Fic.
[AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย
Chapter
1: Game Start
แสงสปอตไลต์ที่ส่องสว่างจ้าและความร้อนที่แผ่ออกมาถึงแม้จะอยู่ในห้องแอร์แต่ความร้อนของสปอร์ตไลต์หลายดวงที่อยู่ภายในห้องก็ทำให้อุณหภูมิของห้องสูงขึ้นมากทีเดียว
หญิงสาวรูปร่างดีใบหน้าคมสวยที่เป็นที่รู้จักกำลังโพสต์ท่าตามที่สั่ง
ถึงแม้แสงสปอตไลท์ที่สาดส่องจะทำให้พวกเธอต้องมองสู้แสงและเหงื่อที่เริ่มซึมมาจากความร้อนแต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ
และทีมงานที่ผ่านงานมาอย่างโชกโชนทำให้การถ่ายภาพวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี
เสียงชัตเตอร์ดังรัว
จนการถ่ายภาพวันนี้มาถึงเซ็ตสุดท้ายที่เป็นการถ่ายรูปโปรโมทเสื้อผ้าแบรนด์ดังในฤดูกาลใหม่
นิ้วเรียวกดชัตเตอร์ถ่ายภาพจนพอใจ
ใบหน้ามนตรวจเช็คความเรียบร้อยของงานที่ได้รับมอบหมายก่อนที่จะถอดเมมโมรี่ออกมาและเก็บลงในกล่องเพื่อรอนำภาพลงคอมพิวเตอร์และตกแต่งเก็บชิ้นงานก่อนส่งให้ผู้ว่าจ้างอีกที
นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ในสตูดิโอ
เข็มสั้นชี้ที่เลขสิบบ่งบอกเวลาที่ค่อนข้างดึกพอสมควร
ในที่สุดงานวันนี้ก็เสร็จจนได้…
ร่างโปร่งยืนบิดยืดเส้นไปมาไล่ความเมื่อยล้าจากการทำงาน
มือเรียวค่อยๆถอดเลนส์ออกจากบอดี้กล้องก่อนจะห่อด้วยผ้าอีกผืนและเก็บลงกระเป๋าอย่างทะนุถนอม
ด้วยว่าเป็นอุปกรณ์ไว้ใช้สำหรับสร้างรายได้รวมทั้งเป็นงานที่เขารักดังนั้นทุกขั้นตอนตั้งแต่การเริ่มใช้งานจนถึงการเก็บอุปกรณ์เจ้าตัวจึงพิถีพิถันเป็นอย่างมาก
“นี่ค่าแรงของวันนี้ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็หลังจากนายส่งภาพให้เรียบร้อยแล้ว”
ชายหนุ่มวัยกลางคนยื่นซองเงินสดสีน้ำตาลให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ว่าแต่เอเลนนายไม่ไปต่อกับพวกเราเหรอไง อาหารฟรีนะเจ้าหนู”
ชายหนุ่มเอ่ยถามชักชวนเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยกันดีเพราะทำงานร่วมกันมานานพอสมควร
“ไม่ล่ะครับคุณฮันเนส ผมจะรีบไปเคลียร์งานต่อให้เสร็จดีกว่าไว้โอกาสหน้านะครับ”
ใบหน้ามนยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มอายุมากกว่า
“งั้นเหรอ
แล้วแต่นายละกันแต่ถ้ามีอะไรให้ชั้นช่วยก็บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะ”
ฮันเนสตบบ่าร่างบาง เพราะรู้ดีว่าเอเลนนั้นเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กหนุ่มพยายามดิ้นรนไต่เต้าจนเป็นช่างภาพที่มีฝือมือได้ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ด้วยความมุมานะพยายาม
และความอดทนของเจ้าตัวด้วยแล้วยิ่งทำให้เขารู้สึกชื่นชมและเอ็นดูเด็กหนุ่ม
ตั้งแต่เขาเจอเอเลนครั้งแรกก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ด้วยความบังเอิญเด็กหนุ่มผอมแห้งหิวโซที่มาล้มตัวนอนอยู่หน้าบ้านเขา
และด้วยความสงสารเขาจึงเก็บเด็กหนุ่มมาเลี้ยงดูและเริ่มให้ช่วยงานเป็นลูกมือเขาในสตูดิโอที่เขาเป็นเจ้าของ
ไม่รู้ว่าในอดีตเจ้าเด็กนี้เคยเจอกับอะไรมาบ้างแต่ครั้งแรกที่ได้เจอเด็กหนุ่ม
นัยน์ตาสีมรกตยังคงฉายแววร่าเริงและสดใสผิดกับบรรดาเด็กข้างถนนอื่นๆที่เขาเคยเจอที่ส่วนใหญ่มักจะมีสีหน้าเศร้าหมองและหวาดกลัวผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ
ผิดกับเอเลนที่เจ้าตัวมักจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งที่เขาสอนและจดจำสิ่งต่างๆ
ถึงแม้แรกๆเจ้าตัวยังคงระแวงคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งตัวเขาที่เก็บเด็กนั่นมาแต่พอเริ่มคุ้นเคยเจ้าตัวดีกลับชอบที่จะวิ่งเข้าหาและเป็นเด็กขี้อ้อนมากทีเดียว
และมันก็ทำให้เขาเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้าเหมือนลูกชายแท้ๆ แต่เมื่อสองเดือนก่อนเด็กหนุ่มกลับขอออกไปอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง
ทำให้เขารู้สึกใจหายไม่น้อย ที่จริงเขาไม่อยากให้เอเลนออกไปอยู่ข้างนอกแต่ในเมื่อเจ้าตัวตัดสินใจและนิสัยดื้อรั้นที่ติดตัวมาก็ทำให้เขาไม่สามารถที่จะรั้งเจ้าตัวดีไว้ได้
“ขอบคุณนะครับคุณฮันเนส”
มือบางกระชับกระเป๋าสะพายและกล่าวลาคนอายุมากกว่าก่อนที่จะเดินออกมาจากสตูดิโอ
เอเลนล้วงซองสีน้ำตาลอีกซองขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายใบเก่งของตน
ร่างบางยังคงแปลกใจกับเงินจำนวนมหาศาลที่เขาได้มาหลังจากขายภาพถ่ายที่เขาถ่ายได้ด้วยความบังเอิญที่ท่าเรือให้กับนักข่าวที่รู้จักและคุ้นเคยกันดี
ไม่คิดเลยว่าภาพถ่ายใบนั้นจะสามารถทำให้เขามีเงินกินไปตลอดทั้งเดือนได้อย่างสบายๆ
อืม…เราควรจะรับงานเป็นนักข่าวอิสระเพิ่มดีไหมนะ?
แต่คุณฮันเนสต้องไม่พอใจแน่ๆเลยกับการที่ไปรับงานที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้น
ทั้งที่ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้าและเร่ร่อนบนท้องถนนแต่กลับได้ชายหนุ่มผู้ใจดีหยิบยื่นความช่วยเหลือ
ทั้งที่เคยคิดว่าอนาคตของตัวเองคงไม่มีอีกแล้ว
แต่คุณฮันเนสได้ช่วยสั่งสอนเด็กข้างถนนเช่นเขาให้รู้จักกับการถ่ายภาพและสามารถยึดเป็นอาชีพจนเลี้ยงตัวเองได้
เป็นผู้มีพระคุณที่หยิบยื่นและมอบชีวิตที่เคยมองไม่เห็นหนทางให้กับเขา การที่เขาตัดสินใจออกจากบ้านหลังนั้นมาก็ทำให้รู้สึกแอบเหงาอยู่ไม่น้อย
แต่เขาเกรงใจชายหนุ่มที่ชุบเลี้ยงดูตนมา เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีสายเลือดเดียวกันการที่เขาจะอยู่แบบนั้นไปตลอดก็คงไม่ดี
อีกทั้งคุณฮันเนสก็กำลังจะแต่งงานกับหญิงที่รักและสร้างครอบครัวที่อบอุ่น การที่เขาออกมาอาศัยข้างนอกน่าจะทำให้คุณฮันเนสสามารถสร้างครอบครัวใหม่ที่อบอุ่นได้โดยไม่ต้องเกรงใจเด็กอย่างเขา
ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาบุญคุณที่ชายหนุ่มมอบให้กับเด็กไร้ญาติขาดมิตรอย่างช่นเขาก็มากเกินกว่าที่จะทดแทนหมดแล้ว
ถ้าให้เงินสดไปคุณฮันเนสต้องไม่รับแน่ๆเลย
แล้วควรจะซื้ออะไรให้เป็นของขวัญแต่งงานกับทั้งคู่ดีนะ? ร่างโปร่งเดินไปตามท้องถนนผ่านย่านการค้ามากมายแต่เนื่องจากเวลาที่มืดค่ำมากแล้วผู้คนที่เดินผ่านไปมาจึงเบาบาง
ร้านที่เปิดอย่างครึกครื้นตอนกลางวันก็ปิดทำการหมดเสียแล้ว
ตอนนี้จึงทำให้ถนนนั้นมีแต่ความเงียบ
แสงไฟจากเสาไฟฟ้าที่ตั้งเรียงรายทำให้เมืองสว่างไสว เพราะเป็นเมืองใหญ่จึงทำให้ตอนกลางคืนไม่ได้ดูวังเวงเหมือนชนบทแต่กลับดูเงียบเหงาและอ้างวางเมื่อยามไร้ผู้คน
เอเลนมองทางแยกข้างหน้าที่ต้องผ่าน ใบหน้ามนครุ่นคิดทางกลับไปยังห้องเช่าของตน
ถ้าตรงไปทางนี้ใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีกว่าจะถึงห้อง
แต่ถ้าไปทางลัดตรงนี้ก็ใช้เวลาแค่สิบห้านาที ไปทางนี้ละกันต่อให้ต้องผ่านย่านราตรีที่ไม่ค่อยชอบก็เถอะนะ
ด้วยความที่อยากกลับถึงห้องพักของตนเร็วๆ
จึงทำให้เด็กหนุ่มเลือกใช้เส้นทางที่ปกติไม่ค่อยได้ใช้นักเพราะเป็นเส้นที่ต้องผ่านย่านราตรีและโรงแรมม่ายรูดต่างๆมากมาย
ริมสองฝั่งของถนนที่ดูครึกครื้นผิดกับย่านร้านค้าที่เดินผ่านมาตอนแรก
สาวสวยในชุดรัดรูปโชว์สัดส่วนรอเรียกลูกค้าเพื่อเข้าร้าน
สำหรับถนนเส้นนี้แล้วความครื้นเครงเพิ่งได้เริ่มต้นขึ้น ชายหนุ่มและหญิงสาวมากมายต่างแต่งตัวกันอย่างเต็มที่เพื่อหวังจะดึงดูดคนรอบข้าง
เสียงตะโกนเรียกและเชิญชวนพร้อมโปรโมชั่นเหล้าชั้นดีต่างๆดังแข่งกันทั้งริมสองฝากถนน
ร่างโปร่งได้แต่ก้มหน้าเดินพยายามให้พ้นจากสถานที่ตรงนี้ไปเสียที
ถึงแม้บ่อยครั้งที่จะมีคนมาดักหน้าและเกาะแขนเด็กหนุ่มเพื่อเชิญชวนให้ซื้อบริการหรือเข้าไปนั่งในร้าน
เจ้าตัวก็ได้แต่ปฎิเสธด้วยความสุภาพและรีบเดินหนีออกมา ถึงแม้เขาจะเคยเป็นเด็กข้างถนนที่เร่ร่อนมาก่อนแต่สำหรับย่านราตรีแบบนี้แล้วเขาก็ยังคงไม่คุ้นชินเสียที
นั่นอาจเป็นเพราะตั้งแต่เจอคุณฮันเนสเขาก็ทุ่มเทให้ความสนใจกับการถ่ายภาพเลยทำให้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสถาณเริงรมย์
หรือสนใจในเรื่องรักๆใคร่ๆแม้แต่น้อย
ในที่สุดเลี้ยวตรงนี้ก็จะพ้นถนนเส้นนี้เสียที
เอเลนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพยายามเดินอย่างรวดเร็วมาจนถึงสุดเส้นทางของย่านราตรี
ก่อนที่ร่างบางจะทันได้เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางกลับที่พักของตนมือแกร่งของใครบางคนเข้าล็อคตัวของเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวถูกโปะลงที่ใบหน้ามนกลิ่นหวานแปลกๆที่แตะปลายจมูกทำให้เจ้าตัวเผลอสูดดมเข้าไป
สติที่พยายามประคองไว้เริ่มพร่าเลือน เปลือกตารู้สึกหนักอึ้งอย่างไร้สาเหตุ เรี่ยวแรงที่พยายามดิ้นรนเริ่มหายไปเสียดื้อ
แล้วร่างทั้งร่างก็ทิ้งลงบนแขนแกร่งของใครบางคนที่รอรับไว้
.
.
.
.
.
“ตื่นได้แล้วไอ้หนู”
เสียงเย็นที่แทรกเข้ามาในโสตประสาททำให้เปลือกตาบางค่อยๆลืมขึ้น
นัยน์ตาที่พร่ามัวไม่เข้าที่ดีทำให้ร่างโปร่งพยายามยกมือขึ้นมาหมายจะขยี้ตาตนเอง
แต่แรงตึงที่แขนทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาได้นัยน์ตาสีมรกตสะบัดไปมาเพื่อขับไล่ความงุนงงที่เกิดขึ้น
ใบหน้ามนหันมองแขนทั้งสองข้างของตนเองและพบว่าถูกมัดไว้ด้วยเชือกเส้นหนากับราวเหล็ก
ยังดีที่ขาทั้งสองข้างไม่ได้ถูกพันธนาการ
เมื่อสมองเริ่มสั่งการนัยน์ตาสีมรกตได้แต่เบิกกว้างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ตนถูกมัดไว้
เมื่อมองไปรอบๆตัวจึงได้เห็นกลุ่มคนในชุดสูทที่มีสัญลักษณ์ปีสีขาวและดำไขว้ปักอยู่บนไหล่เหมือนกับสัญลักษณ์อะไรสักอย่างขององค์กร
ชายร่างเล็กในเสื้อเชิ๊ตสีดำและกางเกงแสลคที่อยู่ท่ามกลางคนชุดสูทที่สำดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มที่จับตัวเขามา
“นี่มันอะไรกัน!!
พวกนายจับชั้นมาทำไม?!” นัยน์ตาสีมรกตจ้องเขม็งไปยังชายร่างเล็กตรงหน้าที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนที่กำลังล้อมรอบตัวเขา
พลั๊ก!
แทนที่เขาจะได้รับคำตอบจากชายร่างเล็กแต่กลับเป็นฝ่าเท้าที่เตะเข้าที่ใบหน้า
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งกระจายไปทั่วปากของร่างโปร่ง
เอเลนถ่มน้ำลายที่ปนเลือดของตนลงที่พื้น ทั้งที่โดนเตะแค่ครั้งเดียวแต่ความรุนแรงที่ฟาดลงมานั้นทำให้เจ้าตัวเลือดกลบปากไม่น้อย
“แกน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเพราะอะไร
รูปถ่ายของแกมันเกือบสร้างความเสียหายให้กับลูกค้าของฉัน”
รองเท้าหนังมันวาวช้อนคางของใบหน้ามนที่อยู่ข้างใต้
นัยน์ตาสีขี้เถ้าก้มมองคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาพึงพอใจกับสีหน้าที่ตื่นตระหนกของเด็กหนุ่ม
เอเลนเริ่มเข้าใจถึงสถาณการณ์ตรงหน้าที่ได้เจอ
รูปถ่ายที่ท่าเรือที่เขาถ่ายได้ด้วยความบังเอิญและขายให้กับนักข่าวไปคงสร้างความเดือดร้อนให้กับชายตรงหน้าเป็นอย่างมากถึงได้จับตัวเขามา
“หึ เพราะกลัวว่าเรื่องเลวๆของพวกแกจะถูกเปิดโปงจึงต้องปิดปากชั้นงั้นสิ
แต่บอกไว้เลยต่อให้นายฆ่าชั้นไปก็ไร้ประโยชน์ สักวันเรื่องชั่วๆของพวกแกก็ต้องถูกคนอื่นเปิดโปงอยู่ดี”
แม้จะหวั่นเกรงต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเจ้าตัว
แต่ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเด็กหนุ่มทำให้เขามองใบหน้าคมที่เฉยชาอย่างท้าทาย
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ
แม้จะอยู่ในสถาณการณ์ที่เรียกได้ว่าชีวิตอยู่ในกำมือของเขาเพียงแค่เขาเอ่ยปากเจ้าตัวดีตรงหน้าก็จะหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่เจ้าเด็กดื้อด้านนี่ยังคงส่งสายตาท้าทายและประกายตาเย่อหยิ่งที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้เลย
และมันทำให้เขารู้สึกสนุก
ขาแกร่งฟาดเข้าที่ลำตัวของเด็กหนุ่มอย่างแรงจนร่างโปร่งถึงกับบิดงอด้วยความจุก
มือแกร่งกระชากลงบนเส้นผมสีน้ำตาลที่อ่อนนุ่มให้นัยน์ตาสีมรกตที่ดื้อรั้นนั้นจ้องมองกับนัยน์ตาที่เย็นชาของเขา
“ไม่รู้จักประเมินตนสมเป็นเด็กเหลือขอจริงๆนะไอหนู
ชั้นจะบอกให้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแสงสว่างหรือความมืดที่แบ่งแยกชัดเจนเหมือนในนิทานหลอกเด็กพวกนั้น
จะมีก็แต่โลกที่มันขมุกขมัวเป็นสีเทาต่างหากล่ะ
และถ้านายเผลอก้าวเข้ามาในโลกแบบนี้แล้วก็ยากที่จะถอนตัวออกไป… โลกมันก็โหดร้ายแบบนี้แหละจำไว้ซะไอหนู”
ร่างแกร่งถอยออกจากเด็กหนุ่มตรงหน้า
ใบหน้าคมหันไปสั่งลูกน้องของตนให้พาตัวเด็กหนุ่มไป
เขาไม่ได้ต้องการชีวิตของเด็กหนุ่มตั้งแต่แรกอยู่แล้วแค่ต้องการสั่งสอนเท่านั้นแต่ดูท่าความดื้อรั้นที่มีอยู่มากในตัวของเด็กหนุ่มทำให้เขาตัดสินใจที่จะอบรมสั่งสอนเจ้าตัวดีอีกสักพักก่อนที่จะปล่อยออกมา
เพราะการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก่อนที่เจ้าเด็กนี่จะเป็นเชื้อเพลิงที่ส่งผลต่อเขาในภายหลัง
ดังนั้นควรที่จะต้องสั่งสอนให้รู้จักหวาดกลัวและหลาบจำกับโลกขุ่นมัวที่เจ้าเด็กนี้เผลอเหยียบก้าวเข้ามาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
จับไปขังสักสองถึงสามวันคงทำให้เด็กเหลือขอนี่หลาบจำได้บ้าง
“เฮ้ยไอเด็กบ้าทำอะไรของแกวะ!!” เสียงของลูกน้องคนหนึ่งตะโกนดังขึ้น
เมื่อเขาเข้าไปแก้มัดเจ้าตัวดีที่ดูเหมือนจะจุกจนขยับตัวไม่ไหว แต่เขาคิดผิดเมื่อเด็กหนุ่มที่คาดว่าสิ้นฤทธิ์แล้วนั้นกลับวิ่งเข้าชนตัวเขาแล้วศอกเข้าที่ท้องจนเขาลงไปทรุดตัวลงกับพื้น
เจ้าเด็กหนุ่มตัวดีวิ่งไปคว้ากระเป๋าสะพายที่อยู่ในมือของชายชุดดำอีกคนอย่างรวดเร็วโดยที่ชายคนนั้นยังไม่ทันตั้งตัว
ร่างโปร่งรีบวิ่งขึ้นบันไดของตึกที่คาดว่าน่าจะเป็นตึกร้างที่โดนจับตัวมา
สองขาเรียววิ่งไปชั้นบนสุดของอาคาร
เวรแล้ว!!ทางตัน
ใบหน้ามนพยายามครุ่นคิดหาทางหนีจากในห้องสี่เหลี่ยมที่ไร้ซี่งประตูทางออกใดใด
เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่กำลังไล่ตามมากระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ
จนมาถึงห้องบนสุดของอาคารที่เด็กหนุ่มอยู่
“แฮ่ก แฮ่ก ไอเด็กบ้าแกหนีไม่พ้นแล้วนะเว้ย อุ๊บ!”
หนึ่งในลูกน้องที่พยายามวิ่งไล่ตามจับร่างโปร่งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่ปากของตน
เพราะพยายามวิ่งไล่ตามเด็กหนุ่มตรงหน้าเลยทำให้เผลอกัดลิ้นเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ใครว่าล่ะครับยังมีอีกทางต่างหาก”
พูดจบร่างบางก็กระโดดออกทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้
ท่ามกลางความตกตะลึงของกลุ่มคนที่วิ่งไล่ตาม
ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งรีบวิ่งมาที่หน้าต่างเพื่อมองหาเด็กหนุ่มที่ร่วงหล่นไปด้วยความตกใจ
เขาไม่ได้จะให้ไอเด็กบ้านั่นตายซะหน่อยดันคิดสั้นกระโดดลงตึกสูงห้าชั้นเองนี้นะ นัยน์ตาสีขี้เถ้าก็เบิกกว้างเมื่อพบว่าเจ้าเด็กหนุ่มตัวดีกระโดดไปยืนบนหลังคาของร้านค้าที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
เด็กหนุ่มวิ่งไปตามหลังคาแล้วค่อยๆเกาะระเบียงของตึกที่อยู่ถัดไปก่อนจะวิ่งลงไปทางบันไดหนีไฟของตึกตรงหน้า
“หนอยไอเด็กบ้านั่น!!
จะตามจับมันให้ได้เลยคอยดู!!”
ชายหนุ่มผมสีอ่อนหยักศกตัดรองทรงเตรียมหันหลังวิ่งไล่ตามเป้าหมายที่หนีไป
แต่ถูกมือแกร่งของหัวตนเองจับบ่าไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องออลโอ คราวนี้ปล่อยมันไปก่อน”
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่วิ่งไปจนลับตา ริมฝีปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
น่าสนุก… ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ความดื้อรั้นและความบ้าบิ่นในตัวของเด็กหนุ่มช่างปลุกเร้าสัญชาตญาณกาลไล่ล่าของเขา
ทั้งที่แค่อยากจะสั่งสอนและปล่อยไปเหมือนกับคนอื่นๆที่ชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยนไม่รู้ตัว
แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับกล้าที่จะท้าทายคนอย่างเขาอย่างไม่เกรงกลัว
และมันทำให้เขารู้สึกสนใจและอยากสั่งสอนเจ้าคนดื้อรั้นนั้นให้ยอมเชื่อฟังและอยู่ภายใต้คำสั่งของเขา
ใบหน้าและแววตาที่เย่อหยิ่งนั่นอยากจะให้ฉายแววอ้อนวอนและยอมสยบอยู่แทบเท้าของเขา
ขอดูหน่อยสิว่าถ้านายเผลอตกมาในโลกที่ขุ่นมัวนี้แล้วนายยังคงมีประกายตาที่แน่วแน่อย่างนั้นได้อยู่รึเปล่า
ตอนนี้ชั้นจะปล่อยให้นายวิ่งหนีไปก่อน เพราะอีกไม่นานชั้นนี้ล่ะจะไล่ล่านายเอง เอเลน
เยเกอร์
ร่างโปร่งเมื่อกลับมาถึงที่พักก็รีบตรวจเช็คสัมภาระของตนเองทันที
กล้องโอเค เลนส์ยังอยู่ครบ แล้วก็…
เมมโมรี่โอเค ค่อยยังชั่วหน่อยนึกว่าต้องทำให้คุณฮันเนสเดือดร้อนซะแล้ว
เอเลนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อตรวจพบว่าของทุกอย่างในกระเป๋ายังคงอยู่เรียบร้อยดี
ร่างโปร่งนำผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วบิดให้แห้งดีแล้วเอามาประคบบริเวณปากที่แตกของตนเอง… เจ็บชะมัด
เพิ่งเคยขายข่าวให้นักข่าวครั้งแรกก็เป็นเรื่อง
เขาคงไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับวงการอันตรายแบบนี้อีก
เอเลนทิ้งร่างเหนื่อยล้าลงบนเตียงความเจ็บและจุกบริเวณช่วงท้องที่ได้รับยังคงระบบอยู่
นัยน์ตาสีมรกตเหม่อมองเพดานห้องสีขาวของตน
เหอะ โลกนี้ไม่ใช่สีขาวหรือดำงั้นเหรอเรื่องแบบนี้ใครๆเขาก็รู้กัน
ตัวเขาที่เติบโตมาจากเด็กข้างถนนก่อนที่คุณฮันเนสจะเก็บมาเลี้ยงดูย่อมรู้ดีว่าโลกนี้โหดร้ายขนาดไหน
ว่าแต่ผู้ชายหน้าตายคนนั้นเป็นใครกันแน่นะ….
แต่ช่างเถอะยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วถ้าเขาไม่ได้เผลอแส่หาเรื่องล่ะก็นะ
แต่ว่าคงไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้วเพราะเกรงว่าจะทำให้คุณฮันเนสต้องเดือดร้อนไปด้วย
ขอให้เรื่องทุกอย่างจบลงแค่ที่เขาโดนเตะวันนี้ก็พอ
คิดแล้วก็เจ็บใจชะมัดไอเจ้าผู้ชายตัวเตี้ยนั่นทำไมแรงมันเยอะนักนะ
เตะมาทีแทบจะลงไปคลานกับพื้น เอเลนนึกถึงชายหนุ่มที่วันนี้ได้เจออย่างหงุดหงิด
เด็กหนุ่มสะบัดหัวไปมาไล่ภาพและความคิดเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่วันนี้ได้เจอ
เลิกคิดได้แล้วยังไงก็ไม่ขอเจออีกเด็ดขาด
เด็กหนุ่มไม่อาจล่วงรู้เลยว่าการเจอกันของเขาและชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งจะทำให้ชีวิตที่แสนสงบสุขที่ผ่านมาของเจ้าตัวต้องเปลี่ยนไป
เมื่อชายคนนั้นตัดสินใจแล้วว่า เกมการไล่ล่าได้เริ่มขึ้นแล้ว
TBC.
หัวหน้าค่ะ จะกี่เรื่องๆ ก็อยู่วงการมืดเหมือนเดิม ถถถ
ตอบลบเอเลน ยกนิ้วบวกๆ ให้ ชีวิตคิดบวกจริงๆ
ขนาดเกิดมาแบบนั้น มีชีวิตมาแบบนั้นยังยิ้มได้
ขอนับถือเธอจากใจจริง #โค้งงามๆ
ความเถื่อนเเละความเอสของหัวหน้ามันให้ค่ะ5555
ลบน้องเลนนักสู้ชีวิตค่ะ มีอะไรต้องฝ่าอีกเยอะ โดยเฉพาะฝ่าทีนเฮียรีไว(รักเทอจริงๆนะเอเลน)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบวนกลับมาอ่านใหม่อีกรอบค่ะ 555 อ่านกี่รอบก้อสนุกเหมือนเดิมเรยย>_<
ตอบลบวนกลับมาอ่านใหม่อีกรอบค่ะ 555 อ่านกี่รอบก้อสนุกเหมือนเดิมเรยย>_<
ตอบลบ