Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last
Memory
Chapter 3
รถยนต์สีน้ำเงินมันวาวแล่นออกจากบ้านเยเกอร์
มุ่งสู่มหาวิทยาลัยชิน่า หนึ่งในสามมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของเมือง
ร่างโปร่งจัดแจงเอกสารที่จำเป็นต้องใช้สำหรับวิชาช่วงเช้าของเขา วันนี้แจนอาสาที่จะขับรถกลับมาส่งเขาและมิคาสะถึงที่บ้านเพื่อตอบแทนที่ให้เจ้าตัวนอนค้างที่บ้านอีกหนึ่งคืนทำให้เขาไม่ต้องขับรถของตนเองออกมา
“นี่แจน
ถ้านายโดนคนที่เพิ่งเจอกันอัดจนเละนายจะเกลียดเขาไหม
ถึงแม้จะรู้ว่าเขาทำเพราะสถาณการณ์พาไปก็ตาม” เอเลนถามร่างสูงที่กำลังขับรถอยู่ กาที่เจอคนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานอัดเละแบบนั้นที่จริงสมควรจะโกรธและเกลียดด้วยซ้ำ
แต่ทำไมกับชายหนุ่มผู้เฉยชาคนนั้นเขาถึงไม่อาจที่จะโกรธหรือเกลียดได้เลย
จะมีก็แต่ความรู้สึกที่วูบไหวที่อยู่ภายในอกของเขาก็เท่านั้น
“ห๊ะ!! ก็ต้องเกลียดสิวะ
คนเพิ่งเจอกันและมาอัดกันเนี่ยนะต่อให้อยู่ในสถาณการณ์แบบไหนก็เถอะแต่เป็นใครที่โดนแบบนั้นก็ต้องไม่ชอบอยู่แล้ว ยกเว้นแต่แกจะเป็นมีพวกมีรสนิยมมาโซฯ
นั้นแหละ” นั้นน่ะสิถ้าเป็นคนปกติธรรมดาเขาก็คงต้องเกลียดไปแล้ว
หรือว่าที่จริงแล้วเขาจะเป็นพวกมาโซอย่างที่แจนว่า แต่ก็ไม่นะเพราะเวลาที่มีใครมาหาเรื่องเขาเขาเองก็ไม่อยู่เฉยๆเป็นต้องลุยและมีเรื่องวิวาทจากอารมณ์ใจร้อนของเขามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
“แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบจิกกัดหรือกวนอารมณ์
ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ”
คำพูดงึมงำที่เหมือนจะพูดกับตัวเองของร่างสูงผู้มีใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทของคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยเลยแม้แต่น้อย
เพราะตอนนี้ในหัวของเอเลน มีแต่ภาพของชายในชุดเครื่องแบบที่เขาฝันเห็น
ซึ่งภาพของชายคนนั้นไม่อาจสลัดหลุดออกไปจากความคิดของเขาได้เลยแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอีกคนที่โดยสารมาด้วยจะไม่ได้ยิน มิคาสะจึงยกขาถีบไปยังเบาะหน้าคนขับและนั่นทำให้ร่างสูงหน้าถอดสีและตั้งสมาธิกลับไปยังที่ถนนเบื้องหน้า
“เอเลน นายมีอะไรรึเปล่า?”
หญิงสาวหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถเอ่ยถามเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของตน สายตาของ มิคาสะ
ที่จ้องมองมาที่เขาผ่านกระจกส่องท้ายรถนั้นแสดงถึงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่า
เธอเองนั้นแหละเป็นอะไรรึเปล่ามิคาสะ
ทำไมถึงได้ทำหน้าแบบนั้น?”
ร่างโปร่งหันกลับไปสบตากับใบหน้าสวยที่อยู่หลังรถ มือเรียวยกขึ้นลูบศรีษะเพื่อหวังจะคลายความกังวลในใจของหญิงสาว
“เอเลน ตอนนี้นายมีความสุขไหม?”
“เธอถามอะไรแปลกๆนะ
ฉันก็ไม่ได้ลำบากหรือต้องเป็นทุกข์กับอะไรนี่นา?
ก็จัดว่ามีความสุขดีล่ะมั่ง” บางครั้งมิคาสะก็ห่วงเขาแบบแปลกๆ จนเขาก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะห่วงอะไรเขามากนัก เขาไม่ได้ต้องไปสนามรบ
หรือผจญอันตรายอะไรที่ไหน
“เหรอ……งั้นก็ดีแล้วล่ะ” รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่ใบหน้าสวยนั้นก่อนจะเลือนหายไป
สายตาของมิคาสะเหม่อมองไปไกลนอกรถราวกับกำลังใช้ความคิด
และนั่นทำให้เอเลนหันกลับไปมองตามเส้นทางบนท้องถนนที่ผ่านไปบ้าง
เมื่อถึงมหาวิทยาลัย
ไรเนอร์เบลทรูธ และอาร์มิน ต่างก็มาถึงก่อนแล้ว จากการที่อาร์มินและไรเนอร์ไปส่งรายงานกับดร.ฮันซี่
เมื่อเช้าดูเหมือนอาจารย์ประจำวิชาจะพอใจกับเนื้อหาและบทสรุปที่กลุ่มของเขาทำอยู่ไม่ใช่น้อย
ข่าวดีจากอาร์มินทำให้เพื่อนๆทุกคนในกลุ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างมากจากการทำรายงานมาราธอนและเวลาที่เสียไปดูท่าจะคุ้มค่าอยู่ทีเดียว
ด้วยรายงานที่พวกเขาสามารถทำและสรุปผลได้เร็ว เลยทำให้มีเวลาในการเตรียมพรีเซ็นต์มากกว่ากลุ่มอื่นๆอยู่เกือบสัปดาห์
นั้นหมายความว่าพวกเขามีเวลาที่จะไปปาร์ตี้และแฮงค์เอาท์กันได้อย่างสบายๆพอสมควร
“วันนี้โคนี่
และชาช่า นัดรวมตัวกันที่ร้านนมหน้ามหาลัยของคุณฮันเนสเจ้าเดิม เห็นว่าแอนนี่
มาร์โก ยูมิล และ คริสต้า
จะตามมาสมทบหลังจากเลิกเรียนช่วงเช้า”
ไรเนอร์กล่าวนัดกับทุกคนในกลุ่ม
พวกเขาทุกคนล้วนแต่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสคูล เพราะล้วนเป็นนักเรียนรุ่น 104 ของไฮสคูลไททันทั้งสิ้น อีกทั้งมหาวิทยาลัยก็สามารถสอบเข้าเรียนที่เดียวกันได้
แต่ต่างกันที่คณะที่เลือกตามความต้องการของแต่ละคนเท่านั้น ซึ่งชาช่า
และโคนี่ ทั้งสองเรียนต่อด้านโภชนากร
ด้วยความฝันที่อยากเปิดร้านอาหารของตนเองสักวันรวมทั้งการคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆก็เป็นงานอดิเรกที่ทั้งสองชื่อชอบ คริสต้า และมาร์โก เลือกเรียนแพทย์ เพราะหวังที่จะช่วยเหลือและรักษาผู้คน
ส่วนแอนนี่เธอเลือกเรียนแพทย์เพราะเห็นว่าเป็นงานที่มั่นคงและรายได้ดี และยูมิลเองเลือกเรียนแพทย์ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เลือกตามคริสต้า’ ก็เท่านั้น
“ดีเลยไม่ได้รวมกลุ่มกันมาสักพักแล้วด้วย”
นัยน์ตาสีมรกตทอเป็นประกาย
นอกจากจะได้เจอกับเพื่อนๆทั้งกลุ่มที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว ร้านนมของคุณฮันเนสก็ยังมีอาหารหลากหลายชนิดที่รสชาติถูกปากเขาไม่ใช่น้อย
“งั้นตามนนี้นะ ฉันจะได้ส่งไลน์กลับไปคอนเฟริมพวกนั้นด้วย”
ไรเนอร์หยิบโทรศัพท์สมาร์โฟนของตนเองออกมาและกดส่งข้อความตอบรับคำชวนในกลุ่มที่ตั้งไว้
เมื่อถึงเวลานัดเหล่าบรรดาสมาชิกทุกคนล้วนนั่งที่ประจำของตนเอง
เนื่องจากร้านของคุณฮันเนสเป็นร้านประจำที่กลุ่มของเขามาสังสรรค์อยู่เสมอๆ
บรรยากาศครื้นเครงและเป็นกันเองภายในร้านจึงมีให้เห็นอยู่ประจำ
“พวกนายน่ะดีคลุกอยู่กับตัวหนังสือ กับตำราอาหาร
ส่วนพวกฉันเนี่ยคลุกอยู่แต่กับอวัยวะดองและโครงกระดูกจนฉันรู้สึกจะคุยกับมันรู้เรื่องแล้ว”
หญิงผู้มีใบหน้าตกกระและห้าวที่สุดในกลุ่มพูดขณะดูดนมช็อกโกแลตเย็นพลางเคี้ยวหลอดในแก้วไปด้วย ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอต้องศึกษาอนาโตมีร่างกายของมนุษย์และท่องศัพท์เฉพาะต่างๆเพื่อเอาไปสอบน่ะสิ
“อนาโตมีพวกเราก็ได้ดูอยู่นะ จากภาพสเก็ตไททันในหนังสือและหุ่นจำลองในหอสมุดน่ะเป็นอนาโตมีขนาดยักษ์สูง
60
เมตรเลยนะ”
ชายหนุ่มร่างกายกำยำที่สุดในกลุ่มกล่าว
บรรยากาศครื้นเครงและเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยอยู่เป็นนิจทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้ามน
เจ้าของนัยน์ตาสีมรกต ถึงแม้จะเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยที่พบเจออยู่แทบทุกวัน
แต่วันนี้เขารู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ความรู้สึกที่สนุกสนาน สิ่งนี้เรียกว่า ‘ความสงบสุข’ ได้สินะ โลกที่ไม่มีไททันอยู่
โลกที่ไม่ต้องหวาดกลัวว่าพรุ่งนี้อนาคตจะเป็นเช่นไร
ร่างโปร่งแอบขำกับความคิดของตนเอง
นี่เขาไม่ได้อยู่ในยุคไททันเสียหน่อย
แถมเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ด้วยว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า ดูท่าเขาจะเอาความฝันแปลกๆที่เกิดขึ้นและความรู้สึกของเอเลนในบันทึกมาโยงกับความเป็นจริงเสียแล้ว
“ว่าแต่ในตำนานเรื่องไททันนี่บทสรุปมันเป็นยังไงนะ
ตอนทำรายงานฉันดูแต่พวกเรื่องวิถีชีวิตของสมัยนั้น
กับความเชื่อเรื่องกำแพงที่เป็นหัวข้อรายงาน
เลยไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของตำนานเป็นยังไง”คำถามจากแจนทำให้ใบหน้ามนเกิดข้อสงสัยเช่นกัน
นั่นน่ะสิบทสรุปของตำนานเป็นยังไงกันนะเพราะนอกจากเนื้อหาในหัวข้อที่ต้องทำแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดในหัวข้ออื่นๆเสียเท่าไร โดยปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มากนักแต่ตั้งแต่เหตุการณ์จากบันทึกนั้นทำให้เขารู้สึกอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจ เหมือนกับมีแรงผลักดันจากจิตใต้สำนึกอย่างนั้น
“จากที่ผมศึกษามา
ก็คือ มนุษย์เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะและเริ่มออกมาใช้ชีวิตภายนอกกำแพงนะครับ” เด็กชายซึ่งเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มตอบ
“แล้วมนุษย์ชนะไททันพวกนั้นยังไงเหรออาร์มิน?”
ใบหน้ามนถามด้วยความอยากรู้ทันที
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเลือดภายในกายเดือดผล่านไปด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าจำไม่ผิด
หน่วยสำรวจในยุคนั้นคิดค้นและวิวัฒนาการให้มนุษย์สามารถมีอำนาจเทียบเท่ากับไททัน รวมทั้งสามารถจัดการกับต้นตอที่ทำให้เกิดไททันเหล่านั้นซึ่งเป็นพวกชนชั้นสูงที่อยู่กำแพงชั้นใน หัวหน้าหน่วยเอลวินสมิธ
ก็ได้รับการเลือกจากประชาชนให้เป็นแสงสว่างของยุคใหม่ เขาทำการปกครองและขยายรกรากของมนุษย์ภายนอกกำแพงและทำให้มนุษย์ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง”
“แล้วในตำนาน
มีคนที่ชื่อ รีไว รึเปล่า?” คำถามของเอเลนทำให้มิคาสะ ตกใจ แต่เธอเลือกพยายามที่จะเก็บอาการไว้ด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยนั้น
“ผมเพิ่งรู้ว่าเอเลนสนใจตำนานขนาดนี้ หัวหน้าทหารรีไว……น่าเสียดายในตำนานกล่าวไว้ว่าเขาเป็นผู้ทรยศที่หันหลังให้กับมนุษยชาติเลยโดนโทษตัดสินประหารน่ะครับ”
คำบอกเล่าของเพื่อนตั้งแต่เด็กของเขาทำให้ร่างโปร่งรู้สึกตัวชา
หัวหน้าทหารรีไวคนนั้นมีอยู่ในตำนานจริงๆสินะ ทำไมคนที่ดูเคร่งครัดและทำตามกฎขนาดนั้นถึงได้กลายเป็นผู้ทรยศไปได้ล่ะ
“เอเลนแกไม่สบายรึเปล่าวะ
หน้าซีดเชียว” มือของแจนเลื่อนไปแตะหน้าผากของใบหน้ามน และมันทำให้เขาเพิ่งรู้สึกตัว
“ฉันรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยน่ะอาจเป็นเพราะนอนไม่พอ ถ้ายังไงฉันขอตัวกลับก่อนละกัน”
ร่างโปร่งคว้ากระเป๋าสะพายของตนเองและก้าวออกจากร้านหมายจะกลับบ้านไปเพื่อตรวจสอบบันทึกนั้นอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้แข็งแกร่งของมนุษยชาติ และเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกที่วูบไหวในใจของตัวเขาเองกันแน่
“เฮ้ยรอก่อนสิวะแก เดี๋ยวฉันไปส่ง แล้วแกก็ยังไม่ได้จ่ายตังค์เลยนะโว๊ย!!” ร่างสูงรีบควักเงินในกระเป๋าจ่ายในส่วนของตัวเองและจ่ายแทนในส่วนของคนที่เดินนำหน้าออกไปจากร้าน
นัยน์ตาสีขี้เถ้าของหญิงสาวมองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนเดินจากไป ถ้าเป็นปกติเธอคงที่จะตามเอเลนไปด้วย
แต่ตอนนี้เธอคิดว่าการปล่อยเอเลนให้อยู่คนเดียวและทำตามใจตัวเองอาจจะดีแล้วก็ได้
“ถ้าแกไม่สบายก็น่าจะบอกก่อน
ฉันจะได้ไม่ต้องสั่งฮันนี่โทสไป ป่านนี้คงลาภปากยัยชาช่าเรียบร้อย”
นัยน์ตาสีเปลือกไม้จ้องมองบนถนนพลางนึกเสียดายฮันนี่โทสที่เขาเพิ่งสั่งไป
“ที่จริงแกอยู่ต่อก็ได้นะ
ฉันโบกแท๊กซี่กลับเองก็ได้” นัยน์ตามรกตมองคนที่เป็นสารถีให้กับเขาวันนี้
ที่จริงแจนปล่อยเขากลับคนเดียวก็ได้ไม่เห็นจำเป็นต้องมาส่งเลย
“ได้ไงล่ะสัญญาไว้แล้วก็ต้องทำตามสิวะ
อีกอย่างถ้าเกิดแกสลบไปแบบในหอสมุดอีกจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่” ใบหน้าหล่อเหลาตอบกลับจริงจัง
“นายเป็นคนดีกว่าที่ฉันคิดนะแจนขอบใจ”
คำขอบคุณจากปากของคนดื้อดึงทำให้ใบหน้าของแจนขึ้นสีระเรื่อ
นี่เขาอาจจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆไหงตัวเขาถึงต้องมาคอยตามเป็นห่วงร่างโปร่งตรงนี้ด้วยนะ ดูเหมือนไม่ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านข้างนี้จะทำอะไรก็อยู่ในสายตาเขาทั้งหมด
หรืออาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจละสายตาไปจากคนคนนี้ก็เป็นได้
รถยนต์สีน้ำเงินมันวาวจอดเข้าในรั้วของบ้านเยเกอร์อีกครั้ง ร่างโปร่งเตรียมลุกจากเบาะนั่งข้างคนขับแต่โดนเจ้าของรถคว้าข้อมือไว้เสียก่อน
“นายไหวรึเปล่า ให้ฉันอุ้มขึ้นไปส่งในห้องไหม?”
ความหวังดีจากร่างสูงดูเหมือนจะทำให้หัวคิ้วของใบหน้ามนกระตุกอยู่ไม่น้อย
“นี่แกเห็นฉันเป็นสาวน้อยร่างกายอ่อนแอรึไงกันวะ!!!” เอเลนตะโกนใส่ร่างสูงพลางส่งลูกเตะไปที่หน้าแข้งของคนหวังดี
ก่อนที่จะปิดประตูลงจากรถและเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะชวนสารถีของวันนี้เข้ามาพักผ่อนภายในบ้านด้วย
ร่างสูงที่ถูกเตะและปล่อยไว้ในรถฟุบหมอบกับพวงมาลัย ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อ
นี่ถ้าเอเลนเป็นสาวน้อยบอบบางเขาจะทำยังไงกันนะ ยิ่งคิดใบหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าวดูเหมือนเขาควรจะหาใครสักคนปรึกษานี่เขาอาจจะกำลังเป็นโรคอะไรที่ร้ายแรงอยู่ก็ได้
เขาตัดสินใจโทรศัพท์ไปหามาร์โกที่ดูจะเป็นที่พึ่งของเขาได้มากที่สุดตอนนี้
อย่างน้อยมาร์โกก็เป็นนักเรียนแพทย์ถ้าเขาเป็นโรคอะไรร้ายแรงจะได้รีบรักษาได้ทันการ
หลังจากรถยนต์ที่ขับมาส่งเขาถึงบ้านขับออกไปเอเลนก็จัดแจงตัวเองอาบน้ำและสวมชุดนอนเรียบร้อย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราถึงเหตุการณ์ต่างๆในบันทึกนั่น และมันทำให้เขาต้องนอนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน
มือเรียวหยิบบันทึกปกดำที่มีชื่อของตนเองจากโต๊ะข้างหัวเตียง ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ และคุณมีความสัมพันธ์กับเอเลน เยเกอร์
ยังไงก้นแน่
ทำไมผมถึงได้คิดถึงคุณมากเหลือเกิน….
มือบางเปิดหน้าบันทึก
เขาค่อยๆจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราราวกันมีมนต์สะกดให้ดึงดูดลึกลงไป…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
นัยน์ตาสีเขียวมรกตลืมตาขึ้น ร่างบางค่อยๆขยับยันตัวเองให้ลุกจากท่านอนและพบว่าสองมือของเขายังคงถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้ ห้องที่ทึบและดูโดดเดี่ยว
มีเพียงแสงสว่างจากเปลวเทียนบนหัวเตียงเท่านั้นที่พอจะทำให้ภายในห้องที่มืดมิดเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้บ้าง ห้องสี่เหลี่ยมที่มีเฟอร์นิเจอร์เพียงชุดโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า
และเตียง ดูจากสภาพโดยรวมและบรรยากาศที่ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกแล้วเขาคงจะอยู่ในห้องใต้ดินของที่ไหนสักแห่งนี่เขาโดนล่ามเอาไว้อีกแล้ว
ใบหน้ามนจ้องมองข้อมือของตนที่ถูกพันธนาการด้วยเหล็กกล้า
เขาเป็นสิ่งที่น่ากลัวและอันตรายถึงขนาดที่ต้องโดนล่ามราวกับเป็นสัตว์ร้ายอยู่ตลอดเลยสินะ
เสียงประตูไม้ขนาดใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมชายผู้แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติก้าวเข้ามา
“แกยังไม่หลับอีกเหรอ
ไอเด็กเหลือขอ แต่ก็ดีฉันคิดว่าห้องใต้ดินอากาศคงจะเย็นเลยนำเอานี่มาให้”
ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดยื่นแก้วที่มีนมอุ่นให้กับร่างบาง พลางไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง
“ขอบคุณครับ แล้วหัวหน้าทำไมยังไม่นอนอีกล่ะครับ?” สองมือเรียวยื่นไปรับแก้วนมมาถือไว้ การกระทำของชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าของใบหน้าและสายตาที่เย็นชาอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาแปลกใจแต่ก็รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจเช่นเดียวกัน เพราะต่อให้คนนี้จะมีใบหน้าที่นิ่งเฉยหรือเย็นชา
แต่ก็ปฎิบัติกับเขาราวกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ถ้าไม่นับเรื่องที่โดนอัดในชั้นศาลแล้วล่ะก็นะ
ริมฝีปากบางค่อยๆดื่มนมอุ่นในแก้วที่ชายผู้แข็งแกร่งนำมาให้
ความอบอุ่นแผ่นซ่านลงสู่ลำคอแล่นไปทั่งร่างกายและส่งถึงหัวใจของร่างบาง แม้บรรยากาศในห้องใต้ดินจะเย็นเฉียบเพียงใดแต่การกระทำของหัวหน้าทำให้เขารู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าได้รับแสงแดดยามเช้าเสียอีก
“ก็แค่ตรวจตราความเรียบร้อยตามหน้าที่เท่านั้น” นัยน์ตาสีขี้เถ้าตอบพลางจ้องมองคนตรงหน้า
รีไวรู้สึกติดใจกับเด็กหนุ่มคนนี้นั้นอาจเป็นเพราะด้วยนิสัยบ้าบิ่นไม่กลัวตายแบบวัยรุ่น และอาจด้วยที่เด็กหนุ่มสามารถแปลงเป็นไททันได้ เลยทำให้เขาต้องจับตามองเด็กคนนี้ไว้ให้ดี
“หัวหน้าครับ…..…..ผม…เป็นมนุษย์รึเปล่า?” ร่างโปร่งเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา ถ้าคนตรงหน้าเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นมนุษย์อีกคนเหมือนกับคนอื่นๆในชั้นศาล เขาคงไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยวและยากที่จะลุกขึ้นสู้ต่อ
นัยน์ตาสีมรกตเบนหลบไปอีกฝั่งกับที่ชายอีกคนนั่ง
ไหล่บางสั่นไหวพร้อมทั้งเสียงถอนหายใจของคนที่อยู่ข้างๆ
เขาเริ่มกลัวที่จะรู้คำตอบจากอีกฝ่าย
มือหยาบจากการต่อสู้มานานนับหลายปีเลื่อนมาสัมผัสที่ข้างแก้มใส
“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าปีศาจ
หรือไอพวกไททันนั้นร้องไห้เป็น
เพราะงั้นฉันก็เห็นว่าแกเป็นเพียงไอเด็กเหลือขอคนหนึ่งเท่านั้น”มือเรียวจับกลับไปยังมือหยาบที่สัมผัสบนหน้าที่ค่อยๆใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาของเขา
แม้มือของหัวหน้าจะหยาบกร้านแต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ผ่านออกมาได้เป็นอย่างดี รอยยิ้มบางฉายบนใบหน้ามน
ซึ่งนั้นทำให้คนที่คิดว่าหัวใจของตนเองด้านชาเริ่มเกิดอาการสั่นไหว
“แต่ถ้าแกเสียความเป็นมนุษย์ไปเมื่อไร ชั้นจะเป็นคนฆ่าแกเอง” แม้นั่นจะไม่ใช่คำปลอบใจแต่ก็ทำให้เอเลนรู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น เขาเป็นมนุษย์
และเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ไม่ว่าจะเป็นไททัน
หรือใครก็ตามเพราะยังคงมีคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา และคนนั้นก็เป็นคนที่เขาสามารถไว้วางใจและให้เป็นผู้ตัดสินชีวิตของเขาเองได้เช่นกัน
“ขอบคุณครับ คุณเป็นฮีโร่ของผมเสมอ หัวหน้า” ใบหน้ามนส่งยิ้มสดใสไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า
ตอนนี้น้ำตาแห้งไปแล้วและความมั่นใจก็เริ่มกลับคืนมา
“ฉันไม่ใช่ฮีโร่ของแก ฮีโร่ของแกคงไม่ฆ่าแกเองหรอก
ฉันแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
ดูเหมือนไอเด็กตรงหน้านี่จะชื่นชมและยกย่องตัวเขามากถึงขนาดยกให้เป็นวีรบุรุษ
“ไม่ครับ
คุณคือวีรบุรุษของผม” ใบหน้ามนส่ายหน้าน้อยๆ เพราะคุณเป็นความเชื่อมั่น และความหวังของผมครับหัวหน้ารีไว
“เฮ้อ… แล้วแต่แกละกัน มีอีกเรื่องตั้งแต่พรุ่งนี้ยัยโรคจิตนั่นจะเริ่มทำการทดลอง
ชั้นคิดว่านี่น่าจะจำเป็นสำหรับเก็บไว้เป็นข้อมูล” รีไวหยิบสมุดบันทึกปกดำขึ้นมายื่นให้กับอีกคน
ร่างโปร่งรับสมุดบันทึกมาไว้ในมือ
ปกที่ทำด้วยหนังสีดำสลักชื่อของเจ้าของบันทึกไว้ เอเลน
เยเกอร์ รอยสลักที่ดูเหมือนจะทำขึ้นมาเองเพราะงานไม่ได้ออกมาปราณีตเหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นตามร้านขายหนังสือทั่วไป ถึงกระนั้นความรู้สึกดีใจที่ราวกับเห็นสมบัติล้ำค่าก็ฉายเด่นชัดบนใบหน้ามนนั้น ทั้งที่คนที่มอบให้นั้นเกรงว่าเจ้าตัวดีตรงหน้าจะไปลืมบันทึกไว้ที่ไหนและไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยลงมือสลักชื่อให้ไว้ก็เท่านั้น ไม่คิดว่าไอเด็กนี่จะดีใจราวกับสุนัขที่ได้ของเล่นชิ้นโปรด
“จดบันทึกประจำวันและสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตัวแกไว้ซะ”ร่างแข็งแกร่งก้าวไปยังประตูไม้ขนาดใหญ่เตรียมกลับขึ้นไปยังห้องของตนเอง
“ราตรีสวัสดิ์” บานประตูไม้สีโอ๊ตถูกปิดลงเหลือแต่เพียงร่างโปร่งที่อยู่ภายในห้อง
ถึงห้องจะมืดและเย็นแต่ตอนนี้ร่างที่อยู่บนเตียงกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มากมายที่ได้รับในค่ำคืนนี้
“ราตรีสวัสดิ์ครับหัวหน้า และ…..ขอบคุณ”ใบหน้ามนกระชับสมุดบันทึกไว้แนบอก สิ่งนี่จะเป็นอีกหนึ่งสมบัติที่ล่ำค่า ของขวัญที่ได้รับมาจากบุคคลที่สำคัญ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
. “เดี๋ยวนะ พวกนายว่าอะไรนะ!!!!!!!!!!!!!”นัยน์ตาสีเปลือกไม้เบิกกว้าง ตกลงเขาไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร
แต่จากคำให้การณ์ของเขาและคำวินิจฉัยจากว่าที่แพทย์ในอนาคตมาร์โก บอกเขาว่าเขากำลังตกหลุมรักยังงั้นเหรอ!!!!
แถมคนนั้นก็ไม่ใช่สาวน้อยร่างบอบบาง
แต่ดันเป็นหนุ่มใสหน้ามนวัยเดียวกัน
แถมยังเป็นคู่กัดมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลกับเขาอีกด้วยเอเลน เยเกอร์
“ผมดีใจนะที่แจนเหมือนเริ่มจะรู้สึกตัวเสียที”อาร์มินแวะเอาหนังสือที่มาร์โกฝากซื้อมาให้ที่ห้องเลยทำให้เขาได้รู้ถึงความกลุ้มใจของคนตรงหน้านี้ด้วย
และเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่คนคนนี้รู้ตัวสักทีว่าคิดยังไงกับคู่กัดของตน ทั้งที่คนอื่นๆในกลุ่มนั้นก็ดูออกกันหมด คงมีแต่เจ้าตัวและคู่กรณีเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกเอะใจสงสัยอะไรเลย
“ยิ่งสมัยนี้ความรักไม่เกี่ยงเพศนะครับแจน ผมรู้สึกดีใจจังที่ในที่สุดแจนก็เติบโตเสียที”
หนุ่มตกกระเจ้าของห้องพูดพลางปาดน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง ในที่สุดวันที่คนอย่าง แจนกิลชูไตน์ รู้ถึงความรู้สึกของตนเองก็มาถึง
ใบหน้าหล่อของคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักคู่กัดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
แดงแจ๊ดขึ้นมาจนถึงใบหู
ถ้ามีสัญญาณจับความร้อนมันต้องร้องจนหน่วยดับเพลิงบุกเข้ามาแล้วแน่ๆ
“ต…แต่หมอนั่นก็มีมิคาสะอยู่นี่”การที่จะไปแย่งคนที่เขามีเจ้าของแล้วคงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก
และอีกคนก็เป็นผู้หญิงที่ถึงแม้ว่าจะแกร่งยิ่งกว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาก็เถอะ
“ผมว่าสำหรับเอเลน
มิคาสะเปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนในครอบครัวมากกว่า” เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดกับเอเลน
และมิคาสะกล่าว แต่ไหนแต่ไรเอเลนและมิคาสะต่างก็ใกล้ชิดและให้ความสำคัญต่อกัน
แต่ถึงกระนั่นก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะเป็นไปได้มากกว่าความสัมพันธ์แบบครอบครัวได้เลย
ยิ่งความห่วงของมิคาสะนั่นมีมากจนเรียกได้ว่าเป็นแม่หรือพี่สาวของเอเลนมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ถ้านายจะลองลุยจีบเอเลนดูก็ดูท่าจะไม่เป็นไรนะ แต่อาจต้องยอมซี่โครงหักซะท่อน สองท่อน
จากมิคาสะที่ห่วงเอเลนล่ะนะ” หนุ่มตกกระเจ้าของห้องเริ่มคิดแล้วว่าถ้าแจนจะจีบเอเลนจริงๆ
บางทีเขาอาจต้องเบิกอุปกรณ์รักษาพยาบาลมาเก็บไว้ที่ห้องสักหลายๆชุดหน่อยแล้ว เผื่อเพื่อนของเขาเป็นอะไรไปเขาจะได้จัดแจงปฐมพยาบาลก่อนนำตัวส่งถึงมือหมอได้ทันการ
“แล้ว…..พวกนายคิดว่าเอเลนจะชอบฉันไหมวะ?”
นี่เขาตกหลุมรักหมอนั่นจริงๆใช่ม๊าย!!
ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่ก็ไม่อยากที่ละสายตาไปจากใบหน้ามนนั่นเช่นกัน
“อืม
ผมว่าตอนนี้เอเลนเองก็ฟรี เพราะงั้นไม่น่าจะเสียหายนะครับถ้าจะลองดู” ที่จริงไม่อยากบอกเลยว่าคนอย่างเอเลน
จะรู้จักความรักรึเปล่า
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเห็นคนตรงนี้สนใจอะไรเลยนอกจากการที่อยากจะเป็นนักกฏหมายเพื่อรักษาความถูกต้อง ทั้งที่ก็มีใครหลายๆคนต่างให้ความสนใจในร่างโปร่ง
แต่เจ้าตัวกลับดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจที่จะรับรู้ความรู้สึกของคนที่เข้ามาเสียเท่าไรนั่นอาจเป็นเพราะมีมิคาสะอยู่ข้างๆ
ไม่สิต้องบอกว่าไม่สนใจด้วยซ้ำเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สำหรับเจ้าตัว
“ชั้นตัดสินใจแล้ว!!! ชั้นจะลองทำให้หมอนั่นชอบชั้นให้ได้!!!”
ใบหน้าหล่อฉายแววความมุ่งมั่นนัยน์ตาเป็นประกายมือข้างหนึ่งกำแน่นเหยียดตรงขึ้นไปราวกับนักรบที่พร้อมจะลงสนาม
จนทำให้เพื่อนอีกสองชีวิตที่อยู่ในห้องอดที่จะปรบมือแสดงความยินดีด้วยไม่ได้
ในที่สุดคุณชายแจนก็มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดกับเขาเสียที
ร่างสูงค่อยๆหันกลับมามองยังเพื่อนอีกสองคนที่เป็นแรงสนับสนุนให้เขา “ว่าแต่
จีบเนี่ยมันทำยังไงเหรอ?”
คำถามจากร่างสูงทำให้อีกสองคนในห้องถึงกับกลายร่างเป็นภาพขาวดำ นี่พวกเขาต้องช่วยกันเขียนตำราพิชัยพิชิตหัวใจนายเอเลน เยเกอร์
เพื่อ แจน กิลชูไตน์ ด้วยรึเปล่า….
.
.
.
หนึ่งคนที่กำลังจ่มดิ่งและค้นหาสิ่งสำคัญที่หายไป
และ
อีกหนึ่งคนที่ในที่สุดก็รู้ว่าสิ่งสำคัญนั้นอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
เส้นทางของหัวใจที่สวนกัน
ใครกันจะเป็นผู้ที่ไขว่คว้ามาครอบครอง
.
.
TBC,
ทิ้งท้ายได้คมมากมาย
ตอบลบระหว่างสิ่งสำคัญในอดีต กับปัจจุบัน
สองคนนี้เหมือนเป็นตัวเปรียบเทียบกันเลยค่ะ
ว่าจะจมอยู่กับอดีต หรือเลือกสิ่งที่สามารถทำได้ตอนนี้
แต่เอเลนก็ยังไม่ได้เรียกว่าจมอยู่กับมัน
เพียงแค่กำลังค้นหาเท่านั้น จับใจจัง *-*
หัวหน้าค่ะ ไม่ต้องเก๊กหรอกค่ะ
ห่วงก็บอกว่าห่วงไปตรงๆ เลย
แจน นายเตรียมตัวไปหากระดูกซี่โครงสำรองไว้ได้เลย
ต้องหาซ๊่โครงสำรองหลายๆซ๊่เลยนะคะ เฮียเท้าหนักใช่เล่น><"
ลบแจนมินเถอะ!!!!
ตอบลบแจนมิน หรือ มินแจน นี่บอกยากค่ะหลัง แหะๆ ><"""""
ลบอหหห สงสารแจนรอได้มั้ย 55555555 คือแบบนายก็ดีนะ แต่พระเอกเรื่องนี้ต้องเตี้ยๆอะ โดนใจ 5555555555
ตอบลบแจนแอแงสงสารรอเลย สเปคเอเลนคือคนเตี้ยอะแจน ฮือ
ตอบลบ