทีเดียว
ขณะที่กำลังสำรวจห้องไปรอบๆนั้นมือแกร่งคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มลากไปยังห้องเล็กที่อยู่ถัดจากตู้หนังสือไม่ไกลนัก
เด็กหนุ่มถูกจับโยนเข้าห้องน้ำเพื่อชำระและทำร่างกายให้อุ่นขึ้นจากการเปียกฝน
หลังอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งดีแล้วเด็กหนุ่มจึงนำเสื้อผ้าที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้มาสวมใส่
เสื้อยืดแขนยาวสีขาวที่ดูเหมือนจะหลวมไปเสียหน่อยเมื่อเทียบกับความหนาของร่างกายของชายหนุ่มที่อุดมไปด้วยมัดกล้าม
แต่สำหรับกางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้มนั้นดูเหมือนจะพอดีกับความสูงของเด็กหนุ่ม
จนเอเลนแอบขำความคิดของตนที่จิตนาการภาพเจ้าของกางเกงนี้สวมใส่มัน
ปลายขาของกางเกงคงกองรวมอยู่ที่ข้อเท้ามากทีเดียว
เมื่อเอเลนออกมาจากห้องน้ำชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมอย่างหงุดหงิดจนเด็กหนุ่มแอบสะดุ้งกับสายตาขุ่นเคืองที่จ้องมองมา
นี่ตัวเขาทำอะไรผิด หรือว่าที่แอบคิดเรื่องความยาวของขากางเกงคุณรีไวจะแอบรู้ทัน!!
มือแกร่งคว้าที่ผ้าขนหนูที่พาดคอเด็กหนุ่มแล้วตวัดขึ้นขยี้ลงบนผมสีนี้ตาลเข้มนั้น
“ทำไมไม่เช็ดหัวให้ดีดี
น้ำมันหยดลงพื้นเห็นไหม?”
เอเลนแอบขำกับนิสัยรักความสะอาดของคนตรงหน้า
ไม่ว่าเมื่อไรเรื่องนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยสำหรับคนคนนี้
ด้วยส่วนสูงที่แตกต่างทำให้รีไวหงุดหงิดกับการที่ตนไม่สามารถจัดการเช็ดหัวสีน้ำตาลของคนตรงหน้าได้ถนัด
มือแกร่งจึงคว้าข้อมือบางของเด็กหนุ่มให้นั่งลงกับพื้นหน้าโซฟาสีแดงกลางห้อง
และตัวเขานั่งบนโซฟาหลังเด็กหนุ่มพร้อมทั้งลงมือขยี้ผมและเช็ดผมสีน้ำตาลที่เปียกชื้นจนแห้ง
สัมผัสคุ้นเคยและใฝ่หาทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายและผ่อนคลาย
ใบหน้ามนเงยหน้าสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าพลางยิ้มบางให้กับใบหน้าเฉยชานั่น
การกระทำของเด็กหนุ่มทำให้รีไวเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างสงสัย
.
.
“ผมชอบคุณนะครับ
คุณรีไว” เอเลนตัดสินใจย้ำอีกครั้ง
ไม่ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไรก็อยากที่จะให้คนคนนี้ได้รับรู้
ใบหน้าคมนั้นยังคงนิ่งเฉย
จนเด็กหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มแห้งให้อีกฝ่ายถึงกระนั่นก็ยังเอ่ยเพื่อย้ำความรู้สึกของตนให้คนฟังได้รับรู้
“ผมชอบคุณจริงๆนะครับ”
“ฉันรู้แล้ว”
นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง
ไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะตอบสิ่งใดกลับ
นึกว่าจะทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทำให้อกซ้ายของเอเลนเต้นระรัวอีกครั้ง
“แล้วคุณ…..!!”
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เอ่ยคำใดต่อไป
ผ้าขนหนูที่เช็ดผมตนเองอยุ่นั้นถูกเลื่อนมาคลุมใบหน้าของตนพร้อมมือแกร่งที่ผลักศีรษะของตนเองออกมาจนหน้าของเด็กหนุ่มแทบคว่ำลงกับพรมสีครีมของพื้นห้อง
“เสร็จแล้วไอหนู
เดี๋ยวฉันไปส่งแกที่บ้าน”
เอเลนคว้าชายเสื้อของชายหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นจากโซฟา
นัยน์ตาสีมรกตฉายแววสั่นไหวจับจ้องใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้า
“คุณรีไว ผมชอบคุณ ได้โปรดเชื่อผมเถอะครับ”
“…………นายบอกชอบคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือนแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง?”
“ม…ไม่ใช่นะครับ มีคุณเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้”
นัยน์ตาสีมรกตหลุบต่ำพยายามซ่อนความรู้สึกหวั่นไหวที่กำลังก่อตัว
“นายไม่คิดว่ามันเร็วไปหรือไง?”
ไม่เร็วไปหรอกครับผมรอคุณมาตั้งนานแล้ว
คำถามจากชายหนุ่มทำให้เอเลนแอบอยากเถียงออกไปแต่ก็ต้องเก็บกลืนคำพูดเอาไว้
“มันอาจจะเร็วไปในสายตาคุณหรือคนอื่นๆ
แต่สำหรับผมแล้วมันคือโชคชะตา”
นัยน์ตาสีมรกตเหลือบเงยมองใบหน้าคมที่กำลังก้มมองลงมาอย่างนิ่งเฉย ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้า
นัยน์ตาสีมรกตสั่นไหวอย่างเว้าวอน
“ต้องเป็นคุณเท่านั้นครับ
คุณรีไว”
ชายหนุ่มถอนหายใจกับความดื้อรั้นของคนตรงหน้า
“บอกตามตรง ฉันไม่ไว้ใจแก
ความรู้สึกของแกมันอาจเป็นเพียงอารมณ์ความหลงใหลชั่ววูบเท่านั้น”
เหมือนกับคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามา
ล้วนแค่หลงใหลไปกับรูปลักษณ์และสิ่งที่เขามีเท่านั้น
คำว่าไม่ไว้ใจของชายหนุ่มทำให้เอเลนรู้สึกปวดหนึบไปทั้งอกซ้าย
ถึงกระนั้นก็ยังขอเดินหน้าเพื่อพิสูจน์ความตั้งใจจริงของตน
“คุณยังไม่จำเป็นต้องตอบหรือเชื่อใจผมก็ได้ครับคุณรีไว
แต่ขอเพียงแค่ให้ผมได้อยู่ข้างๆคุณจะได้ไหมครับ?”
ความดื้อดึง
ดื้อรั้นและความมุทะลุของเด็กหนุ่มทำให้รีไวรู้สึกสนใจในตัวคนตรงหน้ามากขึ้น
“…ตามใจแก…ไอหนู”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้เอเลนตื่นเต้นและดีใจจนโผเข้ากอดสะโพกคนที่อยู่ตรงหน้า
ใบหน้ามนยิ้มจนแก้มปริซุกลงกับต้นขาของที่ยืนอยู่
“ขอบคุณครับ คุณรีไว!!”
มือแกร่งขยี้ลงบนผมสีน้ำตาลอย่างคุ้นชิน
ตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าไอเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ช่างเหมือนกับสุนัขตัวโตต่างจากเจ้าปอมเปอเรเนียนที่เขาเคยเลี้ยงไว้
แต่ท่าทางเวลาดีใจของเด็กหนุ่มทำให้รู้สึกเหมือนเห็นหูและหางกระดิกกำลังกระดิกเลยทีเดียว
ครืนนน
แรงสั่นขอโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะรับแขกทำให้มือแกร่งหันไปรับสายและสนทนากับผู้ที่ติดต่อเข้ามา
เมื่อวางสายสนทนามือแกร่งจึงโยนกุญแจห้องให้กับเด็กหนุ่ม
“ฉันคงไปส่งนายไม่ได้แล้ว
ถ้าฝนหยุดตกนายค่อยกลับก็ได้ แล้วอย่ากลับดึกนักล่ะถึงบ้านแล้วโทรรายงานฉันด้วย”
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตน
ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นและฝนยังคงโหมตกกระหน่ำ
จะให้เด็กหนุ่มรออยู่ที่นี้จนฝนหยุดตกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“คุณรีไว แต่ผมยังไม่มีเบอร์ของคุณเลยครับ”
เด็กหนุ่มรีบทักท้วงก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกจากห้อง
“บอกเบอร์นายมา”
“เบอร์ผม 0XX-XXX-XXXX” หลังจากเอเลนบอกเบอร์โทรศัพท์ของตนไป
เสียงเพลงเรียกเข้าของอนิเมชั่นยอดนิยมก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนโทรเข้ามา
และคนที่โทรเข้านั้นแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใคร
“ทีนี้นายก็มีเบอร์ของฉันแล้ว
อย่าลืมโทรมารายงานด้วยล่ะไอหนู”
“ครับ!!” เด็กหนุ่มมองเบอร์โทรที่โทรเข้ามาตาเป็นประกาย
ในที่สุดเขาก็มีเบอร์ไว้ติดต่อคุณรีไว
“ก่อนนายไปฉันฝากเอาเจ้านั่นไปไว้ที่ระเบียงด้วย”
รีไวชี้ไปยังถุงกระดาษสีน้ำตาลที่เขาซื้อมาจากร้านดอกไม้ก่อนออกไปจากห้องคอนโดของตน
เด็กหนุ่มถือถุงกระดาษเดินไปทางระเบียง
มือบางเปิดม่านสีน้ำเงินกรมท่าก่อนเลื่อนจับประตูกระจก
ใบหน้ามนก้มมองสิ่งของที่อยู่ในถุงกระดาษ
นัยน์ตาสีมรกตพลันเบิกกว้างกับสิ่งที่อยู่ภายใน
ต้นอ่อนที่เริ่มมีดอกตูมน้อยๆของเจ้าดอกไม้กลีบสีฟ้า ดอกไม้สุดท้ายที่อยู่ในห้วงของความทรงจำที่ตัวเขาในอดีตเป็นคนมอบให้
เมื่อได้มองที่ระเบียงกระถางสีขาวมากมายต่างวางเรียงรายไว้อย่างเป็นระเบียบ ทุกกระถางล้วนมีดอกไม้ชนิดเดียวกัน ดอกไม้เล็กๆสีฟ้าที่มีเกสรสีเหลืองสดอยู่ตรงกลาง
ดอกฟอร์เกทมีน็อท ราวกับตอกย้ำให้คิดถึงบุคคลแสนสำคัญ หยาดน้ำใสไหลลงอาบแก้ม
อกซ้ายรู้สึกอุ่นวาบอย่างตื้นตัน
สองเรียวแขนโอบกอดกระถางเล็กในมือพลางแนบแก้มใสลงอย่างแผ่วเบา
แม้ไม่อาจจำเรื่องราวที่ผ่านมา
แต่ส่วนลึกในจิตวิญญาณยังคงร่ำหาความรู้สึกและความทรงจำที่สลักฝังแน่นอย่างไม่รู้ตัว
เป็นการตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์ที่ลึกล่ำอยู่เหนือกาลเวลา
……ได้โปรดอย่าลืม………ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร…..ได้โปรดอย่าลืมผม
อย่าลืมความรู้สึกนี้……มันจะเป็นนิรันดร์ฝังลึกในจิตวิญญาณของผมกับคุณตลอดไป……
TBC.
-0- ไอ้เด็กนี่มันใจกล้าจริงๆ
ตอบลบถ้าเราเป็นรีไวในตอนนั้นคงคิดแบบนี้แน่ค่ะ
บอกย้ำอย่างไม่หวั่นไหว ได้สุดยอดมากเลย
เอเลนมานี่มาม๊ะ ขอหอมสักฟอด //>w<//
รู้สึกไหมว่าเม้นท์มันชักจะน้อยลงเรื่อยๆ 555
ถึงจะน้อยลงเเต่ขอขอบคุณที่เม้นนะคะ กอด~ มามะคนเขียนจะหอมเเทนเอเลน /โดนถีบ!
ตอบลบจะบอกว่าไงดี สมกับเป็นเอเลนงั้นหรือยังไง คือใจกล้ามากกกกก มุทะลุอะไรขนาดนั้น เข้าข่ายด้านได้อายอดจริงๆ 5555555 เอ็นดู
ตอบลบ