วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Attack On Titan Fan fic.: Keep In Mind:



Attack On Titan Fan fic.: Keep In Mind:
Pairing: (LevixEren),(MikasaxEren),(LevixHanji)
Romantic Drama
…………………………………………………………………………………………………………..

Eren Side:


            หลังจากที่มนุษย์ได้รับชัยชนะและอิสระที่อยู่นอกกำแพง ทีมสำรวจก็ได้รับภารกิจใหม่ในการจัดการนำเหล่าผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ภายในกำแพงแห่งนี้ ออกไปตั้งรกรากและสัมผัสถึงอิสรภาพที่อยู่ภายนอก ด้วยความที่ผู้คนต่างยังคงหวาดเกรงไททันและความเคยชินกับการอาศัยอยู่ภายในกำแพงนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นงานที่หนักหนาสำหรับคณะสำรวจเลยทีเดียว กว่าที่เหล่าผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ภายในกำแพงจะทยอยออกมาจนหมดก็กินเวลาไปถึง 5 ปีเต็ม เมื่อคิดว่าเวลากว่าร้อยปีในกำแพงที่มนุษย์ถูกจำกัดอิสรภาพและต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัวเวลาเพียง 5 ปี ในการชักจูงและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนนับว่าเป็นเวลาที่สั้นมากทีเดียว
            นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองวิวตามทางที่รถม้าขับผ่าน วิวของหุบเขาที่อยู่ภายนอกกำแพงตัดกับทะเลสาบที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตายิ่งตอกย้ำความสำเร็จถึงอิสรภาพที่เขาได้รับ เป็นเวลากว่า 3 ปีนับตั้งแต่ที่เขาเข้าทีมสำรวจและร่วมแรงร่วมใจกับเพื่อนๆรวมทั้งผู้บังคับบัญชาทุกคนที่อยู่ในทีมจนกระทั่งได้รับอิสรภาพ เขายังจำถึงความรู้สึกนั้นได้ดีวันที่ความลับของเหล่าไททันถูกเปิดเผย ต้นตอทั้งหมดที่กำจัดจนไม่เหลือซาก ความแท้จริงที่ถูกเก็บซ่อนไว้มานาน และตัวเขาเองที่เป็นไททันด้วยเช่นกันนั้นก็ใช้เวลากว่า2ปีในการที่จะทำให้เหล่าผู้คนที่เคยหวาดกลัวต่างเริ่มยอมรับในตัวเขา และกล้าที่จะเข้าหาเขารวมทั้งสิ่งที่น่ายินดีที่สุดเมื่อในปีถัดมาฮันซี่สามารถคิดค้นหาวิธีการกลับคืนสู่ร่างมนุษย์สมบูรณ์โดยที่ไม่แปลงเป็นไททันอีก ถึงแม้ฮันซี่จะบ่นเสียดายและไม่อยากให้เขาฉีดยานั้นเข้าไปแต่ในเมื่อทุกอย่างจำเป็นที่จะต้องจบลงและเรื่องราวของไททันเดินมาจนถึงตอนสุดท้ายตัวเขาจึงได้รับยาและการรักษาจนคงสภาพความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ช่วงเวลาที่ผ่านเลยไปทำให้เด็กหนุ่มอายุ 15 ที่แปลงเป็นไททัน บัดนี้เป็นเพียงชายหนุ่มซึ่งยังคงเป็นทหารในหน่วยสำรวจที่อายุ 23 ปีเต็ม
            “บ้านของหัวหน้าเตี้ยนั่นอยู่ไกลชะมัด” หญิงสาวอีกคนที่นั่งรถม้ามาด้วยกันบ่นขึ้น เมื่อเห็นว่าเวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควรแล้วแต่ยังไม่พ้นทะเลสาบและเจอบ้านซึ่งเป็นจุดหมายในการเดินทางครั้งนี้
            “หัวหน้าเขาไม่ชอบที่คนเยอะๆ เลยออกมาอยู่แบบนี้นี่นะ มิคาสะ” เอเลนยิ้มบางให้กับหญิงสาว
            เมื่อรถม้าพ้นทะเลสาบพ้นทะเลสาบไปได้ไม่ไกลนัก ก็พบเนินทุ่งหญ้าและบ้านไม้หลังเล็กที่ดูอบอุ่นและน่าอยู่ซึ่งเป็นบ้านเป้าหมายในการมาเยือนของทั้งสอง เมื่อถึงที่หมายร่างโปร่งในชุดไปรเวทของผู้มาเยือนทั้งสองลงจากรถม้า มิคาสะเดินไปหาชายวัยกลางคนเจ้าของรถม้าที่เป็นธุระในการพาทั้งสองมายังที่ห่างไกลแห่งนี้เพื่อนัดแนะให้คนขับรถม้ากลับมารับในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
            เสียงของรถม้าที่เข้ามาใกล้ทำให้ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเงยหน้ามองผู้มาเยือนเมื่อมองว่าเป็นคนที่คุ้นเคืองดี ใบหน้าคมจึงกลับไปให้ความสนใจกับการผ่าฝืนที่ยังคงค้างอยู่
            “สวัสดีครับหัวหน้ารีไว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” เอเลนทำความเคารพตามแบบฉบับของทหารกับหัวหน้าของตน เมื่อหญิงสาวเดินตามมาก็ทำความเคารพกับคนเบื้องหน้าที่กำลังผ่าฝืนอยู่เช่นกัน
            “ไม่เจอกันนานเลยนะเจ้าพวกเด็กเหลือขอ” ร่างเล็กแต่ทว่าแข็งแกร่งมัดฝืนที่ผ่าเรียบร้อยแล้วเตรียมยกขึ้นเข้าบ้าน
            ชายหนุ่มร่างโปร่งจึงอาสาช่วยยกกองฝีนมัดที่เหลืออยู่แล้วเดินตามชายหนุ่มอายุมากกว่าเข้าไปในบ้าน
          เมื่อมัดฝืนทั้งหมดถูกเก็บเข้าที่ เอเลนและมิคาสะจึงไปนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ในห้องรับแขก แม้บ้านไม้หลังนี้จะไม่ใหญ่มากสมกับยศทหารของรีไวที่ปัจจุบันเป็นถึงหัวหน้าหน่วยทีมสำรวจแทนหัวหน้าเอลวินซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในการปกครองผู้คนเทียบเท่ากับกษัตริย์เลยทีเดียว หลายครั้งที่ชายหนุ่มถูกเสนอชื่อให้รับตำแหน่งที่ใหญ่กว่าแต่ด้วยความผูกพันธ์และไม่ชอบเรื่องที่ยุ่งยาก รีไวจึงคงยังเลือกที่จะอยู่ในหน่วยสำรวจเช่นดังเดิม
            “แถวตะวันออกเป็นยังไงบ้างล่ะเอเลน?” ชายหนุ่มอายุมากกว่าวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะให้กับแขกผู้มาเยือนทั้งสองก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ถัดไป
            “แรกๆก็วุ่นวายอยู่เหมือนกันครับ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มลงตัวแล้ว” โดยเฉพาะกับเหล่าผู้คนที่เริ่มไว้วางใจและเชื่อใจในตัวเขาที่เคยเป็นไททันมาก่อน แต่ด้วยความสามารถและความพยายามทั้งหมดได้ทำให้ทุกคนเริ่มเชื่อมั่นในตัวของเขาที่เคยเป็นไททันมาก่อน
            “โฮ่ ทำได้ไม่เลวนี่เจ้าเด็กเหลือขอ” ยิ้มบางพลางยกแก้วขึ้นดื่มน้ำ รู้ดีว่าเจ้าเด็กนี้มีความพยามและความมุมานะยิ่งกว่าใคร ถึงครั้งแรกจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเจ้าเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่จากรายงานรวมถึงผลงานที่ส่งเข้ามานับได้ว่าเอเลนทำได้ดีเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้
          หลังจากศัตรูของมนุษยชาติได้สิ้นสุดลง สงครามที่ดำเนินมายาวนานกว่าร้อยปีก็ยุติลงด้วย  ทีมสำรวจที่เคยมีไว้เพื่อสู้และสืบหาจุดอ่อนไททัน ปัจจุบันเป้าหมายของทีมสำรวจคือการสำรวจพื้นที่ที่อยู่ภายนอกกำแพง รวมทั้งสำรวจทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยที่อาณาเขตภายนอกนั้นมีมากจึงทำให้ทีมสำรวจต้องแบ่งหน่วยย่อยในการควบคุมดูแลออกไปตามภูมิภาคต่างๆ โดยที่ยังคงมีศูนย์กลางของทีมอยู่ในเขตชิกันชิน่าภายในกำแพง เนื่องจากเครื่องมือและเอกสารที่มีมากและยากต่อการขนย้าย ศูนย์บัญชาการและราชการหลายแห่งในกำแพงจึงยังคงถูกใช้งานเช่นเดิม
          ตึง ตึง ตึง  พลั่ก!
          เสียงฝีเท้าและเสียงกระแทกประตูทำให้คนทั้งสามหันไปมองตามต้นเสียง และพบว่าหญิงสาวร่างโปร่งสวมแว่นตากำลังตีหน้ายุ่งโดยเฉพาะหัวที่กระเซอะกระเซิงและเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ยับยู้นี้เหมือนผ่านสมรภูมิขนาดย่อมมาก็ไม่ปาน
            “ทำอะไรของเธอน่ะยัยสี่ตา?”
            “ก็เจ้าพวกนั้นน่ะสิ อ๊ะมิคาสะมาพอดีเลยเธอมาช่วยฉันหน่อย” ฮันซี่ลากหญิงสาวที่นั่งอยู่ออกไปจากวงสนทนาพร้อมปิดประตูห้องอีกโครมใหญ่อย่างรวดเร็ว
            หญิงสาวที่มาเร็วไปเร็วยังกับพายุแถมลากคนอื่นไปด้วยโดยไม่สนใจคนรอบข้าง การกระทำที่บุ่มบ่ามทำให้เอเลนนึกขำ
            “หัวหน้าฮันซี่เองก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ”
            “ยัยนั่นก็เป็นแบบนี้ตลอด” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองบานประตูไม้ที่ปิดลงอย่างรวดเร็วแล้วต้องถอนหายใจ
            “หัวหน้าเองก็สบายดีสินะครับ?”
“อืม”

 ใบหน้ามนมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วยิ้มบาง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแล้วแต่หัวหน้าเองก็ไม่เปลี่ยนไป ใบหน้าคมคายนั้นยังคงนิ่งเฉย รวมทั้งบุคลิกยังคงเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลงถึงกระนั่นตัวเขาก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วคนคนนี้อบอุ่นยิ่งกว่าใคร คำพูดที่ทิ่มแทงหรือวาจาที่ว่าร้ายล้วนแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งเข้าใจว่าคนที่เฉยชาคนนี้เป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นมากขนาดไหน เมื่อยิ่งรู้ยิ่งทำให้อกซ้ายบีบรัดและหวั่นไหว และตกหลุมรักได้โดยไม่ทันรู้ตัว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ปีกแห่งอิสรภาพที่สะบัดปลิวบนผืนผ้าสีเขียว นั้นคือจุดเริ่มแรกของการพบเจอคนที่เปรียบดั่งวีรบุรุษในดวงใจ ร่างไม่เล็กแต่ทว่าแข็งแกร่งและเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติได้ช่วยเขาและเพื่อนๆเอาไว้
ตัวเขาที่เป็นเด็กหนุ่มผู้หวังจะฆ่าไททันให้หมดสิ้นแต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้ตัวเขาเป็นสิ่งที่เขาเกลียดแสนเกลียดเสียเอง

“ฉันไม่ไว้ใจเจ้าเด็กนี้ ถ้ามันหักหลังหรืออาละวาดขึ้นมาฉันจะฆ่ามันทันที”

คำที่ชายหนุ่มลั่นวาจาไว้ทั้งในคุกใต้ดินและในชั้นศาล รวมทั้งการกระทำที่เล่นเอาเขาจุกจนลุกแทบไม่ขึ้น สะบักสะบอมจนคิดว่าต้องตายไปแล้วจริงๆ การกระทำเหล่านั้นเขายอมรับว่าทำให้ตัวเขาแอบหวาดหวั่นและเกรงต่อหัวหน้ารีไว แต่เมื่อชายหนุ่มที่เขาคิดว่าช่างเป็นคนที่ไม่สนใจหรือใส่ใจใครเลยกลับถามเขาว่า เอเลน นายเกลียดฉันรึเปล่า? ทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าในการกระทำที่โหดร้ายและป่าเถื่อนนั้นกลับแฝงไว้ด้วยเจตนาที่ต้องการช่วยเขาต่างหากล่ะ และยิ่งทำให้เขาชื่นชมในตัวคนเฉยชาคนนี้

นิสัยรักความสะอาดและเคร่งคัดที่ขัดกับนิสัยโหดร้ายและวาจาที่หยาบคาย ยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับเด็กหนุ่ม แต่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าหัวหน้าสุดแกร่งแห่งหน่วยสำรวจเป็นคนที่น่าสนใจกว่าที่คิดไว้

การสำรวจนอกกำแพงครั้งแรกของตัวเขาและการสูญเสียที่มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเหล่ารุ่นพี่ในทีมหรือการทรยศหักหลังที่ยากจะเชื่อ ทุกครั้งหัวหน้าที่แสนเย็นชาและโหดร้ายกลับเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้าง แม้คำพูดให้กำลังใจของหัวหน้าจะฟังดูแปลกและบ่อยครั้งที่ไม่เข้าใจความหมายแต่นั่นก็ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นภายใต้ใบหน้าเย็นชาที่ไร้อารมณ์
และไม่รู้ว่าเมื่อไรที่การกระทำทั้งหมดนั้นส่งผลกับจิตใจ และกว่าที่จะรู้ตัวสมองที่มีแต่ความคิดว่าจะกำจัดไททันให้หมดไป กลับคิดแต่เรื่องของหัวหน้ารีไวจนบางครั้งลืมถึงเป้าหมายที่แท้จริงของตนไป อกซ้ายวูบไหวทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้ อุณหภูมิขึ้นสูงราวกับเป็นไข้จนไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี…..

หลังจากการประกาศชัยชนะของหัวหน้าเอลวินแห่งทีมสำรวจและเตรียมพร้อมเพื่อสถาปนาให้หัวหน้าเอลวิน สมิธ เป็นผู้ปกครองสูงสุดผู้นำแสงแห่งความหวังและชีวิตกลับคืนสู่มนุษยชาติ ในตัวเมืองจัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ผู้คนล้วนแล้วแต่มีรอยยิ้มที่สดใสออกมาร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น เสียงเพลงรื่นเริงและการแสดงสุดหฤหรรษ์มีไปทั่วทุกพื้นที่ เหล่าทหารหน่วยสำรวจต่างได้รับการต้อนรับและเสียงขอบคุณรวมทั้งการแสดงความยินดีดังกึกก้องตลอดทั้งสัปดาห์
นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอดมองงานรื่นเริงในเมืองที่อยู่เบื้องหน้าจาดบนป้อมปราการแห่งใหม่ของหน่วยสำรวจในเขตชิกันชิน่า ใบหน้ามนยิ้มบางและหัวเราะเมื่อเห็นตัวตลกกำลังหยอกล้อกับเด็กน้อยที่เดินผ่านไปมา นักมายากลดึงสายรุ้งมากมายออกจากหมวกทรงสูง สายรุ้งทอดยาวเหมือนไร้ที่สิ้นสุดช่างดูน่าอัศจรรย์ เหล่านักดนตรีและนักเต้นรำที่แสดงลีลากลางลานกว้างเรียกเสียงเชียร์และเสียงปรบมืออย่างสนั่นหวั่นไหว
“โฮ่ย นายมาทำอะไรตรงนี้คนเดียวน่ะเอเลน?” เสียงเรียกที่คุ้นเคยแม้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่าเป็นใครเอ่ยถาม
ใบหน้ามนหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ตอนนี้ยังคงถือเอกสารปึกหนาอยู่ในมือทั้งที่เป็นเวลาค่ำแล้ว แต่หัวหน้ารีไวก็ยังคงทำงานอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้เหล่าผู้คนได้ออกไปภายนอกกำแพงกันเร็วขึ้น
“หัวหน้ายังทำงานอยู่หรือครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม?” ตอนนี้ตัวเขาเองก็ว่างและกำลังไม่มีอะไรทำ การไปช่วยงานหัวหน้าน่าจะเป็นการค่าเวลาที่ดี
“แล้วพวกเพื่อนๆนายล่ะ?”
“มิคาสะกับอาร์มินออกไปสำรวจ ส่วนคนอื่นๆเข้าไปฉลองในเมืองน่ะครับ” ใบหน้ามนหมองลงเล็กน้อย ทั้งที่เขาอยากไปสำรวจกับกลุ่มเพื่อนแต่ด้วยที่ว่ายังคงมีชาวบ้านที่หวั่นเกรงต่อพลังไททันในตัวเขาอยู่มาก การสำรวจที่มีชาวบ้านตัวอย่างไปด้วยเป็นจำนวนมากจึงไม่เหมาะที่จะให้เขาเข้าร่วม ส่วนงานฉลองในเมืองนั้นเลิกพูดถึงไปได้เลย
“นายหยิบเสื้อคลุมแล้วตามฉันมา” ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งหันหลังเดินนำไปโดยไม่รอคนที่อยู่ข้างหลัง เด็กหนุ่มจึงรีบคว้าเสื้อคลุมสีเขียวเข้มของคนแล้วเดินตามไปเกรงว่าจะคาดสายตา
เมื่ออกมาหลังป้อมปราการรีไวจูงม้าสีดำคู่ใจของตนมาหาเด็กหนุ่ม เมื่อร่างแข็งแกร่งเหวี่ยงขึ้นนั่งบนอานม้า มือแกร่งก็ยื่นลงมาหาคนที่อยู่ข้างล่างซึ่งกำลังทำหน้าแปลกใจ
“ไปในเมืองกัน”
“เอ๊ะ?” ยังไม่ทันหายสงสัยมือแกร่งของคนอายุมากกว่าก็คว้าร่างโปร่งบางให้ขึ้นมานั่งบนอานม้าเดียวกัน เพราะโดนดึงขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจเลยทำให้ร่างโปร่งต้องนั่งซ้อนด้านหน้าโดยมีอีกคนบังคับม้าอยู่ด้านหลัง
เป็นความโชคดีที่เริ่มเป็นช่วงมืดแล้วไม่อย่างนั้นหัวหน้ารีไวจะต้องสังเกตุเห็นถึงใบหน้าที่สุกปลั่งของเขาแน่ๆ เมื่อแขนแข็งแรงนั้นขยับเพื่อบังคับม้า ความรู้สึกที่ราวกับโดนแขนแกร่งนั้นโอบกอดยิ่งทำให้ใจเต้นระรัวจนกลัวว่าคนที่อยู่ด้านหลังจะได้ยินเสียง
ถึงแม้จากป้อมปราการเข้าไปในเมืองจะห่างกันไม่มากและใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่เอเลนรู้สึกราวกับว่าเวลาช่างผ่านไปเนิ่นนานเมื่อต้องคอยพยายามบังคับการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิที่ขึ้นสูงไม่ให้คนที่อยู่ด้านหลังสังเกตุเห็น
เสียงเพลงของดนตรีและสายรุ้งตระการตาที่อยู่เบื้องหน้าเรียกความสนใจของเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาสีมรกตส่องประกายวาวด้วยความตื่นเต้น มือเรียวกระชับผ้าคลุมสีเขียวเข้มไว้แน่นเพื่อปิดบังตนเองจากคนรอบข้าง ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังชี้สิ่งของต่างๆที่อยู่รายล้อมรอบตัวแล้วเรียกคนที่มาด้วยกันให้ดูตามอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งใบหน้ามนสะดุดกับซุ้มยิงปืนที่อยู่เบื้องหน้า
“หัวหน้าดูสิครับมีซุ้มยิงปืนด้วยแถมของรางวัลเป็นถุงขนมขนาดใหญ่อีก” ใบหน้ามนหันมายิ้มอย่างตื่นเต้นให้กับคนที่อยู่ด้านหลัง
ใบหน้าเฉยชามองตามมือเรียว ร่างแข็งแกร่งตวัดตัวลงจากหลังม้าโดยทิ้งคนที่มาด้วยกันไว้เบื้องหลังและใช้เวลาเพียงไม่นานหลังเสียงปืนในซุ้มสิ้นสุดลง ชายหนุ่มร่างเล็กแต่ทว่าแข็งแกร่งก็กลับมาพร้อมถุงขนมถุงใหญ่โดยมีร่างของชายหนุ่มรูปร่างท้วมเจ้าของซุ้มยิงปืนยืนหน้าซีดเซียวอยู่เบื้องหลัง
“หัวหน้านี่คือ….” คำตอบกลับเป็นถุงขนมถุงใหญ่ซึ่งเป็นรางวัลในซุ้มถูกยื่นขึ้นให้กับคนที่นั่งอยู่บนหลังม้า
“ฉันให้นาย”
ใบหน้ามนขึ้นสีกุลีกุจรเปิดถุงขนมถุงใหญ่ที่อยู่ในมือขึ้นมากินปกปิดอาการของตนเอง ใจที่เต้นระรัวและความรู้สึกที่เอ่อล้นกลบรสชาติของขนมหวานที่อยู่ในปากจนไม่รู้ว่าที่เอาเข้าปากไปเป็นคุกกี้ ลูกอม หรือมาร์ชแมโล่ กันแน่
“ไม่มีใครแย่งนายกินหรอกนะไอหนู”
เอเลนเคี้ยวขนมเต็มทั้งสองแก้ม ใบหน้าหวานหันมองไปทางอื่นไม่กล้าสบกับใบหน้าของอีกคนตรงๆเพราะไม่อาจรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่
รีไวเดินจูงม้าไปเรื่อยๆรอบเมืองที่มีการเฉลิมฉลองจนเห็นว่าเริ่มไม่มีสิ่งที่น่าสนใจแล้วจึงหยุดม้าแล้วมองอีกคนที่ยังคงถือกอดถุงขนมในมือแน่นพร้อมทั้งกินไปด้วย
“มีที่ไหนอยากไปไหมไอหนู”
“เออ ไม่มีครับ”
“ถ้างั้นกลับกัน” ร่างแกร่งตวัดตัวขึ้นบนหลังม้าเตรียมกลับไปยังป้อมปราการ
ระหว่างทางกลับเด็กหนุ่มเห็นเนินเขาที่อยู่ไม่ไกลนักจึงขอให้คนบังคับม้าด้านหลังพาไป เมื่ออาชาสีดำพาทั้งสองมาถึงเนินเขาที่ไม่ไกลมากนักเด็กหนุ่มรีบลงจากหลังม้าวิ่งขึ้นไปบนเนิน สองแขนเรียวกางออกกว้างรับลมเย็นที่โชยมาแผ่วเบา ใบหน้ามนแหงนมองหน้าขึ้นดูดาวที่ส่องประกายระยิบระยับบนม่านฟ้าสีราตรี เอเลนยิ้มกว้างหันมาหาชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลนัก
“หัวหน้าดูสิครับดาวเต็มฟ้าเลย สวยมากๆเลยนะครับ” นัยน์ตาสีมรกตทอประกายสะท้อนกับแสงดวงดาว
“เอเลนยื่นมือมา”
เด็กหนุ่มยื่นมือไปหาอีกคนตามคำสั่ง มือแกร่งค่อยๆวางบางอย่างลงบนมือเรียวที่ยื่นมา เมื่อเอเลนก้มมองพลอยสีเขียวที่อยู่ในมือ
“เห็นเหมือนกับสีตาของนายดี”
เริ่มรู้สึกร่างกายสั่นเทิ้ม อกซ้ายเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาใบหน้าร้อนผ่าวเกินกว่าจะมองหน้าอีกคนได้ ไม่ว่าเมื่อไรคนคนนี้ก็ทำให้รู้สึกหวั่นไหวอยู่เสมอ เริ่มต้นจากความชื่นชมและเมื่อยิ่งรู้จักยิ่งถลำลึก ความรู้สึกที่ไม่เคยเจอเริ่มเอ่อล้นออกมาจนไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี ทั้งดีใจ สุขสมแต่ก็ทรมาณในคราเดียวกัน ความรู้สึกที่อยากอยู่ใกล้อยากเห็นคนนี้มีความสุขและอยากเป็นส่วนหนึ่งของความสุขของคนตรงหน้า ความรู้สึกทั้งหมดนี้เขาคงตอบได้เพียงแค่ว่า เขาได้ตกหลุมรักหัวหน้ารีไวเข้าแล้ว….
ไม่รู้ว่าเขากับหัวหน้าคุยอะไรกันบ้าง รู้แต่ว่าตัวเขาที่รู้สึกราวกับโดนโอบอุ้มไว้ด้วยความอบอุ่นและความสุขนั้นเผลอหลับซุกเข้ากับอกอุ่นของคนที่นั่งอยู่ด้วยกันไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ความอบอุ่นที่ซึมซับเข้ามายิ่งขับให้เขาฝันดีอย่างประหลาด ฝันถึงสัมผัสแผ่วเบาและอบอุ่นจากริมฝีปากของหัวหน้ารีไวที่ประทับลงบนริมฝีปากของเขา ความอบอุ่นและหอมหวานยิ่งกว่าขนมเป็นฝันดีที่สุดที่เขาเคยมี

นัยน์ตาสีมรกตปรือขึ้นเมื่อแสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างกระทบม่านตา ร่างโปร่งบางบิดไปมาเพื่อไล่ความขี้เกียจ เมื่อมองไปรอบๆก็พบว่าตัวเขากลับมายังห้องพักของตนเองแล้ว
จากความทรงจำครั้งสุดท้ายที่นั่งดูดาวและพูดคุยกับหัวหน้าทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มคงอุ้มเขากลับมาส่งถึงห้องเป็นแน่ ยิ่งคิดหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าว มือบางหยิบพลอยสีเขียวซึ่งได้รับจากหัวหน้าที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ริมฝีปากบางจูบประทับลงบนพลอยสีเขียวล้ำค่าที่ได้รับมา
จูบในฝันเหมือนจะนุ่มและอบอุ่นกว่านี้ เอเลนส่ายหัวไปมาไล่ความคิด ตัดสินใจได้แล้ววันนี้ความรู้สึกนี้ที่เอ่อล้นออกมาจะขอบอกกับหัวหน้ารีไวให้ได้รับรู้ แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรหรือเขาอาจต้องเจ็บปวด แต่ก็อยากที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้กับอีกคน

หลังจากเสร็จภารกิจส่วนตัวร่างโปร่งรีบสวมชุดเครื่องแบบที่ภาคภูมิใจของตนและตรงไปยังห้องทำงานของชายหนุ่มด้วยใจที่เต้นระรัว เมื่อแต่ละก้าวที่ก้าวเดินยิ่งใกล้ก็ราวกับว่าหัวใจจะหลุดออกมาจากอก สมองเริ่มคิดวนไปวนมากับคำพูดที่ต้องการสื่อให้อีกคนได้รับรู้
เมื่อมาถึงประตูใหญ่หน้าห้องทำงานก็พบว่าประตูถูกเปิดทิ้งไว้แล้ว แล้วเมื่อเดินเข้าไปก็พบโคนี่ ชาช่า และหัวหน้าฮันซี่อยู่ก่อนแล้ว
“ขออนุญาตครับ” ทำความเคารพพร้อมเดินเข้าไปหา ดูเหมือนตอนนี้ทุกอย่างจะไม่สะดวกที่จะเผยความรู้สึกต่อไป คงต้องรอให้ทุกคนออกไปก่อน
“เอเลนนายรู้รึยัง?” โคนี่วิ่งเข้ามากอดคอเพื่อนร่วมรุ่นของตน
“อะไรน่ะโคนี่?” ใบหน้ามนมองอย่างสงสัย
โคนี่ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้กับหัวหน้าทั้งสองของตนที่อยู่ในห้อง ทำให้ใบหน้ามนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงงงวย
“ก็หัวหน้าของพวกเราจะแต่งงานกันน่ะสิ”
เหมือนฟ้าผ่าเข้ากลางอก สมองขาวโพลนและลมหายใจเริ่มติดขัด บางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ใช่ไหม?
“อเอ๊ะ หัวหน้า?”
“ก็หัวหน้ารีไว กับหัวหน้าฮันซี่ไงน่ายินดีเนอะ”
อกซ้ายรู้สึกหน่วงและถูกบีบรัด อากาศที่หายใจปกติเริ่มรู้สึกหายใจยากขึ้นทุกที รู้สึกหัวหมุนราวกับโลกเบื้องหน้ากำลังพังทลายลง
ริมฝีปากบางพยายามยกยิ้มอย่างยากลำบาก “ยินดีด้วยนะครับหัวหน้า”
ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองแสดงสีหน้าอย่างไรออกไปหรือรอบข้างใครพูดว่าอะไรบ้าง ที่รู้คืออยากเดินหนีไปจากตรงนี้ จากฝันร้ายที่อยู่เบื้องหน้า ร่างโปร่งบางจึงขอตัวออกไปทำหน้าที่ของตน ขาเรียวก้าวเดินออกจากห้องจนพ้นประตูด้วยใบหน้าที่พยายามเป็นปกติ
สองขาก้าวออกจากห้องเรื่อยๆ จากก้าวยาวๆ เริ่มถี่ขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น จนกลายเป็นวิ่งออกไป ใบหน้ายิ้มที่ทำปกติ ริมฝีปากบางที่ยกยิ้มเริ่มเป็นกัดฟันพยายามกลั้นเสียงร้องที่จุกแน่นขึ้นมาถึงคอ สองขาเรียวพาร่างและจิตใจที่เจ็บช้ำออกมายังหลังป้อมปราการที่ไร้ผู้คน มือบางเกาะยังต้นไม้ใหญ่ ร่างโปร่งบางสั่นเกร็งจนคะย้อนสิ่งที่อยู่ภายในออกมา เมื่อรู้สึกดีขึ้นบ้างกับอาการจุกที่แน่นขึ้นมาสองขาก็ทรุดลงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ๋ มือเรียวยกขึ้นกอบกุมปิดบังเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่กลัดกลั้น ม่านน้ำตาไหลลงจากนัยน์ตาสีมรกตจนพร่ามัว
สายเกินไป รู้ตัวช้าเกินไป ความรู้สึกที่อยากจะเอ่ยออกไปกลืนหายเข้าไปในลำคอ ถ้าเพียงแต่เขารู้ตัวเร็วกว่านี้ และความรู้สึกนี้ได้บอกออกไป ไม่สิถึงจะบอกออกไปแต่บทสรุปสุดท้ายอาจจะเป็นเช่นนี้ก็ได้
ดีแล้วที่ไม่พูดออกไปอย่างน้อยก็ไม่ต้องทำให้ทั้งสองคนนั้นลำบากใจ จะขอเก็บความรู้สึกนี้ไว้ ฝังลึกไว้ใต้ก้นบึ้งของหัวใจ รับรู้ไว้แต่เพียงผู้เดียว….

เมื่อกลับเข้ามาที่ป้อมปราการอาร์มินและมิคาสะนำแผนงานการแบ่งภาคส่วนของหน่วยสำรวจเพื่อให้ทุกคนต่างเตรียมตัวในการลงพื้นที่ ร่างโปร่งไม่รอช้ารีบคว้าใบขออนุญาตลงพื้นที่เขตตะวันออก โดยมีมิคาสะและอาร์มินร่วมลงไปดูแลด้วย

หลายอาทิตย์ต่อมาร่างโปร่งกลับมาที่หน้าห้องของผู้บังคับบัญชาอีกครั้ง เอเลนสูดหายใจเพื่อตั้งสมาธิกับเจตจำนงของตน
ก๊อก ก๊อก
เคาะประตูเพื่อขออนุญาตคนที่อยู่ภายใน เมื่อได้รับการอนุญาตแล้วร่างโปร่งจึงเข้าไปในห้องของผู้บังคับบัญชา
“ขออนุญาตครับ ผมจะมากล่าวลาหัวหน้าและต้องขออภัยที่ไม่อาจอยู่ร่วมงานแต่งงานของหัวหน้ากับหัวหน้าฮันซี่ได้” แม้จะเตรียมใจมาแล้วเมื่อต้องพบกับคนตรงหน้า แต่ในอกยังคงบีบรัด แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังคงติดขัด ยิ่งเห็นว่าบนมือซ้ายของคนตรงหน้ามีแหวนหมั้นแสดงความเป็นเจ้าของของคนอื่นความรู้สึกที่คิดว่าดีขึ้นแล้วกลับเริ่มถาโถมเข้าใส่อีกครั้ง ตัวเขาที่ยังรู้สึกเช่นนี้จึงขอเลือกที่จะไปอยู่ในที่แสนไกล เผื่อสักวันหนึ่งความรู้สึกนี้เบาบางลงเขาคงจะสามารถยิ้มอย่างจริงใจกับคนทั้งคู่ได้
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่านายต้องรีบไปเคลียร์พื้นที่ฝั่งตะวันออก”
“ขอบคุณครับ ถ้างั้นผมขอลานะครับ” ร่างโปร่งหันหลังเตรียมจากไปแต่เสียงที่คุ้นเคยกลับถามรั้งเอาไว้
“เอเลน  นายเกลียดฉันรึเปล่า?”
มือขวาที่กำลังเอื้อมคว้าจับลูกบิดประตูสั่นระริกจนต้องยกมืออีกข้างขึ้นมากอบกุมไว้
“ผมผมไม่เคยเกลียดหัวหน้า” ผมรักคุณ คำพูดที่ต้องกลืนลงไปไม่อาจเอื้อนเอ่ย และไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไปเพราะกลัวความมุ่งมั่นที่ไปจากคนที่อยู่ด้านหลังนั้นจะพังทลายลง
“อืม ……ขอบใจ ขอให้นายโชคดี เอเลน เยเกอร์”
“ขอบคุณครับ”
เสียงประตูปิดลง พร้อมความรู้สึกที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง รักแรกที่ไม่อาจเปิดเผยออกไป สักวันหนึ่งคงจะสามารถอวยพรให้คุณและคุณฮันซี่มีความสุขได้จากใจ
.
.
.
.
.
.
.
.
“ว่าแต่นายมีธุระอะไร?”
เอเลนมองชายหนุ่มที่อายุมากกว่า ใบหน้ามนยิ้มบางพร้อมยื่นซองจดหมายสีขาวให้กับผู้บังคับบัญชาของตน
“ผมกำลังจะแต่งงานครับหัวหน้ารีไว”

……………………………………………………………………………………………….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น