วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 1



Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 1

                ปัจจุบันไททันเป็นแค่ตำนานที่เล่าขานที่คงยังไม่ได้รับการยืนยัน บทความและหลักฐานมากมายจากนักวิชาการที่ถูกรวบรวมมานานนับหลายปีถูกถ่ายทอดผ่านสื่อชนิดต่างๆในกระแสปัจจุบัน เรื่องของมนุษย์สมัยบรรพกาลที่ต้องลี้ภัยอาศัยในกำแพง หน่วยทหารกล้า เหล่าวีรบุรุษผู้นำมาซึ่งชัยชนะของมนุษยชาติ
                แต่สิ่งเหล่านั่นก็เป็นเพียงตำนานที่ยังไม่ได้ยอมรับในปัจจุบันว่ามีอยู่จริง…….
                . หอสมุดใหญ่กลางเมืองผู้คนมากมายต่างพากันมาเพื่อหาข้อมูลที่สนใจหรือทำรายงานวิชาการที่ได้รับมอบหมาย นัยน์ตาสีเขียวมรกตควานหาข้อมูลจากหนังสือที่เหล่าบรรดาเพื่อนๆของเขาหามาและกองไว้ให้เขากับเพื่อนผู้แสนฉลาดและเก่งที่สุดในภาคชั้นเรียนกลั่นกรองข้อมูลกันอีกที
“อาร์มินฉันค้นดูตรงนี้หมดแล้ว ถ้ายังไงฉันไปช่วยพวกไรเนอร์หาข้อมูลหาดีกว่า นั่งดูข้อมูลอย่างเดียวชักเริ่มเบื่อแล้วสิ” ร่างโปร่งบอกเพื่อนตั้งแต่เด็กของตน เขาเริ่มเมื่อยกับการต้องนั่งหาข้อมูลอยู่เฉยๆ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรต่อให้ตัวเขาจะเลือกเรียนสายกฎหมายเพราะอยากเป็นทนาย แต่การต้องศึกษาข้อมูลเยอะๆแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัดนัก
“เอเลน ถ้ายังไงฉันฝากนายเอาหนังสือกองที่ไม่ได้ใช้ตรงนั้นไปเก็บด้วยเลยละกัน” เพื่อนผมทองสั้นชี้ไปทางกองหนังสือตั้งที่วางไว้ที่มุมโต๊ะซึ่งพวกเขาได้ค้นข้อมูลหมดแล้วเอเลนยกตั้งกองหนังสือไปวางไว้ยังรถเข็นสำหรับหนังสือที่ต้องการเก็บเข้าที่และเดินไปหากลุ่มเพื่อนของเขาที่กระจายตัวกันอยู่ในล็อคหนังสือประวัติศาสตร์ ด้วยที่หอสมุดแห่งชาติของที่นี้มีหนังสือจำนวนมากมายให้ค้นหา หนังสือในหมวด หมวดหนึ่งจึงมีหลากหลายเล่มให้เขาและบรรดาเพื่อนๆค้นคว้ากันอย่างลืมเวลาเลยทีเดียว
“ไรเนอร์ นายมีอะไรให้ฉันช่วยไหม?” ร่างโปร่งเข้าไปถามชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีกรมท่าร่างกายแข็งแรงกำยำที่ดูแล้วไม่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาได้เลย
“เอเลนนายไปหาตรงมุมนั้นละกัน แถวนี้ฉัน เบรลทรูธ มิคาสะ และแจน ดูกันหมดแล้วเหลือแต่ตรงมุมห้องในสุดเท่านั้นแหละ” ร่างกำยำชี้ไปทางมุมสุดของชั้นหนังสือ
 ร่างโปร่งเดินเข้าไปยังมุมในสุดซึ่งติดกับประตูห้องหนังสือเก่าที่ติดป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้าไป นัยน์ตาสีมรกตเริ่มมองควานหาหนังสือทีละเล่มและหยิบหนึ่งในนั้นออกมาเพื่อเช็คเนื้อหาคร่าวๆ สิ่งที่เขาต้องหานั้นก็คือประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าขาน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาบังคับเลือกของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 อย่างเขา ด้วยที่พวกเขาเลือกทำเรื่อง “ไททันและกำแพงแห่งชีวิต” เลยทำให้ต้องมานั่งคลุกอยู่ในชั้นประวัติศาสตร์ของหอสมุดมาเกือบสัปดาห์เต็ม ทั้งอาร์มินบอกว่าหัวข้อเรื่องนี้เป็นเรื่องโปรดของ ดร.ฮันซี่ซึ่งเป็นอาจารย์เจ้าของวิชาด้วยแล้วเลยยิ่งทำให้พวกเขาต้องทำข้อมูลนำเสนอรายงานให้ดีที่สุด
ครืน!!!
อยู่ๆชั้นหนังสือที่อยู่รายล้อมนั้นเริ่มไหวเอนไปมา หลอดไฟบนพนังตึกสูงโยกไหวเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น แผ่นดินไหว!!!
ผู้คนที่อยู่ในหอสมุดเริ่มมุดเข้าใต้โต๊ะเพิ่อหาที่หลบภัยและพยายามหลีกหนีออกไปยังลานกว้างให้เร็วที่สุด
“เดี๋ยวเอเลนอยู่ไหนน่ะ!?” เสียงหญิงสาวร้องตะโกนดังถามหาเพื่อนคนสำคัญของเธอในขณะที่กลุ่มฝูงชนกำลังชลมุนอยู่
“เมื่อกี้ฉันให้เขาไปดูหนังสือตรงมุมสุดของห้องด้านใน” คำบอกจากไรเนอร์ทำให้มิคาสะหมุนตัวจะกลับเข้าไปยังชั้นหนังสือชั้นในสุด
 “มิคาสะเธอรีบไปหาที่ปลอดภัยก่อนฉันจะไปตามหาเอเลนเอง”ชายหนุ่มร่างโปร่งผมสีน้ำตาลอ่อนดันมิคาสะไปหาไรเนอร์เพื่อให้ทางกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆนั้นหลบออกไปอย่างปลอดภัย
“แจนนายต้องหาเอเลนให้เจอนะ แล้วต้องปลอดภัยด้วย ถ้าเอเลนบาดเจ็บฉันจะคิดบัญชีกับนาย!!” หญิงสาวร้องตะโกนบอกแจนชายหนุ่มผู้หวังดีในขณะที่ถูกฉุดและลากโดยเหล่าเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ
“ฉันรู้แล้วน่า” เขาเข้าใจและชินกับการที่มิคาสะยึดในตัวเอเลน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็นแบบนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมาแจนก็รับรู้ได้ถึงความยึดเหนี่ยวในตัวเอเลนของมิคาสะที่มีมากจนเรียกได้ว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ
“แจนงั้นเราเจอกันที่ลานหน้าหอสมุดนะ” เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดในกลุ่มบอกกล่าวเพื่อนก่อนที่ทุกคนจะลงบันไดไปยังลานโล่งชั้นล่าง และให้แจนวิ่งกลับเข้าไปหาเอเลน
“โอย เจ็บชะมัด” นัยน์ตาสีมรกตปรือขึ้นเล็กน้อย จากแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นฉับพลันทำให้เขาล้มกระเด็นเข้ามาในห้องสมุดที่เป็นเขตห้ามเข้า เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนทำให้ตู้หนังสือล้มลงจนปิดประตูทางเข้าของเขาเสียแล้ว นัยน์ตาสีมรกตกวาดตามองรอบๆเพื่อหาที่หลบภัยพร้อมทั้งพยายามนึกถึงข้อมูลสิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวและตัดสินใจไปหลบใต้โต๊ะมุมห้องที่ดูท่าจะปลอดภัยที่สุด เพราะอย่างน้อยคงไม่มีอะไรสามารถหล่นลงมากระแทกหัวเขาได้ มือบางปาดหยดน้ำที่ไหลลงมาเข้านัยน์ตาของเขาก่อนเห็นว่านั่นคือเลือด นี่เขาหัวแตกสินะดูท่าไม่ลึกมาก ร่างโปร่งหยิบผ้าเช็ดหน้ากดซับที่หางคิ้วเพื่อช่วยห้ามเลือด ถ้ามิคาสะเห็นเข้าเขาต้องโดนหิ้วไปโรงพยาบาลและตามเฝ้าจนกว่าแผลจะหายแน่ๆ
เวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาทีทุกอย่างเริ่มเข้าสู่สภาวะสงบ นัยน์ตาสีมรกตมองไปยังประตูทางออกเพียงหนึ่งเดียวแล้วต้องถอนหายใจ นี่เขาคงต้องรอคนมาช่วยสินะ หวังว่าคงไม่ต้องรอจนผ่านไปเป็นวันแบบในหนังบางเรื่องหรอกนะ ร่างโปร่งลุกออกจากที่หลบภัยและพยายามดันชั้นหนังสือที่ปิดทางออกของเขาแต่ดูจะไม่เป็นผล
“เฮ้!!มีใครอยู่มั่งครับ มีคนติดอยู่ในนี้หนึ่งคนนะ เฮ้!!!” เอเลนหวังว่าคงมีใครได้ยินเขาสักคน ซึ่งมันก็ได้ผล
“เฮ้ยเอเลน แกเข้าไปอยู่ในนั้นเลยเหรอวะ ไอชั้นพวกนี้ก็ล้มทับกันแน่นไปหมด ฉันคนเดียวคงเอาออกไม่ได้ต้องไปตามคนมาช่วย นายอย่าเพิ่งตายซะก่อนล่ะ” เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ร่างโปร่งคิ้วกระตุกเล็กน้อย เพราะเป็นความช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่ค่อยอยากได้รับความช่วยเหลือเท่าไร
“ไรวะแจน แกมันไร้ประโยชน์จริงๆเลย รีบไปหาคนอื่นมาเลยนะแก” พอรู้ว่าอีกฝั่งเป็นใครเอเลนก็อดไม่ได้ที่จะขอกัดเสียหน่อยต่อให้อยู่ในสถาณการณ์แบบนี้ก็เถอะ
“ฉันว่าปล่อยนายอยู่ในนั้นสักคืนดีไหมวะ ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ” ร่างสูงรีบย้อนกลับ นี่เขาอุส่าห์เสี่ยงเข้ามาช่วยไอคนยุ่งยากนี่น่าจะรู้จักสำนึกบุญคุณเขาสักบ้าง
“เฮ้ย อย่านะเว้ย แกรีบช่วยฉันออกไปเลยนะแล้วไว้ฉันจะเลี้ยงชาไข่มุกแก” ร่างโปร่งรีบเสนอสินบน เขาไม่ได้อยากติดอยู่ในนี้ทั้งคืนหรอกนะ แล้วถ้าต้องขอร้องเป็นหนี้บุญคุณคนอย่าง คุณชายแจน เขาขอยอมเสียตังค์เพื่อแลกเปลี่ยนดีกว่า
“เออ ค่อยดีขึ้นมาหน่อย” ที่จริงเขาไม่ได้ชอบชาไข่มุกเท่าไรหรอกแต่นานๆทีจะเห็นคนดื้อรั้นจนตรอกได้บ้าง “เออใช่ แกไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหมเอเลน” ร่างสูงรีบถามอาการของคนข้างในก่อนที่จะไปขอความช่วยเหลือ ถ้าเอเลนเป็นอะไรล่ะก็เขาได้โดนมิคาสะซัดน่วมแน่
“ไม่เป็นไรมาก แค่หัวโดนกระแทกเลือดไหลนิดหน่อยแต่ตอนนี้หยุดแล้ว” คำตอบของเอเลนทำเอาร่างสูงตื่นตระหนก
”เฮ้ย!!แกอยุ่เฉยๆอย่าขยับไปไหนนะเว้ย ฉันจะรีบไปตามคนมาช่วยเดี๋ยวนี้!!!
ถึงแจนบอกอย่าให้เขาไปไหนตอนนี้ ต่อให้เขาอยากไปก็คงไปทำอะไรนอกห้องสี่เหลี่ยมนี้ไม่ได้อยู่ดี ร่างโปร่งหามุมทิ้งตัวลงนั่งรอเพื่อนคู่กัดที่ไปขอความช่วยเหลือ กว่าแจนจะไปตามคนมาช่วยและกว่าหน่วยกู้ภัยจะมาต่ำๆก็ราวๆ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง น่าเบื่อชะมัด ไม่มีอะไรทำเลย กระเป๋าก็วางไว้ข้างนอกด้วยอาร์มินคงเก็บให้เรียบร้อยแล้ว แล้วตอนนี้เขาควรทำอะไรดีกว่าการนั่งรอเฉยๆ นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองไปรอบกองชั้นหนังสือที่ตอนนี้ล้มกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนไปหมด มาหอสมุดก็ต้องอ่านหนังสือค่าเวลาล่ะนะแถมเป็นหนังสือในห้องห้ามเข้าแบบนี้ใช่ว่าจะหาอ่านกันได้ง่าย มือบางเอื้อมไปหยิบหนังสือปกดำอยู่ที่อยู่ใกล้กับที่เขานั่งมากที่สุด หน้าปกสีดำที่ไม่ได้เขียนชื่อเรื่องหรืออะไรไว้แต่ก็ดูน่าสนใจไม่น้อยสำหรับสถาณการณ์ของเขาตอนนี้
ร่างโปร่งเปิดหนังสือพลันมีแสงสว่างวูบขึ้นจากหนังสือปกดำนั้น ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เขาไม่รู้จักแล่นริ้วเข้าสู่สมอง ภาพความทรงจำต่างๆ วิ่งแล่นเข้ามาในหัวของเอเลน ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่สมอง ปวด ปวดหัว ร่างโปร่งเอามือกุมศรีษะก่อนที่จะสลบไป
.
.
.
.
.
.
.
.
“เอเลน”
“เอเลน”
“เอเลนตื่นสิ ถ้าไม่กลับจะมืดซะก่อนนะ”
ใบหน้ามนค่อยๆปรือขนตาหนา นี่เขาหลับไปนานเท่าไรกันนะ จำได้ว่าเกิดอุบัติเหตุในหอสมุดแล้วหืม เมื่อได้สตินัยน์ตาสีมรกตถึงกับเบิกกว้าง เด็กผู้หญิงตรงหน้าเขาเป็นมิคาสะแน่ๆ แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นทำไมเธอถึงดูเด็กเหมือนกับที่เจอกันครั้งแรกเลยล่ะ!?รวมทั้งชุดที่ใส่ก็ดูจะแปลกไปเสียหน่อยด้วย
“มิคาสะ ทำไมเธอดูเด็กจัง?” คำถามนั้นทำให้คิ้วของเด็กสาวกระตุกเล็กน้อย
“นี่สะลืมสะลือถึงขนาดนั้นเชียว นายก็ยังเด็กเหมือนกันนั้นแหละเอเลน”
นี่เขากำลังฝันอยู่อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่สิ เขาคือ เอเลน เยเกอร์ และเขากำลังต้องเก็บฟืนกลับไปหามารดาที่รออยู่ที่บ้านในวันนี้ เด็กชายค่อยๆลุกขึ้นยืนและนำตะกร้าใส่ฟืนขึ้นสะพายหลัง
“เปล่า แค่รู้สึกเหมือนฝันเห็นอะไรบางอย่างที่ยาวมากๆ แต่ทำไมนึกไม่ออกกันนะ” ในตอนนี้เขาก็ยังคงรู้สึกสับสนและปวดหัวอยู่ไม่น้อยกับโลกที่เขาเห็นซึ่งนั่นอาจเป็นความฝันยาวนานเพียงช่วงหนึ่ง โลกที่ไม่มีไททัน ความศิวิไลและอิสรภาพที่โหยหาอยู่รายล้อม แต่นั้นก็เป็นแค่โลกในฝันของเขาเพราะโลกในความเป็นจริงนี้ มนุษย์ก็ยังคงต้องถูกจำกัดอิสรภาพ มีชีวิตเหมือนนกในกรงภายในกำแพงที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
“เอเลน ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?” เด็กสาวตกใจกับหยาดน้ำตาที่ไหลมาจากในตาสีมรกต หรือว่าเขาจะฝันร้าย
“เอ๋!!” มือเล็กๆปาดหยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบสองแก้ม เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาเหล่านี้ถึงได้ไหลออกมา พอๆกับความรู้สึกคิดถึงและคะนึงหาที่ยากจะเอ๋ย

"เรื่องที่ฉันร้องไห้อย่าไปบอกใครเชียว ช่วยเหยียบไว้เลยนะ” เด็กชายตัวน้อยกระชับสั่งเด็กสาวหนึ่งในครอบครัวของตน การที่ให้คนอื่นมาเห็นเขาร้องไห้นี่เป็นอะไรที่เสียหน้าสำหรับเขาอย่างมากเลยทีเดียว
“ร้องไห้เรื่องอะไรเรอะ?” ชายในชุดเครื่องแบบเข้ามาหยอกล้อเด็กชายด้วยความคุ้นเคย
“คุณฮันเนสอุ๊บ!!เหม็นเหล้าชะมัด” เอเลนรีบยกมือมาปิดจมูกทันที ชายในเครื่องแบบนี้เป็นคนรู้จักของมารดาและบิดาของเขาที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่จำความได้ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเห็นชายผู้นี้จะทำตัวได้สมกับเครื่องแบบที่ใส่อยู่เลยแม้แต่น้อย “ทำแบบนี้แล้วถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะสู้ไหวเหรอกับไอพวกที่อยู่นอกกำแพงนั้นน่ะ”
“เอเลน  นายอย่าตะโกนเรื่องนั้นในที่แบบนี้สิ” ชายในชุดเครื่องแบบรีบปรามเด็กชายตรงหน้าการพูดเรื่องของสิ่งมีชีวิตนอกกำแพงในที่สาธารณะแบบนี้ดูจะไม่ส่งผลดีเท่าไร ถึงแม้คนพูดจะเป็นเพียงแค่เด็กแต่สำหรับเรื่องละเอียดอ่อนของคนในกำแพงแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เอามาตอกย้ำกันได้
หลังจากที่เขาได้ทำการต่อล้อต่อเถียงกันคุณฮันเนสสักพักเสียงระฆังก็ดังขึ้น และนั้นทำให้เด็กชายรีบวิ่งไปยังประตูเพื่อรอต้อนรับกลุ่มวีรบุรุษของเขา ทีมสำรวจ
เสียงระคนด่าและสบถที่รอต้อนรับคณะทีมสำรวจเซ็งแซ่ไปทั่ว ถึงแม้ทีมสำรวจจะเปรียบดั่งเป็นวีรบุรุษของใครหลายๆคน แต่ก็มีอีกหลายกลุ่มที่คิดว่าช่างเป็นกลุ่มคนที่ไร้ประโยชน์ รวมทั้งความคืบหน้าในผลงานของทีมสำรวจนั้นแทบจะเรียกได้ว่าถึงทางตันเลยยิ่งทำให้เสียงกรนด่าจากชาวเมืองมีมากมายกว่าคำสรรเสริญยินดี ซึ่งเสียงกร่นด่านั้นผ่านเข้าหูของเอเลนเช่นกัน เด็กชายโมโหพวกชาวบ้านงี่เง่าที่ไม่เคยเข้าใจถึงความพยายามของเหล่าวีรบุรุษเหล่านั้น ยิ่งมีหนึ่งในนั้นบอกให้ยุบหน่วยสำรวจไปซะยิ่งทำให้อารมณ์ของเด็กชายเดือดจัดจนขว้างท่อนฟืนไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้า และนั้นทำให้มิคาสะที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต้องลากเจ้าตัวดีนั้นหนีกลับบ้านก่อนที่จะมีเรื่องกันไปมากกว่านี้

“เอเลน อยากเข้าทีมสำรวจน่ะค่ะ” คำบอกเล่าของเด็กสาวทำให้คาร่า มารดาของเอเลนถึงกับตกใจ ใครๆต่างก็รู้ดีว่าทหารทีมสำรวจนั้นเสียชีวิตกว่า 60% ทุกครั้งที่มีภารกิจสำรวจนอกกำแพง
“เอเลน แม่ไม่อนุญาต คิดอะไรของลูกอยู่ รู้ไหมว่ามีคนที่ออกไปข้างนอกตายไปเท่าไรแล้ว” หญิงสาวเข้าไปจับไหล่บุตรชาย นัยน์ตาของเธอสั่นไหวด้วยความกังวลกับการตัดสินใจของบุตรชายเป็นอย่างยิ่ง เธอรู้ดียิ่งกว่าใครว่าเอเลนเป็นเด็กที่ดื้อ และซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน และนั่นทำให้เธอกลัวกับการตัดสินใจของเด็กชายตัวน้อยตรงหน้า
“ถ้าไม่มีใครสักคนสานต่อ ชีวิตของคนที่ตายไปแล้วก็สูญเปล่าสิครับ” ใบหน้ามนจ้องกลับไปยังดวงตาของผู้เป็นมารดา นัยน์ตาเด็ดเดี่ยวที่ฉายแววออกมาทำให้คาร่าหวั่นใจยิ่งขึ้น เพราะนั้นเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจที่ไม่มีวันเปลี่ยนของบุตรชายของเธอ
“เข้าใจล่ะเอเลน ถ้าพ่อกลับมาพ่อจะเปิดห้องใต้ดินที่เป็นความลับตลอดมาให้ลูกเห็นนะ” กริซาผู้เป็นบิดากล่าวก่อนที่จะต้องเดินทางไปรักษาคนไข้อีกเมืองด้วยอาชีพหมอของเขา และนั้นทำให้นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้บิดาจะไม่ได้สนับสนุนแต่ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เขาทำตามสิ่งที่ตนเองได้ตัดสินใจไป

และภาพทั้งหลายก็ถูกกรอหมุนอย่างรวดเร็วจนมาถึงภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ดวงตาไม่ไหวติง มือน้อยพยายามไขว่คว้าในขณะที่ถูกชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบหิ้วและวิ่งหนีออกมา ภาพของมารดาที่ถูกดึงขึ้นออกมาจากซากปรักหักพังด้วยยักษ์ขนาดมหึมา ร่างกายที่บอบช้ำพยายามดิ้นรนก่อนที่จะไร้ซึ่งลมหายใจ ร่างที่แน่นิ่งของมารดาถูกไททันนั้นกินเข้าไป อารมณ์ความเดือดดาลและความบ้าคลั่งปะทุออกมาหลั่งไหลเป็นม่านน้ำตา จะต้องแก้แค้น จะต้องฆ่าให้หมด จะต้องฆ่าพวกมันให้หมดไม่ให้เหลือสักตัวเดียว!!!


“เอเลน”
“เอเลน รู้สึกตัวแล้วหรือลูก?”  เสียงอันอบอุ่นและคุ้นเคยผ่านเข้าโสตประสาททำให้ใบหน้ามนค่อยๆปรือตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆเขาถึงได้รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาลที่ที่เขาคุ้นเคย ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายเมื่อกี้เป็นแค่ความฝันที่เขาเผลอหลับไประหว่างรอหน่วยกู้ภัยสินะ “แหมเด็กคนนี้ไม่ไหวเลยนะ โตจนขนาดนี้แล้วยังร้องไห้เป็นเด็กๆอยู่ได้” มือเรียวยกขึ้นไปลูบศรีษะบุตรชายอย่างอ่อนโยน หลังจากที่มิคาสะติดต่อไปว่าเอเลนได้รับบาดเจ็บขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหวเลยทำให้เธอรีบเดินทางมายังโรงพยาบาลทันที
นัยน์ตาสีมรกตมองมารดาของตนตรงหน้าความรู้สึกโหยหาเอ่อท้วมท้น เขาสวมกอดมารดาแน่นและซุกหน้าเขากับอกอุ่น หยาดน้ำตายังคงหลั่งริน อาจเพราะความฝันนั้นเลยทำให้เขารู้สึกโหยหาอ้อมกอดนี้อย่างประหลาด ความรู้สึกอบอุ่นและปิติที่ท้วมท้นหลั่งไหลออกมา
“ร้องไห้อย่างกับจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ เอาซะแม่เริ่มอายเพื่อนๆและพ่อของเราแล้วนะ” คำพูดของมารดาทำให้ร่างโปร่งได้สติ เมื่อมองสำรวจห้องดีๆอีกครั้งเขาก็พบว่าเพื่อนๆของเขาอยู่กันครบ รวมทั้งบิดาของเขาด้วย จากชุดกราวน์ที่บิดายังคงใส่อยู่ทำให้เขารู้ว่าที่นี้คือโรงพยาบาลของบิดาอย่างแน่นอน ใบหน้ามนขึ้นสีจากความอาย นี่เขาร้องไห้แถมกอดแม่ตัวเองต่อหน้าเพื่อนๆทั้งกลุ่มเลยหรือเนี่ย ยิ่งต่อหน้าคู่กัดอย่างคุณชายแจนด้วยแล้ว เขาต้องโดนล้อแน่ๆเลย
“นายแค่บาดเจ็บเล็กน้อยนะ หรือสมองกระทบกระเทือนจนกลายเป็นเด็กห้าขวบไปแล้วล่ะ” ยังไม่ทันไรคู่กัดตัวดีก็เริ่มทำหน้าที่ของตนเองอย่างไม่มีใครต้องร้องขอ
“แจน เอเลนเป็นคนป่วยนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยให้เขาพักผ่อนก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มร่างกำยำในเสื้อยืดสีกรมท่าปรามคู่กัดทั้งสองคนที่เริ่มส่งสายตาไม่เป็นมิตรต่อกันเท่าไรแล้ว
“แต่คนที่ดูท่าจะห่วงเอเลนจริงจังนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นแจนนะ เพราะตอนที่รื้อชั้นหนังสือออกทั้งหมดแล้วเห็นเอเลนนอนสลบอยู่ ก็เป็นแจนนี่แหละที่วิ่งเข้าไปอุ้มเอเลนขึ้นมา แล้ววิ่งหน้าตั้งมาส่งโรงพยาบาลก่อนที่ผมกับมิคาสะจะตั้งสติได้สักอีก” อาร์มินเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาแปลกใจ ถึงทั้งสองคนนี้จะดูเป็นคู่กัดกันอยู่ตลอดแต่สถาณการณ์วันนี้ก็ทำให้เขารู้ว่าคนปากแข็งอย่าง แจน  กิลชูไตน์ เป็นห่วงคนตรงหน้านี้ขนาดไหน
“ฉ ฉันก็แค่กลัวว่าถ้าหมอนี่เป็นอะไรไป มิคาสะต้องเอาฉันตายแน่ๆต่างหากล่ะ” ร่างสูงหน้าขึ้นสีระเรื่อและรีบเดินออกไปจากห้องอย่างเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อาร์มินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาน้อยๆถึงความปากไม่ตรงกับใจของชายหนุ่ม ส่วนเอเลนได้แต่แปลกใจ เขาไม่คิดเลยว่าคนอย่างแจนจะเป็นคนแบกเขามาถึงที่นี้ ซึ่งเขาคิดเสมอว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แจนคงเป็นคนแรกที่ปล่อยเขาทิ้งไว้และมาสมน้ำหน้าเขาทีหลังมากกว่า ว่าแต่อาร์มินใช้คำว่าอุ้มหรอ  นี่เขาบอบบางถึงขนาดที่คนที่สูงกว่าเขาไม่มากอย่างแจนอุ้มได้สบายๆเลยหรือไงกันนะแค่คิดก็ทำให้แอบหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ดูแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรมาก คืนนี้พ่อว่าลูกนอนค้างที่นี้สักคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านพร้อมพ่อดีกว่า” บิดาจัดแจงรายละเอียดต่างๆให้กับพยาบาลผู้ช่วยก่อนที่จะออกจากห้องไปทำหน้าที่ของตนในการรักษาผู้ป่วยอื่นต่อ
“นายโอเคใช่ไหมเอเลน? ฉันตกใจมากเลยนะที่เห็นนายสลบอยู่แบบนั้น” หญิงสาวผมดำเดินเข้ามาใกล้เตียงผู้ป่วย มือเรียวยื่นไปยังมือของอีกฝ่าย ไม่ว่าเมื่อไรคนตรงหน้านี้ก็สำคัญกับเธอเสมอเปรียบเสมือนครอบครัวและที่ยึดเหนี่ยวของตัวเธอเอง
“ฉันไม่เป็นไรมิคาสะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ขอโทษทุกๆคนด้วยนะ” ร่างโปร่งหันไปยิ้มและกล่าวขอโทษกับเพื่อนที่ตนเองเป็นเหตุทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายกัน
“เอเลนนี่เป็นกระเป๋าของนายนะ ผมเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว และก็นี่น่าจะเป็นบันทึกของนายเหมือนกัน ผมไม่ได้เปิดอ่านอะไรนะเพราะดูท่าจะเป็นบันทึกส่วนตัว” อาร์มินยื่นสัมภาระให้ร่างโปร่ง พร้อมทั้งหนังสือสีดำในมือซึ่งดูท่าจะเป็นของสำคัญมากเพราะขนาดที่เอเลนสลบอยุ่นั้นมือก็ยังคงกำบันทึกนี่ไว้อย่างแน่นหนา และหน้าปกซึ่งมีชื่อของเจ้าตัวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้มั่นใจว่าน่าจะเป็นของร่างโปร่งแน่นอน
“ขอบใจนะอาร์มิน นายพึ่งพาได้เสมอจริงๆ” ร่างโปร่งรับสัมภาระและหนังสือปกดำมา ที่จริงเขาควรบอกให้อาร์มินเอาไปคืนห้องสมุดเสียเพราะนี่เป็นหนังสือที่อยู่ในเขตหวงห้าม การนำออกมาแบบนี้ถือว่าผิดกฎอย่างมาก แต่อะไรบางอย่างทำให้เขาไม่ได้บอกออกไป เขารู้สึกว่าบันทึกนี้ต้องมีความหมายบางอย่างกับเขาแน่นอน และความรู้สึกนั้นยิ่งแน่ชัดขึ้นเมื่อเขาเพิ่งเห็นว่าบนปกหนังสือนั้นมีชื่อของเขาจารึกไว้ ชื่อของ “เอเลน  เยเกอร์”

 TBC.

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 มีนาคม 2557 เวลา 17:45

    โอ้ บระเจ้า!

    จากเท่าที่อ่านหัวหน้ามีแววยังไม่ได้ผุดได้เกิด
    หรือบางทีอาจเกิดมาแล้วก็ได้ ถ้าอิงจากการที่มีฮันซี่อยู่ =A=

    ให้ความรู้สึกเหมือนความฝันของผีเสื้อเลยค่ะ
    ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ อาจสับสนได้ว่าอะไหนคือโลกจริงอันไหนคือความฝันกันแน่
    เพราะตอนที่ย้อนกลับมาไปในความทรงจำ ก็คิดว่าโลกที่ไม่มีไททันคือฝัน
    พอกลับมาโลกนี้ก็คิดว่าอีกที่คือฝันอีก

    น่ากลัวเหมือนกันนะแบบนี้ =A=

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ20 มีนาคม 2557 เวลา 17:46

      ปล. ตรงหมวดสารบัญของเรื่องนี้ Chapter 1 ใส่ลิงค์ผิดเป็นของ Chapter 2 นะค่ะ

      ลบ
    2. หัวหน้าเป็นวุ้นอยุ๋แต่ในมโนค่ะฮาๆ ขออภัยที่ตอบช้านะคะเพิ่งได้เข้าบล็อก
      แบบว่ามีคนเม้นในบล็อกด้วยเขิน+ดีใจมากๆเลยค่ะ

      ขอบคุณสำหรับเรื่องลิงค์นะคะ พอดีจัดลงทีเดียวเลยมึนๆ><""" ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

      ลบ
  2. ซ่อนเงื่อนดีจริง ชอบแจนอ่ะ แง

    ตอบลบ