วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 15



Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 15
ห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าสุดแกร่งแห่งกองปราบปรามตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องประชุมขนาดย่อมเพื่อหารือกันในคดีลับองค์กรค้ายารายใหญ่ที่มิเกะได้ตรวจสอบแล้วเรียกประชุมอย่างเร่งด่วนเพื่อวางแผนการร่วมกับผู้บังคับบัญชาเอลวิน ด้วยเป็นภารกิจภายในจึงทำให้ตอนนี้ในห้องจึงมีแค่คนที่สนิทและไว้วางใจที่ร่วมงานกันมานานเท่านั้น
“จากแหล่งข่าวที่ได้มาตอนนี้อีกไม่นานพวกนั้นจะมีการลอบขนสินค้ากันที่ท่าเรือวันและเวลาจะต้องรอสายลับที่ส่งเข้าไปยืนยันอีกที” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมสีอ่อนแสกกลางไว้หนวดเคราส่งรูปถ่ายและเอกสารยื่นให้กับผู้เข้าร่วมประชุม
“ถ้าแผนคราวนี้ไปได้สวยเท่ากับว่าเราก็จะจัดการตัวเป้งได้เลยสินะ ฮี่ ฮี่” ฮันซี่ขยับแว่นตาพลางมองข้อมูลที่อยู่ในมืออย่างตื่นเต้น
“อย่างที่ฮันซี่พูด ถ้าเราสามารถจัดการรวบตัวคนร้ายรวมทั้งของทั้งหมดได้เจ้าพวกนั้นก็จะไม่สามารถดิ้นหลุด ถ้ายังไงฉันอยากให้นายคอยเตรียมพร้อมกับสถาณการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยนะรีไว” ฝ่ามือใหญ๋วางลงบนบ่าแกร่งของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้วางใจ
“อืม ฉันจะสั่งพวกนั้นให้เตรียมการไว้ละกัน”
เมื่อทั้งสี่คนสรุปข้อมูลและแจกแจงเอกสารของแต่ละคนเรียบร้อย การประชุมที่เร่งด่วนก็สิ้นสุดลง นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองนาฬิกาบนข้อมือซ้ายของตนซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 23.29  ดึกป่านนี้แล้วเจ้าเด็กนั้นคงกลับบ้านของตัวเองเรียบร้อยแล้วสินะ มือแกร่งหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตนขึ้นมาไม่พบข้อความหรือสายไม่ได้รับเลยสักสายทั้งที่บอกว่าเมื่อกลับบ้านเรียบร้อยแล้วให้โทรมาแต่นี่กลับไม่ยอมโทรหรือส่งข้อความให้เขารู้เลยสักนิด ทั้งที่เจ้าเด็กนั่นเป็นคนบอกชอบเขาเองแท้ๆแต่กลับไม่ใส่ใจแม้เป็นเรื่องง่ายๆแบบนี้เห็นทีคงจะเป็นเพียงแค่ลมปาก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคำพูดของเด็กไม่น่าเชื่อถือถึงกระนั่นก็อดรู้สึกที่จะหงุดหงิดไม่ได้
“รอโทรศัพท์จากใครอยู่เหรอจ๊ะ?” ฮันซี่กระโดดเข้ามากอดคอพร้อมส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับชายหนุ่มที่สูงน้อยกว่า
“เปล่า”
 คำตอบสั้นๆที่เหมือนไม่ใส่ใจทำให้หญิงสาวรู้สึกขำก็ในเมื่อตลอดระยะเวลาการประชุมชายหนุ่มตรงหน้าเอาแต่จ้องนาฬิกาข้อมือเหมือนกับนัดใครเอาไว้ ทั้งที่ปกติแล้วคนเคร่งกฏอย่างหัวหน้ารีไวไม่เคยให้เรื่องอื่นมาก่อนงานที่รับผิดชอบตรงหน้า
“ไม่รู้ว่าเด็กน้อยของฉันที่โดนผู้ใหญ่รังแกป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ คิดแล้วก็สงสารจริงๆ” มือเรียวของหญิงสาวแกล้งยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าแสดงความรู้สึกเห็นใจในตัวศิษย์รัก
“ป่านนี้เจ้าเด็กนั่นคงกำลังออกไปเที่ยวเล่นหรือจีบสาวตามประสาเด็ก” คำพูดที่ดูเหมือนถากถางทำให้ฮันซี่ยิ้มกว้างออกมา
“หืม นายพูดเหมือนใส่ใจว่าเด็กนั่นจะไปชอบใครงั้นแหละ”
โป๊ก!
“โอ๊ย!
แฟ้มเอกสารข้อมูลเล่มหนาเขกลงบนหัวของหญิงสาวที่มัดกันยุ่งเหยิง จนฮันซี่ยกมือขึ้นมากุมศีรษะของตนเอง ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งเดินออกจากห้องทำงานของตนเองโดยไม่สนใจถึงเสียงบ่นที่อยู่ด้านหลัง


ประตูสีไม้เปิดออกพร้อมการกลับมาของเจ้าของห้อง มือแกร่งกดเปิดสวิตไฟเพื่อให้ห้องที่มืดมิดสว่างขึ้น เมื่อทั้งห้องสว่างด้วยแสงจากหลอดไฟนีออนร่างบางที่หลับอยู่บนโซฟาจึงรู้สึกตัวแล้วขยับหน้าหนีหลบแสงไฟที่แยงเข้ามาในเปลือกตา
ใบหน้าคมมองภาพเด็กหนุ่มตัวดีที่อยู่เบื้องหน้าอารมณ์หงุดหงิดที่มีก่อนหน้าก็พลันหายไปเมื่อมองใบหน้ามนของเด็กหนุ่มที่หลับตาพริ้มอยู่บนโซฟา ที่เจ้าเด็กบ้านี้ไม่โทรรายงานหรือส่งข้อความมาบอกเขาเพราะเจ้าตัวดียังคงนอนหลับอยู่ที่คอนโดไม่ไปไหนงั้นสิ ชายหนุ่มวางเอกสารลงบนโต๊ะรับแขกข้างโซฟามือแกร่งลูบไล้ผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
“อืม….คุณรีไว” เมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่สัมผัสลงมา ใบหน้ามนของคนนอนหลับไม่รู้เรื่องยิ่งเบียดซุกลงบนฝ่ามือแกร่งนั้นพร้อมทั้งยิ้มอย่างเป็นสุข
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องการกระทำของอีกคนพลางริมฝีปากบางยิ้มตามเด็กหนุ่มที่ยังคงนอนหลับ แม้จะไม่ไว้ใจและไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้มาบอกชอบตนทั้งทีเจอกันเพียงไม่นาน ถึงกระนั้นตัวเขาก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่าตั้งแต่เห็นเจ้าเด็กนี่ครั้งแรกก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยและโหยหาแบบแปลกๆ อีกทั้งเรือนผมสีน้ำตาลก็ช่างคล้ายกับเด็กหนุ่มในความฝันที่เห็นอยู่หลายครั้งแม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ต่อให้เอเลนคือเด็กหนุ่มในความฝันคนนั้นจริงก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะยินดีหรือตอบรับความรู้สึกนั้น เพราะความฝันก็คือความฝัน เจ้าเด็กหนุ่มหัวรั้นที่นอนหลับตรงหน้านี่ต่างหากที่คือของจริง ใบหน้าคมชะงักเหมือนคิดบางสิ่งออก มือแกร่งเคลื่อนจับใบหน้าของเอเลนที่ยังคงหลับลึกและ

เจ็บๆ คุณรีไวหยิกผมทำไมครับ!!?” มือบางยกขึ้นจับแก้มทั้งสองข้างของตนเองที่โดนชายหนุ่มหยิกอย่างแรงจนต้องสะดุ้งตื่น
“ตื่นได้สักทีนะเอเลน นายรู้ไหมนี่มันกี่โมงแล้ว?”
คำถามจากชายหนุ่มทำให้ร่างบางเหลือบขึ้นไปมองเวลาบนนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังด้านข้าง เมื่อเห็ว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไรนัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจทันที
“ทเที่ยงคืน แย่แน่ๆมิคาสะ และคุณแม่ต้องว่าแน่ๆเลย!!” เอเลนรีบคว้าหาโทรศัพท์ของตนขึ้นมาแล้วใบหน้ามนต้องซีดลงกว่าเก่าเมื่อพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับถึง 89 สาย 65 สายเป็นของมิคาสะ 4 สายของแม่ของเขา และอีก 20 สายที่เหลือเป็นของเหล่าบรรดาเพื่อนๆที่กระหน่ำโทรกันเข้ามา ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมข้อความในโปรแกรมสนทนาที่ทุกคนต่างกระหน่ำส่งเข้ามากว่าร้อยข้อความ
ร่างบางรีบกดโทรออกไปหาเพื่อนสาวคนสนิทที่กระหน่ำโทรจนสายแทบไหม้ ยังไม่ทันที่เสียงสัญญาณรอสายจะดังเสียงของหญิงสาวก็แทรกขึ้นทันที
เธออยู่ไหนน่ะเอเลน? ฉันโทรไปหาคุณฮันซี่ตั้งหลายสายแต่เธอก็ไม่รับสายฉันเลยเสียงเด็กสาวร้อนรนทันที่ที่รับสาย
ขอโทษนะมิคาสะ พอดีฉันมาหลบฝนที่ห้องคุณรีไวแล้วเผลอหลับไปน่ะ ใบหน้ามนยิ้มเฝื่อนกับสายโทรศัพท์
นายโอเครึเปล่า? เสียงของหญิงสาวพลันอ่อนลงเมื่อได้ยินว่าอีกคนนั้นปลอดภัยดี
ฉันไม่เป็นไรมิคาสะ เดี๋ยวฉันจะรีบ….’ ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคโทรศัพท์ในมือก็ถูกแย่งไปทันที เอเลนมองตามโทรศัพท์ที่โดนแย่งไปอย่างมึนงง คุณรีไวจะทำอะไร?
โฮ่ย เธอชื่อมิคาสะสินะถ้าไงฝากบอกแม่เจ้าเด็กนี้ด้วยว่าพรุ่งนี้ฉันจะพาไปส่งที่ร้านเพทรา ไม่ต้องห่วง ประโยคที่เหมือนจะเป็นการขออนุญาต? ทำให้เอเลนยิ่งมองชายหนุ่มอย่างสงสัย
‘………….ฉันจะบอกคุณแม่ของเอเลนให้ค่ะถ้าไม่ใช่เห็นแก่ความสุขของเอเลนที่เธอคอยเฝ้ามองมาตลอดนับตั้งแต่อดีตกาล เธอคงไม่เปิดโอกาสให้กับชายหนุ่มร่างเตี้ยที่แก่กว่ามากขนาดนี้หรอก
ตกลงตามนี้รีไวยื่นโทรศัพท์ส่งคืนให้กับร่างโปร่งก่อนที่จะเดินหายเข้าไปยังห้องอาบน้ำ
เอเลนรับโทรศัพท์เพื่อคุยต่อกับมิคาสะ
ไอเตี้ยนั่นไม่ว่าเมื่อไรก็กวนโมโหชะมัดหลายครั้งที่อดสงสัยไม่ได้ว่าคนแบบนั้นมีอะไรดีนัก
แหะๆ เอาน่ามิคาสะ
เอเลนนายแน่ใจกับความรู้สึกตัวเองตอนนี้แล้วใช่ไหม? แม้จะรู้ดีว่าแท้จริงแล้วทั้งสองคนผูกพันธ์กันมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต แล้วปัจจุบันความรู้สึกที่แท้จริงของทั้งสองยังคงเป็นเฉกเช่นเดิมหรือไม่ก็ยากที่จะคาดเดา
ฉันแน่ใจแล้วล่ะมิคาสะ ต่อให้ไม่มีเรื่องในอดีตฉันก็มั่นใจว่ายังไงความรู้สึกนี้คงเกิดขึ้นกับคนคนเดิมอีกครั้งแน่นอนไม่ว่าเมื่อไรหรือจะผ่านไปนานขนาดไหนหรือจะไร้ซึ่งความทรงจำในบรรพกาลแต่สุดท้ายแล้วคนที่หัวใจได้เลือกแล้วก็ยังคงเป็นคนนี้คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ได้ยินอย่างนั้นฉันก็สบายใจ พยายามเข้านะเอเลน เมื่อมิคาสะวางสายจากเอเลนเธอจึงรีบโทรรายงานคลาร่ามารดาของเด็กหนุ่มเพื่อให้คลายกังวล รวมทั้งโทรบอกบรรดาเพื่อนคนอื่นๆที่เธอวานให้ช่วยกันโทรหาเอเลน โดยเฉพาะคนที่ดูเหมือนจะเป็นกังวลมากที่สุด แจน กิลชูไตน์
เอเลนมันไม่ได้คิดสั้นใช่ไหม? ปลอดภัยดีสินะ!!!!’ เสียงตะโกนอย่างร้อนรนด้วยความเป็นห่วงทำให้เด็กสาวต้องหันโทรศัพท์ออกจากตัวด้วยความหนวกหู
แจนนายเลิกส่งเสียเป็นม้าตกมันสักที เอเลนปลอดภัยดีไม่ต้องห่วง
แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหนน่ะแล้วทำไมไม่กลับบ้าน?
แจนนายฟังฉันดีๆนะ มิคาสะถอนหายใจยาวก่อนจะสนทนากับปลายสายอีกครั้ง ตอนนี้เอเลนอยู่คอนโดคุณรีไว พรุ่งนี้เขาจะไปส่งเอเลนที่ร้านตอนเช้า ทันที่ที่พูดจบเด็กสาวกดวางสายทันทีด้วยเกรงว่าเสียงที่จะตามมาจะทำให้ลำโพงโทรศัพท์ของเธอแตกเสียก่อน

“อะไรน๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เป็นจริงดังคาดเมื่อตอนนี้คนที่ต้องรองรับเสียร้องโหยหวนด้วยความตกใจคืออาร์มินและมาร์โกที่แจนรีบเร่งมาหาหลังจากได้รับความจากมิคาสะว่าติดต่อร่างบางไม่ได้แล้วเกรงว่าเอเลนจะคิดสั้นบ้าบิ่นเลยทำให้เขาวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพ่วงที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ
แจนเข้าไปเขย่าไหล่อาร์มินอย่างสติแตก จนเด็กหนุ่มตัวเล็กได้แต่ส่ายไปมาตามแรงเหวี่ยงอย่างมีนงง
“อาร์มินนนนน ทำไมเอเลนไปอยู่กับไอเตี้ยนั่นได้วะ!!!! ทำไมวะ ทำม๊ายยยยย?”
มาร์โกที่อยู่ในเหตุการณ์เข้ามาจับไหล่ของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเพื่อเรียกสติเมื่อเห็นว่าตอนนี้อาร์มินหน้าเริ่มซีดด้วยความมึนจากแรงเหวี่ยง
“ใจเย็นก่อนนะครับแจน”
“นี่ฉันก็พยายามใจเย็นอยู่!!” ใจเย็นพอที่จะไม่วิ่งออกไปตามหาคอนโดของเจ้าเตี้ยนั่นแล้วลากเอเลนออกมา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าไอคอนโดบ้านั่นอยู่ที่ไหนก็เถอะ
“เออ อย่างที่มิคาสะบอกน่ะครับว่าเอเลนติดฝนเลยทำให้ต้องไปหลบที่คอนโดคุณรีไวนะครับแจน” อาร์มินที่เริ่มหายมึนช่วยพูดสมทบ
“แต่ฝนมันหยุดตกตั้งแต่หัวค่ำแล้วนะโว๊ย หมอนั่นมันก็ควรเอาเอเลนส่งกลับบ้านสิวะ โคแก่กินหญ้าอ่อนเอ๊ย!!!” ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากออกไปค้นตัวร่างบางที่กำลังจะเป็นเหยื่อให้วัวเตี้ยได้เคี้ยวเล่น
“เอเลนเขาคงมีเหตุจำเป็นเลยทำให้ไม่ได้ติดต่อกลับมามั่งครับ” มาร์โกพยายามหาทางช่วยให้คนตรงหน้าสงบสติอารมณ์แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้แจนยิ่งสติแตกมากขึ้น
“เหตุจำเป็นอะไรที่ทำให้เอเลนมันไม่ยอมรับโทรศัพท์แถมเสียเวลาอยู่ที่คอนโดนั่นตั้งนาน หรือว่า….” เหตุผลที่ถึงขนาดทำให้ลืมเวลาและไม่ยอมรับโทรศัพท์ยิ่งคิดก็ยิ่งได้แค่คำตอบเดียวเท่านั้นว่าร่างบางของเพื่อนสนิทผู้ไร้ประสบการณ์เรื่องใต้สะดือจะโดนทำอะไรต่อมิอะไรไปแล้วบ้าง
“อย่าห้ามฉันนะเว๊ยอาร์มิน มาร์โก ฉันจะไปช่วยเอเลน!!!” เด็กหนุ่มทั้งคู่รีบกระโดดคว้ากอดเอวและขาของร่างสูงที่อยู่ๆก็ลุกขึ้นวิ่งไปทางประตูห้อง
“แล้วรู้เหรอครับว่าเอเลนอยู่ไหนน่ะ!!?” มาร์โก้ที่กอดเอวรั้งเอาไว้พยายามเรียกสติคนสติแตก
“ฉันจะให้ออกตามหา ยังไงฉันต้องช่วยหมอนั่นจากปีศาจเตี้ยให้ได้!!
โป๊ก!!
อาร์มินที่เริ่มหมดความอดทนกับร่างสูงตรงหน้าจึงดึงขายาวที่กำลังกอดยื้อหยุดนั้นอย่างแรง ทำให้แจนที่ไม่ทันระวังตัวหน้าคว่ำ หัวฟาดลงกับพื้นอย่างแรง มาร์โกและแจนหันไปมองเด็กหนุ่มตัวเล็กอย่างหวาดๆ
“พูดไม่รู้เรื่องเหรอไงครับ ออกไปตอนนี้มีแต่วุ่นวายเปล่า มิคาสะก็บอกแล้วว่าเอเลนปลอดภัยดีแค่นี้คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ?” นัยน์ตาสีน้ำทะเลเหยียดมองลงมายังชายหนุ่มร่างสูงที่หันมามองอย่างหวาดๆ
“ข….เข้าใจแล้วครับ” แจนพยักหน้ารัวเมื่อเห็นว่าตอนนี้คนตรงหน้าเริ่มแผ่รังสีอันตรายที่นานๆครั้งจะเจอสักทีและแน่นอนว่าอาร์มินในโหมดนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวและเป็นที่รู้กันในกลุ่มเป็นอย่างดีว่าการทำตัวว่าง่ายและเชื่อฟังอาร์มิตตอนนี้เป็นหนทางที่ฉลาดที่สุดในการเอาตัวรอด
“ในเมื่อเข้าใจแล้วเราก็ควรกลับไปพักกันได้แล้วนะครับ และเพื่อเป็นการไม่เสียเวลาที่คุณไม่ต้องขับรถกลับบ้านและต้องขับไปร้านพี่เพทร่าพรุ่งนี้ วันนี้คุณค้างที่ห้องของผมแล้วกันนะครับแจน” อาร์มินดึงคอเสื้อของคนตัวสูงกว่าเข้าไปยังห้องของตนเองที่อยู่ถัดไปจากห้องในหอพักเดียวกันกับของมาร์โกเพียง 3 ห้องเท่านั้น
ชายหนุ่มตกกระปิดประตูพลางถอนหายใจที่เรื่องวุ่นวายในค่ำคืนนี้ได้จบลงเสียที แล้วได้แต่ภาวนาในใจว่าเอเลนจะไม่หวั่นไหวและมีใจให้กับคนใกล้ตัวที่คอยเฝ้ามองอยู่บ้าง………

แกร๊ก
เสียงประตูห้องอาบน้ำดังขึ้นพร้อมร่างของชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งในชุดเสื้อคอกว้างสีดำและกางเกงผ้าขายาวสีน้ำเงินสบายๆ มือแกร่งเช็ดผมของตนเองจนแห้งสนิทแล้วพาดผ้าไว้ที่ราว นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองหาเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่หายไปจากห้องนั่งเล่นและพบว่าเจ้าตัวดีกำลังวุ่นวายอยู่ในห้องทานอาหารที่อยู่ถัดไปจากห้องรับแขก
รีไวเดินเข้ามาพิงกำแพงมองคนที่กำลังหยิบน้ำเย็นจากตู้เย็นรินใส่แก้วทรงสูงก่อนวางลงบนโต๊ะ สายตาคมที่จับจ้องมองมาทำให้เอเลนเริ่มรู้สึกตัว ร่างบางจึงหันกลับไปสบกับเจ้าของห้องที่กอดอกยืนมองตนอยู่
 “ขอโทษที่ถือวิสาสะนะครับคุณรีไว ผมเอาข้าวห่อไข่ที่ทำไว้ตอนหัวค่ำมาอุ่นให้ครับ คิดว่าคุณอาจจะยังไม่ได้ทานอะไรมา” เอเลนหยิบข้าวห่อไข่อีกจานจากเตาไมโครเวฟที่ร้องเตือนออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“นายไปเอาของพวกนี้มาจากไหน?” ช่วงนี้งานของเขาค่อนข้างยุ่งมากทำให้ไม่ได้ซื้อของสดมาเตรียมใส่ไว้ในตู้เย็นไม่มีแม้กระทั่งไข่ไก่สักฟอง
“เออผมออกไปซื้อมาที่ซุปเปอร์ฯตรงหัวมุม ว่าจะตอบแทนที่ให้ผมหลบฝนน่ะครับ แต่พอทำเสร็จก็ดันง่วงซะงั้น แหะๆ” มือเรียวยกขึ้นเกาหัวแก้เก้อ
“อย่าบอกนะว่านายรอฉันน่ะ?” ถ้าแค่ทำอาหารให้เด็กหนุ่มจะกลับไปเลยก็ได้ แต่เจ้าตัวกลับเผลอหลับบนโซฟา
เอเลนยิ้มบางให้กับชายหนุ่ม “ทานข้าวด้วยกันหลายๆคนอาหารจะยิ่งอร่อยนะครับ” ที่จริงแล้วเพราะการทานข้าวคนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมแม้จะกว้างก็ตามแต่มันก็ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากทีเดียว ถ้าบอกออกไปคุณรีไวจะต้องตอบกลับมาว่า ไม่เห็นเป็นไร แน่ๆ
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้างกับที่ร่างโปร่งยืน “นายก็รีบนั่งลงก่อนที่อาหารจะเย็นซะหมด”
ร่างโปร่งยิ้มร่ารีบนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าทันที เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มตัวอาหารฝีมือตัวเองเข้าปาก เจ้าตัวเลยอดที่จะถามไม่ได้
“เออ เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ไม่เลว”
คำตอบจากรีไวยิ่งทำให้เอเลนยิ้มจนแก้มปริ
“ถ้าคุณไม่รังเกียจหลังเลิกร้านผมมาทำอาหารให้คุณได้ไหมครับ?” กล่าวคำขอออกไปพร้อมใจที่เต้นระทึกลุ้นคำตอบ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเงยขึ้นมองเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งลุ้นคำตอบ มือแกร่งวางช้อนที่กำลังตักอาหารลง
“ฉันว่าจะถามนายเรื่องนี้อยู่”
“ครับ?” เด็กหนุ่มเอียงคอมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย
“ฉันนึกถึงเรื่องที่นายถามเมื่อไม่นานมานี้ ที่นายถามเรื่องเกี่ยวกับอดีต”
“เอ๊ะ?”
มือแกร่งยกขึ้นประสานกัน ใบหน้าเฉยชามองเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ฉันเหมือนกับใครในอดีตของนายอย่างนั้นรึเปล่า?”
“อ….เอ๊!!” นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะถามเรื่องอดีตกับตน
“ปฏิกิริยาแบบนั้นฉันคงเดาถูกสินะ” รีไวถอนหายใจ นัยน์ตาสีขี้เถ้าจับจ้องที่ใบหน้ามนที่กำลังตีสีหน้าไม่ถูกตรงหน้า “ถึงฉันจะบอกไปว่าอดีตเป็นตัวชักนำปัจจุบัน แต่สำหรับเรื่องบางเรื่องถ้ามัวแต่จมอยู่กับอดีตนายจะไม่มีทางเดินไปข้างหน้า”
“จุดนั้นผมเข้าใจดีครับ” เข้าใจดีถึงได้กลุ้มใจและพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองจนในที่สุดก็แน่ใจ
“ถ้านายเข้าใจก็ดี เพราะงั้นฉันยิ่งตอบรับความรู้สึกนายไม่ได้”
“เดี๋ยวสิครับ!” ร่างบางลุกจากที่นั่งของตนเองตรงมายังที่นั่งของอีกคน มือบางคว้าจับที่ข้อมือแกร่งพลางคุกเข้าลง นัยน์ตาสีมรกตสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้า “เพราะเข้าใจดีถึงได้กล้าที่จะบอกกับคุณครับคุณรีไว”
มือแกร่งยกจับคางใบหน้ามนตรงหน้าพร้อมทั้งมืออีกข้างที่ลูบไล้แก้มเนียนเบาๆ “ตอนนี้คนที่นายเห็นตรงหน้าคือใคร?”
“คคุณรีไว”
“คนที่สัมผัสนายอยู่ตอนนี้คือใคร?”
“คุณรีไว”
“แล้วคนที่นายบอกว่าชอบคือใคร?”
“คุณรีไวครับ” แม้จะไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรแต่เอเลนก็ตอบคำถามด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“ก็ดี” ริมฝีปากคมโน้มประกบลงบนริมฝีปากบางตรงหน้า ลิ้นร้อนกระหวัดเกี่ยวลิ้นบางอย่างหยอกล้อ รสข้าวผัดในข้าวห่อไข่ยังคงสัมผัสได้จากลิ้นที่กระหวัดในโพรงปาก
นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงอย่างไม่คาดคิดที่จะได้รับจูบจากชายหนุ่ม ใบหน้าร้อนผ่าวแทบลุกเป็นไฟ อกซ้ายเต้นระรัวจนแทบจะระเบิดออกมา
เมื่อริมฝีปากคมถอนออกไป เอเลนได้แต่ก้มหน้ามองมืออีกข้างของตนเองที่กำจนแน่นด้วยความอายจนไม่กล้าสบตา
“คอนแรกว่าจะถามต่อว่านายรู้สึกยังไง” มือแกร่งตบลงบนหัวสีน้ำตาลเบาๆ “แต่ปฏิกิริยาของนายตอนนี้คงไม่ต้องถามแล้ว”
“คคุณรีไว” ใบหน้ามนค่อยๆเงยขึ้นสบกับใบหน้าเฉยชาที่ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมา แต่มือแกร่งที่สัมผัสบนเรือนผมช่างอบอุ่น
“ฉันอยากให้นายแน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้านายเป็นใคร” นัยน์ตาสีขี้เถ้าสบกับใบหน้ามนที่กำลังเขินอายตรงหน้า “และยืนยันตัวฉันเองเช่นกัน”
“ยืนยันอะไรงั้นเหรอครับ?”
รีไวลูบไล้แก้มเนียนของเด็กหนุ่มไปมา
“หลายครั้งที่ฉันฝันเห็นใครบางคนที่ฉันไม่รู้จัก และนั่น……อาจจะเป็นนาย” คำบอกเล่าของชายหนุ่มยิ่งทำให้เอเลนหัวใจสั่นไหวมากยิ่งขึ้น แม้ไร้ซึ่งความทรงจำแต่ส่วนลึกในจิตวิญญาณก็ยังคงร่ำหาตัวเขาเช่นกัน
“แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน นายที่อยู่ตรงหน้าฉันเป็นคนที่มีตัวตนอยู่จริง”
“ครับ" มือเรียวยกขึ้นจับมือแกร่งที่ยังคงสัมผัสใบหน้าตนอยู่
“ถ้าฉันจะรู้สึกพิเศษกับนายก็ต้องเพราะนายที่อยู่ตรงหน้านี้” ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะคล้ายกับใครบางคนในความฝันที่ไม่อาจสัมผัสได้ เพราะตรงหน้าของเขาคือเด็กหนุ่มที่มีชีวิต ลมหายใจ และสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกาย เพราะอย่างนี้ล่ะมั่งตัวเขาถึงชอบเผลอสัมผัสคนตรงหน้าไปโดยไม่รู้ตัว
“เช่นกันครับคุณรีไว” แม้จะมีอดีตเป็นตัวผลักดันแต่อนาคตคือสิ่งที่ต้องกำหนดเอง เช่นเดียวกับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกปัจจุบันที่ยังคงเลือกคนตรงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง คุณรีไวตรงหน้าแม้จะเป็นจิตวิญญาณเดียวกันกับหัวหน้าในอดีต แต่คุณรีไวก็คือคุณรีไว หัวหน้าก็คือหัวหน้า เป็นอดีตที่ไม่อาจย้อนกลับไป ถึงแม้อยากจะรู้ว่าหลังจากที่ตัวเขาได้จากไปแล้วคนตรงหน้านี้เป็นอย่างไร? คำถามที่ไม่มีคำตอบและอาจไม่สามารถรู้คำตอบได้เลยตราบจนสิ้นลมหายใจ แต่ความเป็นจริงที่ว่าเราสองคนได้มาพบกันอีกครั้งและความรู้สึกเล็กๆที่กำลังเริ่มก่อตัวคือความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองหยาดน้ำค้างที่เริ่มเกาะบนดอกไม้สีฟ้าที่อยู่เต็มระเบียงของเขาผ่านทางหน้าต่าง ดอกไม้เล็กๆที่เขาซื้อมาเป็นประจำราวกับย้ำเตือนให้นึกบางสิ่งที่แสนสำคัญออก ถึงกระนั้นกลับยังคงว่างเปล่า….
“คุณรีไวจะให้ผมนอนที่ไหนเหรอครับ?” เอเลนที่ล้างจานเสร็จเรียบร้อยถามหาที่นอนของตนเอง
ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งหันกลับมาสบกับใบหน้ามนที่ยิ้มระรื่นตรงหน้า “มีห้องว่างสำหรับแขกอยู่นายนอนที่ห้องนั้นละกัน ฉันมีแปรงสีฟันสำรองนายก็เอาไปใช้ซะ” รีไวรื้อตู้กระจกติดพนังบนอ่างล้างหน้าแล้วยื่นแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้แกะห่อให้กับเด็กหนุ่ม
“ขอบคุณครับ” เอเลนรับแปรงสีฟันสีฟ้ามาแกะห่อพลาสติกแล้วเดินเข้าไปทำธุระที่อ่างล่างหน้าเมื่อเห็นว่าอีกคนหลีกทางให้
“ช่วงนี้ฉันคงไม่ค่อยได้เข้าไปที่ร้านเพทร่า”
“งานยุ่งสินะครับ” เอเลนเอาผ้าขนหนูซับน้ำบนใบหน้าที่เปียกจากการล้างหน้าอีกครั้งก่อนเข้านอน ใยหน้ามนหมองลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเวลามาหาตน
“ช่วงกลางวันนายเอาอาหารที่ร้านเพทร่ามาให้ฉันที่ออฟฟิศหน่อยละกัน”
“ได้ครับ” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าช่วงเวลาพักกลางวันยังมีโอกาสที่ได้เจอกับชายหนุ่ม
“แล้วอย่าลืมเอาของนายมาด้วย”
ร่างโปร่งมองอีกคนอย่างสงสัย แล้วใบหน้าต้องขึ้นสีระเรื่อกับคำตอบของชายหนุ่ม
“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากินข้าวพร้อมกันอร่อยกว่า” แม้ไม่อาจรู้ว่าสิ่งสำคัญที่ขาดหายไปคืออะไร แต่กับเด็กหนุ่มที่มีตัวตนอยู่ตรงหน้าก็อยากที่จะลองเรียนรู้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่หาสิ่งที่ขาดหายซึ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคืออะไรกัน

TBC.

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 มีนาคม 2557 เวลา 00:13

    หวานจัง....
    นี่เราอมลูกอมอยู่รึเปล่าเนี้ย > < ||
    ตอนนี้ต่อใ้หยิบลูกอมรสมะนาวมากินก็คงรู้สึกว่ามันหวานอยู่ดีกระมัง...

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เเนะนำว่าไปทานข้าวห่อไข่อาจจะให้อารมณ์กรุ้มกริ่มกว่านะคะ555

      ลบ
  2. เหมือนจะเริ่มขยับทีละนิดๆ ค่อยๆสานสัมพันธ์กัน น่ารักอ่า ละมุนๆอุ่นๆ ชอบบบบ ><

    ตอบลบ