วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 3



Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 3
รถยนต์สีน้ำเงินมันวาวแล่นออกจากบ้านเยเกอร์ มุ่งสู่มหาวิทยาลัยชิน่า หนึ่งในสามมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของเมือง  ร่างโปร่งจัดแจงเอกสารที่จำเป็นต้องใช้สำหรับวิชาช่วงเช้าของเขา  วันนี้แจนอาสาที่จะขับรถกลับมาส่งเขาและมิคาสะถึงที่บ้านเพื่อตอบแทนที่ให้เจ้าตัวนอนค้างที่บ้านอีกหนึ่งคืนทำให้เขาไม่ต้องขับรถของตนเองออกมา
 “นี่แจน ถ้านายโดนคนที่เพิ่งเจอกันอัดจนเละนายจะเกลียดเขาไหม ถึงแม้จะรู้ว่าเขาทำเพราะสถาณการณ์พาไปก็ตาม” เอเลนถามร่างสูงที่กำลังขับรถอยู่  กาที่เจอคนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานอัดเละแบบนั้นที่จริงสมควรจะโกรธและเกลียดด้วยซ้ำ แต่ทำไมกับชายหนุ่มผู้เฉยชาคนนั้นเขาถึงไม่อาจที่จะโกรธหรือเกลียดได้เลย  จะมีก็แต่ความรู้สึกที่วูบไหวที่อยู่ภายในอกของเขาก็เท่านั้น
“ห๊ะ!! ก็ต้องเกลียดสิวะ  คนเพิ่งเจอกันและมาอัดกันเนี่ยนะต่อให้อยู่ในสถาณการณ์แบบไหนก็เถอะแต่เป็นใครที่โดนแบบนั้นก็ต้องไม่ชอบอยู่แล้ว  ยกเว้นแต่แกจะเป็นมีพวกมีรสนิยมมาโซฯ นั้นแหละ”  นั้นน่ะสิถ้าเป็นคนปกติธรรมดาเขาก็คงต้องเกลียดไปแล้ว  หรือว่าที่จริงแล้วเขาจะเป็นพวกมาโซอย่างที่แจนว่า  แต่ก็ไม่นะเพราะเวลาที่มีใครมาหาเรื่องเขาเขาเองก็ไม่อยู่เฉยๆเป็นต้องลุยและมีเรื่องวิวาทจากอารมณ์ใจร้อนของเขามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
“แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบจิกกัดหรือกวนอารมณ์ ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ” คำพูดงึมงำที่เหมือนจะพูดกับตัวเองของร่างสูงผู้มีใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทของคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ในหัวของเอเลน มีแต่ภาพของชายในชุดเครื่องแบบที่เขาฝันเห็น ซึ่งภาพของชายคนนั้นไม่อาจสลัดหลุดออกไปจากความคิดของเขาได้เลยแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอีกคนที่โดยสารมาด้วยจะไม่ได้ยิน  มิคาสะจึงยกขาถีบไปยังเบาะหน้าคนขับและนั่นทำให้ร่างสูงหน้าถอดสีและตั้งสมาธิกลับไปยังที่ถนนเบื้องหน้า
“เอเลน  นายมีอะไรรึเปล่า?” หญิงสาวหนึ่งเดียวที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถเอ่ยถามเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของตน  สายตาของ มิคาสะ ที่จ้องมองมาที่เขาผ่านกระจกส่องท้ายรถนั้นแสดงถึงความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่า เธอเองนั้นแหละเป็นอะไรรึเปล่ามิคาสะ  ทำไมถึงได้ทำหน้าแบบนั้น?”  ร่างโปร่งหันกลับไปสบตากับใบหน้าสวยที่อยู่หลังรถ  มือเรียวยกขึ้นลูบศรีษะเพื่อหวังจะคลายความกังวลในใจของหญิงสาว
“เอเลน  ตอนนี้นายมีความสุขไหม?”
“เธอถามอะไรแปลกๆนะ  ฉันก็ไม่ได้ลำบากหรือต้องเป็นทุกข์กับอะไรนี่นา? ก็จัดว่ามีความสุขดีล่ะมั่ง” บางครั้งมิคาสะก็ห่วงเขาแบบแปลกๆ  จนเขาก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะห่วงอะไรเขามากนัก  เขาไม่ได้ต้องไปสนามรบ หรือผจญอันตรายอะไรที่ไหน
“เหรอ……งั้นก็ดีแล้วล่ะ”  รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่ใบหน้าสวยนั้นก่อนจะเลือนหายไป  สายตาของมิคาสะเหม่อมองไปไกลนอกรถราวกับกำลังใช้ความคิด  และนั่นทำให้เอเลนหันกลับไปมองตามเส้นทางบนท้องถนนที่ผ่านไปบ้าง

เมื่อถึงมหาวิทยาลัย ไรเนอร์เบลทรูธ  และอาร์มิน  ต่างก็มาถึงก่อนแล้ว  จากการที่อาร์มินและไรเนอร์ไปส่งรายงานกับดร.ฮันซี่  เมื่อเช้าดูเหมือนอาจารย์ประจำวิชาจะพอใจกับเนื้อหาและบทสรุปที่กลุ่มของเขาทำอยู่ไม่ใช่น้อย  ข่าวดีจากอาร์มินทำให้เพื่อนๆทุกคนในกลุ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างมากจากการทำรายงานมาราธอนและเวลาที่เสียไปดูท่าจะคุ้มค่าอยู่ทีเดียว

                ด้วยรายงานที่พวกเขาสามารถทำและสรุปผลได้เร็ว  เลยทำให้มีเวลาในการเตรียมพรีเซ็นต์มากกว่ากลุ่มอื่นๆอยู่เกือบสัปดาห์   นั้นหมายความว่าพวกเขามีเวลาที่จะไปปาร์ตี้และแฮงค์เอาท์กันได้อย่างสบายๆพอสมควร
                “วันนี้โคนี่ และชาช่า นัดรวมตัวกันที่ร้านนมหน้ามหาลัยของคุณฮันเนสเจ้าเดิม  เห็นว่าแอนนี่  มาร์โก  ยูมิล  และ คริสต้า จะตามมาสมทบหลังจากเลิกเรียนช่วงเช้า”  ไรเนอร์กล่าวนัดกับทุกคนในกลุ่ม พวกเขาทุกคนล้วนแต่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสคูล  เพราะล้วนเป็นนักเรียนรุ่น 104 ของไฮสคูลไททันทั้งสิ้น  อีกทั้งมหาวิทยาลัยก็สามารถสอบเข้าเรียนที่เดียวกันได้  แต่ต่างกันที่คณะที่เลือกตามความต้องการของแต่ละคนเท่านั้น  ซึ่งชาช่า  และโคนี่  ทั้งสองเรียนต่อด้านโภชนากร  ด้วยความฝันที่อยากเปิดร้านอาหารของตนเองสักวันรวมทั้งการคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆก็เป็นงานอดิเรกที่ทั้งสองชื่อชอบ  คริสต้า และมาร์โก  เลือกเรียนแพทย์ เพราะหวังที่จะช่วยเหลือและรักษาผู้คน  ส่วนแอนนี่เธอเลือกเรียนแพทย์เพราะเห็นว่าเป็นงานที่มั่นคงและรายได้ดี  และยูมิลเองเลือกเรียนแพทย์ด้วยเหตุผลที่ว่า เลือกตามคริสต้า ก็เท่านั้น
                “ดีเลยไม่ได้รวมกลุ่มกันมาสักพักแล้วด้วย” นัยน์ตาสีมรกตทอเป็นประกาย นอกจากจะได้เจอกับเพื่อนๆทั้งกลุ่มที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว  ร้านนมของคุณฮันเนสก็ยังมีอาหารหลากหลายชนิดที่รสชาติถูกปากเขาไม่ใช่น้อย
                “งั้นตามนนี้นะ ฉันจะได้ส่งไลน์กลับไปคอนเฟริมพวกนั้นด้วย” ไรเนอร์หยิบโทรศัพท์สมาร์โฟนของตนเองออกมาและกดส่งข้อความตอบรับคำชวนในกลุ่มที่ตั้งไว้


                เมื่อถึงเวลานัดเหล่าบรรดาสมาชิกทุกคนล้วนนั่งที่ประจำของตนเอง  เนื่องจากร้านของคุณฮันเนสเป็นร้านประจำที่กลุ่มของเขามาสังสรรค์อยู่เสมอๆ  บรรยากาศครื้นเครงและเป็นกันเองภายในร้านจึงมีให้เห็นอยู่ประจำ
                “พวกนายน่ะดีคลุกอยู่กับตัวหนังสือ  กับตำราอาหาร  ส่วนพวกฉันเนี่ยคลุกอยู่แต่กับอวัยวะดองและโครงกระดูกจนฉันรู้สึกจะคุยกับมันรู้เรื่องแล้ว” หญิงผู้มีใบหน้าตกกระและห้าวที่สุดในกลุ่มพูดขณะดูดนมช็อกโกแลตเย็นพลางเคี้ยวหลอดในแก้วไปด้วย  ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอต้องศึกษาอนาโตมีร่างกายของมนุษย์และท่องศัพท์เฉพาะต่างๆเพื่อเอาไปสอบน่ะสิ
                “อนาโตมีพวกเราก็ได้ดูอยู่นะ  จากภาพสเก็ตไททันในหนังสือและหุ่นจำลองในหอสมุดน่ะเป็นอนาโตมีขนาดยักษ์สูง 60 เมตรเลยนะ”  ชายหนุ่มร่างกายกำยำที่สุดในกลุ่มกล่าว
                บรรยากาศครื้นเครงและเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยอยู่เป็นนิจทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้ามน เจ้าของนัยน์ตาสีมรกต ถึงแม้จะเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยที่พบเจออยู่แทบทุกวัน  แต่วันนี้เขารู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา  ความรู้สึกที่สนุกสนาน  สิ่งนี้เรียกว่า  ความสงบสุข  ได้สินะ  โลกที่ไม่มีไททันอยู่  โลกที่ไม่ต้องหวาดกลัวว่าพรุ่งนี้อนาคตจะเป็นเช่นไร ร่างโปร่งแอบขำกับความคิดของตนเอง  นี่เขาไม่ได้อยู่ในยุคไททันเสียหน่อย  แถมเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ด้วยว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า  ดูท่าเขาจะเอาความฝันแปลกๆที่เกิดขึ้นและความรู้สึกของเอเลนในบันทึกมาโยงกับความเป็นจริงเสียแล้ว
                “ว่าแต่ในตำนานเรื่องไททันนี่บทสรุปมันเป็นยังไงนะ  ตอนทำรายงานฉันดูแต่พวกเรื่องวิถีชีวิตของสมัยนั้น กับความเชื่อเรื่องกำแพงที่เป็นหัวข้อรายงาน เลยไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของตำนานเป็นยังไง”คำถามจากแจนทำให้ใบหน้ามนเกิดข้อสงสัยเช่นกัน  นั่นน่ะสิบทสรุปของตำนานเป็นยังไงกันนะเพราะนอกจากเนื้อหาในหัวข้อที่ต้องทำแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดในหัวข้ออื่นๆเสียเท่าไร  โดยปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มากนักแต่ตั้งแต่เหตุการณ์จากบันทึกนั้นทำให้เขารู้สึกอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจ  เหมือนกับมีแรงผลักดันจากจิตใต้สำนึกอย่างนั้น
                “จากที่ผมศึกษามา ก็คือ มนุษย์เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะและเริ่มออกมาใช้ชีวิตภายนอกกำแพงนะครับ”  เด็กชายซึ่งเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มตอบ
                “แล้วมนุษย์ชนะไททันพวกนั้นยังไงเหรออาร์มิน?” ใบหน้ามนถามด้วยความอยากรู้ทันที  ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเลือดภายในกายเดือดผล่านไปด้วยความตื่นเต้น
                “ถ้าจำไม่ผิด  หน่วยสำรวจในยุคนั้นคิดค้นและวิวัฒนาการให้มนุษย์สามารถมีอำนาจเทียบเท่ากับไททัน  รวมทั้งสามารถจัดการกับต้นตอที่ทำให้เกิดไททันเหล่านั้นซึ่งเป็นพวกชนชั้นสูงที่อยู่กำแพงชั้นใน  หัวหน้าหน่วยเอลวินสมิธ ก็ได้รับการเลือกจากประชาชนให้เป็นแสงสว่างของยุคใหม่  เขาทำการปกครองและขยายรกรากของมนุษย์ภายนอกกำแพงและทำให้มนุษย์ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง”
                “แล้วในตำนาน มีคนที่ชื่อ รีไว รึเปล่า?” คำถามของเอเลนทำให้มิคาสะ ตกใจ  แต่เธอเลือกพยายามที่จะเก็บอาการไว้ด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยนั้น
                “ผมเพิ่งรู้ว่าเอเลนสนใจตำนานขนาดนี้  หัวหน้าทหารรีไว……น่าเสียดายในตำนานกล่าวไว้ว่าเขาเป็นผู้ทรยศที่หันหลังให้กับมนุษยชาติเลยโดนโทษตัดสินประหารน่ะครับ”
                คำบอกเล่าของเพื่อนตั้งแต่เด็กของเขาทำให้ร่างโปร่งรู้สึกตัวชา  หัวหน้าทหารรีไวคนนั้นมีอยู่ในตำนานจริงๆสินะ  ทำไมคนที่ดูเคร่งครัดและทำตามกฎขนาดนั้นถึงได้กลายเป็นผู้ทรยศไปได้ล่ะ
                “เอเลนแกไม่สบายรึเปล่าวะ หน้าซีดเชียว” มือของแจนเลื่อนไปแตะหน้าผากของใบหน้ามน  และมันทำให้เขาเพิ่งรู้สึกตัว
                “ฉันรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยน่ะอาจเป็นเพราะนอนไม่พอ  ถ้ายังไงฉันขอตัวกลับก่อนละกัน” ร่างโปร่งคว้ากระเป๋าสะพายของตนเองและก้าวออกจากร้านหมายจะกลับบ้านไปเพื่อตรวจสอบบันทึกนั้นอีกครั้ง  เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้แข็งแกร่งของมนุษยชาติ  และเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกที่วูบไหวในใจของตัวเขาเองกันแน่
                “เฮ้ยรอก่อนสิวะแก  เดี๋ยวฉันไปส่ง แล้วแกก็ยังไม่ได้จ่ายตังค์เลยนะโว๊ย!!” ร่างสูงรีบควักเงินในกระเป๋าจ่ายในส่วนของตัวเองและจ่ายแทนในส่วนของคนที่เดินนำหน้าออกไปจากร้าน
                นัยน์ตาสีขี้เถ้าของหญิงสาวมองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนเดินจากไป  ถ้าเป็นปกติเธอคงที่จะตามเอเลนไปด้วย แต่ตอนนี้เธอคิดว่าการปล่อยเอเลนให้อยู่คนเดียวและทำตามใจตัวเองอาจจะดีแล้วก็ได้

                “ถ้าแกไม่สบายก็น่าจะบอกก่อน  ฉันจะได้ไม่ต้องสั่งฮันนี่โทสไป ป่านนี้คงลาภปากยัยชาช่าเรียบร้อย” นัยน์ตาสีเปลือกไม้จ้องมองบนถนนพลางนึกเสียดายฮันนี่โทสที่เขาเพิ่งสั่งไป
                “ที่จริงแกอยู่ต่อก็ได้นะ ฉันโบกแท๊กซี่กลับเองก็ได้” นัยน์ตามรกตมองคนที่เป็นสารถีให้กับเขาวันนี้  ที่จริงแจนปล่อยเขากลับคนเดียวก็ได้ไม่เห็นจำเป็นต้องมาส่งเลย
                “ได้ไงล่ะสัญญาไว้แล้วก็ต้องทำตามสิวะ  อีกอย่างถ้าเกิดแกสลบไปแบบในหอสมุดอีกจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่” ใบหน้าหล่อเหลาตอบกลับจริงจัง
                “นายเป็นคนดีกว่าที่ฉันคิดนะแจนขอบใจ”  คำขอบคุณจากปากของคนดื้อดึงทำให้ใบหน้าของแจนขึ้นสีระเรื่อ นี่เขาอาจจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆไหงตัวเขาถึงต้องมาคอยตามเป็นห่วงร่างโปร่งตรงนี้ด้วยนะ  ดูเหมือนไม่ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านข้างนี้จะทำอะไรก็อยู่ในสายตาเขาทั้งหมด  หรืออาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจละสายตาไปจากคนคนนี้ก็เป็นได้
               
                รถยนต์สีน้ำเงินมันวาวจอดเข้าในรั้วของบ้านเยเกอร์อีกครั้ง  ร่างโปร่งเตรียมลุกจากเบาะนั่งข้างคนขับแต่โดนเจ้าของรถคว้าข้อมือไว้เสียก่อน
                “นายไหวรึเปล่า  ให้ฉันอุ้มขึ้นไปส่งในห้องไหม?” ความหวังดีจากร่างสูงดูเหมือนจะทำให้หัวคิ้วของใบหน้ามนกระตุกอยู่ไม่น้อย
                “นี่แกเห็นฉันเป็นสาวน้อยร่างกายอ่อนแอรึไงกันวะ!!!” เอเลนตะโกนใส่ร่างสูงพลางส่งลูกเตะไปที่หน้าแข้งของคนหวังดี ก่อนที่จะปิดประตูลงจากรถและเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะชวนสารถีของวันนี้เข้ามาพักผ่อนภายในบ้านด้วย
                ร่างสูงที่ถูกเตะและปล่อยไว้ในรถฟุบหมอบกับพวงมาลัย  ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อ  นี่ถ้าเอเลนเป็นสาวน้อยบอบบางเขาจะทำยังไงกันนะ  ยิ่งคิดใบหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าวดูเหมือนเขาควรจะหาใครสักคนปรึกษานี่เขาอาจจะกำลังเป็นโรคอะไรที่ร้ายแรงอยู่ก็ได้  เขาตัดสินใจโทรศัพท์ไปหามาร์โกที่ดูจะเป็นที่พึ่งของเขาได้มากที่สุดตอนนี้  อย่างน้อยมาร์โกก็เป็นนักเรียนแพทย์ถ้าเขาเป็นโรคอะไรร้ายแรงจะได้รีบรักษาได้ทันการ

                หลังจากรถยนต์ที่ขับมาส่งเขาถึงบ้านขับออกไปเอเลนก็จัดแจงตัวเองอาบน้ำและสวมชุดนอนเรียบร้อย  เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราถึงเหตุการณ์ต่างๆในบันทึกนั่น  และมันทำให้เขาต้องนอนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน  มือเรียวหยิบบันทึกปกดำที่มีชื่อของตนเองจากโต๊ะข้างหัวเตียง  ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ  และคุณมีความสัมพันธ์กับเอเลน เยเกอร์ ยังไงก้นแน่  ทำไมผมถึงได้คิดถึงคุณมากเหลือเกิน….
                มือบางเปิดหน้าบันทึก เขาค่อยๆจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราราวกันมีมนต์สะกดให้ดึงดูดลึกลงไป
.
.
.
.
.
.
.
.
.
                นัยน์ตาสีเขียวมรกตลืมตาขึ้น  ร่างบางค่อยๆขยับยันตัวเองให้ลุกจากท่านอนและพบว่าสองมือของเขายังคงถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้  ห้องที่ทึบและดูโดดเดี่ยว  มีเพียงแสงสว่างจากเปลวเทียนบนหัวเตียงเท่านั้นที่พอจะทำให้ภายในห้องที่มืดมิดเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้บ้าง  ห้องสี่เหลี่ยมที่มีเฟอร์นิเจอร์เพียงชุดโต๊ะเขียนหนังสือ  ตู้เสื้อผ้า  และเตียง  ดูจากสภาพโดยรวมและบรรยากาศที่ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอกแล้วเขาคงจะอยู่ในห้องใต้ดินของที่ไหนสักแห่งนี่เขาโดนล่ามเอาไว้อีกแล้ว  ใบหน้ามนจ้องมองข้อมือของตนที่ถูกพันธนาการด้วยเหล็กกล้า  เขาเป็นสิ่งที่น่ากลัวและอันตรายถึงขนาดที่ต้องโดนล่ามราวกับเป็นสัตว์ร้ายอยู่ตลอดเลยสินะ
                เสียงประตูไม้ขนาดใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมชายผู้แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติก้าวเข้ามา
                “แกยังไม่หลับอีกเหรอ ไอเด็กเหลือขอ แต่ก็ดีฉันคิดว่าห้องใต้ดินอากาศคงจะเย็นเลยนำเอานี่มาให้”  ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดยื่นแก้วที่มีนมอุ่นให้กับร่างบาง  พลางไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง
                “ขอบคุณครับ  แล้วหัวหน้าทำไมยังไม่นอนอีกล่ะครับ?” สองมือเรียวยื่นไปรับแก้วนมมาถือไว้  การกระทำของชายผู้ซึ่งเป็นเจ้าของใบหน้าและสายตาที่เย็นชาอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาแปลกใจแต่ก็รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจเช่นเดียวกัน  เพราะต่อให้คนนี้จะมีใบหน้าที่นิ่งเฉยหรือเย็นชา แต่ก็ปฎิบัติกับเขาราวกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง  ถ้าไม่นับเรื่องที่โดนอัดในชั้นศาลแล้วล่ะก็นะ  ริมฝีปากบางค่อยๆดื่มนมอุ่นในแก้วที่ชายผู้แข็งแกร่งนำมาให้  ความอบอุ่นแผ่นซ่านลงสู่ลำคอแล่นไปทั่งร่างกายและส่งถึงหัวใจของร่างบาง  แม้บรรยากาศในห้องใต้ดินจะเย็นเฉียบเพียงใดแต่การกระทำของหัวหน้าทำให้เขารู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าได้รับแสงแดดยามเช้าเสียอีก
                “ก็แค่ตรวจตราความเรียบร้อยตามหน้าที่เท่านั้น”  นัยน์ตาสีขี้เถ้าตอบพลางจ้องมองคนตรงหน้า  รีไวรู้สึกติดใจกับเด็กหนุ่มคนนี้นั้นอาจเป็นเพราะด้วยนิสัยบ้าบิ่นไม่กลัวตายแบบวัยรุ่น  และอาจด้วยที่เด็กหนุ่มสามารถแปลงเป็นไททันได้  เลยทำให้เขาต้องจับตามองเด็กคนนี้ไว้ให้ดี
                “หัวหน้าครับ…..…..ผมเป็นมนุษย์รึเปล่า?”  ร่างโปร่งเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา  ถ้าคนตรงหน้าเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นมนุษย์อีกคนเหมือนกับคนอื่นๆในชั้นศาล  เขาคงไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยวและยากที่จะลุกขึ้นสู้ต่อ  นัยน์ตาสีมรกตเบนหลบไปอีกฝั่งกับที่ชายอีกคนนั่ง  ไหล่บางสั่นไหวพร้อมทั้งเสียงถอนหายใจของคนที่อยู่ข้างๆ เขาเริ่มกลัวที่จะรู้คำตอบจากอีกฝ่าย
                มือหยาบจากการต่อสู้มานานนับหลายปีเลื่อนมาสัมผัสที่ข้างแก้มใส
                “ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าปีศาจ หรือไอพวกไททันนั้นร้องไห้เป็น  เพราะงั้นฉันก็เห็นว่าแกเป็นเพียงไอเด็กเหลือขอคนหนึ่งเท่านั้น”มือเรียวจับกลับไปยังมือหยาบที่สัมผัสบนหน้าที่ค่อยๆใช้นิ้วปาดหยาดน้ำตาของเขา แม้มือของหัวหน้าจะหยาบกร้านแต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ผ่านออกมาได้เป็นอย่างดี  รอยยิ้มบางฉายบนใบหน้ามน  ซึ่งนั้นทำให้คนที่คิดว่าหัวใจของตนเองด้านชาเริ่มเกิดอาการสั่นไหว
                “แต่ถ้าแกเสียความเป็นมนุษย์ไปเมื่อไร  ชั้นจะเป็นคนฆ่าแกเอง”  แม้นั่นจะไม่ใช่คำปลอบใจแต่ก็ทำให้เอเลนรู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น  เขาเป็นมนุษย์  และเขาจะไม่มีวันยอมแพ้ไม่ว่าจะเป็นไททัน  หรือใครก็ตามเพราะยังคงมีคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา และคนนั้นก็เป็นคนที่เขาสามารถไว้วางใจและให้เป็นผู้ตัดสินชีวิตของเขาเองได้เช่นกัน
                “ขอบคุณครับ  คุณเป็นฮีโร่ของผมเสมอ หัวหน้า”  ใบหน้ามนส่งยิ้มสดใสไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า  ตอนนี้น้ำตาแห้งไปแล้วและความมั่นใจก็เริ่มกลับคืนมา
                “ฉันไม่ใช่ฮีโร่ของแก  ฮีโร่ของแกคงไม่ฆ่าแกเองหรอก ฉันแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”  ดูเหมือนไอเด็กตรงหน้านี่จะชื่นชมและยกย่องตัวเขามากถึงขนาดยกให้เป็นวีรบุรุษ
                “ไม่ครับ คุณคือวีรบุรุษของผม” ใบหน้ามนส่ายหน้าน้อยๆ  เพราะคุณเป็นความเชื่อมั่น  และความหวังของผมครับหัวหน้ารีไว
                “เฮ้อ  แล้วแต่แกละกัน  มีอีกเรื่องตั้งแต่พรุ่งนี้ยัยโรคจิตนั่นจะเริ่มทำการทดลอง  ชั้นคิดว่านี่น่าจะจำเป็นสำหรับเก็บไว้เป็นข้อมูล”  รีไวหยิบสมุดบันทึกปกดำขึ้นมายื่นให้กับอีกคน 
                ร่างโปร่งรับสมุดบันทึกมาไว้ในมือ  ปกที่ทำด้วยหนังสีดำสลักชื่อของเจ้าของบันทึกไว้  เอเลน  เยเกอร์  รอยสลักที่ดูเหมือนจะทำขึ้นมาเองเพราะงานไม่ได้ออกมาปราณีตเหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นตามร้านขายหนังสือทั่วไป  ถึงกระนั้นความรู้สึกดีใจที่ราวกับเห็นสมบัติล้ำค่าก็ฉายเด่นชัดบนใบหน้ามนนั้น  ทั้งที่คนที่มอบให้นั้นเกรงว่าเจ้าตัวดีตรงหน้าจะไปลืมบันทึกไว้ที่ไหนและไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยลงมือสลักชื่อให้ไว้ก็เท่านั้น  ไม่คิดว่าไอเด็กนี่จะดีใจราวกับสุนัขที่ได้ของเล่นชิ้นโปรด
                “จดบันทึกประจำวันและสิ่งต่างๆเกี่ยวกับตัวแกไว้ซะ”ร่างแข็งแกร่งก้าวไปยังประตูไม้ขนาดใหญ่เตรียมกลับขึ้นไปยังห้องของตนเอง “ราตรีสวัสดิ์”  บานประตูไม้สีโอ๊ตถูกปิดลงเหลือแต่เพียงร่างโปร่งที่อยู่ภายในห้อง ถึงห้องจะมืดและเย็นแต่ตอนนี้ร่างที่อยู่บนเตียงกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มากมายที่ได้รับในค่ำคืนนี้
                “ราตรีสวัสดิ์ครับหัวหน้า  และ…..ขอบคุณ”ใบหน้ามนกระชับสมุดบันทึกไว้แนบอก  สิ่งนี่จะเป็นอีกหนึ่งสมบัติที่ล่ำค่า  ของขวัญที่ได้รับมาจากบุคคลที่สำคัญ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.               “เดี๋ยวนะ  พวกนายว่าอะไรนะ!!!!!!!!!!!!!”นัยน์ตาสีเปลือกไม้เบิกกว้าง ตกลงเขาไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร  แต่จากคำให้การณ์ของเขาและคำวินิจฉัยจากว่าที่แพทย์ในอนาคตมาร์โก  บอกเขาว่าเขากำลังตกหลุมรักยังงั้นเหรอ!!!!  แถมคนนั้นก็ไม่ใช่สาวน้อยร่างบอบบาง  แต่ดันเป็นหนุ่มใสหน้ามนวัยเดียวกัน  แถมยังเป็นคู่กัดมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลกับเขาอีกด้วยเอเลน  เยเกอร์
                “ผมดีใจนะที่แจนเหมือนเริ่มจะรู้สึกตัวเสียที”อาร์มินแวะเอาหนังสือที่มาร์โกฝากซื้อมาให้ที่ห้องเลยทำให้เขาได้รู้ถึงความกลุ้มใจของคนตรงหน้านี้ด้วย  และเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่คนคนนี้รู้ตัวสักทีว่าคิดยังไงกับคู่กัดของตน  ทั้งที่คนอื่นๆในกลุ่มนั้นก็ดูออกกันหมด  คงมีแต่เจ้าตัวและคู่กรณีเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกเอะใจสงสัยอะไรเลย
                “ยิ่งสมัยนี้ความรักไม่เกี่ยงเพศนะครับแจน  ผมรู้สึกดีใจจังที่ในที่สุดแจนก็เติบโตเสียที” หนุ่มตกกระเจ้าของห้องพูดพลางปาดน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง  ในที่สุดวันที่คนอย่าง แจนกิลชูไตน์  รู้ถึงความรู้สึกของตนเองก็มาถึง
                ใบหน้าหล่อของคนที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักคู่กัดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แดงแจ๊ดขึ้นมาจนถึงใบหู  ถ้ามีสัญญาณจับความร้อนมันต้องร้องจนหน่วยดับเพลิงบุกเข้ามาแล้วแน่ๆ
“ตแต่หมอนั่นก็มีมิคาสะอยู่นี่”การที่จะไปแย่งคนที่เขามีเจ้าของแล้วคงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก  และอีกคนก็เป็นผู้หญิงที่ถึงแม้ว่าจะแกร่งยิ่งกว่าผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาก็เถอะ
“ผมว่าสำหรับเอเลน  มิคาสะเปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนในครอบครัวมากกว่า”  เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดกับเอเลน และมิคาสะกล่าว  แต่ไหนแต่ไรเอเลนและมิคาสะต่างก็ใกล้ชิดและให้ความสำคัญต่อกัน แต่ถึงกระนั่นก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะเป็นไปได้มากกว่าความสัมพันธ์แบบครอบครัวได้เลย  ยิ่งความห่วงของมิคาสะนั่นมีมากจนเรียกได้ว่าเป็นแม่หรือพี่สาวของเอเลนมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“ถ้านายจะลองลุยจีบเอเลนดูก็ดูท่าจะไม่เป็นไรนะ  แต่อาจต้องยอมซี่โครงหักซะท่อน สองท่อน จากมิคาสะที่ห่วงเอเลนล่ะนะ”  หนุ่มตกกระเจ้าของห้องเริ่มคิดแล้วว่าถ้าแจนจะจีบเอเลนจริงๆ  บางทีเขาอาจต้องเบิกอุปกรณ์รักษาพยาบาลมาเก็บไว้ที่ห้องสักหลายๆชุดหน่อยแล้ว  เผื่อเพื่อนของเขาเป็นอะไรไปเขาจะได้จัดแจงปฐมพยาบาลก่อนนำตัวส่งถึงมือหมอได้ทันการ
“แล้ว…..พวกนายคิดว่าเอเลนจะชอบฉันไหมวะ?”  นี่เขาตกหลุมรักหมอนั่นจริงๆใช่ม๊าย!!  ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่ก็ไม่อยากที่ละสายตาไปจากใบหน้ามนนั่นเช่นกัน
“อืม ผมว่าตอนนี้เอเลนเองก็ฟรี เพราะงั้นไม่น่าจะเสียหายนะครับถ้าจะลองดู” ที่จริงไม่อยากบอกเลยว่าคนอย่างเอเลน จะรู้จักความรักรึเปล่า เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเห็นคนตรงนี้สนใจอะไรเลยนอกจากการที่อยากจะเป็นนักกฏหมายเพื่อรักษาความถูกต้อง  ทั้งที่ก็มีใครหลายๆคนต่างให้ความสนใจในร่างโปร่ง  แต่เจ้าตัวกลับดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจที่จะรับรู้ความรู้สึกของคนที่เข้ามาเสียเท่าไรนั่นอาจเป็นเพราะมีมิคาสะอยู่ข้างๆ  ไม่สิต้องบอกว่าไม่สนใจด้วยซ้ำเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สำหรับเจ้าตัว
“ชั้นตัดสินใจแล้ว!!!  ชั้นจะลองทำให้หมอนั่นชอบชั้นให้ได้!!!  ใบหน้าหล่อฉายแววความมุ่งมั่นนัยน์ตาเป็นประกายมือข้างหนึ่งกำแน่นเหยียดตรงขึ้นไปราวกับนักรบที่พร้อมจะลงสนาม  จนทำให้เพื่อนอีกสองชีวิตที่อยู่ในห้องอดที่จะปรบมือแสดงความยินดีด้วยไม่ได้  ในที่สุดคุณชายแจนก็มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดกับเขาเสียที ร่างสูงค่อยๆหันกลับมามองยังเพื่อนอีกสองคนที่เป็นแรงสนับสนุนให้เขา   “ว่าแต่  จีบเนี่ยมันทำยังไงเหรอ?”
คำถามจากร่างสูงทำให้อีกสองคนในห้องถึงกับกลายร่างเป็นภาพขาวดำ  นี่พวกเขาต้องช่วยกันเขียนตำราพิชัยพิชิตหัวใจนายเอเลน  เยเกอร์  เพื่อ แจน  กิลชูไตน์  ด้วยรึเปล่า….
.
.
.
หนึ่งคนที่กำลังจ่มดิ่งและค้นหาสิ่งสำคัญที่หายไป
และ
อีกหนึ่งคนที่ในที่สุดก็รู้ว่าสิ่งสำคัญนั้นอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
เส้นทางของหัวใจที่สวนกัน
ใครกันจะเป็นผู้ที่ไขว่คว้ามาครอบครอง
.
.

TBC,

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 มีนาคม 2557 เวลา 18:14

    ทิ้งท้ายได้คมมากมาย
    ระหว่างสิ่งสำคัญในอดีต กับปัจจุบัน
    สองคนนี้เหมือนเป็นตัวเปรียบเทียบกันเลยค่ะ
    ว่าจะจมอยู่กับอดีต หรือเลือกสิ่งที่สามารถทำได้ตอนนี้
    แต่เอเลนก็ยังไม่ได้เรียกว่าจมอยู่กับมัน
    เพียงแค่กำลังค้นหาเท่านั้น จับใจจัง *-*

    หัวหน้าค่ะ ไม่ต้องเก๊กหรอกค่ะ
    ห่วงก็บอกว่าห่วงไปตรงๆ เลย

    แจน นายเตรียมตัวไปหากระดูกซี่โครงสำรองไว้ได้เลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ต้องหาซ๊่โครงสำรองหลายๆซ๊่เลยนะคะ เฮียเท้าหนักใช่เล่น><"

      ลบ
  2. คำตอบ
    1. แจนมิน หรือ มินแจน นี่บอกยากค่ะหลัง แหะๆ ><"""""

      ลบ
  3. อหหห สงสารแจนรอได้มั้ย 55555555 คือแบบนายก็ดีนะ แต่พระเอกเรื่องนี้ต้องเตี้ยๆอะ โดนใจ 5555555555

    ตอบลบ
  4. แจนแอแงสงสารรอเลย สเปคเอเลนคือคนเตี้ยอะแจน ฮือ

    ตอบลบ