วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (LevixErenxMikasa ver. C) Evil Of Notre Dame



Fic. Attack On Titan (LevixErenxMikasa ver. C)
Evil  Of  Notre Dame

แกร๊ง  แกร๊งง  แกร๊งงง

            เสียงระฆังตีบอกเวลาอย่างเที่ยงตรงของวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ นอร์ทเธอดาม มหาวิหารใหญ่ตั้งตระหง่าน ณ กรุงปรารีส เมื่อแสงอรุณขึ้นสาดส่องทั่วนครเสียงระฆังก้องกังวานดังไปทั่วทั้งเมืองเพื่อปลุกเหล่าประชาของเมืองให้ตื่นจากนิทราเข้าสู่วิถีชีวิตของวันใหม่อีกครา
                แต่ใครเล่าจะรู้บ้างว่ามหาวิหารที่ตระหง่านตาและผู้ที่ตีระฆังก้องกังวานคือผู้ใด? เพราะไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้า เสียงเล่าลือถึงเด็กหนุ่มผู้ผิดแปลก คำร่ำลือว่าแท้จริงแล้วเป็นปีศาจที่ตีระฆังวิหาร ปีศาจที่สาธุคุณแห่งปารีสรับเลี้ยงไว้ให้อยู่ภายใต้ความดูแลของเขตอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะวิหารนี้ทุกชีวิตย่อมถูกเมตตาและละเว้นแม้กระทั่ง ปีศาจ……

                แสงสีทองยามรุ่งอรุณที่เริ่มสาดส่องจนบาดตาให้ต้องหรี่ตาลง เด็กหนุ่มร่างบางในชุดแต่งกายเสื้อแขนยาวสีเขียวซีดหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจการตีระฆังของตนก็โหนเชือกระฆังเส้นยาวลงมายังชั้นล่างถัดจากหอระฆังไม่มากนัก ที่แห่งนี้แม้จะเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นบ้านของเขา แต่ก็เป็นที่ตัวเขาเติบโตและถูกเลี้ยงดูมาภายใต้สถานที่ที่ซึ่งเรียกได้ว่าอ้อมกอดแห่งพระเป็นเจ้า ตัวเขาที่ผิดแปลกไปจากผู้อื่นสามารถอยู่ที่นี้ได้อย่างสบายใจ แต่กระนั้นก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนให้ผู้คนเห็นได้ จะมีก็แต่บรรดาเหล่าบาทหลวงที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ที่เขาได้พบเจอและพูดคุยด้วยในสมัยเด็ก แต่เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจนอายุ 15 ตัวเขากลับไม่อาจพูดคุยกับคนเหล่านั้นเพราะถูกผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ปกครอง ผู้ที่คอยดูแลสั่งห้ามเพราะเกรงว่าความแปลกแยกที่ทำให้ถูกเรียกว่าปีศาจจะทำให้คนเหล่านั้นหวาดผวา ถึงแม้ตัวเขาจะฝืนคำสั่งลองไปคุยกับพวกบาทหลวงคนอื่นในวิหารดูบ้างแต่กลับไม่มีใครคุยหรือสบตากับเขาเลยสักคนเดียว และนั่นทำให้ตัวเขาต้องโดดเดี่ยวอยู่ภายในหอระฆังของมหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่กระนั้นเด็กหนุ่มร่างบางก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อน เพื่อนลับๆที่ไม่หวั่นเกรงเขา นัยน์ตาสีทองอร่ามมองนกสองตัวในรังที่เขาคอยดูแลตั้งแต่ออกจากไข่ เพราะแม่นกนั้นหายไป มือเรียวลูบไล้นกสีขาวตัวเล็กกลมสองตัวอย่างเอ็นดู
                “ไงโคนี่ ไงชาช่า วันนี้ชาช่าก็ยังแย่งอาหารโคนี่ตามเดิมเลยนะ” ร่างโปร่งมองนกน้อยสองตัวที่นกตัวหนึ่งใช้ปีกของตนกอบโกยเหล่าเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในรังไปไว้ยังฝั่งของตนเป็นจำนวนมากจนเหลือให้อีกตัวนั้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น เด็กหนุ่มเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารและเอ็นดูในความตะกละของนกน้อยชาช่าและโคนี่ ระหว่างที่กำลังพูดคุยและให้อาหารเหล่านกน้อยเพื่อนของตนอยู่นั้นเสียงฝีเท้าที่ขึ้นบันไดมายังหอคอยด้านบนก็ใกล้เข้ามา ถึงแม้นไม่หันไปดูว่าต้นเสียงที่กำลไงใกล้เข้ามาเป็นผู้ใดก็สามารถรับรู้ได้ทันที เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่คอยขึ้นมาดูแลและเสวนากับคนแปลกแยกเช่นเขา

                “เอเลนข้าเอาอาหารมาให้” ผู้มาเยือนวางอาหารลงบนโต๊ะไม้ยาวข้างกำแพงเหมือนเช่นทุกครั้ง
                “อรุณสวัสดิ์ครับท่านสาธุคุณรีไว” เอเลนเดินเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมยิ้มทักทายเฉกเช่นทุกวัน
                รีไวหยิบขนมปังออกมาจากตะกร้าพร้อมใช้มีดผ่าแบ่งออกทาเนยและใส่จานยื่นให้กับเด็กหนุ่ม พร้อมทั้งรินนมใส่แก้วประจำส่งให้เอเลน ก่อนที่จะหยิบผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงขึ้นมาปอก
                เอเลนบิขนมปังออกใส่ปาก เสียงเพลงและดนตรีจากเบื้องล่างที่สนุกสนานรื่นเริงดังขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มสนใจและสงสัย ใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็นนั้นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันสามารถรับรู้ได้ทันที
                “เจ้าอย่าริลงไปจากวิหารแห่งนี้เชียว” คำห้ามจากคนที่เป็นผู้ใหญ่ทำให้เด็กหนุ่มหน้าหงอยลงถึงกระนั่นความอยากรู้อยากเห็นและอยากสัมผัสโลกภายนอกก็ทำให้เขาเอ่ยปากร้องขอ
                “แต่วันนี้ในเมืองดูเหมือนมีงานรื่นเริง ท่านพอจะอนุญาติ” ยังไม่ทันได้ขอร้องจนจบประโยคเด็กหนุ่มต้องกลืนคำพูดของตนกลับลงไปในคอเมื่อนัยน์ตาสีหมอกแสนเย็นชาเริ่มฉายแววไม่พอใจและส่งประกายดุมองมาที่ตน
                รีไวยื่นมือแกร่งลูบไล้ใบหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ทำหน้าหมองลงไป “เจ้าก็รู้ว่าเจ้าไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้เอเลน”
                ร่างโปร่งก้มมองขนมปังในมือตนพลางถอนหายใจ
                “เพราะสีนัยน์ตาสีทองของข้าสินะ” สีที่แตกต่างจากคนทั่วไปและถูกผลักไสให้กลายเป็นปีศาจจนมีชีวิตอยู่ได้แค่ภายในวิหารแห่งนี้
“เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจเอเลน ที่แห่งนี้ถึงปกป้องเจ้าได้ นับตั้งแต่ที่ข้าช่วยชีวิตเด็กทารกตัวน้อยที่กำลังโดนพ่อแท้ๆทิ้งลงบ่อน้ำเพียงเพราะมีนัยน์ตาของปีศาจนั่น” โชคชะตาที่น่าอาดูรแม้แต่สายเลือดเดียวกันก็มิอาจยอมรับชีวิตน้อยที่เกิดขึ้นมา ถ้าวันนั้นตัวเขาซึ่งกลับจากการไปเทศนาที่โบสถ์ข้างเคียงไม่กลับมาแล้วบังเอิญเขอบิดาของเด็กหนุ่มที่กำลังจะโยนชีวิตน้อยๆนั้นทิ้งลงบ่อน้ำ ชีวิตนั้นตอนนี้คงไม่ได้เติบโตและอยู่ตรงหน้าเขา
“ท่านคือผู้มีพระคุณของข้าครับท่านรีไว” ใบหน้ามนยิ้มบางให้กับความเอ็นดูที่คนตรงหน้ามอบให้ ถ้าไม่มีคุณรีไวตัวเขาคงอาจโดนขายเข้าคณะละครสัตว์ หรือกลายเป็นสิ่งของสะสมสำหรับผู้ชื่นชอบของแปลกก็เป็นได้ แต่กระนั้นถ้าเพียงแค่นิดเดียว “ถ้าแอบคลุมหน้าออกไปสักครู่คง
“อย่าขัดข้าเอเลน!” เสียงดุสั่งปรามความคิดของเด็กหนุ่มจนร่างโปร่งสะดุ้งด้วยความเกรงนัยน์ตาคมที่ถูกส่งมา “ข้าไม่อยากให้ใครทำร้ายเจ้า”
“ขอโทษครับท่านรีไว” เด็กหนุ่มเอ่ยกล่าวขอโทษพร้อมจุมพิตลงบนหลังมือของชายหนุ่ม
เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดทำให้ทั้งสองมองตามต้นเสียง บาทหลวงหนุ่มผมทองมัดผมก้มศีรษะเชิงขออนุญาติ
“มีอะไรหรือเอริ์ด?” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นผู้มาเยือน
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะขอรับท่านสาธุคุณ วันนี้กษัตริย์เอลวินเรียนเชิญท่านให้เข้าเฝ้าน่ะขอรับ ข้าเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว”
รีไวทำหน้าหงุดหงิดกับเนื้อหาที่ถูกนำมารายงาน ไม่เข้าใจว่าทำไมกษํตริย์ถึงชอบเรียกเขาเข้าเฝ้านัก เรื่องหลักคงไม่พ้นเรื่องของข่าวลือที่วิหารรับเลี้ยงปีศาจไว้เช่นเคย
“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไป”
เอริ์ดรีบโค้งศีรษะกล่าวลาและลงจากหอคอย เมื่อพบว่านัยน์ตาสีขี้เถ้านั้นเริ่มมองมาอย่างไม่พอใจนักกับการที่เขาเข้ามายังหอระฆังแห่งนี้
“ข้าคงต้องไปแล้ว” มือแกร่งลูบไล้ใบหน้ามนอย่างแผ่วเบาก่อนเดินจากไป
เมื่อเด็กหนุ่มมองส่งผู้มาเยือนจนลับตาร่างโปร่งจึงเดินทางหน้าต่างเพื่อมองงานรื่นเริงที่ถูกจัดขึ้นกลางเมือง นัยน์ตาสีทองลุกวาวทอประกายกับบรรดาเครื่องแต่งกายแฟนซีแปลกตาที่กำลังเดินพาเหรด เสียงดนตรีที่ดังอย่างสนุกสนานยิ่งขับให้หัวใจร้องหา กระตุ้นเร้าให้อยากลงไปสัมผัสกับงานเบื้องล่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้าข้าปลอมตัวลงไปสักครู่แล้วกลับมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงไม่เป็นปัญหาใช่ไหม โคนี่ ชาช่า?” ใบหน้ามนยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับนกน้อยทั้งสองที่เอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ มือเรียวคว้าผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มที่แขวนไว้ของตนคลุมศีรษะและพยายามดึงผ้าคลุมให้ลงมาพลางนัยน์ตาของตน ขาเรียวรีบก้าวลงจากหอคอย มือเรียวค่อยๆผลักประตูวิหารบานใหญ่ออกด้วยใจที่เต้นระรัว สีสันของขบวนพาเหรดและเสียงดนตรีที่ได้ยินอย่างชัดเจนยิ่งทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มตื่นเต้นกับภาพที่เห็นตรงหน้า มือเรียวกระชับผ้าคลุมแน่นสองขาก้าวออกจากวิหารเข้าสู่งานรื่นเริงที่ไม่เคยได้สัมผัส
“เอาอะไรดีจ๊ะพ่อหนุ่ม?”
“ผ้าไหมชั้นดีเหมาะกับผิวขาวของเจ้านะ”
“นายเคยลองนี้แล้วรึยัง อาหารสูตรเด็ดเพื่อวันที่น่าตื่นเต้นวันนี้เชียวนะ!
ร่างโปร่งถูกคนมากมายรายล้อมพร้อมทั้งเสนอสินค้าและอาหารต่างๆมากมาย ตัวเขาที่ไม่เคยได้สัมผัสผู้คนมาแสนนานรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจ พาเหรดและชุดแต่งกายหลากสีสันที่เดินผ่านทำให้เขาตื่นเต้นจนรีบก้าวเข้าไปด้านหน้าฝ่าฝูงคนมากมาย ด้วยความไม่ระวังและความไม่คุ้นเคยทำให้เอเลนโดนกลุ่มคนที่เบียดนั้นเบียดกระแทกไปมา จนร่างบางเซถลาไปชนกับแผ่นอกแกร่งของคนที่อยู่ข้างหน้าใบหน้าเงยมองเพื่อจะกล่าวขอโทษโดยไม่ทันรุ้ตัวเลยว่าผ้าคลุมของตนนั้นหลุดออกเสียแล้ว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงผมดำดุจราตรีใบหน้าที่นิ่งเฉยแต่แฝงด้วยความอบอุ่นมองใบหน้ามนที่ขึ้นสบตาก็ราวถูกสะกดไว้ด้วยดวงตาสีทองอร่ามที่งดงามซึ่งประดับบนใบหน้าหวานของผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเปลือกไม้
“ขขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เพราะไม่เคยสัมผัสหรือมองหน้าคนอื่นนอกจากสาธุคุณรีไวเลยทำให้เอเลนประหม่าคนแปลกหน้าที่ได้เจอ แต่การกระทำนั่นยิ่งขับให้คนตรงหน้ารู้สึกถึงความน่ารักในตัวเด็กหนุ่ม
“นัยน์ตาของเจ้าสีแปลกดี เจ้าเตรียมตัวมาประกวดแฟนซีคนงามสินะข้ามั่นใจว่านัยน์ตาสีทองที่แปลกตาของเจ้านั้นต้องชนะแน่นอน”
“เอ๊ะ? ข้าเปล่า”
ชายหนุ่มไม่ทันฟังคำปฎิเสธมือแกร่งก็ลากข้อมือบางก้าวขึ้นเวทีที่กำลังจัดประกวดกันกลางเมือง
“มิคาสะมาสักที เราจะได้ตัดสินแล้วว่าใครจะเป็นคนรูปงามที่สุดของวันนี้” เสียงโฆษกที่แต่งกายด้วยชุดพิธีการสีแดงสว่างตา ใบหน้าคมสันเหลี่ยมชัดเจนแล้วแววตาขี้เล่นช่างเหมาะสมกับตำแหน่งพิธีกรประจำงาน
“ไรเนอร์ข้ามีคนมาเข้าประกวดเพิ่มด้วย” ชายหนุ่มดันหลังร่างบางให้ไปกลางเวลทีรวมกับผู้ประกวดคนอื่นๆ
เอเลนต้องยอมเข้าไปรวมกลุ่มอย่างไม่เข้าใจและเต็มใจนัก ใบหน้ามนยกมือบางขึ้นปิดหน้าพลางลอบมองเหตุการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้นอย่างตกใจระคนตื่นเต้นเช่นกัน
“เอาล่ะครับทุกท่าน ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลือกผู้ที่รูปงามที่สุดของงานในวันนี้ ของเชิญทุกท่านช่วยตัดสินด้วยนะขอรับ คนแรกเด็กหนุ่มผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้าคนนี้” พิธีกรยื่นมือไปยังผู้ประกวดรายแรก เสียงเฮเชียร์จากบรรดากองเชียร์ต่างส่งเสียงร้องเอาใจช่วย
“อาร์มิน  อาร์มิน  อาร์มิน”
“แหมๆดูเหมือนจะมีคนชื่นชอบหนุ่มหน้าหวานของเราไม่น้อยทีเดียวและคนต่อไปครับ เด็กหนุ่มสูงโปร่งอัธยาศัยดี”
“เบลทรูธ เบลทรูธธธธ”
“ดูท่าจะตัดสินกันยากนะครับเนี่ย คนนี้ล่ะครับหนุ่มซื่อผู้แสนอบอุ่นและใจดี”
“มาร์โก้ นายน่ารักมากๆเลย”
“เสียงเชียร์ก็ยังคงสนั่นหวั่นไหวไม่ต่างกันนะครับเนี่ย”
ไรเนอร์ค่อยๆไล่เสียงโหวตจากการแนะนำเด็กหนุ่มทีละคนมาเรื่อยๆจนมาถึงคนสุดท้าย
“เอาล่ะท้ายที่สุดของวันนี้ ถูกส่งเข้าประกวดโดย มิคาสะ อัคเคอร์แมน หนุ่มยิปซีสุดหล่อของเรานั่นเอง”
เมื่อพิธีกรยื่นมือมาที่ตนร่างบางก็ต้องรู้สึกหวั่นเกรง การที่ไม่เคยได้พบผู้คนมากมายขนาดนี้มาก่อน รวมทั้งการที่เพิ่งเคยได้รับการเป็นจุดสนใจครั้งแรกยิ่งทำให้เอเลนรู้สึกประหม่า
“หนุ่มน้อยถ้าเจ้าเอามือปิดหน้าอยู่อย่างนั้นเราก็โหวดไม่ได้น่ะสิ  ไหนช่วยเอามือลงหน่อยเร็ว!!” คำสั่งของพิธีกรทำให้มือบางต้องจำใจค่อยๆลดมือที่ปิดบังใบหน้าลง นัยน์ตาสีทองอร่ามค่อยๆมองลงไปที่ฝูงชนอย่างหวาดๆ แต่กระนั่นใบหน้ามนก็ยังพยายามส่งยิ้มให้กับเหล่าฝูงชนตรงหน้า
เหล่ากลุ่มคนหรือแม้กระทั่งพิธีกรของงานเมื่อได้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจนต่างต้องตะลึงกับนัยน์ตาสีทองและใบหน้าหวานที่ส่งยิ้มมาให้
“น่ารัก น่ารักสุดๆไปเลย กรี๊ดดดดดดด!!” เสียงโห่เชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอาณาบริเวณทำให้มติเป็นเอกฉันท์
มิคาสะเดินมาสวมมงกุฎดอกกุหลาบสีแดงลงบนเรือนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่ม
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องได้” ใบหน้ามนยิ้มระรื่นให้กับชายหนุ่มตรงหน้า จนมิคาสะรู้สึกอกซ้านสั่นแต่ไวแปลกๆ
“เออ ข้าขอเห็นนัยน์ตาที่แท้จริงของเจ้าได้หรือไม่?” ชายหนุ่มเอ่ยขออย่างสุภาพ แต่ร่างบางกลับทำหน้าหวาดวิตกและซีดลงอย่างเห็นได้ จนมิคาสะเองต้องตกตะลึงเช่นกัน
“อย่าบอกนะว่านั่นคือสีที่แท้จริงของแก!” เสียงหนึ่งจากกลุ่มฝูงชนทำให้ทุกคนเริ่มแตกตื่น
“นั่นมันปีศาจแห่งวิหาร!!
“แกออกมาได้ยังไง กลับไปซะเจ้าปีศาจ!!
“ระวังอย่าจ้องตาสีทองนั่นมันจะทำให้เจ้าถูกสาปและเจอแต่โชคร้าย!!
เสียงโห่เชียร์ในคราแรกเปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้องขับไล่ดังระงมพร้อมฝูงชนที่ลุกหือขึ้นจะเข้ามาทำร้ายร่างบาง
ด้วยความตื่นตระหนกมือเรียวคว้าผ้าคลุมหน้าของตนวิ่งลงจากเวทีกลับไปทางมหาวิหาร เหล่าฝูงชนที่กำลังลุกหือขับไล่ต่างโห่เสียงร้องดังระงม ชายคนหนึ่งในฝูงชนปามะเขือเทศเข้าใส่ร่างบางที่กำลังหลบหนี ผลมะเขือเทศเละแตกลงเปรอะผ้าคลุมสีน้ำตาลถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ไม่มีเวลามาใส่ใจ สิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยเพียงแห่งเดียวที่ปลอดภัยที่สุด จะต้องกลับไปให้ถึงที่นั้น
นัยน์ตาสีราตรีเบิกกว้างระคนเจ็บใจตนเองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับเด็กหนุ่ม มิคาสะรีบวิ่งเข้าไปขวางเหล่าฝูงชนที่กำลังไล่ต้อนเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งหนี ก้อนหินก้อนใหญ่ถูกปาออกมา มือแกร่งรีบคว้ารับไว้ นัยน์ตาสีราตรีที่แสนเย็นชาบัดนี้เริ่มวาวโรจน์ด้วยอารมณ์โมโหจนเหล่าฝูงชนที่กำลังลุกหือต่างหยุดชะงักเกรงกลัวต่อรังสีทะมึนที่ชายหนุ่มส่งผ่านมา
ประตูมหาวิหารถูกเปิดออกและปิดลงอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งร่างโปร่งที่วิ่งหนีขึ้นไปยังหอคอย สถานที่แห่งเดียวที่เป็นที่อยู่ของตน เอเลนทิ้งตัวลงบนฟูกหนาหยาดน้ำใสรินอาบแก้มเนียน เพราะแตกต่างถึงไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมีสิ่งที่ผิดแปลกไปจากผู้อื่นจึงทำให้ต้องโดดเดี่ยว




เพี๊ยะ!

เสียงฝ่ามือที่กระทบลงบนแก้มใสดังไปทั่วหอระฆังที่เงียบสงบ ร่างโปร่งบางถูกมัดตรึงกับเสาข้างเตียงที่นอนประจำของตน นัยน์ตาสีขี้เถ้าวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่คนตรงหน้าขัดคำสั่งของตน
เอเลนก้มหน้ามองพื้นอิฐสีเทาหม่นหมอง เพราะรู้ตัวว่าทำความผิดจึงโดนลงโทษ ใบหน้ามนนิ่งเฉยยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิด เพราะถูกเลี้ยงดูมาโดยชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อกระทำความผิดมักย่อมต้องถูกลงโทษเพื่อเป็นการสั่งสอนวินัย บทลงโทษจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความผิดนั้นว่าร้ายแรงเพียงใด และครั้งนี้ก็ร้ายแรงมากทีเดียวถึงขนาดที่เขาจะโดนจับมัดและลงโทษ
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าทำผิด เอเลน”
“ครับ ข้าขอโทษด้วยครับท่านรีไว”
ขาแกร่งเหวี่ยงเข้าใส่กลางลำตัวของเด็กหนุ่ม จนเอเลนตัวโก่งงอจากแรงกระแทกที่เกิดขึ้น
“แค่ก  แค่ก  แค่ก” แรงกระแทกที่หนักหน่วงช่างขัดกับส่วนสูงของคนตรงหน้าถึงขนาดทำให้เด็กหนุ่มจุกจนแทบกองไปกับพื้น แต่เพราะถูกมัดให้นั่งคุกเข้าอยู่กับเสาเอเลนจึงทำได้เพียงแต่โน้มตัวเกร็งหน้าท้องที่จุกแน่นเท่าที่แรงตึงของเชือกจะมีได้
“วันนี้ข้าจะมัดเจ้าไว้แบบนี้  สำนึกผิดซะ” ร่างเล็กแต่ทว่ายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเดินก้าวลงบันไดจากไปจากหอคอย ทิ้งให้เด็กหนุ่มนั่งสำนึกผิดเพียงผู้เดียว

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ใกล้เข้ามาทำให้เอเลนหันมอง แล้วนัยน์ตาสีทองต้องเบิกกว้างเมื่อพบผู้ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ
“มิคาสะ!
ชายหนุ่มในชุดยิปซีประจำชนเผ่าของตนจ้องมองเด็กหนุ่มที่ถูกมัดด้วยความตกใจ สองขารีบก้าวเข้าไปหาหวังจะคลายเชือกที่รัดแน่นนั้นออกแต่ถูกเด็กหนุ่มปรามเสียก่อน สองมือจึงต้องหยุดชะงักลง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี้?”
“ข้าอยากมาขอโทษเรื่องเมื่อกลางวันเพราะข้าเจ้าเลยต้องเจอเหตุการณ์เลวร้าย และคงรวมถึงที่เจ้าโดนมัดอยู่แบบนี้” คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับภาพที่เห็นเด็กหนุ่มที่ถูกมัดยึดติดกับเสา แก้มใสมีรอยฝ่ามือสีแดงเห็นเด่นชัด
“ไม่หรอก ข้าทำตัวเองต่างหาก แต่ก็เพราะเจ้าข้าเลยได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ” ใบหน้ามนยิ้มร่าเริงให้กับชายหนุ่มตรงหน้า
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มยิ่งขับให้มิคาสะรู้สึกสั่นไหวกับจิตใจที่แสนเข้มแข็งและอ่อนโยนของคนตรงหน้า
“ข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย”
“ข้าชื่อเอเลน ปีศาจผู้ตีระฆังแห่งพระวิหาร” แม้คำแนะนำตัวเหมือนจะประชดชีวิตของตน แต่เอเลนก็แนะนำตนเองด้วยรอยยิ้มสดใสจนมิคาสะรู้สึกชื่นชมในจิตใจที่เข้มแข็งของคนตรงหน้า
“ตอนนี้ไม่มีใครข้าจะแก้เชือกให้เจ้าก่อน รุ่งเช้าข้าจะมัดให้เจ้าใหม่” มิคาสะแก้เชือกให้กับเด็กหนุ่ม
เอเลนสะบัดข้อมือไปมา รอยแดงจากการมัดเห็นเด่นชัดบนข้อมือขาวนวล
“เจ้าไม่กลัวข้าเหมือนคนอื่นเหรอ?” ใบหน้ามนพลุบลงต่ำไม่กล้าจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มตรงๆเพราะเกรงว่านัยน์ตาสีทองของตนจะเป็นที่หวาดเกรง อีกทั้งในยามราตรีตาสีทองยิ่งเด่นชัดในความมืดมิดราวกับจะสะท้อนและตอกย้ำความเป็นปีศาจของเขา
มือแกร่งจับคางมนคนตรงหน้าให้เงยขึ้นสบตากับตน เอเลนพยายามหลับตาปี๋ไม่กล้าให้ชายหนุ่มมองนัยน์ตาสีทองที่แสนประหลาดของตนเอง การกระทำของเด็กหนุ่มทำให้มิคาสะหลุดขำน้อยๆจนเอเลนลืมตาจ้องมองด้วยความสงสัย
“ชาวบ้านนั้นก็แปลก ทั้งที่สวยงามถึงเพียงนี้ทำไมถึงต้องหวาดกลัวข้าไม่เห็นจะเข้าใจ”
คำชมจากชายหนุ่มทำให้ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อเขินอาย นอกจากท่านรีไวแล้วมิคาสะเป็นคนที่สองที่บอกว่านัยน์ตาสีทองแสนประหลาดของตนนั้นสวย
“เจ้าช่างแปลกคนนัก” เป็นครั้งแรกที่ได้คุยกับคนแปลกหน้าทำให้เด็กหนุ่มดีใจเป็นอย่างมาก
“ว่าแต่เจ้าอยู่ที่หอคอยแห่งนี้คนเดียวไม่เคยได้ออกไปไหนอย่างนั้นหรือ?” จากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ได้ยิน เหมือนว่าเด็กหนุ่มเติบโตและถูกห้ามไม่ให้ออกไปจากวิหารแห่งนี้ แค่คิดก็น่าสงสารเปรียบดั่งนกน้อยในกรงทองซ฿งแตกต่างจากยิปซีอย่างเขาที่เดินทางอย่างอิสระเสรีไปตามที่ต่างๆ
“ข้าไม่ได้อยู่คนเดียวนะข้ามีเพื่อน” มือบางดึงแขนชายหนุ่มไปที่ระเบียงของวิหารซึ่งมีนกน้อยสีขาวสองตัวที่กำลังขดตัวนอนกลมอยู่ในนั้นแม้หนึ่งในนั้นจะยังคงมีอาหารเต็มปากอยู่ก็ตาม “นี่เพื่อนข้า โคนี่และที่อาหารยังคาปากอยู่นั้นคือ ชาช่า” เด็กหนุ่มแนะนำเพื่อนทั้งสองของตนให้รับรู้
มิคาสะยิ้มอย่างเอ็นดูถึงความร่าเริงสดใสของร่างโปร่ง ถึงแม้จะโดดเดี่ยวและถูกจำกัดอิสรภาพ แต่ความเข้มแข็งและสดใสก็ยังคงมีอยู่ในประกายตาสีทองคู่งาม
มิคาสะยื่นมือไปตรงหน้าเอเลนพร้อมโค้งศีรษะอย่างสุภาพ ใบหน้ามนมองอย่างสงสัยว่าชายหนุ่มต้องการสื่ออะไร
“ข้า มิคาสะ ขอเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งของท่านด้วยได้หรือไม่?”
อกซ้ายของร่างบ้านเต้นระรัว ความดีใจสุขล้นเอ่อขึ้นมา มือเรียวคว้าจับมือแกร่งที่ยื่นมาให้อย่างแนบแน่น
“ได้สิ ขอบคุณนะมิคาสะ ข้าดีใจจนไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี” เอเลนยิ้มกว้างกับเพื่อนคนแรกที่ได้เจอ เป็นครั้งแรกที่เขาจะมีเพื่อนที่สามารถพูดคุยและแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆได้
เมื่อรุ่งเช้าใกล้เข้ามามิคาสะเอาเชือกมัดเด็กหนุ่มไว้ที่เสาตามเดิม ใบหน้ามนยิ้มส่งชายหนุ่มเพื่อนคนแรกของตนทั้งที่คิดว่าชายหนุ่มคงเดินลงบันไดจากหอคอยเพื่อกลับไปข้างนอก แต่มิคาสะกลับปีนออกจากหน้าต่างหอคอยจนเอเลนมองด้วยความตกตะลึงและเกรงว่ามิคาสะจะได้รับบาดเจ็บ แต่จากเสียงฝีเท้าที่กระทบลงพื้นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้เขารุ้ได้ว่าชายหนุ่มลงไปอย่างปลอดภัยดี และดูเหมือนตอนแรกที่เข้ามาก็คงไม่ได้เข้ามาทางประตูเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไปเป็นแน่แท้
มิคาสะกระโดดลงจากคานพระวิหารนอร์ทเทอดามลงสู่พื้นเบื้องล่าง ชายหนุ่มแหงมมองขึ้นไปยังหอนาฬิกาอย่างโหยหาก่อนวิ่งจากไป โดยไม่รู้เลยว่าตลอดทั้งคืนที่เขาใช้เวลาอยู่กับเอเลนบนหอระฆังจะมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องการกระทำทั้งหมดนั้นอย่างเงียบเงียบ
.
.
.
.
.
.
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ายิปซีหนุ่มจะแอบลอบปีนกำแพงพระวิหารขึ้นไปหาเด็กหนุ่ม ทุกครั้งที่มามิคาสะจะเล่าเรื่องโลกภายบอกที่เขาได้เดินทางไปพบเจอ รวมทั้งนำของแปลกตาจากที่ต่างๆมากมายมาให้กับเอเลน การมาเยือนของมิคาสะคือความตื่นเต้นที่เด็กหนุ่มเฝ้าคอยทุกวัน
“เอเลนนี่เขาเรียกว่ากล่องดนตรี ถ้าเราไขลานตรงนี้จะมีเสียงดนตรีออกมา” มิคาสะยื่นกล่องไม้สีน้ำตาลเข้มสี่เหลี่ยมให้กับเด็กหนุ่ม เมื่อฝากล่องถูกเปิดออก ท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะหูก็ถูกบรรเลงขึ้น
“มันน่าทึ่งมากเลยมิคาสะ ขอบคุณนะ” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายมองกล่องไม้มหัศจรรย์ที่กำลังบรรเลงเพลงน่าฟังในมือ
มิคาสะเกาแก้มของตน ใบหน้าคมของชายหนุ่มขึ้นสีระเรื่อพลางยิ้มบางมองท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ถ้าเจ้าชอบข้าก็ดีใจ”
อกซ้ายกระตุกวูบไหว ยิ่งพบเจอยิ่งมั่นใจกับความรู้สึกของตนมือแกร่งกุมมือร่างบางขึ้น นัยน์ตาสีราตรีจับจ้องนัยน์ตาสีทองอร่ามจนเอเลนต้องหลุบสายตาลงต่ำเพราะความเกรงใบหน้ามนเริ่มขึ้นสีด้วยความประหม่า
“เอเลนออกไปจากที่นี้กับข้าไหม?”
คำชวนของมิคาสะทำให้เอเลนแปลกใจถึงกระนั้นความตื่นเต้นที่จะออกไปโลกภายนอกก็กำลังร่ำร้องให้เขาไป แต่….
“ขอบคุณนะมิคาสะ แต่ข้าไม่อาจออกไปจากวิหารนี้ได้เจ้าก็รู้” เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความเสียดาย เพราะความแตกต่างจึงทำให้ไม่อาจออกไปจากที่นี้ได้
มิคาสะส่ายหน้าไปมา
“ไปกับข้าเถอะเอเลน โลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่ต้องมีคนอีกมากที่ยอมรับเจ้าได้ และอีกอย่างยิปซีเป็นที่รวมคนแปลกทั้งหลายอยู่แล้ว เชื่อข้าเถอะ เจ้าสามารถอยู่ร่วมกับข้า กับพวกเราได้” ชายหนุ่มพยายามเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มตอบตกลง
คำเชื้อเชิญของมิคาสะราวกับจุดประกายความหวังให้กับร่างโปร่งที่อยากออกไปสัมผัสถึงอิสระภาพในโลกกว้าง ใบหน้ามนพยักหน้ารับคำเชื้อเชิญของบุรุษตรงหน้า
มิคาสะยิ้มกว้างเมื่อเด็กหนุ่มตอบรับคำเชิญของตน อกซ้ายเต้นระรัวระคนอบอุ่นอย่างเป็นสุข
“อีกประมาณสามวันพวกเราจะเริ่มออกเดินทาง ตอนนั้นข้าจะมารับเจ้า”
มิคาสะรีบนัดแนะเพื่อให้เด็กหนุ่มได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางที่จะมาถึงในไม่ช้า การเดินทางอย่างอิสระเสรีที่เจ้าตัวใฝ่ฝัน
“ได้ถึงตอนนั้นข้าจะพยายามจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย” คงต้องขออนุญาตท่านรีไวเสียก่อน หวังว่าท่านคงจะเข้าใจ
“ข้าจะรีบกลับไปบอกทุกคนว่าเราจะมีสมาชิกเพิ่ม” มิคาสะเตรียมปีนลงกำแพงเพื่อไปแจ้งข่าว ร่างโปร่งเดินมาส่งยังหน้าต่างที่ชายหนุ่มเข้าออกประจำ ใบหน้าคมหันกลับมาเพื่อกล่าวลาก่อนจากมิคาสะยันตัวจากหน้าต่างเข้าใกล้ใบหน้ามน ริมฝีปากคมทาบทับลงบนแก้มใสของเด็กหนุ่ม
มือบางคว้าจับแก้มขวาของตนที่ถูกสัมผัสอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้ามนร้อนผ่าว อุณหภูมิในกายเริ่มสูงขึ้น หัวใจเต้นระรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ภายใน
มิคาสะส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มก่อนกระโดดจากกำแพงลงไป ทิ้งเด็กหนุ่มหน้ามนที่ใจสั่นระรัวกับการกระทำของตนไว้ เมื่อเห็นปฎิกิริยาของเจ้าตัวถ้าเขาจะคิดเข้าข้างตนเองคงไม่แปลกสินะ
เมื่อยิปซีหนุ่มลงมาถึงพื้นเบื้องล่างสองขายาวเตรียมวิ่งกลับไปแจ้งพวกพ้องของตนแต่เจอเสียงหนึ่งเรียกจนต้องหันกลับไปมองยังต้นเสียง และพบชายหนุ่มร่างไม่สูงนักแต่เป็นที่รู้จักและนับหน้าถือตาในเมืองเป็นอย่างดี สาธุคุณรีไว
“โฮ่ ดูเหมือนนายจะมาช่วยเอ็นดูเจ้าเด็กน้อยของฉันเสมอเลยนะ” รีไวเดินออกมาจากเงาดำของมุมวิหาร
มิคาสะโค้งทักทายอย่างสุภาพ ถึงแม้จะเป็นการเจอกันครั้งแรกแต่เขากลับรู้สึกไม่ถูกชะตากับคนตรงหน้าแม้แต่น้อย
“ท่านหมายถึงเอเลนอย่างนั้นหรือขอรับ ข้าแค่อยากเป็นเพื่อนของเขาเท่านั้น” นัยน์ตาสีราตรีจ้องกลับนัยน์ตาสีขี้เถ้า นัยน์ตาทั้งคู่ต่างยังคงนิ่งเฉยและดูท่าทีของอีกฝ่าย
“ตอนแรกข้าก็ว่าจะปล่อยไปเพราะอีกไม่นานพวกเจ้าก็ต้องจากเมืองนี้ไป แต่การที่เจ้ามาชักชวนให้เด็กของข้าเสียคนแบบนี้เห็นทีคงยอมไม่ได้”
“ไม่ช้าก็เร็ว ท้ายสุดแล้วลูกนกจะต้องเติบใหญ่และออกจากรังเพื่อไปเผชิญโลกกว้าง ท่านไม่อาจกักขังใครไว้ชั่วชีวิตของบุคลนั้น” มิคาสะเริ่มรู้สึกถึงความหวงแหนที่แปลกประหลาดที่ส่งมาจากชายร่างเล็กตรงหน้า
“ชีวิตที่ข้าช่วยย่อมเป็นของข้า การที่ใครมาขโมยของที่มีเจ้าของนั้นเขาเรียกอะไรรู้หรือไม่?” ใบหน้าคมของชายหนุ่มฉายแววไม่พอใจเด่นชัด “เขาเรียกการกระทำนั้นว่าโจร” รีไวส่งสายตาเหี้ยมให้กับคนตรงหน้า
“เอเลนไม่ใช่สิ่งของ!! เจ้าต้องให้เขาเลือกชีวิตของเขาเอง!!” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเริ่มฉายแววความไม่พอใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้ คนคนนี้เห็นเอเลนเป็นสิ่งของอย่างนั้นหรือ ทำยังกับว่าจะเก็บเอเลนไว้แต่เพียงผู้เดียว มิคาสะชะงักกับความคิดของตนที่แล่นเข้ามา ……หรือว่า……
นัยน์ตาสีราตรีเริ่มฉายแววขุ่นเคืองกับคนตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
“เจ้าอยากเก็บเอเลนไว้สินะถึงได้ขังไว้ที่หอคอยไม่ให้พบเจอผู้ใดแม้แต่บาทหลวงในวิหารก็ตาม”
“เจ้าฉลาดไม่เบานี่ ของสำคัญที่แสนงดงามเป็นใครก็ไม่อยากเอาออกมาโชว์หรอกจริงไหม?” รีไวยังคงตีสีหน้านิ่งเฉยโต้ตอบกับยิปซีหนุ่ม
“แกมันนักบุญจอมปลอม” ทั้งที่เอเลนไว้ใจและศรัทธาในตัวคนคนนี้ แต่คนนี้กลับต้องการกักขังร่างบางนั้นไว้ไม่ให้ใครได้พบเห็น แบบนี้มันวิปริตชัดชัด
ใบหน้าเฉยชาส่งยิ้มเหี้ยมให้กับยิปซีหนุ่ม จนมิคาสะเริ่มรู้สึกขนลุกยามนัยน์ตาสีขี้เถ้านั้นจับจ้องมองลงมา
“ไม่ว่ายังไงข้าจะพาเอเลนไปจากที่แห่งนี้ ไปจากแก!” ยิปซีหนุ่มหันหลังวิ่งกลับไปยังที่อยู่ของตน ในอกร้อนรุ่มเมื่อคิดว่าเอเลนต้องอยู่กับชายหนุ่มผู้ซึ่งแอบแฝงเจตนารมณ์ที่ร้ายกาจของตน สิ่งที่จะทำได้มีแต่ต้องพาเด็กหนุ่มออกมาจากที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด จากกรงขังของคนที่ชื่อรีไว
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองชายหนุ่มที่วิ่งจากไป ทั้งที่คิดว่าคงไม่เป็นปัญหามากเพราะอีกไม่นานกองคาราวานของยิปซีที่เร่ร่อนจะต้องออกเดินทาง ทั้งที่คิดว่าจะใจดีให้เจ้าหนูนั่นได้มีเพื่อนเล่นเสียบ้าง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยปลาย่างไว้กับแมวขี้ขโมยมากเกินไปเสียแล้ว


ห้องโถงว่าราชการ ณ พระราชวังสูงใหญ่ตระหง่านของเมืองชายหนุ่มผู้มียศเป็นถึงกษัตริย์กำลังตรวจตราเหล่าฏีกาที่ถูกยื่นมาไม่เว้นแต่ละวัน แล้วต้องหยุดชะงักลงเมื่อทหารองครักษ์รายงานว่ามีผู้มาขอเข้าเฝ้าด่วน
ร่างเล็กแต่ทว่าแข็งแกร่งโค้งคำนับกับราชาตรงหน้าก่อนจะตีสีหน้าจริงจังเพื่อแสดงให้เห็นถึงเนื้อหาที่สำคัญที่จะรายงาน
“มีเรื่องด่วนอะไรรึท่านสาธุคุณ” ราชาเอลวินเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย
“ขอเดชะฝ่าพระบาท ขณะนี้เกล้ากระหม่อมเห็นว่ายิปซีที่เดินทางมาที่เมืองเราครานี้ดูเหมือนจะก่อความเสียหายให้กับเมืองเป็นแน่แท้”
คำรายงานจากสาธุคุณผู้ซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาทำให้กษัตริย์เอลวินวางฏีกาในมือและรับฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ
“พวกยิปซีเร่ร่อนครานี้ดูเหมือนจะมีการเผยแพร่ลัทธิซึ่งขัดกับศาสนจักรของเรา ทำให้ผู้คนหลงเชื่องมงายและหันไปนับถือราวกับถูกเชื้อเชิญจากซาตาน”
“เป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ ท่านพอหาทางแก้ไขได้หรือไม่ท่านรีไว” ศาสนจักรคือศูนย์รวมของจิตใจรวมทั้งมีอำนาจสูงสุดแม้แต่กษัตริย์ยังต้องยำเกรง การที่ศาสนจักรสั่นคลองจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
“ข้ามีข้อเสนอให้ขับไล่เหล่ายิปซีไปให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะยิปซีที่ชื่อมิคาสะผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าเหล่ายิปซีในครานี้ กระหม่อมเห็นสมควรว่าควรขับไล่นายคนนี้หรือไม่ก็จับเผาเสีย เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่จะมาทำลายเมืองของเราพ่ะย่ะค่ะ”
ข้อเสนอของรีไวทำให้เอลวินครุ่นคิดสักคู่ ถึงแม้จะฟังดูโหดร้ายแต่การดับไฟตั้งแต่ต้นลมจะเป็นการดีที่สุด ราชาเอลวินจึงอนุญาตตามคำขอของรีไวที่เสนอมา


เหล่าชุมชนในชนบทและสลัมที่เป็นแหล่งกบดานของเหล่ายิปซีต่างถูกรื้อค้นและเผาเพื่อขับไล่ และบีบบังคับให้บรรดาผู้คนเร่ร่อนและยิปซีต่างตกเห็จต้องเดินทางเพื่อหาแหล่งกบดาน บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็ล้มตายจากเพลิงไฟที่ลุกรามไปทั่วทั้งกรุงปารีส
มิคาสะอพยพผู้คนหนีเพลิงโลกัณฑ์ที่กำลังลุกลาม เหล่าพวกพ้องต่างวิ่งหนีเปลวไฟสีแดงฉานที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่าพวกพ้องของตนหลบหนีออกไปจากแหล่งกบดานที่กำลังถูกเปลวไฟแผดเผาอยู่ ยิปซีหนุ่มจึงเตรียมที่จะลี้ภัยออกไปหาเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่แสนคะนึงหา เพราะรู้ดีว่าเหตุเพลิงไหม้ที่ไม่ธรรมดาครั้งนี้จะต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน และบุคคลที่มีอำนาจมากพอที่จะสั่งการให้เผากรุงปารีสเพื่อขับไล่พวกตนไปได้นั้นก็คือคนเดียวกับที่กักขังอิสระภาพเด็กหนุ่มให้อยู่ในอุ้มมือของตน อกข้างซ้ายของมิคาสะร้อนรนเฉกเช่นเดียวกับเปลวเพลิงที่ปะทุโหมกระหน่ำ
ขาแกร่งวิ่งหลบตามซอกกำแพงเพื่ออำพรางตัวไปยังวิหารแล้วสองขาต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงผ้าตัวหนึ่งใกล้เข้ามา มิคาสะเงยหน้ามองผู้ที่นั่งบนอานม้าซึ่งกำลังขวางทางเขา ยิปซีหนุ่มกัดฟันกรอดจนขึ้นสันกรามเมื่อเห็นว่าผู้ที่อยู่บนม้าและก้มมองลงมาเป็นผู้ใด
“กรุงปารีสลุกเป็นไฟเฉกเช่นเดียวกับตัณหาราคะในใจท่านสินะรีไว”
ชายหนุ่มไม่โต้ตอบ รีไวตวัดตัวลงจากหลังม้ามองหน้ายิปซีหนุ่มที่วาวโรจน์ไปด้วยไฟโทสะพลางนึกสะใจอยู่ข้างใน
“ข้าแค่รักษาสมบัติของตนเองไม่ให้แมวขโมยเอาไป”
สิ้นคำหมัดหนักหน่วงพุ่งเข้าใส่บาทหลวงอย่างไม่ยั้งรอ รีไวหันหลบขาแกร่งฟาดลงที่กลางหลังของยิปซีหนุ่มอย่างรุนแรง จนมิคาสะลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น เมื่อรับรู้ถึงแรงลมของกำลังใกล้เข้ามายิปซีหนุ่มจึงกลิ้งหลบฝ่าเท้าที่กำลังฟาดลงมาใส่ตน แล้วสวนข้อศอกแกร่งเข้าที่ท้องของบาทหลวงหนุ่มอย่างเต็มแรง จนรีไวตัวงอด้วยความจุก
“หึ ไม่คิดว่าบาทหลวงจะทำอะไรแบบนี้เป็น แกมันบาทหลวงเถื่อนจริงๆ” ยิปซีหนุ่มแสยะยิ้ม ศอกที่กระทุ้งเข้ากลางลำตัวทำให้คาดเดาได้ว่าภายใต้เสื้อสีดำรุ่มร่ามนั้นซ่อนไว้ซึ่งร่างกายที่สมชายชาตรีไม่ต่างจากตน
“ข้าเองก็ไม่คิดว่ายิปซีที่ดีแต่หาเรื่องใส่ตัวจะทำอย่างอื่นนอกจากลักขโมยก็เป็น” รีไวตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจมที่ยิปซีหนุ่มพุ่งเข้าใส่
หมัดและความเร็วของขาที่ทั้งเตะและต่อยเข้ามาถือว่าไม่ธรรมดา แต่ยังช้าไป บาทหลวงหนุ่มรับและปัดการโจมตีของมิคาสะได้ทุกท่วงท่า เมื่อเจอช่องว่างรีไวไม่รีรอชกเข้าที่กลางลำตัวของยิปซีหนุ่ม จนมิคาสะจุกงอและกระอักเลือดออกมาจากแรงกระแทกที่ได้รับ ยังไม่ทันที่ยิปซีหนุ่มจะทันตั้งตัวแขนแกร่งก็ถูกจับบิดไคว้ไปด้านหลังอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งฝ่าเท้าที่กดศีรษะตนลงมาบนพื้นอย่างแรง หยาดเลือดอุ่นไหลทะลักจากหน้าผากที่แตก นัยน์ตาสีราตรีจ้องสบกับชายหนุ่มร่างเล็กอย่างโกรธแค้น
รีไวสั่งให้เหล่าทหารที่วิ่งเข้ามาจับตัวยิปซีหนุ่มไปคุมขังเตรียมรอรับการตัดสินโทษต่อไป


แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ราจรีที่เงียบสงัดมาเยือนอีกครา แต่ราตรีนี้เงียบจนน่าใจหาย เพราะเด็กหนุ่มไม่เห็นผู้มาเยือนยามค่ำคืนที่เฝ้าคอย จิตใจเริ่มกังวลด้วยความเป็นห่วง แต่ก็พยายามคิดว่าคงเพราะชายหนุ่มจะต้องเตรียมเรื่องการเดินทางอาจทำให้มาช้ากว่าทุกวันก็เป็นได้ ใบหน้ามนยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้
เอเลนรีบวิ่งไปยังต้นเสียงแล้วสองขาต้องหยุดชะงักเมื่อมองเห็นร่างและใบหน้าที่คุ้นเคย แต่ไม่ใช่คนที่กำลังเฝ้ารอ
“ท่านรีไววันนี้มาดึกจังนะครับ งานเสร็จแล้วหรือครับ?” ใบหน้ามนยิ้มบางให้กับท่านสาธุคุณ
มือแกร่งลูบไล้แก้มใสตรงหน้าอย่างคุ้นเคย ซึ่งใบหน้ามนก็หลับตารับสัมผัสด้วยความคุ้นชินเช่นกัน
“รอใครอยู่งั้นหรือเอเลน?”
คำถามจากชายหนุ่มทำให้นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
มือแกร่งที่ลูกไล้อย่างแผ่วเบาในคราแรกบีบเข้าสันกรามของเด็กหนุ่มจนเอเลนเบ้หน้าด้วยความเจ็บจากแรงบีบ
“ท….ท่านรีไว…..?” นัยน์ตาสีทองสว่างมองการกระคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขาทำอะไรผิด? ถึงได้โดนลงโทษ
“ถ้ากำลังรอเจ้ายิปซีอยู่ล่ะก็เลิกหวังได้เลยเอเลน มันจะไม่มีทางมาหาเจ้าได้อีก” เลือดในกายพลันกลายเป็นน้ำแข็งเย็นวูบกับคำบอกกล่าวของคนตรงหน้า
“ททำไม?”
“เพราะเจ้านั้นคิดจะขโมยของล่ำค่าของข้ายังไงล่ะ”
แม้กำลังสับสนไม่เข้าใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มบอก แต่เอเลนก็ต้องหยุดคิดเมื่อริมฝีปากคมของคนที่เขานับถือทาบทับลงบนกลีบปากบาง
ลิ้นร้อนกระหวัดวนเวียนอย่างจาบจ้วงในโพรงปากหวานเด็กหนุ่มที่ไม่ประสา ด้วยสัญชาตญาณลิ้นบางจึงพยายามดันสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามา แต่กลับเป็นตัวกระตุ้นให้อารมณ์พลุ่งพล่านอย่างวาบหวาม
“อื้อ!!” ร่างบางร้องประท้วงการกระทำของคนตรงหน้า มือเรียวทุบอกหวังให้คนรุกล้ำหยุดการกระทำก่อนที่ตนจะขาดอากาศหายใจ
เมื่อริมฝีปากหนาที่จาบจ้วงผละออก เอเลนรีบหายใจเอาอากาศเข้าจนตัวโยน
“แฮ่ก….แฮ่ก…..ท่านรีไว ทำไม?” นัยน์ตาสีทองมองใบหน้าคมอย่างพยายามหาคำตอบ ไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย สัมผัสที่ไม่เคยพบเจอ ช่างร้อนแรง วาบหวาม จนทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าสบมองกับนัยน์ตาสีทอง มือแกร่งยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าเนียนใสอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง
“ข้ารักเจ้าเอเลน”
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ใบหน้ามนรู้สึกตกใจและสับสน ยิ่งใจที่สั่นระรัวก็ยิ่งทำให้ไม่อาจเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“รักเหมือนกับที่คนคนหนึ่งรักอีกคน หวงเจ้า อยากครอบครอง ไม่อยากให้ใครได้เห็นหรือสัมผัสเจ้าเอเลน” ความรักที่ไม่คาดคิดว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งบาทหลวงที่ต้องมอบความรักให้กับผู้อื่นจะต้องการความรักที่เห็นแก่ตัวและต้องการครอบครองถึงเพียงนี้
ใบหน้ามนสุกปลั่งดั่งผลเชอร์รี่ ไม่เข้าใจเพราะความเคยชินที่คนตรงหน้าเลี้ยงดูตนมาทำให้เกิดความสับสนกับความรู้สึกที่ถูกเปิดเผยอย่างไม่ทันตั้งตัว คำว่ารักที่คนตรงหน้าตลอดระยะเวลา 15 ปี ไม่เคยเอื้อนเอ่ย แต่เมื่อได้เอ่ยออกมากลับไม่ใช่ความรู้สึกรักและผูกพันที่ผู้มีพระคุณมอบให้กับเด็กน้อย แต่กลับเป็นความรักที่ต้องการครอบครอง ความรักในเชิงสวาท ที่มิใช่ความรักแบบพิสุทธิ์ที่สมควรมี
“ขข้าไม่เข้าใจ  ข้าสับสน ทำไมท่านถึงรักข้า” ทั้งที่นัยน์ตาสีทองทำให้เขาโดนหาว่าแปลกแยกและแตกต่างจนถูกกีดกันให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว กับอีกคนซึ่งมักถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายที่นับหน้าถือตา ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“ตั้งแต่ข้าสบกับนัยน์ตาสีทองคู่นี้เอเลน ข้าก็ตกหลุมรักมัน ยิ่งได้เลี้ยงและเฝ้าดูเจ้าเติบโตข้าก็ยิ่งผูกพันธ์และถลำลึกลงไปในความรู้สึกนี้” จนมัวเมาหวงแหน ไม่อยากให้ใครได้เห็นใบหน้าที่งดงามและดวงตาสีทองอร่ามคู่นี้ ถึงขนาดออกคำสั่งทุกคนในวิหารห้ามพูดคุยหรือพบเจอเด็กหนุ่มถ้าไม่ได้มีคำสั่งของเขา
“คือข้า……ว่าแต่มิคาสะล่ะ ทำไมท่านถึงบอกว่ามิคาสะจะไม่มาที่นี้อีกแล้ว” ถึงแม้จะรู้จักกันไม่นานแต่เอเลนมั่นใจว่ามิคาสะไม่ใช่คนที่จะไม่รักษาคำพูดของตน ที่บอกว่าจะพาเขาไปท่องโลกกว้างต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับชายหนุ่มแน่นอน
“ห่วงมันนักรึไงเจ้ายิปซีขี้ขโมยนั่น” นัยน์ตาคมขุ่นเคืองกับชื่อที่ร่างบางเอ่ยถาม
“มิคาสะเป็นเพื่อนคนแรกของข้า ถ้าเขามีอันตรายข้าก็พร้อมจะช่วยเหลือ”
คำพูดของเด็กหนุ่มยิ่งทำให้รีวุ่นเคืองและหงุดหงิด เอเลนจะต้องไม่สนใจหรือห่วงใครนอกจากเขา
“หึ นายช่วยเหลือเขาไม่ได้หรอกเอเลน เพราะไอยิปซีนั่นจะโดนเผาพรุ่งนี้เช้า”
ได้ยินดังนั้นสองขาของร่างบางพยายามวิ่งไปจากหอคอยด้วยใจที่ร้อนรนแต่ถูกมือแกร่งคว้าไว้แล้วเหวี่ยงลงกับฟูกหนาก่อนที่จะตามขึ้นมาคร่อมร่างโปร่งอีกที
“ท่านรีไวผมต้องไปช่วยมิคาสะ นี่มันเกิดเรื่องเข้าใจผิดอะไรกัน?” ใบหน้ามนฉายแววตื่นตระหนกและร้อนรนอยากรีบวิ่งไปหาเพื่อดูว่ายิปซีหนุ่มเพื่อนของตนเป็นเช่นไร
“โฮ่ นายคิดจะขัดคำสั่งฉันออกไปจากวิหารงั้นสิ?”
“แต่มิคาสะ!!
“เอเลนเจ้าช่วยไม่ได้หรอกนะ ข้าออกคำสั่งไปแล้ว”
นัยน์ตาสีทองสั่นไหวตื่นตระหนก ความรู้สึกหวาดกลัวเข้าครอบงำ คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร? ท่านรีไวที่เขารู้จักถึงแม้นจะเข้มงวดและรุนแรงในบางครั้ง แต่ทุกการกระทำย่อมมีเหตุผล
“ทำไมครับท่านรีไว แบบนี้มันผิด” หยาดน้ำใสไหลลงอาบแก้มเนียน มันผิดและแปลกเกินไปแล้ว
“เพราะข้ารักเจ้าเอเลน”
“แต่แบบนี้มันผิด ได้โปรดเถอะครับปล่อยมิคาสะไป”
คำขอร้องของเด็กหนุ่มยิ่งขับให้อารมณ์ในกายขุ่นมัวหงุดหงิดยิ่งขึ้น
“ห่วงเจ้าหนุ่มนั่นมากนึกหรือไงเอเลน”
“เพราะมิคาสะเป็นเพื่อนคนแรกของข้า”
“เจ้ามีเพียงแค่ข้าก็พอแล้ว”
ข้อมือบางถูกรวบขึ้นเหนือศีรษะเด็กหนุ่ม มือแกร่งอีกข้างคว้าเชือกเส้นหนาที่มักใช้ทำโทษร่างบางอยู่เสมอขึ้นมัดข้อมือบางกับเสาหัวเตียง
“ท่านรีไว?” เด็กหนุ่มมองการกระทำของคนตรงหน้าที่ไม่อาจคาดเดา หยาดน้ำตาใสยังคงไหลอาบแก้ม ภายในอกรู้สึกปวดหนึบราวกับมีคนเอาก้อนหิวขว้างใส่
“เด็กที่ไม่ยอมเชื่อฟังต้องถูกลงโทษ มันเป็นกฏที่เจ้าก็รู้นี่เอเลน”
เอเลนพยายามถอยหนีแต่ไม่เป็นผลเมื่อเข่าแกร่งกดทับลงบนหน้าท้องเพื่อช่วยตรึงร่างกายของตนให้อยู่กับที่ ไม่เข้าใจว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นกับตนแต่สัญชาตญาณในกายกำลังร่ำร้องถึงสัญญาณอันตรายที่กำลังเจอตรงหน้า
“ได้โปรดปล่อยผมเถอะครับ” พยายามขอร้องและอ้อนวอนหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นใจ และเห็นแก่ที่เลี้ยงดูตนมา
“เจ้าก็รู้ว่าข้าทำไม่ได้” คำอ้อนวอนไม่เป็นผลเมื่อสิ่งที่ปรารถนาซ฿งเก็บไว้ภายในกำลังปะทุออกมา
มือแกร่งสอดเข้าใต้เสื้อแขนยาวสีซีดของเด็กหนุ่มสัมผัสยังยอดอกสีหวาน บีบเค้นเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้พลุ่งพล่าน
“ที่จริงข้าว่าจะรอจนกว่าเจ้าจะพร้อมกว่านี้” ลิ้นสากไล้โลมเลียยังยอดอกที่เริ่มชูชันตามแรงอารมณ์ที่ถูกเร้า “แต่ดูเหมือนถ้าไม่ตีตราไว้จะมีบรรดาแมวขโมยมาฉวยโอกาสไป”
“อื้อ!!” เอเลนสะดุ้งเมื่อฟันคมกัดลงทิ้งรอยแดงเด่นชัดลงบนไหปลาร้าของตน
“อ…..ได้โปรด…..หยุดเถอะ” คำค้านไม่เป็นผลเมื่อมือแกร่งและลิ้นร้อนยังคงปลุกเร้าร่างบางที่สั่นระริก
มือแกร่งเลื่อนถอดกางเกงขายาวสีขาวของเด็กหนุ่มออก เผยให้เห็นจุดอ่อนไหวที่กำลังตั้งชันด้วยแรงอารมณ์
“ทั้งที่เจ้าบอกให้หยุด” นิ้วแกร่งดีดลงบนจุดอ่อนไหวอย่างหยอกล้อ “แต่ดูเหมือนร่างกายเจ้าจะซื่อสัตย์กว่านะ”
ริมฝีปากหนาเข้าครอบคลุมแก่นกายที่อ่อนไหว ลิ้นร้อนโลมเลียและดูดเม้นปรนเปรอจนเด็กหนุ่มสั่นสะท้านด้วยความเสียวซ่านและความอายที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่ไม่เคยเจอทำให้เด็กหนุ่มได้แต่เกร็งตัวด้วยความเขินอาย
 “อา …………..อือ”  เสียงครางหวานเล็ดรอดจากริมฝีปากบางอย่างไม่อาจห้ามได้
มือแกร่งกอบกุมส่วนอ่อนไหวที่เริ่มมีน้ำสีขาวขุ่นไหลเยิ้มออกมา รีไวผละออกจากตัวของเด็กหนุ่มที่กำลังเม้มริมฝีปากของตนเอง ม่านน้ำตายังคงหลั่งไหล ไม่อาจเข้าใจถึงสิ่งที่กำลังเจอตรงหน้า เมื่อเอเลนเห็นชายหนุ่มละออกจากที่นอนของตนใจที่หวาดหวั่นรู้สึกโล่งอกขึ้นบ้างเพราะคิดว่าผู้มีพระคุณของตนคงตาสว่างและคิดได้แล้วว่าสิ่งที่กระทำอยู่นี้ผิด แต่ใบหน้ามนต้องขึ้นสีระเรื่อยิ่งกว่าเก่าเมื่อชายหนุ่มกลับมาพร้อมร่างที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นมัดกล้ามสวยสมชายชาตรีอย่างที่ไม่คาดคิดจนเผลอมองด้วยความหลงใหล แต่เมื่อไล่สายตาลงมาเรื่อยๆก็ต้องหน้าแดงขึ้นกว่าเก่าพร้อมใจที่สั่นระรัว เพราะแก่นกายขนาดใหญ่กว่าตนหลายเท่านักของชายหนุ่มก็กำลังตั้งชันมีอารมณ์เฉกเช่นเดียวกับของตน
รีไวขึ้นคร่อมร่างบางอีกครั้งริมฝีปากคมบดเบียดริมฝีปากที่อยู่ข้างใต้ ลิ้นร้อนรุกเร้าโลมเลียทั่วทั้งโพลงปากไม่เว้นแม้กระทั่งไรฟันของเด็กหนุ่มจนข้อมือบางที่ถูกพันธนาการสั่นเกร็งจนขึ้นเส้นเลือด ความวาบหวามถูกส่งให้ผ่านทางลิ้นร้อนที่กระหวัดภายใน แต่ร่างบางก็ต้องสะดุ้งอย่างสุดตัวเมื่อสิ่งแปลกปลอมกำลังรุกล้ำเข้าทางช่องแคบเบื้องล่างที่ไม่เคยมีใครรุกล้ำมาก่อน
หยาดน้ำลายเหนียวหนืดเป็นเส้นใยยามริมฝีปากคมผละออกแล้วไหลลงลำคออย่างไม่อาจควบคุม
“ท..แฮ่ก  แฮ่ก  ท่านรีไว จะทำอะไร? ริมฝีปากบางเอ่ยถามอย่างสงสัยหลังพยายามกอบโกยอากาศเข้าปอด
นิ้วแกร่งสอดเข้าทางเบื่องล่างเพื่อขยายช่องทางให้เตรียมพร้อมรอรับสิ่งที่ใหญ่กว่า ความหนืดและคับแน่นทำให้ใบหน้าคมขมวดคิ้ว มือแกร่งเอื้อมเปิดลิ้นชักหัวเตียงหยิบขวดแก้วน้ำมันมะกอกที่ซื้อไว้สำหรับหมักผมของเด็กหนุ่มออกมา หยาดน้ำมันสีอำพันถูกเทลงบนฝ่ามือ นัยน์ตาสีทองมองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้เขาสับสนไปหมดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ไม่มีเวลาให้เด็กหนุ่มได้คิดมากเมื่อความเย็นจากน้ำมันที่ชโลมนิ้วรุกเข้ามายังช่องทางคับแคบเบื้องล่างอีกครั้ง เมื่อมีสารหล่อลื่นจากน้ำมันมะกอกดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ชายหนุ่มเพิ่มนิ้วของตนเองจากหนึ่ง เป็นสอง และสามนิ้ว ความรู้สึกแปลกๆมวนวนอยู่ที่ท้องน้อยและทางเบื้องล่างที่ถูกรุกล้ำ เมื่อนิ้วเรียวถูกถอนออกขาเพรียวทั้งสองก็ถูกจับแยกออกกว้าง
“อย่าเผลอกัดลิ้นซะล่ะ” ยังไม่ทันเด็กหนุ่มจะได้ทัดคิดถึงความหมาย ความจุกแน่นถูกส่งเข้าผ่านช่อทางเบื้องล่งทันที
“อ๊า!!!” เด็กหนุ่มหวีดร้องกับความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อลำท่อนใหญ่หนาถูกกระทุ้งเข้ามาจนสุด นัยน์ตาสีทองสั่นระริก น้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสายครั้งที่เท่าไรไม่อาจรู้ยังคงไหลหนองทั่วใบหน้า ร่างกายบางพยายามร่นถอยหนีสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ที่เข้ามา แต่มือแกร่งของคนรุกล้ำจับสะโพกขาวนวลไม่ให้ถอยหนี เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเกิดแผลแต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บของช่องทางเบื้องล่างที่กำลังเผชิญ
ชายหนุ่มเริ่มขยับสะโพกของตนเข้าออก จากจังหวะช้าและเพิ่มจังหวะที่เร็วและรุนแรงขึ้น
“อ่ะ.. อา  อา  อา” ท่ามกลางความเจ็บถูกแทนที่ด้วยความเสียวซ่าน เลือดสีแดงสดไหลออกจากช่องทางแคบถึงกระนั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งให้คนเบื้องบนหยุดการกระแทกที่เพิ่มจังหวะเข้ามา
สะโพกมนถูกยกขึ้นสูงเพื่อรองรับจังหวะที่ถี่และรุนแรงยิ่งขึ้น เสียงเนื้อกระทบกันอย่างหยาบโลนทำให้ใบหน้ามนได้แต่หลับตาแน่นกับภาพตรงหน้าที่เกิด ถึงกระนั้นร่างบางก็ยังคงครางเสียงหวานออกมาจากแรงอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น
รีไวกระตุกสะโพกปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นจนล้นทะลักออกมาปนกับเลือดสีแดงผ่านทางช่องทางคับแคบที่ฝืนใส่เข้าไป ของเหลวอุ่นร้อนที่พุ่งใส่เข้ามาทำให้ร่างบางกระตุกเกร็งและปลดปล่อยหยาดน้ำสีขาวขุ่นของตนพร้อมเสียงหวีดรองครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสลบไป


เมื่อแสงรุ่งอรุณมาถึงรีไวขึ้นแจกแจงเสื้อผ้าของตนเอง มือแกร่งปลดพันธนาการให้กับข้อมือบางของคนที่นอนสลบไศล แล้วออกไปทำภารกิจช่วงเช้าของตนที่ได้สั่งไว้ การกำจัดเสี้ยนหนามและแมลงที่เข้ามายุ่มย่ามกับสมบัติของเขา

ร่างเล็กในชุดสาธุคุณเต็มยศลงมายังลานประหารซึ่งอยู่หน้ามหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ยิปซีหนุ่มถูกมัดตรึงกับเสาไม้ทั้งภายใต้มีฝืนขนาดใหญ่มากมายเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการสำเร็จโทษชายหนุ่ม รีไวเดินเข้าไปหามิคาสะที่ถูกพันธนาการเตรียมรอคำตัดสินโทษจากตัวเขา นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองใบหน้าของยิปซีหนุ่มอย่างผู้มีชัย
“ข้าจะเมตตาเจ้าสักครั้ง ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับสมบัติของข้าข้าจะปล่อยเจ้าไปดีไหม?” รีไวกระซิบยื่นข้อเสนอต่อรองให้กับยิปซีหนุ่ม
มิคาสะถ่มน้ำลายใส่จนเปรอะหน้าชายหนุ่มร่างเตี้ยกว่า การกระทำนั้นยิ่งขับให้รีไวขุ่นเคืองมากขึ้น
“หึในเมื่อเจ้าไม่รักชีวิตตนเอง ข้าก็จะสงเคราะห์ให้” พูดจบบาทหลวงหนุ่มหันไปทางเพชฒฆาต เพื่อส่งสัญญาณคำตัดสินของตน ท่อนฟืนหนาถูกจุดเพลิงสีแดงช่วงโชติ เพชฒฆาตร่างใหญ่จุดไฟลงบนกองเชื้อเพลิงใต้ร่างเด็กหนุ่ม
เสียงเซ็งแซ่โวยวายภายนอกขับให้ร่างบางที่อ่อนแรงค่อยๆปรือตาขึ้นมือเรียวคว้าเสื้อผ้าที่โดนถอดกระจัดกระจายข้าสวมใส่ ร่างโปร่งพยายามลุกขึ้นอย่างปวดร้าวกับความเจ็บปวดของสะโพกและความแสบของช่องทางด้านล่างที่ถูกกระทำอย่างโหดร้าย ใบหน้ามนตื่นตะลึงกับภาพเหตุการณ์เบื้องล่าง ยิปซีหนุ่มถูกพันธนาการบนท่อนไม้ขนาดใหญ่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ เอเลนไม่รอช้าคว้าเชือกระฆังของพระวิหารทะยานตัวลงสู่เบื้องล่าง เด็กหนุ่มฝ่ากองเพลิงแก้เชือกที่พันธนาการยิปซีหนุ่มออก การกระทำของเด็กหนุ่มทำให้สาธุคุณรีไวตื่นตระหนกรีบสั่งเหล่าทหารที่อยุ่บริเวณนั้นช่วยกันดับไฟเพราะเกรงว่าเอเลนจะได้รับอันตราย
เมื่อเชือกที่รัดแน่นคลาย เอเลนและมิคาสะรีบวิ่งฝ่าฝูงคนตรงเข้ายังพระวิหารที่ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ละเว้นทุกชีวิตแม้กระทั่งนักโทษประหารก็ตาม เหล่าทหารที่วิ่งไล่ล่านักโทษต่างต้องหยุดชะงักหน้าประตูทางเข้าวิหารใหญ่ ไม่อาจไล่ตามหรือจับกุมได้อีกต่อไป คิ้วเรียวขมวดมุ่น นัยน์ตาสีขี้เถ้าวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ รีไวฝ่าฝูงชนตามเข้าไปในมหาวิหารด้วยใจที่ร้อนรน
“มิคาสะไม่เป็นไรใช่ไหม” ร่างโปร่งพยุงยิปซีหนุ่มให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในห้องของตนบนหอระฆัง
“ไม่เป็นไร ขอบใจเจ้ามาก” นัยน์ตาสีราตรีวาวด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นรอยตีตรามากมายบนคอร่างบาง
เอเลนเมื่อมองตามสายตาของมิคาสะมือเรียวต้องรีบยกขึ้นปิดร่องรอยน่าอับอาย ใบหน้ามนขึ้นสีได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาชายหนุ่ม แขนแกร่งโอบกอดไหล่บางตรงหน้า ใบหน้าคมซุกลงบนซอกคอขาวของเด็กหนุ่ม
เจ็บใจ แค้นเคือง ที่ไม่อาจปกป้องคนสำคัญของตนให้พ้นจากอุ้มมือของปีศาจร้ายในคราบนักบุญได้
“มิคาสะ?” เอเลนเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า ทั้งที่คิดว่าตัวเองคงโดนรังเกียจแต่ชายหนุ่มกลับโอบกอดเขาด้วยความอบอุ่นจนเด็กหนุ่มรู้สึกตื้นตัน
“ข้ารักเจ้าเอเลน” ร่างบางผละออกจากอ้อมกอดแกร่ง ใบหน้ามนมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ
“แต่ข้า” นัยน์ตาสีทองสั่นระริกกับเรื่องที่เกิด ตัวเขาตอนนี้ไม่คู่ควรที่จะได้รับความรู้สึกลึกล้ำเช่นนั้นจากชายหนุ่ม
มือแกร่งจับไหล่บางอย่างแน่วแน่ นัยน์ตาสีราตรีฉายแววจริงจังและความตั้งใจหวังให้อีกฝ่ายรับรู้
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใครหรือโดนทำอะไร ข้ารักเจ้าเอเลน” อกซ้ายของร่างบางสั่นไหว ความอบอุ่นและตื้นตันเออล้น ยังมีคนที่ยอมรับเขาไม่ว่าเขาจะเจอกับอะไร แต่คนตรงหน้านี้ก็พร้อมที่จะยอมรับตัวตนของเขา
“โฮ่ ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่ามายุ่งกับสมบัติของผู้อื่น”
“ท่านรีไว!” เด็กหนุ่มสั่นเกร็งเมื่อบุรุษตรงหน้าส่งสายตาเย็นเฉียบจับจ้องมาที่ทั้งคู่
“เอเลนไม่ใช่สิ่งของ ข้าจะไปเขาไปจากที่นี้” มิคาสะส่งแววตาหาเรื่องและขุ่นเคืองกลับไปไม่ต่างกัน
รีไวสบถอย่างหัว ยิ่งเห็นว่ายิปซีหนุ่มโอบกอดแตะต้องสิ่งล้ำค่าของตน ยิ่งทำให้เส้นอารมณ์ของบาทหลวงหนุ่มขาดผึง
หมัดแกร่งพุ่งเข้าใส่ยิปซีหนุ่มเต็มแรง มิคาสะเหวี่ยงตัวเอเลนเพื่อหลบการปะทะที่กำลังเกิดขึ้น ยิปซีหนุ่มหลบหมัดหนักที่พุ่งเข้ามาได้แต่ต้องจุกกับขาแกร่งที่ฟาดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว รีไวไล่ต้อนยิปซีหนุ่มจนไปถึงลานกว้างหน้าหอนาฬิกา ด้วยความเป็นห่วงทั้งสองเอเลนรีบวิ่งตามมาดูเหตุการณ์
มิคาสะหลบหลีกไปมาเมื่อเห็นจังหวะยิปซีหนุ่มเอี้ยวตัวหลบก่อนจะศอกเข้ากลางหลังบาทหลวงหนุ่มอย่างเต็มแรง รีไวเซถลาไปเกาะระเบียงหิน มือแกร่งยกขึ้นปาดเลือดที่มุมปากนัยน์ตาสีขี้เถ้ามองยิปซีหนุ่มอย่างโกรธเคือง มิคาสะไม่รีรอรีบสวนเตะเข้าที่ช่องท้องคนสูงน้อยกว่าไม่ให้ทันตั้งตัว แขนแกร่งพยายามกันรับแรงปะทะที่เกิด รีไวร่นถอยหนีจนเท้าพลาดพลั้งไปจนสุดขอบพระวิหาร ร่างแกร่งร่วงหล่นจากระเบียง
“ท่านรีไว!!!! ใบหน้ามนตื่นตกใจรีบวิ่งมาทางที่ชายหนุ่มร่วงหล่นลงไป
โชคดีที่แขนแกร่งของบาทหลวงยึดจับชานระเบียงหินไว้ทันก่อนที่จะตกลงไปจากยอดวิหารสูง
“ท่านรีไวข้าจะรีบช่วยท่านขึ้นมาเดี๋ยวนี้” มือเรียวกำลังจะคว้าข้อมือแกร่งที่พยายามยื้อชีวิตของตนไว้ แต่มือหนาของอีกคนจับข้อมือบางไว้เสียก่อน
“เอเลนนี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะหนีไปจากที่นี้ จากพันธนาการของชายผู้นี้” นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างกับทางเลือกที่ยิปซีหนุ่มยื่นเสนอ “ไปกับข้าเถอะเอเลนไปสัมผัสโลกกว้างที่อยู่ข้างนอกกับข้า”
ใบหน้ามนครุ่นคิดกับทางเลือกที่อยู่ตรงหน้า ถ้าเขาช่วยบาทหลวงหนุ่มขึ้นมายิปซีหนุ่มคงไม่พ้นโทษประหารและตัวเขาก็คงไม่พ้นต้องอาศัยอยู่แต่ในมหาวิหารแห่งนี้เท่านั้น  แต่ถ้าเขาเลือกมิคาสะตัวเขาก็จะเป็นอิสระได้ออกไปยังโลกภายนอก ได้พบเจอผู้คนมากมายได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใฝ่ฝัน เด็กหนุ่มเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ทางเลือกทั้งสองทางช่างยากเย็น หนึ่งคือบุคคลผู้มีพระคุณที่นับถือมาตลอดเวลา 15 ปี อีกหนึ่งคือบุรุษผู้ซึ่งมอบความฝันที่ชีวิตดั่งที่ต้องการ
“เอเลน”
“เอเลน”
เด็กหนุ่มมองใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองสลับไปมา ความหนักอึ้งถาโถมเข้าใส่ สิ่งที่เขาต้องเลือก สิ่งที่ข้าต้องเลือก…..

มือแกร่งที่ยึดเกาะผนังเริ่มอ่อนล้า รีไวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่สามารถเลือกหนทางของตน เพราะเป็นครั้งแรกที่เอเลนได้มีสิทธิที่จะเลือกชีวิตของตนเอง ตราบใดที่ตัวเขายังคงอยู่เด็กหนุ่มจะไม่มีวันเป็นอิสระตัวเขาย่อมรู้ดีที่สุด

เอเลน……สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะให้…….คืออิสระแก่ตัวเจ้า……

ใบหน้าคมหลับตาลง ความรู้สึกปลอดโปร่งที่ได้ตัดสินใจจะปล่อยมือจากเด็กหนุ่มทำให้รีไวรู้สึกเบาสบายและไม่กลัวความตายที่อยู่เบื้องหน้า มือแกร่งคลายมือที่ยึดกับพนังของตนเอง เฉกเช่นเดียวกับปลดปล่อยพันธนาการที่ตนยึดไว้กับเด็กหนุ่ม










หมับ!!

มือเรียวคว้าแขนแกร่งตรงหน้า รีไวมองการกระทำของเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ
“โลกภายนอกเป็นสิ่งที่ข้าหลงใหล ฮึก” ใบหน้ามนจ้องมองใบหน้าคมที่คุ้นเคยมาตลอดเวลาสิบห้าปีที่เฝ้าดูแลตนพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แต่โลกภายนอกที่ไร้ท่านมันก็ไร้ความหมาย”
มือเรียวทั้งสองพยายามดึงชายหนุ่มที่ร่วงหล่นขึ้นมาแต่น้ำหนักชองรีไวนั้นมีมากเหลือเกิน จึงไม่อาจดึงขึ้นมาได้ง่าย
“เอเลนปล่อยมือซะนี่เป็นคำสั่ง” ถ้าเด็กหนุ่มยังคงยื้อเขาไว้แบบนี้จะต้องตกลงด้วยกันอย่างแน่นอน
“ไม่ครับ!! ขอข้าขัดคำสั่งท่านเถอะแล้วข้าจะยินดีรับโทษทีหลัง”
แขนเรียวเริ่มหมดแรงมือแกร่งค่อยๆเลื่อนหลุด ก่อนที่ทั้งสองจะร่วงหล่นมือแกร่งอีกคู่ก็ช่วยดึงบาทหลวงหนุ่มขึ้นมา
“มิคาสะ!!” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อชายหนุ่มอีกคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“เจ้ายิปซี?” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองใบหน้าอีกคนที่ดูไม่เต็มใจนัก
“หึข้าไม่อยากช่วยเจ้าหรอกนะไอบาทหลวงเตี้ย แต่ข้าทนเห็นใบหน้าที่หม่นหมองของเอเลนไม่ได้”
ยิปซีและเด็กหนุ่มฉุดร่างของบาทหลวงรีไวขึ้นมาบนระเบียงได้อีกครั้ง เอเลนและมิคาสะต่างเหนื่อยหอบกว่าจะดึงคนน้ำหนักเยอะอย่างน่าแปลกใจขึ้นมาได้
“ข้าช่วยท่านไว้คงไม่ต้องไปกลับลงไปถูกย่างแล้วสินะ?” ยิปซีหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นถามบาทหลวง
ท่าทางที่น่าจับไปอบรมสั่งสอนช่างยียวน แต่ถึงกระนั่นเขาก็ถูกยิปซีหนุ่มที่เขาไม่ชอบหน้าช่วยเอาไว้
“หึ เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร คำสั่งและการคาดการณ์ของข้าคงผิดพลาดที่จับหนุ่มอวดดีอย่างเจ้ามา ข้าคงต้องหาข้อแก้ตัวกับพระราชา”
เอเลนมองท่าทางของบุคคลสำคัญตรงหน้าทั้งสองที่ต่างไม่ยอมลดลงให้แก่กันก็ได้แต่กลั้นขำในใจ
“สำหรับความเสียหายที่เกิดศาสนจักรจะขอรับผิดชอบ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย” สาธุคุณรีไวก้มศีรษะสำนึกผิดของตนให้กับหนุ่มยิปซี
มิคาสะแปลกใจกับการกระทำของบาทหลวงหนุ่ม แท้จริงแล้วบาทหลวงนี้ถ้าไม่ได้มีตัณหาบังตาคงเป็นบาทหลวงที่ดีมากทีเดียว
“พวกเราชาบยิปซีขอรับน้ำใจของท่าน” ยิปซีหนุ่มค้อมศีรษะตอบรับบาทหลวง
รีไวหันมองใบหน้ามนเด็กหนุ่มที่รักยิ่งมือแกร่งสัมผัสลงบนแก้มใสแผ่วเบา ใบหน้ามนหลับตาลงรับสัมผัสเฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มยังคงศรัทธาในตัวเขาแม้จะทำเรื่องที่โหดร้ายลงไปก็ตาม อกข้างซ้ายของบาทหลวงหนุ่มรู้สึกหน่วงและปวดหนึบกับความรู้สึกผิดที่กอบกุมในใจ เขาใช้อารมณ์และตัณหาที่หวังครอบครองคนตรงหน้าจนทำให้เกิดสิ่งเลวร้ายต่างๆมากมาย ถึงกระนั่นเด็กหนุ่มก็ยังคงมอบความไว้วางใจให้เขา
“โดยเฉพาะเจ้าที่ข้าต้องขอโทษมากที่สุด ถ้าเจ้าอยากเดินทางร่วมไปกับมิคาสะข้าจะไม่ห้าม”
นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างกับอิสรภาพที่ชายหนุ่มยื่นให้อย่างไม่คาดฝัน เป็นครั้งแรกและอาจเป็นครั้งเดียวที่เขาจะได้ออกไปผจญโลกกว้างดั่งที่เคยวาดฝันไว้ เด็กหนุ่มยิ้มบางสบนัยน์ตาสีขี้เถ้าคุ้นชินตรงหน้า
“ไม่ครับ ข้าจะอยู่ที่นี้” คำตอบของเอเลนทำให้รีไวเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “ข้าบอกแล้วไงโลกภายนอกที่ไม่มีท่านก็ไม่มีความหมายสำหรับข้าเช่นกัน” เขาได้ตัดสินใจแล้วถึงโชคชะตาของตนเอง ได้เลือกแล้วซี่งหนทางที่จะก้าวเดินและบุคคลที่อยากจะเดินไปด้วยกัน
มือบางประคองมือแกร่งที่จับแก้มของตน ริมฝีปากบางประทับจุมพิตลงบนฝ่ามือแกร่งอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ทุกอย่างกลับมาเป็นดังเดิมแต่ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปทำให้วันนี้ท้องฟ้ากว้างใหญ๋ที่มองจากยอดสูงของมหาวิหารนั้นสดใสแล้วงดงามกว่าที่แล้วมา….




“ต้องไปแล้วสินะมิคาสะ” นัยน์ตาสีทองหม่นหมองเมื่อถึงเวลาที่เพื่อนคนแรกที่แสนสำคัญของตนต้องจากไป
“อืม ยิปซีอย่างพวกข้าเดินทางไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย แต่สักวันข้ากับเจ้าจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน” มิคาสะยิ้มตอบกลับให้ใบหน้าเด็กหนุ่มคลายเศร้าลงบ้าง “แล้วครั้งหน้าข้าขอเจอแค่เอเลนแต่ไม่เจอท่านนะขอรับท่านสาธุคุณ” ยิปซีหนุ่มหันไปยิ้มเหยียดชายหนุ่มในชุดบาทหลวงที่ส่วนสูงน้อยจากตน
“โฮ่ งั้นข้าก็หวังว่าเจ้าจะกลับมาหาเอเลนได้โดยไม่ตายเสียก่อนล่ะ” รีไวเข้ามาโอบกอดเอวเด็กหนุ่มแสดงความเป็นเจ้าของให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เอเลนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสงครามปะทะคารมของทั้งคู่ได้แต่ยิ้มเฝื่อนทำอะไรไม่ถูก
“ข้าไม่เข้าใจเลยว่าบาทหลวงเตี้ยๆแบบนี้น่านับถือตรงไหน” มิคาสะอดที่จะถากถางไม่ได้ ไม่เข้าใจเสียเลยว่าชายหนุ่มคนนี้มีอะไรดี เอเลนถึงได้เลือกและละทิ้งซึ่งความใฝ่ฝันของตนเองลง
“หืม? ข้าว่าเจ้าคงยังอยากกลับไปนอนในคุกสักวันสองวันนะพ่อหนุ่ม”
“ของแบบนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอขอรับ” นัยน์ตาสีราตรีจ้องมองใบหน้ามนอย่างอาวรณ์ “เจ้าจะไม่ไปกับข้าจริงๆหรือเอเลน?”
เด็กส่ายหน้าช้าๆไปมาเป็นการปฏิเสธ เพราะที่แห่งนี้คือที่ที่เขาได้เลือกแล้ว
“งั้นเหรอ” มิคาสะถอนหายใจอย่างเสียดาย “ไหนๆท่านก็ได้ทั้งตัวและใจของเอเลนไปแล้วข้าขอแค่นี้คงไม่ว่ากันนะ” มิคาสะโอบเอวร่างบางแย่งเข้าหาตน ริมฝีปากคมจุมพิตลงบนริมฝีปากบางในอ้อมกอด ลิ้นร้อนกระหวัดไปมากอบโกยความหวานภายในอย่างอ้อยอิ่งอ่อนโยน
“อื้อ!” ร่างบางครางประท้วงกับการกระทำที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของยิปซีหนุ่ม เมื่อริมฝีปากคมถอดถอนออกไป ยิปซีหนุ่มรีบเอี้ยวหลบฝ่าเท้าแกร่งที่ตวัดเข้ามาอย่างเฉียดฉิว
“ข้าสัญญาว่าจะจำรสสัมผัสนี้ตลอดไปนะเอเลน”
“มิคาสะ!!” เอเลนหน้าขึ้นสีกับการกระทำจาบจ้วงของมิคาสะที่ไม่เกรงกลัวชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายตนเสียเลย
“ไอยิปซี!!!” เสียงคำรามเค้นรอดจากลำคอของบาทหลวงหนุ่ม ถึงกระนั้นก็ไม่อยากถือสาหาความเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำกับเด็กหนุ่มอย่างจาบจ้วงแล้ว สิ่งที่ยิปซีหนุ่มทำนับว่าน้อยกว่าอยู่มาก
มิคาสะยิ้มบาง โบกมือลาหันหลังเดินกลับเข้ากองคานิวานที่ซึ่งพวกพ้องของตนเฝ้ารออยู่ เด็กหนุ่มร่างโปร่งคลุมผ้าคลุมออกมาหน้าวิหารโบกมือลาเพื่อนคนสำคัญของตนและกองคานิวานที่กำลังเคลื่อนพลไปจนลับสายตา ร่างโปร่งย่างก้าวกลับเข้ามายังสถานที่ที่อยู่ของตน ใบหน้าคมมองเด็กหนุ่มนิ่ง
“แบบนี้ดีแล้วเหรอเอเลน นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้ามีสิทธิไปจากข้า” ไปจากความโหดร้าย จากอุ้มมือที่พันธนาการเขาไว้
“ดีแล้วล่ะครับ” เอเลนก้าวเท้าเข้ามาโอบกอดบาทหลวงหนุ่ม เสียงกระซิบแผ่วเบาแต่ตราตรึงผู้ที่ได้ฟังอย่างเอ่อล้น มือแกร่งขึ้นโอบกอดตอบเด็กหนุ่มใบหน้าคมซุกลงกับบ่าบาง ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างเป็นสุข ความรู้สึกตื้นตันถูกเติมเต็มเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ แต่ฝังแน่นตราตรึงและเสนาะกว่าบทเพลงหรือคำกลอนใดใดในโลกนี้

“ข้ารักท่าน….ท่านรีไว”

นับจากวันนั้นหอระฆังยังคงดังก้องกังวานเฉกเช่นเดิม ปีศาจแห่งหอระฆังยังคงเป็นหวาดกลัวกับผู้คน สาธุคุณรีไวยังคงเป็นที่นับถือและชื่นชมกับประชาชนทุกคนในเมือง ราชาเอลวินยังคงไว้เนื้อเชื้อใจในสหายและที่ปรึกษาคนสนิทไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงสำหรับเด็กหนุ่ม เหล่าผู้คนในวิหารที่เคยถูกสั่งห้ามไม่ให้เสวนาหรือพบเจอกับเอเลน ตอนนี้ร่างโปร่งได้เข้ามาช่วยงานในครัวหรือทำความสะอาดวิหารพร้อมกับเหล่าผู้คนในวิหาร ทุกคนก็ยินดีและต้อนรับเด็กหนุ่มอย่างอบอุ่นไม่เกรงกลัวต่อนัยน์ตาสีทองที่ผิดแปลกแยกจากผู้คน จะมีก็แต่เมื่อสาธุคุณรีไวมาร่วมทำกิจกรรมพร้อมเอเลน ทุกคนต่างพยายามที่จะไม่เข้าใกล้หรือแตะต้องตัวเด็กหนุ่มจนมากเกินไป ซึ่งเอเลนก็เข้าใจตรงจุดนี้ได้และเขาก็นึกขำกับท่าทีที่ทุกคนต้องสะดุ้งทุกครั้งเมื่อเจอสายตาดุดุของสีหน้านิ่งเฉยนั่นปรายมองมา แม้บางครั้งจะเพียงแค่มองเฉยๆก็ตาม สิ่งที่แปลกไปอีกอย่างบางวันในเมืองผู้คนจะพบเห็นบาทหลวงหนุ่มพาลูกศิษย์ที่คุมกายอย่างมิดชิดออกมาซื้อของในตลาด หรือออกไปนั่งเล่นในทุ่งหญ้ากว้างบ้างเป็นครั้งคราว แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเด็กหนุ่มนั้น ถึงกระนั่นเพราะคนที่อยุ่ด้วยเป็นถึงบาทหลวงชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นที่ไว้วางใจแม้กระทั่งกับองค์ราชาของเมืองเหล่าผู้คนจึงมิได้สงสียหรือใส่ใจเด็กหนุ่มผู้ติดตามมากนัก

สายลมเย็นพัดผ่านร่างสองร่างที่นั่งซ้อนกอดกัน เด็กหนุ่มในชุดคลุมกายมิดชิดและบาทหลวงหนุ่มผู้มีใบหน้าเฉยชาแต่เป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คน เอเลนเบียดกายให้แนบชิดอกอุ่นของคนซ้อนท้ายอีกคนเมื่อสายลมพัดผ่านนำความหนาวเหน็บมาด้วย แขนแกร่งโอบกอดให้ความอบอุ่นเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน ใบหน้ามนเงยหน้ามองคนที่กำลังกอดตน ใบหน้าคมก้มมองลงมาพร้อมมอบรอยยิ้มบางให้กับคนในอ้อมกอด จนเอเลนยิ้มตอบจนแก้มปริ ทุกอย่างค่อยๆเปลี่ยนแปลงและเข้าหากันทีละนิดอย่างลงตัว เพราะต่างรักและเข้าใจจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทีล่ะน้อยจนในที่สุดก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ไม่อาจตัดขาดหรือแยกจาก
“ตอนนี้ข้ามีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากท่าน ได้เห็นโลกภายนอกและทุกอย่างพร้อมกับท่าน” มือเรียวกอดกระชับอ้อมกอดแกร่งที่กอดตน
“ข้าเองก็มีความสุขเช่นกันเอเลน”
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แล้วอีกไม่นานรุ่งสางของวันใหม่จะมาเยือน ทุกวันที่ซ้ำซากและน่าเบื่อเปลี่ยนไปเมื่อมีใครอีกคนที่เข้าใจและต่างยอมรับซึ่งกันและกัน ยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อส้รางความสุขที่ไม่ใช่ความสุขแต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นความสุขของทั้งตนเองและคนที่สำคัญล้ำค่าจนไม่อาจสูญเสีย
Fin.

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 มีนาคม 2557 เวลา 15:30

    อ่านจบแล้ว แบบว่า!! ปลืมอะค่ะ!!
    เราหาบล็อคนี้เจอช้าเกินไปแล้ว อรั๊ยยยย!!

    เดี๋ยวจะไปตามไล่ตามเม้น ตามอ่านเรื่องอื่นๆ ต่อ =A=
    หัวหน้าค่ะ เรื่องนี้คือแบบว่าเป็นตัวร้ายเต็มประตูเลยอะ

    ถึงจะจบแบบ happy end ก็เถอะ
    แต่จบแบบนี้ยังนับว่าโหดร้ายกับเอเลนมากอยู่ดี
    จะไปหน่อยก็ต้องใส่ผ้าคลุมลำบากตายเบย

    มิคาสะ ในเรื่องนี้เธอกลายเป็นคนดีในสายตาของชั้นไปซะแล้ว *-*....

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เป็นปลื้มที่มีคนอ่านชอบค่ะ/เขินนนน
      เอาจริงเรื่องนี้ตอนเขียนเทใจให้มิคาเสะเป็นพระเอกอยู่นะคะ
      เเต่โดนพิษรักเเรงหวงของหัวหน้าทำให้กลับมาตายรังเลย
      ขอฝากเรื่องอื่นๆด้วยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ

      ลบ
  2. รู้สึกอยากให้มิคาสะถูกรีไวล์ฆ่าจังเลย
    อ้ายยยยย!!//ยันเดเระเข้าคลอบงำ

    ตอบลบ