Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last
Memory
Chapter 5
นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่เฉยเมยอยู่ตลอดเวลาสาดส่องไปทั่วบริเวณห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง เพื่อมองหาคนในความรับผิดชอบพิเศษของตน ไปอยู่ไหนกันนะไอเด็กเวรนั่น ทำไมเวลาจะไปไหนหรือทำอะไรไม่มารายงานเขา แบบนี้ควรได้รับการสั่งสอนเสียใหม่มันจะได้ใจเกินไปแล้วไอเด็กเวร!!
“กำลังหาอะไรอยู่น่ะรีไว นายไม่มาสนุกกับปาร์ตี้หน่อยล่ะ?”
หญิงสาวร่างโปร่งผมสีน้ำตาลสวมแว่นตาพูดพลางเข้าไปกอดคอคนที่สูงน้อยกว่า ที่ดูเหมือนตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยงมาคนคนนี้ก็เดินไปทั่วงานเหมือนกับกำลังหาอะไรบางอย่างไม่ได้จะสนใจบรรยากาศที่สนุกสนานของค่ำคืนนี้เสียเลย
“หาไอเด็กเวรนั่นน่ะสิ ไม่รู้หายหัวไปไหน” คนสูงน้อยกว่าแสดงท่าทีหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
จึงไม่แปลกเลยที่ตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มใครต่อใครก็ไม่กล้าเข้ามาพูดคุยหรือทักทายเลยสักคนคงเพราะสัมผัสได้ถึงรังสีไม่เป็นมิตรที่แผ่ออกมา ยกเว้นเพื่อนที่รู้จักกันมานานอย่างฮันซี่ โซเอะ
ที่มองว่าอารมณ์ที่คาดเดาได้ยากของคนคนนี้เป็นเรื่องที่น่าสนุกอยู่เสมอ
“นี่นายหาเอเลนอยู่งั้นสิ ชั้นว่าเขาคงไปรวมกลุ่มกับเพื่อนเพื่อเตรียมการแสดงในคืนนี้มากกว่า
พูดถึงการแสดงของเอเลนแล้วตื่นเต้นจัง ถ้าเอเลนแสดงอะไรที่เกี่ยวกับไททันล่ะก็ฉันต้องรีบไปหาสมุดบันทึกมาเพิ่มซะแล้วฮี่ฮี่”
ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้คลั่งไททันคนนี้จินตนาการอะไร
แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีและท่าทางแบบนั้นไม่ได้ชวนให้น่าเข้าใกล้หรืออยากรู้ความคิดของเธอเลยสักนิด
ไอเด็กเหลือขอนั่นไปเตรียมงานสำหรับคืนนี้งั้นสิ แต่ก็ควรรายงานเขาที่เป็นคนรับผิดชอบเสียบ้าง
ความหงุดหงิดของชายร่างเล็กแต่แข็งแกร่งเริ่มเบาบางลง ทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนี้เพียงแค่ไม่เห็นไอเด็กนั่นอยู่ในสายตาและไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อาจเป็นเพราะการดูแลเด็กนั่นมันเป็นหน้าที่ พอไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหนเลยชวนให้รู้สึกหงุดหงิดสินะ
“เออใช่
เอลวินมาแล้วนะ ให้มาตามนายไปที่โต๊ะได้แล้ว”หญิงสาวร่างโปร่งเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ผู้ซื่งเป็นหัวหน้าของหน่วยฝากวานมา
“งั้นเหรอ” ชายหนุ่มเดินกลับไปยังที่นั่งของตนเองซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดของลานการแสดงที่ตอนนี้
ออลโอ และ กุนเธอร์กำลังพยามเล่นกลเอากระต่ายออกมาจากหมวก
แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นคณะตลกไปแล้วเสียมากกว่าเมื่อกระต่ายตัวนั้นกระโดดไปมารอบๆลานและไม่ยอมให้จับง่ายๆเสียด้วย
จากมายากลเลยกลายเป็นการตะลุมบอนจับกระต่ายขนาดย่อมแทน
“นายควรจะรู้จักผ่อนคลายบ้างนะรีไว”
ชายหนุ่มผมทองผู้มีตำแหน่งสูงที่สุดแห่งหน่วยสำรวจเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นทหารเอกของตนเดินกลับมาที่โต๊ะและนั่งลงด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนเคย
ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติกับการแสดงสีหน้าของชายผู้แข็งแกร่งคนนี้ แต่นานๆทีก็เขาก็อยากเห็นสีหน้าและท่าทางสบายๆของเจ้าตัวบ้าง
และมันก็อาจทำให้ใครหลายๆคนเข้าใกล้คนนี้ง่ายขึ้นด้วย มีแค่คนไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าภายใต้หน้าตาที่เย็นชาและไร้อารมณ์นั้นแท้จริงแล้วเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้างมากขนาดไหน
“ชั้นก็ผ่อนคลายอยู่นะเอลวิน” ก็เป็นท่าทางปกติของเขาทุกครั้ง คนรอบตัวน่าจะชินกันได้แล้ว
การที่มาคอยบอกให้เขาแสดงสีหน้าและอารมณ์เสียบ้างเนี่ยไม่เบื่อกันมั่งเลยหรือไง โดยเฉพาะเอลวินกับฮันซี่ที่รู้จักกันมานาน
“นั่นน่ะสินะ ขนาดเรื่องแบบนั้น……ทุกครั้งนายก็ยังคงเฉยชาอยู่เสมอ” นัยน์ตาสีฟ้าที่สงบนิ่งจ้องไปยังคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างมีนัยแฝง
เรื่องที่รู้กันเพียงแค่เขากับเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
“น่ารำคาญน่าเอลวิน”
มือหยาบจากการรบมานับครั้งไม่ถ้วนคว้าคอเสื้อของผู้มียศสูงกว่า
นัยน์ตาสีขี้เถ้าหรี่มองด้วยความรำคาญกับท่าทีและคำพูดของชายตรงหน้า เอลวิน เป็นคนที่สามารถเชื่อใจและไว้วางใจในการตัดสินใจสิ่งต่างๆได้ดี แต่สำหรับคนที่ค่อนข้างรักสันโดษอย่างเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าคนสูงใหญ่ตรงนี้บางครั้งก็น่ารำคาญไม่น้อย
“ขอโทษนายด้วยละกันรีไว” เอลวินจัดแจงปกเสื้อของตัวเองให้เข้าที่
พร้อมส่งยิ้มบางให้คนที่ตัวเล็กกว่า
ไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ ฉันล่ะอยากเห็นคนที่ทำให้นายเปลี่ยนแปลงและเปิดใจได้จริงๆเลย……รีไว
ฉับพลันแสงในห้องโถงที่กำลังครื้นเครงอยู่นั้นก็พลันดับลง
ด้วยความตกใจของเหล่าผู้ร่วมงานต่างเริ่มมีเสียงเอะอะโวยวาย ด้วยเกรงกลัวว่าคืนนี้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ก่อนที่ความอลหม่านจะบังเกิด แสงสว่างจากไฟดวงหนึ่งที่ดูเหมือนจงใจจัดฉากได้ส่องแสงไปยังจุดกลางของลานแสดงพร้อมกลิ่นหอมของกลีบดอกไม้ที่ร่วงโปรยปรายราวกับหยาดฝนที่ตกลงมา สายตาทุกคู่ล้วนมองจับจ้องไปยังปลายแสงและฉากที่ถูกจัดวางมาอย่างดี
ผู้ร่วมงานต่างต้องตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็นอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง ร่างโปร่งในชุดผ้าแพรสีแดงที่เคลื่อนไหวตีลังกาลงมาพร้อมกับดอกไม้ที่ร่วงโปรยปรายจากเพดานสูงด้วยเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติช่างดูดุดันและน่าไขว่คว้า
ผ้าแพรสีแดงที่ปิดบังใบหน้าทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นใคร แต่ช่างขับนัยน์ตาสีเขียวมรกตให้ดูสวยงามเด่นชัดและเย้ายวนสะกดผู้ร่วมงานทุกคนจนเกือบลืมหายใจ
แม้กระทั่งชายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติและขึ้นชื่อในเรื่องความเฉยชาก็ยังถูกสิ่งเย้ายวนที่เห็นสะกดให้มองอย่างไม่อาจที่จะละสายตา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนถูกดึงดูด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเกือบลืมหายใจ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกตื่นเต้นกับภาพที่เห็น
ซึ่งไม่ได้มาจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือว่าความรู้สึกยามต่อสู้
และเป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าภายในอกนั้นสั่นไหว โดยเฉพาะกับนัยน์ตาสีมรกตที่รู้สึกคุ้นเคย
อ๊ากกกก!! อยากจะวิ่งไปให้ไททันกินตอนนี้เลยจริงๆสาบานได้
ทำไมต้องเป็นเขาด้วยนะที่ต้องมาแสดงอะไรบ้าๆแบบนี้
แถมอาร์มินนายจะจัดฉากการเปิดตัวให้มันอลังการงานสร้างขนาดนี้ทำม๊ายยยย!!!!ดีนะที่คว้าผ้าแพรที่เหลือมาปิดบังหน้าได้ ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่มีใครจำเขาได้สักคน
เรื่องที่น่าอายแบบนี้ขออย่าให้มีใครจำได้เลยว่าเขาคือใคร ร่างโปร่งได้แต่สวดอ้อนวอนภาวนาในใจกับสิ่งที่เจ้าตัวต้องทำ
เขาหมายมั่นแล้วว่าจบงานนี้เมื่อไรคงต้องขอคิดบัญชีรายคนกับบรรดาเพื่อนๆทั้งหมดของเขาเสียหน่อย
ร่างบางเมื่อลงมาถึงลานการแสดงก็ถอดเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติของตนออก เสียงเพลงบรรเลงดังขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่าการแสดงกำลังดำเนินอยู่
มือเรียวคว้าดาบโค้งร่ายรำตามแบบอย่างในหนังสือที่อาร์มินได้ไปค้นเจอมา
ซึ่งกล่าวว่าเป็นการแสดงของชาวตะวันออกที่หาดูยากและหายสาบสูญไปเสียแล้ว ร่างโปร่งตวัดดาบตามท่วงทำนองของจังหวะเพลง
สักพักก็มีดาบอีกเล่มโยนเข้ามาสู่ลาน ร่างบางหมุนตัวแล้วคว้ารับดาบอีกเล่มที่ถูกโยนเข้ามาตามจังหวะได้อย่างแม่นยำสวยงาม
มือเรียวจับดาบทั้งสองวาดลวดลายไปตามท่วงทำนองของเพลง
หน้าท้องที่เผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อที่มีอยู่บ้างเล็กน้อยเคลื่อนไหวไปตามจังหวะ สะโพกมนโยกย้ายซ้ายขวาเข้ากับท่วงทำนอง ช่างเป็นการแสดงที่เย้ายวนแต่ก็ดูมีพลังจากการใช้ท่าศิลปะการต่อสู้ร่วมด้วย
“ว้าว กลุ่มทหารใหม่นี่ไม่เบาเลยแฮะ
ไม่คิดว่าจะมีคนที่มีเสน่ห์ขนาดนี้เข้าร่วมหน่วยของเรา นายว่าคนที่แสดงอยู่เป็นใครน่ะมิเกะ?” ฮันซี่ทึ่งกับการแสดงของเด็กใหม่ในหน่วยอย่างมาก ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่กี่วันทุกคนจะร่วมมือกันจนการแสดงออกมาดีได้ขนาดนี้
ช่างเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองเสียจริง
“จากกลิ่น… เป็นเอเลนไม่ผิดแน่”
คำตอบจากชายผู้ขึ้นชื่อเรื่องความพิเศษในการแยกแยะกลิ่นต่างๆได้ดีทำให้ผู้ร่วมโต๊ะต่างตกใจกับชื่อของคนที่กำลังแสดง
“เอเลน เด็กคนนั้นน่ะเหรอ” เอลวินถึงกับตกตะลึงเช่นกัน ไม่คิดว่าเด็กอายุ 15 จะมีเสน่ห์ที่ดึงดูดและน่าหลงใหลขนาดนี้
นัยน์ตาสีฟ้าเย็นเหลือบมองไปยังคนตัวเล็กกว่าที่นั่งอยู่ข้างตน ถึงสีหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากแต่ก็รับรู้ได้ว่าคนคนนี้ก็มีปฏิกิริยาและสนใจ
บุคคลที่กำลังแสดงอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ถึงขนาดที่ทำให้คนเย็นชาอยู่เสมออย่างรีไวสนใจได้เจ้าเด็กนี่น่าสนใจทีเดียว
การแสดงดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้ายมือเรียวโยนแอปเปิ้ลขึ้นไปกลางอากาศ
ใบมีดคมตวัดไปมาด้วยความเร็วผ่านลูกแอปเปิ้ลลูกนั้นก่อนตกลงในจานที่ถือรองรับไว้
แอปเปิ้ลแยกตัวออกจากกันเป็นชิ้นๆจัดเรียงสวยงามอยู่ในจาน
แสดงถึงความคมของดาบและความสามารถของการใช้ดาบของผู้แสดงได้เป็นอย่างดี
เสียงปรบมือและเสียงชื่นชมดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง ทุกคนต่างพึงพอใจกับการแสดงเป็นอย่างมาก ถึงแม้คนแสดงจะหน้าขึ้นสีด้วยความอายแต่ก็อดที่จะรู้สึกดีด้วยไม่ได้
ร่างโปร่งนำจานแอปเปิ้ลไปวางที่โต๊ะรวมของบรรดาหัวหน้าซึ่งอยู่ด้านหน้าติดกับลานแสดง
นัยน์ตาสีมรกตเผลอสบตากับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่แสนเย็นชายิ่งส่งผลให้หน้าของเขาร้อนผ่าวยิ่งขึ้นใบหน้ามนรีบโค้งศีรษะนอบน้อมกับทุกคนที่อยู่ในโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆหันหลังและรีบเดินจากไป อ…อายชะมัด!!ขออย่าให้รู้เลยว่าเขาเป็นใคร!!
ร่างบางรีบเดินหมายจะรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตน แต่ข้อมือบางถูกคว้าไว้ได้เสียก่อน
“คนสวย จะรีบไปหนายยย
มานั่งข้างๆพี่ชายก่อนนน” ทหารคนหนึ่งที่เมามายจากการดื่มสุราสังสรรค์คว้าข้อมือและโอบเอวของเอเลนไว้
เหม็นเหล้าชะมัด!!
ร่างโปร่งพยายามสลัดคนเมาที่เข้ามาให้ออกไปตนเอง เมาขนาดนี้ทำไมแรงยังเยอะอีกวะ!!
“อยู่นิ่งๆแล้วมารินเหล้าให้พี่ตรงนี้ดีกว่านะจ๊ะ”
ยิ่งสะบัดให้หลุดออก แต่คนเมาก็ยิ่งจับข้อมือของร่างบางแน่นขึ้น
ไอขี้เมาทนไม่ไหวแล้วนะโว๊ย!!
ผั๊วะ!!!!
ก่อนที่เอเลนจะถีบคนเมาออกไป ก็ได้มีฝ่าเท้าฟาดลงที่หัวของชายคนนั้น จนถึงกับหล่นลงไปกองกับพื้น
“ใครวะ!!!ห…หัวหน้า!!!” คนเมาที่ตอนนี้เริ่มสร่างจากลูกเตะที่ที่ฟาดลงมาหน้าที่ตอนแรกขึ้นสีจากความเมาเริ่มซีดเมื่อเห็นว่าคนกระทำคือผู้บังคับบัญชาของตน
“เออ ชั้นเอง” ฝ่าเท้าหนักหน่วงและรวดเร็วของรีไวถูกส่งไปให้ชายที่กำลังนอนกลิ้งอยู่กับพื้นชุดใหญ่
จนหนุ่มผู้โชคร้ายฟันหลุดกระเด็น เลือดไหลกลบปาก และจุกเกินกว่าจะพูดออก
ก่อนจะจบลงด้วยการเหยียบกระแทกที่หน้าซ้ำอย่างแรงเพื่อสั่งสอน “ชั้นจำไม่ได้ว่าเคยอนุญาตให้พวกแกบังคับใครมานั่งรินเหล้าให้”
มือหยาบคว้าร่างบางที่กำลังตกใจแล้วลากออกจากห้องโถงที่จัดงานไป
“เอาซะเละเลย ท่าทางต้องให้หมอนี่พักฟื้นสักสองสามวัน ไม่คิดเลยว่ารีไวจะเล่นแรงขนาดนี้” ฮันซี่เข้ามาดูอาการของชายผู้โชคร้าย
และสั่งให้ทหารคนอื่นลากเจ้าคนซวยไปทำแผล
“นั่นน่ะสินะ อันตรายจริงๆเลย” เอลวิน
คลี่ยิ้มบางก่อนจะค่อยๆยกไวน์ขึ้นดื่ม อันตรายสำหรับคนที่เข้าไปแตะต้องของสำคัญของคนอื่นอย่างไม่ระวัง อันตรายสำหรับความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นและดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัวทั้งสองฝ่าย
ร่างบางถูกดึงขึ้นไปตามบันไดเรื่อยๆ จนไปถึงดาดฟ้าของป้อมปราการ มือกร้านนั่นจึงยอมปล่อยมือของเขา
ขาก็ไม่ได้ยาวแต่ทำไมหัวหน้าเดินเร็วนักนะ
เขาหอบหายใจอยู่สักพักจึงสังเกตุเห็นว่าคนที่ลากตนเองมากำลังนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่
ร่างโปร่งค่อยๆเดินไปนั่งข้างๆกับชายหนุ่มผู้แข็งแกร่ง
บนดาดฟ้าแม้ไม่มีแสงไฟจากตะเกียง แต่แสงจากพระจันทร์และดวงดาวในค่ำคืนนี้ก็สว่างพอที่จะมองเห็นหน้าตาที่เฉยชาของคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมไว้”
ถึงจะแอบเห็นใจคนดวงซวยคนนั้นนิดหน่อยก็เถอะ สภาพที่เห็นครั้งสุดท้ายดูไม่จืดเอาเสียเลย
“แต่นั่นก็เพราะการแต่งตัวของนายด้วยล่ะนะ เอเลน”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองมายังใบหน้ามนที่นั่งอยู่ข้างๆ
เพราะแต่งตัวแบบนี้ไอพวกนั่นมันถึงได้เข้ามาหาง่ายๆ น่าหงุดหงิดชะมัด
การแต่งตัว!? !!!!!
ลืมไปเลยว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในชุดที่น่าอายมากๆ
ทั้งที่อุส่าห์เอาผ้าคลุมหน้าปิดบังไว้แต่หัวหน้ายังรู้อีกว่าเป็นเขา
ทั้งที่คนที่ไม่อยากให้เห็นและรู้ที่สุดก็คือหัวหน้าแท้ๆ ใบหน้ามนเกิดอาการแดง
สองมือกอดรัดรอบตัวหมายจะปิดบังเรือนร่างและชุดที่น่าอายได้บ้าง
“ขอโทษนะครับ ผู้ชายมาแต่งแบบนี้คงจะแปลกสินะครับ แหะๆ” เอเลนพยายามหัวเรากลบเกลื่อนความอายที่กำลังปะทุขึ้น
“ก็….ไม่เลว” คำตอบจากคนตรงหน้ายิ่งทำให้เอเลนหน้าขึ้นสี เหมือนกับว่าอุณหภูมิในตัวเขาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ นี่เขาไม่สบายรึเปล่า!?
“ต….ต้องแปลกสิครับ
ชุดแบบนี้เหมาะกับสาวๆมากกว่า ไม่รู้ว่าคนเมื่อกี้เขาคิดอะไรอยู่
จะว่าไปแจนก็อีกคนหาว่าผมเป็นสาวน้อยบ้างล่ะ เอามือมากุมและหลีบ้างล่ะ ไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นอะไรกันนักหนา” คิดแล้วก็หงุดหงิด
กลับไปถึงห้องเมื่อไรต้องจัดการกับเจ้าพวกนั้นให้หมดเลย
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองร่างโปร่งที่กำลังเล่าเรื่องของตน ทำไมอยู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานะพอได้ยินว่ามีใครเอามือมากุมข้อมือบางนั้นไว้ และหยอกเย้าเจ้าเด็กนี่
“ชั้นจะบอกให้ว่าพวกนั้นเป็นอะไรกัน”
“เอ๋?”
มือหยาบคว้ามือของเอเลนขึ้นมาใบหน้าคมเคลื่อนเข้าหาร่างบาง ริมฝีกปากจูบลงที่ข้อมือบางแล้วค่อยๆเคลื่อนจรดลงบนผ้าคลุม
ณ. ตำแหน่งของริมฝีปากของใบหน้ามน
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองลึกไปยังนัยน์ตาสีมรกตที่กำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะแผ่วเบาแต่ก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากของเขาทั่งคู่กำลังสัมผัสกัน ริมฝีปากคมค่อยๆเคลื่อนออกจากอีกฝ่าย
นัยน์ตาสีขี้เถ้ากลับไปให้ความสนใจกับวิวท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่คิดที่จะรุกล่ำ แค่หงุดหงิดและอยากจะสั่งสอนก็เท่านั้น แล้วทำไมบางอย่างภายในอกมันวูบไหวจนน่ารำคาญแบบนี้กัน
แต่กับอีกคนที่ได้แต่ก้มหน้าเก็บอาการไม่ถูก หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ม…..เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น!!!
เรากับหัวหน้าจูบกันงั้นเหรอ!!!!!
นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองคนที่อยู่ข้างกาย
ทั้งที่คนกระทำยังคงมีสีหน้าที่นิ่งเฉยและปล่อยให้คนถูกกระทำเกิดอาการทำตัวไม่ถูก
นี่เขาต้องไม่สบายไปแล้วแน่ๆตอนนี้รู้สึกยังกับว่าร่างกายกำลังจะหลอมละลายอย่างนั้นแหละ
“เราควรไปกันได้แล้ว เพื่อนนายน่าจะตามหาตัวนายอยู่” นี่พวกเขาก็แอบหนีมาได้สักพัก
เอลวินคงจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เรียบร้อยแล้
“ค…..ครับ”
ร่างโปร่งตอบอย่างตะกุกตะกัก
ตอนนี้ยังไม่อาจสามารถมองหน้าคนตรงหน้านี้ได้เลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้าแปลกๆอยู่รึเปล่า
“พวกเราตามหานายตั้งนาน เอลน”
เสียงของโคนี่ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังตามหาอยู่กลับมาที่ห้องโถงพร้อมกับคนที่ลากเจ้าตัวออกไป
“ขอโทษด้วยนะทุกคน”
เมื่อทุกคนในกลุ่มเห็นเอเลน
ก็เดินเข้ามาหาร่างโปร่ง
ไรเนอร์อดที่จะคว้าคอคนตัวเล็กกว่าไปยีหัวด้วยความเอ็นดูไม่ได้
ข้อหาทำให้พวกเขาวุ่นวายต้องตามหาเจ้าตัวกันยกใหญ่
“เอเลนไม่เป็นไรใช่ไหม
ชั้นจะไปจัดการไอหมอนั่นที่บังอาจเข้ามาแต๊ะอั๋งนาย”
คำพูดของมิคาสะทำให้เอเลนรีบคว้าตัวเธอเอาไว้เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินไปยังห้องที่น่าจะเป็นห้องพยาบาลของชายคนนั้น
“ขอโทษนะครับไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
เลยทำให้เอเลนต้องเดือดร้อนเลย”เด็กชายผมทองผู้เป็นต้นคิดเรื่องการแสดงรู้สึกผิดที่ทำให้ร่างโปร่งต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้น
“ช่างมันเถอะอาร์มิน แต่การแสดงที่นายเตรียมไว้ก็สุดยอดเลย” ถึงจะอาย แต่ก็รู้ว่าพวกนายทุ่มเทจริงๆ
“ไม่คิดว่าอย่างแกจะทำได้ดี แต่ก็ออกมาดูดีมากจริงๆนั่นแหละ”
ถึงแม้แจนจะเห็นตอนซ้อมอยู่หลายครั้งแต่ไม่คิดว่าวันจริงจะทำให้ถูกสะกดได้ถึงแบบนี้ และไม่คิดเลยว่าชุดที่ร่างบางใส่จะขับให้คนตรงหน้าดูดีขนาดที่ตัวเขาเองยังต้องตกตะลึงและเผลอทำอะไรบ้าๆลงไป
“ไรวะแจน นี่แกจะชมหรือหาเรื่องเนี่ย?” นัยน์ตาสีมรกตเข้าไปคว้าคอเสื้อคู่กัดของตน
“เฮ้ย!! นี่ชั้นชมแกนะเว๊ยเอเลน เดี๋ยวเสื้อก็ขาดหรอก!!!” ยิ่งใบหน้ามนนั่นเคลื่อนมาใกล้ยิ่งทำให้หน้าของคนที่สูงกว่าขึ้นสี ทั้งที่คิดว่าสงบใจได้แล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อนัยน์ตาสีมรกตนั้นจ้องมา
เหตุการณ์และการหยอกล้อกันของกลุ่มเพื่อนอยู่ในสายตาของนัยน์ตาสีขี้เถ้าทั้งสิ้น
ทั้งที่เมื่อกี้ความหงุดหงิดเริ่มเบาบางลงไปบ้างแล้ว
และทำไมตอนนี้มันถึงได้ปะทุขึ้นมามากกว่าเก่า น่าหงุดหงิด
และน่ารำคาญ ต้องทำอะไรสักอย่างระบายความหงุดหงิดนี้
มือแข็งแกร่งคว้าเข้าที่คอเสื้อของคนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังแจกแจงให้ทุกคนเคลียสถานที่หลังจากจบงานเลี้ยง
“มาด้วยกันหน่อยซิ
เอลวิน”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าบ่งบอกชัดเจนว่าคนตัวเล็กตรงหน้านี่กำลังหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ถ้าปล่อยไปก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะไปอาละวาดหรือซัดใครจนปางตายเอารึเปล่า
“ได้อยู่แล้วรีไว” ร่างสูงใหญ่รีบจัดแจงฝากฝังส่วนที่เหลือและหน้าที่ให้กับทหารผู้รู้ใจอีกคน แล้วเดินตามชายผู้สูงน้อยกว่าออกไป
ร่างโปร่งที่กำลังเตรียมตัวจะกลับไปเปลี่ยนชุดและมาช่วยทำความสะอาดห้องโถงเห็นหลังของหัวหน้าเดินออกไปจากห้อง ก็นึกได้ว่าเขาควรจะขอบคุณเรื่องวันนี้อีกครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะไปพักผ่อน
ร่างบางก้าวเท้าตามบันไดขึ้นไปยังห้องของหัวหน้าที่อยู่ชั้นบน
หวังว่าหัวหน้าคงจะไม่หาว่าเขามารบกวนหรอกนะ ขอขอบคุณที่ช่วยอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งดีกว่า
เท้าที่กำลังเลี้ยวผ่านมุมกำแพงต้องหยุดชะงัก
ร่างโปร่งรีบหันกลับซ่อนตัวอยู่อีกฝากของพนังอิฐ ภาพที่เห็นทำให้ร่างกายชา ภายในอกถูกบีบรัดจนแน่น
หัวหน้ารีไวและหัวหน้าเอลวินกำลังจูบกัน ไม่ใช่จูบอย่างที่เขาได้รับ แต่เป็นจูบของผู้ใหญ่ จูบที่ลึกซึ้ง หนักหน่วง
และเร่าร้อน
“หงุดหงิดอะไรของนายน่ะรีไว?”
ปกติแล้วคนตัวเล็กตรงหน้าจะนิ่งและเฉยทุกครั้ง
แต่วันนี้กลับดูร้อนแรงเหมือนกับอยากจะระบายความพลุ่งพล่านที่เกิดขึ้นในตัว
“อย่าถามมากน่าเอลวิน”
คนร่างเล็กกว่าดันชายหนุ่มผู้มีร่างสูงใหญ่กว่าตนเข้าไปในห้อง
เสียงล็อคของกลอนประตูบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งคู่กำลังต้องการเวลาส่วนตัว
ร่างโปร่งทรุดลงตัวกับพื้น เขารู้สึกตัวชา
และไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าที่จะลุกขึ้นและเดินหนีไปจากตรงนี้ ในอกบีบรัดจนหายใจไม่ออก
ความจุกเสียดแน่นขึ้นมาจนถึงคอหอยจนไม่อาจเปล่งเสียงใดใดออกมา………..
….. ทรมาณ……….
สัมผัสนั่นเป็นแค่การสั่งสอนที่ต้องการบอกให้รู้สินะครับว่าคนอื่นคิดยังไง นั้นไม่ใช่จูบ
เพราะจูบจะต้องลึกล่ำและดื่มด่ำเหมือนกับที่เขาเห็นเมื่อกี้นี้
คุณแค่ต้องการสอนให้ไอโง่อย่างผมรู้เท่านั้นสินะครับหัวหน้า
ให้รู้ถึงความโง่และความเป็นเด็กของตัวเอง โง่ที่คิดว่าสัมผัสที่อบอุ่นและแผ่วเบานั่นคือจูบที่ทำให้รู้สึกดีและตื่นเต้นโง่ที่ไม่อาจเข้าถึงโลกของผู้ใหญ่ได้แบบคุณ…..
หลังมื้อเที่ยงทุกคนต่างแยกย้ายทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายของตนเอง ช่วงบ่ายวันนี้เอเลนได้รับหน้าที่ให้ทำความสะอาดสวนของป้อม มิคาสะ
อาร์มิน และคนอื่นๆได้รับมอบหมายให้ไปตรวจตราพื้นที่เพื่อเตรียมการวางแผนสำหรับการสำรวจที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ทั้งที่ตัวเขาเองก็อยากที่จะออกไปด้วยเช่นกันแต่ต้องอยู่ทำความสะอาดสวนเพราะต้องอยู่ในความดูแลของหัวหน้าทหารรีไวตลอดเวลาตามข้อตกลงที่ได้แจ้งไว้อย่างชัดเจนในศาล
ถ้าได้ออกไปพร้อมพวกอาร์มินและมิคาสะก็คงจะดี เขาจะได้รู้สึกสงบใจได้บ้าง
การที่ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้ารีไวเป็นสิ่งที่ทำให้อึดอัดไม่ใช่น้อย ทั้งที่คนนั้นคือคนที่ใฝ่ฝันและเป็นวีรบุรุษของเขามาตลอดแต่ตอนนี้กลับไม่อยากเจอมากที่สุด
วันนี้ทั้งวันเลยทำให้เขาหลบหน้าหัวหน้าตลอดช่วงเช้าจนกระทั่งมื้อเที่ยงที่ผ่านมาซึ่งดูเหมือนหัวหน้าก็เริ่มรู้แล้วว่าเขากำลังถูกหลบหน้าอยู่
เลยดูเหมือนว่าหัวหน้าจะเริ่มหงุดหงิดอีกแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดหรือว่าอะไรเขาเลย คงจะเป็นเพราะเขาไม่ได้มีค่าอะไรให้ใส่ใจถึงขนาดต้องเป็นห่วงสินะ ทุกครั้งที่คอยเรียกหาหรือถามไถ่คงเป็นเพราะทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายและเกรงว่าตัวเขาจะไปทำอันตรายกับใครอื่นหากคลาดสายตาไปสินะ
เบ้าตาเริ่มร้อนผ่าวหยาดน้ำคลออยู่ในตาสีมรกต มือบางยกมือปาดน้ำตาที่กำลังจะร่วงรินลงมา
สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่ไอเด็กเหลือขอคนหนึ่งเท่านั้น
“เฮ้ยเอเลนทำไรอยู่วะ?” เสียงของแจนทำให้ใบหน้ามนรีบปาดเช็ดน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นของตนและมองไปยังร่างสูงที่กำลังเดินเข้ามาหา
“แกไม่ได้ออกไปกับพวกมิคาสะเหรอแจน?” ร่างโปร่งรู้สึกใจชื่นขึ้นที่ยังคงเห็นว่ายังคงมีคนอื่นเหลืออยู่ที่ป้อมปราการ แม้จะเป็นคู่กัดเขาก็ตามที แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาไม่ต้องคิดถึงเรื่องของหัวหน้าได้สักระยะ
“พอดีเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติของฉันมีปัญหาน่ะ
เลยต้องกลับมาเปลี่ยน ว่าแต่….นายร้องไห้เหรอ?” นัยน์ตาสีเปลือกไม้ตกใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าขอบตาแดงช้ำและสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ชั้นเปล่าร้องไห้สักหน่อย!!” ใบหน้ามนหลบนัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่มองมา
นี่เขาแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือไง
ร่างสูงเดินเข้าไปจับไหล่ร่างโปร่งด้วยความเป็นห่วง
ปกติคนตรงหน้านี้จะต้องถกเถียงกับเขาด้วยการจ้องมองตาตรงๆไม่เคยหลบสายตาเขาแบบนี้มากก่อน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคู่ที่คอยกัดและทะเลาะกันอยู่เสมอ
แต่ก็ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอดระยะเวลาของการเป็นทหารฝึกหัด
มันทำให้เขาอดที่จะเป็นห่วงคนตรงหน้านี่ไม่ได้
“ชั้นไม่เข้าใจหรอกนะว่านายเจอกับอะไรมา กดดันขนาดไหน
หรือสิ่งที่นายแบกรับไว้มันเป็นยังไง
ถ้าบางครั้งมันลำบากนักแกจะพักบ้างก็ได้
แกจะแสดงความอ่อนแอออกมาบ้างก็ไม่มีใครว่าอะไรแกหรอก
ถึงชั้นจะถามว่าฝากความหวังไว้ที่แกได้รึเปล่า เชื่อในตัวแกได้ไหม ชั้นก็เชื่อ ไม่สิ!! ชั้นอยากจะเชื่อมั่นในตัวนายนะเอเลน”
คำพูดที่บอกว่าเชื่อมั่นในตัวเขาทำให้ร่างโปร่งตกใจไม่น้อยโดยเฉพาะเมื่อมาจากคนที่คิดว่าไม่น่าจะเป็นคนที่พูดที่สุดด้วยแล้วยิ่งทำให้เขาแปลกใจ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นทีเดียว ยังคงมีคนเชื่อมั่นในตัวเขาแล้วพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปพร้อมกับเขาอยู่อีกมาก เขาต้องรีบทำตัวให้เข้มแข็ง และแข็งแกร่งจะได้ไม่ทำให้ใครเป็นห่วง
“ขอบใจนะ… แจน” ใบหน้ามนยิ้มบางและซบลงกับไหล่ของร่างสูงกว่าที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ
“เออ” ร่างสูงตอบรับเสียงเบาใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเมื่ออีกคนซบลงตรงที่ไหล่ของตน
แต่กระนั้นมือใหญ่ก็ลูบไล้ผมสีน้ำตาลของอีกคนหวังจะช่วยปลอบประโลมอีกฝ่ายได้บ้าง
“โฮ่ย!! เอเลนถ้าแกทำความสะอาดสวนเสร็จแล้วมาหาชั้นที่ห้องด้วย” เสียงอันคุ้นเคยตะโกนสั่งลงมาจากหน้าต่างชั้นบน
ซึ่งมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนอยู่ตลอดเวลา และมันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดทั้งที่คิดว่าได้ระบายความหงุดหงิดออกไปบ้างแล้ว แต่มันก็ยังคงอยู่ยิ่งเห็นร่างโปร่งกับอีกคนที่สูงกว่าอยู่ด้วยกันความหงุดหงิดที่ไม่รู้สาเหตุยิ่งก่อตัวขึ้นในใจของชายผู้ขึ้นชื่อเรื่องเย็นชาเป็นอย่างมาก
“ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้…” ร่างโปร่งรีบตอบรับคนเบื้องบน
ถึงแม้จะไม่อยากพบมากที่สุดแต่จะให้หลบไปตลอดก็คงไม่ได้ ถึงแม้ในอกยังคงเจ็บปวดเมื่อได้ยินเสียงหรือเห็นชายคนนั้น แต่เมื่อถูกสั่งก็มีแต่จะต้องทำตาม
“ส่วนนาย
กิลชูไตน์
นายต้องไปช่วยทางเอลวินสำรวจพื้นที่ไม่ใช่เหรอไงแล้วทำไมยังอยู่ที่นี้อีก?” นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหล่มองไปยังร่างสูงอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่ารำคาญ
“ครับผมจะตามไปแล้วครับ!!”
แจนรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรส่งมาจากผู้บังคับบัญชา
จึงรีบที่จะกลับไปทำหน้าที่ของตน
จากเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อวานคนคนนั้นแม้จะตัวเล็กแต่ก็ฝ่าเท้าหนักไม่ใช่เล่น ควรรีบอยู่ให้ห่างมากที่สุดดีกว่า
เอเลนเดินขึ้นมาจนถึงห้องทำงานของหัวหน้าของตน
มือบางเคาะตามมารยาทเป็นการแจ้งให้คนข้างในรู้ว่าตนเองได้มาถึงแล้ว เมื่อได้รับอนุญาตร่างโปร่งจึงเข้าไปข้างใน
“มีอะไรหรือครับหัวหน้า”
แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถมองหน้าของคนนี้ได้ตรงๆ
“แกนั้นแหละมีอะไรเอเลน ทำไมถึงหลบหน้าชั้นตลอดทั้งวัน” ชายร่างเล็กกว่าแต่แข็งแกร่งวางเอกสารที่ต้องตรวจตราลงบนกองเอกสารที่เหลือ ใบหน้าคมจับจ้องอย่างคาดคั้น
“อ….เออ ผ….ผม….” ใบหน้ามนได้แต่ก้มหน้า ไม่อาจตอบคำถามชายตรงหน้าได้
จะให้เขาบอกว่าอะไรล่ะในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าทำไมถึงไม่กล้าที่จะสบตาหรือมองหน้าคนคนนี้
แล้วทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดเมื่ออยู่ใกล้กับคนนี้
“ชั้นถามทำไมไม่ตอบ” เสียงทุ้มเริ่มกดดันมากขึ้น
แสดงให้รับรู้ได้ว่าชายคนนี้กำลังหงุดหงิดอยู่มากทีเดียว
“ผม….ไม่ทราบครับ” เอเลนได้แต่ก้มหน้าแล้วตอบอย่างแผ่วเบา
ส่งผลให้ใบหน้าคมยิ่งทวีความหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“ทำไมนายไม่รู้
ในเมื่อเป็นตัวของแกเอง
แล้วแกทำไมไม่มองหน้าชั้นตรงๆ ห๊ะ ไอเด็กเหลือขอ!!”
คำพูดที่ตอกย้ำของคนตรงหน้าทำให้บางอย่างในใจของเด็กหนุ่มสั่นครืน
“ใช่ครับ ผมมันก็เป็นได้แค่เด็กเหลือขอ
ก็แค่เด็กที่โดนผู้ใหญ่อย่างคุณเอาไว้แกล้งเล่นเท่านั้น!!”เจ็บใจ ทำไมคนคนนี้ถึงได้ว่าเราเป็นเด็กตลอดเวลา ผมไม่ได้อยากเกิดมาอายุน้อยกว่าคุณ
หรือว่าอยากเกิดมาเป็นแค่เด็กเหลือขอในสายตาคุณเท่านั้น
“นี่ชั้นกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่นะไอเด็กเวร
นายจะเอายังไง?”ชายหนุ่มอายุมากกว่าพยายามข่มอารมณ์โมโหที่กำลังปะทุขึ้นจากการต่อปากต่อคำของเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ผมจะเอายังไงงั้นเหรอ
ผมมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรได้ตามใจตัวเองด้วยอย่างนั้นเหรอครับ
ในเมื่อผมมันก็แค่เป็น
ไอเด็กบ้าคนหนึ่งและเป็นแค่ปีศาจในสายตาคนอื่นเท่านั้น!!!” ใบหน้ามนตอบกลับ
เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่เขาได้สบตากับนัยน์ตาสีขี้เถ้านั่น
ซึ่งกำลังฉายแววความโมโหอย่างเด่นชัด
เขาควรจะออกไปจากที่นี้สินะเผื่อคนคนนี้จะหายหงุดหงิดเสียบ้างที่ไม่มีไอเด็กบ้าแบบเขาอยู่ให้รกหูรกตา
“ผม…ขอโทษครับหัวหน้า ผมขออนุญาตออกไปตรวจตรากับคนอื่นพร้อมแจนนะครับ”ร่างโปร่งหันหลังกลับเตรียมจะออกไปจากห้องของผู้บังคับบัญชา ไหล่บางถูกคว้าแล้วโยนลงบนโซฟาสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในห้องทำงาน
“นายทำชั้นหงุดหงิด ไอเด็กเหลือขอ”
มือหยาบรวบข้อมือบางกดไว้เหนือศีรษะของร่างโปร่งกับโซฟาไอเด็กนี่ทำให้เขาหงุดหงิดทั้งที่พยายามข่มความโมโหและจะคุยด้วยดีดีแล้ว
แต่เจ้าเด็กนี่ก็ยังคงดื้อด้านสร้างความรำคาญให้เขาไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะยิ่งได้ยินว่าไอเด็กนี่จะออกไปสำรวจกับไอเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นด้วยแล้วยิ่งทำให้ความอดทนของเขาถึงขีดสุด
“ห…..หัวหน้า ผมเจ็บ”
แม้คนนี้จะตัวเล็กกว่าตัวเขาแต่แรงนั้นกลับมีมากเกินกว่าที่จะคาดเดา ข้อมือที่ถูกรวบไว้ถูกบีบรัดแน่นจนเจ็บ
นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
นี่เขาคงจะโดนอัดซ้อมเหมือนกระสอบทรายเพราะไปทำให้หัวหน้าโมโหอย่างนั้นสินะ
ขณะที่ใบหน้ามนกำลังไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็แนบเข้ามารุกล่ำ แนบชิด และรุนแรง
เหมือนกับที่เขาได้เห็นคนนี้ทำกับหัวหน้าเอลวิน
ลิ้นร้อนจาบจ้วงเข้ามาในโพรงปากสีระเรื่อตวัดและเก็บเกี่ยวความวาบหวามที่อยู่ภายในนั้น
“ห……..หัว หน้า แฮ่ก….แฮ่ก…”
เมื่อริมฝีปากพ้นจากพันธนาการของผู้รุกราน
ร่างโปร่งรีบหอบสูดอากาศหายใจเข้าทันที
ลมหายใจยังไม่คงที่ดีเสื้อที่สวดใส่ก็ถูกถกขึ้นอย่างรวดเร็ว มือหยาบบีบเค้นยังยอดอกที่อ่อนไหว
ลิ้นร้อนหยอกเย้าโลมเลียและขบกัดกับยอดอกที่เริ่มชูชันของร่างบางตรงหน้า
“อ๊ะ!! หัวหน้าจะทำอะไร!!!”
ร่างบางพยายามขัดขืนการกระทำของคนตรงหน้า แต่ไม่เป็นผล
อารมณ์เสียวซ่านแล่นไปทั่วร่าง
ทำให้ร่างโปร่งสั่นน้อยๆด้วยความวาบหวามที่อีกคนกำลังปรนเปรอ
ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มผู้อายุมากกว่า มือหยาบปลดกางเกงของร่างบางเผยให้เห็นส่วนกลางที่ตั้งขึ้นจากอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านของเจ้าตัว มือหนาสัมผัสที่ส่วนกลางและรูดขึ้นลง ปรนเปรออีกคนที่อยู่ภายใต้ร่างของตนเอง เขากำลังหงุดหงิดเพราะไอเด็กบ้านี้และความหงุดหงิดนี่มันควรต้องได้รับการระบายออก
ด้วยความเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ประสาเลยทำให้ร่างโปร่งไปถึงจุดอย่างรวดเร็ว
น้ำสีขาวขุ่นไหลทะลักออกมาจนเต็มมือของอีกฝ่าย
ใบหน้ามนมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นด้วยความสับสน
หยาดน้ำตาที่พยายามอดกลั้นไว้บัดนี้ได้ทลายลงมาแล้ว ชายคนนี้ต้องการอะไร ทำไมถึงได้ทำเรื่องแบบนี้กับตัวเขา?
ก่อนที่ริมฝีปากบางจะได้ถามอะไรความเจ็บปวดจากช่วงล่างก็แล่นริ้วเข้าสู่ร่างโปร่ง
รีไวปาดน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลทะลักออกมาของเจ้าตัวแทนสารหล่อลื่น นิ้วหยาบจากการกรำศึกมานานรุกเข้าไปทางช่องทางด้านล่างที่คับแน่นจากหนึ่งนิ้ว
เพิ่มเป็นสอง และสาม
ความเจ็บจากช่องล่างยิ่งทำให้ร่างบางเกร็งตัวกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกล่ำเข้ามา หยาดน้ำตาหลั่งไหลจากความเจ็บแสบที่เกิดขึ้น
“เอเลน
นายอย่าเกร็งล่ะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูของคนที่อยู่ใต้ร่างตนเอง
“ย….อย่าหัวหน้า ผมเจ็บ” คำขอของร่างบางไม่เป็นผล ความรู้สึกจุกแน่นเข้าแทรกอย่างรวดเร็วด้วยสิ่งที่ใหญ่กว่าที่พยายามยัดเยียดและรุกล้ำเข้ามาทางช่องแคบด้านล่าง
“โอ๊ย!! ห..หัวหน้าได้โปรด เอาออกไป
ฮ่า…..ฮ่า…ม..ไม่ไหว อ๊ะ!!”ความเจ็บและคับแน่นยิ่งทำให้ร่างโปร่งเกร็งและพยายามหนีจากสิ่งแปลกปลอมที่รุกล่ำเข้ามา
แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะโดนคนที่แข็งแกร่งกว่ากดทับและพยายามยัดเยียดเข้ามาในช่องทางที่คับแคบ
“ชริ!! คับชะมัด” ชายอายุมากกว่าสบถออกมา
ถึงกระนั้นก็ยังคงพยายามฝืนใส่ของตนเองเข้าไปยังช่องทางแคบจนหยาดเลือดไหลลงมาจากการกระทำที่ฝ่าฝืน ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่หยุดจนใส่เข้าไปในช่องทางแคบทั้งหมด
“จ….เจ็บ อ..อา…
ด…ได้โปรดเถอะครับ…..หัวหน้า…..” เสียงสั่นเครือแผ่วเบาพยายามอ้อนวอนการกระทำที่โหดร้ายโดยหวังว่าคนคนนี้จะเห็นใจเชาบ้าง
มือกร้านคว้าข้อมือบางทั้งสองให้โอบไหล่หนาแข็งแกร่งของตนไว้
“ผ่อนคลายหน่อยเอเลน”
สะโพกมนถูกกระแทกหนักหน่วงเร่งเร้าจากชายหนุ่มอายุมากกว่า
ความเจ็บเริ่มคลายลงถูกแทนที่ด้วยความเสียวซ่านและวาบหวามที่คนตรงหน้ามอบให้ กว่าที่คนโหดร้ายจะยอมปล่อยให้ร่างกายที่บอบช้ำได้พักจากความเจ็บแปลบและความเหนื่อยล้าที่เกิดก็เป็นเวลาพลบค่ำเสียแล้ว
มือหยาบเกลี่ยเส้นผมที่ชื้นเหงื่อของร่างโปร่งที่ตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าอย่างแผ่วเบา
มีเพียงเสื้อนอกของเขาที่คลุมปิดบังบางส่วนไว้เท่านั้น รอบสีกุหลายและรอยฟันที่อยู่บนร่างกายของร่างบางตอกย้ำให้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ทั้งที่เขาแค่ต้องการสั่งสอนไอเด็กเหลือขอนี้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเกินเลยไปได้ถึงขั้นนี้
เพราะความหงุดหงิดที่ถาโถมเข้าใส่และเมื่อได้สัมผัสร่างตรงหน้าก็ไม่อาจที่จะหยุดได้เลย
ความรู้สึกผิดก่อเกิดขึ้นในใจของชายผู้เฉยชาอยู่เสมอ ถ้าเอเลนตื่นมาคงยังไม่อยากเห็นหน้าคนที่ทำร้ายเขาขนาดนี้ ชายหนุ่มตัดสินใจออกจากห้องทำงานของตนลงมายังชั้นล่าง
โดยหวังว่าเมื่ออีกคนตื่นขึ้นมาจะได้สงบใจลงเสียบ้าง
“เออ
หัวหน้าคะว่างรึเปล่าคะ
ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาน่ะค่ะ”
ทหารหญิงหนึ่งเดียวในหน่วยรีไวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคนที่เธอกำลังตามหาอยู่กำลังเดินลงบันไดมา
“อืมได้สิ” รีไวเดินตามเพ็ตโตร่าไปยังอีกมุมหนึ่งของกำแพง
“ฉันชอบหัวหน้าค่ะ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลมองสบตาสีขี้เถ้าอย่างเถรตรงแสดงถึงความตั้งใจที่เธอต้องการบอกออกไป
“อืมฉันรู้” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองกลับไปยังดวงตาที่สบมาอย่างเถรตรงเช่นกัน
เขารู้ความหมายของสายตาและการกระทำของหญิงสาวตรงหน้าที่มีให้เขามากกว่าความชื่นชมและรับผิดชอบเสมอมา แต่เขาก็นิ่งเฉยกับความรู้สึกที่เจ้าตัวมีให้
นั่นเป็นเพราะว่าเขาเห็นเธอเป็นเพียงทหารคนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ใจดีและทำดีกับเธอเป็นพิเศษเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม ผู้หญิงที่ควรได้รับการปกป้องดูแล ไม่สมควรจะมาจับดาบอยู่ในสนามรบยกเว้นยัยสี่ตาโรคจิตที่ดูไม่สมเป็นผู้หญิงไว้สักคน ผู้หญิงที่ควรมีใครสักคนที่คอยปกป้องซึ่งคนนั่นไม่ใช่ตัวเขาที่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกของเธอได้
จากการที่อยู่ร่วมกันมานานเพ็ตโตร่าเข้าใจถึงสายตาที่นิ่งเฉยและการไม่โต้ตอบของคนตรงหน้าดี
รู้ดีว่านี่คือการปฏิเสธถึงแม้ไม่มีคำพูดใดใดออกมาก็ตาม
เธอไม่ได้หวังที่หัวหน้าจะตอบรับรักของเธอ
แต่หวังแค่อยากให้เขาได้รับรู้เท่านั้นเพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เลยอยากซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง
“ขอฉันกอดคุณได้ไหมคะหัวหน้า?”
ขอกอดคุณเพื่อฉันจะได้จบความรู้สึกนี้ของตนเองและจะเดินเคียงข้างคุณให้สมกับเป็นลูกน้องที่คุณไว้วางใจจากนี้ และตลอดไป
“อืม” ใบหน้าเฉยชาตอบรับแผ่วเบา เพราะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม จนบางครั้งก็อดที่จะใจดีด้วยไม่ได้
ร่างอรชรค่อยๆก้าวเข้าไปหาผู้บังคับบัญชาของตน สองแขนโอบกอดร่างกายกำยำที่คอยเฝ้าห่วงใยเธอเสมอๆ
ใบหน้าหวานซบลงกับแผ่นอกกว้าง นี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอจะมอบความรู้สึกนี้ให้กับชายผู้แข็งแกร่งที่น่านับถือคนนี้
ร่างโปร่งที่ตื่นขึ้นมาไม่เจอหัวหน้าของตนอยู่ภายในห้อง
ด้วยความกังวลและอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองจึงทำให้เขารีบแต่งตัวออกจากห้องทำงานของหัวหน้ามา แล้วได้มาเจอกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่กำลังเกิดขึ้น
อีกแล้ว….เจ็บปวดอีกแล้ว
ภายในอกเหมือนถูกบีบรัดจนหายใจไม่ออก
ทั้งที่คาดหวังไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้จะทำให้เขามีความสำคัญและอยู่ในสายตาของชายหนุ่มขึ้นมาบ้าง
แต่การที่เขาโดนทิ้งไว้ในห้องเพียงลำพังก็เป็นการบอกได้อย่างชัดเจนแล้วว่าตัวเขานั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย เป็นแค่ที่ระบายความหงุดหงิดของคนคนนี้เท่านั้น
และตัวเขาเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องหรือได้รับความอ่อนโยนและความอบอุ่นจากคุณเลยสินะครับ
ผลสุดท้ายเขาก็ยังคงเป็นแค่เด็กเหลือขอที่โง่เง่า ที่เพิ่งมารู้สึกตัวว่าได้ตกหลุมรักคนที่ไม่อาจไขว่คว้า
หรือเอื้อมถึงได้เสียแล้ว
หลังจากวันนั้นทุกคืนหัวหน้าจะลงมาที่ห้องใต้ดินเพื่อปลดปล่อยกับร่างกายของเขา ความเจ็บปวดและทรมาณยังคงดำเนินต่อไป ทั้งที่เจ็บปวดแต่ก็ยังคงตอบรับทุกการกระทำของชายผู้แข็งแกร่ง ทั้งที่ทรมาณแต่มิอาจขัดขืนและหักห้ามใจไม่ให้รักคนโหดร้ายตรงหน้านี้ได้เลย……..
ผมรักคุณหัวหน้า คำที่ไม่สามารถเอ่ยออกไปได้จะถูกเก็บไว้ไม่ให้ใครได้ล่วงรู้
แม้จะเป็นได้เพียงแค่ที่ระบายความใคร่ของคุณ แต่คุณก็ยังต้องการผมใช่รึเปล่าครับ หัวหน้า….
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างบอกว่านี่เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว มือบางปาดน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าตาของตนเอง
“เป็นไงบ้างเอเลน?”
ด้วยความเป็นห่วงหลังจากเรียนเสร็จแล้วมิคาสะรีบกลับมาเฝ้าดูเพื่อนตั้งแต่เด็กของเธอทันที
“มิคาสะ เธอรู้มาตลอดใช่ไหมเรื่องเกี่ยวกับไททัน เรื่องเกี่ยวกับหน่วยสำรวจ มันไม่ใช่แค่ตำนานใช่ไหม?”
นัยน์ตาสีมรกตจ้องไปยังใบหน้าสวยของเพื่อนของตนอย่างหาคำตอบ
“ใช่
ชั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้จำเรื่องราวทั้งหมดในตอนนั้นได้
อาจเป็นเพราะชั้นได้สัญญากับตัวเองไว้ว่าอยากให้เธอมีความสุข เอเลน” มือเรียวจับมือของเอเลนอย่างให้กำลังใจ
คำตอบของมิคาสะยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเรื่องที่เขาฝันเห็นทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เขาและ เอเลน เยเกอร์ ในบันทึกเป็นคนคนเดียวกัน
รวมทั้งคนอื่นๆที่อยู่ในบันทึกทุกคนล้วนมีอยู่จริง
เว้นแต่ชายผู้ซึ่งตราตรึงในความทรงจำของเขามาที่สุดผู้มีนัยน์ตาและใบหน้าที่เฉยชา
“นาย
มีความสุขรึเปล่าเอเลน?”
เธอไม่รู้ว่าการที่ให้เจ้าตัวได้รู้ถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วจะเป็นผลดีกับเจ้าตัวรึเปล่า
แต่การที่บันทึกของเอเลนเมื่อหลายพันปีย้อนกลับมาสู่ในมือผู้ที่เป็นเจ้าของอีกครั้ง
บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาลิขิตก็ได้
“ฉัน…ก็ไม่รู้เหมือนกันมิคาสะ” ใบหน้ามนมองบันทึกปกหนังสีดำที่อยู่ในมือ เขาไม่รู้ว่าถ้าดูตอนต่อไปของบันทึกนี้จะเป็นยังไง
รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ตัวเขาช่างเจ็บปวดและทรมาณกับการกระทำของชายหนุ่มที่อยู่ในบันทึก
จนทำให้กลัวที่จะถลำลึกลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่
มันเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเขาไม่มีความจำเป็นที่ต้องรับรู้อะไรจากมันอีก
มันคือเรื่องที่จบไปแล้วไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ใจในเมื่อมันทำให้ตัวเขาเจ็บปวดเขาก็ควรที่จะหยุดค้นหาสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงในปัจจุบันเสียที
มือบางเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุดของตู้ที่เขาไว้ใช้เก็บของแล้วเก็บบันทึกความทรงจำที่แสนเจ็บปวดของเขาลงไป
ลาก่อนความรู้สึกเจ็บปวดในอดีต
ลาก่อนผู้ที่ไม่มีอยู่จริงในโลกปัจจุบัน
ลาก่อนครับ……หัวหน้ารีไว
TBC.
ตอนนี้โกยเอเลนให้ไปแจนแรงๆ เลย
ตอบลบหัวหน้าบากะ ไปจูบกับเอลวินทำไม บากะ T^T
จูบกับใครไม่จูบนะ ฮึ๊ยยย
ตรงฉากนี้ ใช้เวลาทำใจนานพอสมควร (เป็น ชม. ก่อนจะมานั่งอ่านต่อ -.-)
นับว่าเอเลน (ในโลกปัจจุบัน) เก่งมากค่ะในฐานะคนๆนึง
รู้ตัวดีว่ามันคืออดีตทีผ่านไปแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้
แล้วยอมตัดใจ สุดยอดมาก
ความรู้สึกรักใช้ว่าจะสลัดทิ้งกันได้ง่ายๆ
ยิ่งนานมาหลายร้อย หลายพันปีแล้วด้วย
ขอให้มีความสุขนะเอเลน....
เราเองก็หวังอยากให้เธอมีความสุขเหมือนมิคาสะเหมือนกัน..:D
#พูดซะอย่างกับมันจะจบแล้วซะงั้น
ความสัมพันธ์ของรีไวกับเอลวินไม่มีอะไรผูกมัดค่ะ
ลบเเค่ง่ายกับการหาที่ระบายเท่านั้น เพราะรีไวไม่ได้อยากผูกมัดหรือยึดติดความสัมพันธ์กับใครค่ะ เเต่ก็เเพ้เด็กล่ะนะ>\\\<
รีไวล์กับเอลวินใครเมะใครเคะ
ลบโหหหหก เรื่องเยอะหลายเลเยอร์มากมาย แต่ขอหน่อยเถอะ คุณพระคุณเจ้าช่วยกล้วยแขกทอด! รีไวเอลวิน?! เอลวินรีไว?! ช็อคซีนีม่ามากมาย 55555555 สงสารเอเลนน้อยกลอยใจ เสร็จตาแก่จนได้ทั้งที่ใจชอกช้ำ ㅠㅠ
ตอบลบ