วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Short Fic. Attack On Titan (Levi x Eren ver.C x Jean) Little Green Riding Hood



Short Fic. Attack On Titan (Levi x Eren ver.C x Jean)
Little Green Riding Hood

นี่รู้จักเรื่องเล่านี้รึเปล่า?
เรื่องของเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์ที่สวมผ้าคลุมสีเขียว
เธอมักมาซื้อของช่วงบ่ายที่ร้านในหมู่บ้านประจำ
เธออาศัยอยู่กับบิดาในป่าลึกห่างไกลผู้คน
วันเดือนเคลื่อนผ่านปีแล้วปีเล่ายังไม่เคยมีใครได้ยลโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอคนนั้น
มีข่าวลือว่าคนที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ
ที่แสนอัปลักษณ์นั้นน่ากลัวและน่าสยดสยองเสียจนปลิดลมหายใจเลยทีเดียว………..


            “หืม หมู่บ้านนี้มีเรื่องเล่าน่าประหลาดแบบนั้นด้วยงั้นเหรอ?” นัยน์ตาสีเปลือกไม้ที่ได้ฟังเรื่องเล่าของกวีประจำเมืองขับขานในร้านอาหารที่กำลังนั่งทานอยู่นั่น เกิดความสนใจจนเอ่ยถามเจ้าของร้านที่อยู่ในบาร์
            “คุณเป็นนักเดินทางสินะครับ ที่ไหนๆก็มีเรื่องเล่ากันทั้งนั้นแหละครับ” ชายหนุ่มเจ้าของร้านเช็ดแก้วที่อยู่ในมือ การที่จะมีนักเดินทางผ่านมาค้างที่หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และพบเจอได้บ่อยครั้งก็เพราะว่าเป็นทางสัญจรที่ต้องผ่านและแวะพักเพื่อเข้าไปในเมืองใหญ่ที่ต้องใช้เวลาเดินทางอีกหลายวัน ยิ่งร้านของเราเป็นทั้งร้านอาหารชั้นล่างและมีห้องสำหรับให้นักเดินทางได้เข้าพักที่ชั้นสองจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ร้านของเขาจะมีนักเดินทางหน้าใหม่ผ่านมาเสมอ
            “ไอผมเองก็เดินทางเร่ร่อนไปหลายที่ ได้ยินเรื่องเล่าขับขานมาเยอะแต่ส่วนใหญ่จะเป็นสาวงามที่ถูกจองจำ ไม่ก็เจ้าหญิงผู้น่าเวทนาที่ถูกขุมขัง มาเมืองนี้นับว่าเป็นเรื่องเล่าที่แปลกออกไป” ชายหนุ่มยกเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นดื่ม การเดินทางทำให้เขาพบเจอเรื่องเล่าต่างๆมากมายที่ส่วนใหญ่เป็นเค้าโครงมาจากเรื่องจริง เลยอดทำให้เขาสนใจไม่ได้ว่าเรื่องเล่าของเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ผู้พบเห็นต้องตกใจกลัวจนหยุดหายใจขนาดนั้นจะมีเค้าโครงจากเรื่องจริงยังไงกันแน่?
            นัยน์ตาสีน้ำทะเลมองนักเดินทางร่างสูงอย่างสนใจ ดูเหมือนชายหนุ่มคนนี้จะมีเลือดของนักผจญภัยเข้าขั้นทีเดียว “เรื่องเล่าที่กวีประจำร้านของเรากำลังขับขานนั้นก็มีโครงมาจากเรื่องจริงอยู่นะครับ”
            ร่างสูงผิวปาก นัยน์ตาสีเปลือกไม้ฉายแววความตื่นเต้น “นั่นไงล่ะ ถ้าคุณไม่รังเกียจช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ ผมขอแนะนำตัวก่อน แจน กิลชูไตน์ ครับ นอกจากผมจะเป็นนักเดินทางแล้วผมยังเป็นนักเขียนหนังสือด้วย แต่ยังไม่มีชื่อเสียงหรอกนะครับแหะๆ”
            แจนยื่นมือทักทายชายหนุ่มเจ้าของร้าน ซึ่งเจ้าของร้านเองก็ยิ้มรับยื่นมือมาจับทักทายเช่นเดียวกัน
“ผม เอลวิน สมิธ เป็นเจ้าของร้านที่นี้ครับ ส่วนที่มาของเรื่องเล่าผมว่าถ้าคุณรออีกสักครู่คุณก็จะได้เห็นแล้วล่ะ”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลออกทำหน้าแปลกใจ แต่ชายหนุ่มเจ้าของร้านก็ได้แต่ส่งยิ้มสุภาพมาให้
กริ้ง
เสียงกระดิ่งของประตูร้านเปิดออก เด็กสาวในชุดกระโปรงยาวที่ดูซอมซ่อพร้อมผ้าคลุมสีเขียวตามแบบฉบับเรื่องเล่าขานของกวีที่เพิ่งได้ฟังไปนั้นเดินเข้ามา ผ้าคลุมสีเขียวถูกมือเรียวกระชับแน่นจนไม่เห็นใบหน้าของเด็กสาว ผู้คนในร้านต่างพากันนิ่งเงียบจ้องมองแขกผู้มาเยือนด้วยสายตาสงสัย บ้างก็หวาดกลัว บ้างก็คุ้นชินกับการมาเยือนของเธอเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้งที่ร้านของสมิธ
“ไงเอเลน คุณพ่อให้มาเอาแป้งสาลีกับไวน์องุ่นเหมือนเดิมสินะ” เอลวินส่งของให้กับเด็กสาวที่มารับเป็นประจำ
เอเลนไม่ได้เอ่ยหรือพูดอะไรได้แต่ผงกศีรษะเป็นการขอบคุณ เมื่อของที่เธอต้องมารับถูกวางจัดใส่ตะกร้าเรียบร้อย เด็กสาวก็ยื่นถุงเงินให้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เหมือนกับทุกครั้ง และเวลาเพียงไม่นานเด็กสาวก็เดินกลับออกไปจากร้าน
ภายในร้านอาหารที่การมาเยือนของเด็กสาวที่เหมือนดังเช่นนิทานที่เพิ่งได้ฟังทำให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบและจ้องมองเด็กสาวผ้าคลุมสีเขียว และเมื่อเธอจากไปเสียงเซ็งแซ่ในร้านก็ดังขึ้นพร้อมทั้งคำถามมากมายที่ถามไปยังนักกวีที่ขับขาน
“เด็กคนนั้นมีตัวตนจริงๆ ดีนะที่ฉันไม่ได้เห็นใบหน้าของเธอ!!
“น่ากลัวจัง ฉันไม่กล้ามาที่นี้อีกแล้ว”
“อยากรู้จริงๆว่ายัยนั่นจะอัปลักษณ์ขนาดไหนเชียว!
“ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร”
ความอลหม่านเกิดขึ้น เอลวินได้แต่ถอนหายใจและจ้องไปยังกวีเจ้าของนิทานเพื่อให้ช่วยสะสางความวุ่นวายที่กำลังเกิด
นักกวีหนุ่มถอดหมวกโค้งให้กับแขกทุกคนภายในร้าน มือเรียวกระชับแว่นบนใบหน้าก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง
“ทุกท่านขอรับอย่าได้ตกใจไป เธอก็เป็นแค่สาวน้อยธรรมดาที่เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเรื่องราวของข้าน้อยเท่านั้นเอง ที่เธอต้องคลุมผ้าไว้แน่นกระชับก็เพราะว่าเธอเป็นแค่เด็กขี้อายได้โปรดอย่าถือสาเด็กน้อยเลยนะขอรับ คนในเมืองนี้เองก็รู้จักและคุ้นชินกับเธอดี”
คำพูดของกวีหนุ่มทำให้ความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นสงบลง ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่ง
“แหม ก็แค่เด็กสาวขี้อายสินะ” หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็แค่เรื่องเล่าคนที่จะอัปลักษณ์จนถึงขั้นปลิดชีวิตผู้อื่นได้นั้นมีจริงเสียเมื่อไร
“ถูกแล้วขอรับคุณผู้หญิง” กวีหนุ่มหยิบพิณตัวเก่งขึ้นมา มือเรียวบรรจงดีดจนเกิดท่วงทำนองเสนาะหูเรียกความสนใจจากทุกคนภายในร้าน “เอาล่ะขอรับเรื่องของเด็กสาวของเราก็จบลงแล้วต่อไปกระผมขอเล่าขานเรื่องของอสูรกายที่อยู่ในป่าลึกแทนนะขอรับ”
เมื่อเอลวินเห็นว่าทุกอย่างสงบลงแล้วจึงกลับเข้าไปประจำหน้าที่หลังเคานท์เตอร์บาร์ของตน และก็ต้องพบว่านักเดินทางที่ได้คุยกันทิ้งเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มเอาไว้แล้วหายตัวไปเสียแล้ว


เมื่อเด็กสาวเดินออกมาจากร้าน แจนเองก็รีบตามมาเช่นกัน เด็กตามบทกวีที่ได้ฟังเมื่อพบเจอตัวจริงเลยยิ่งทำให้เขาสนใจมากยิ่งขึ้นจนอดที่จะเดินตามมาไม่ได้ ร่างสูงที่เดินตามเด็กสาวมาเรื่อยๆจนเข้ามาในป่าลุก ห่างไกลจากหมู่บ้าน
“นี่เธอคนนั้นน่ะรอฉันก่อน!” แจนตะโกนเรียกออกไปหวังให้เด็กสาวตรงหน้าหยุดฝีเท้าลง แต่เด็กสาวกลับยิ่งกระชับผ้าคลุมในมือแน่นและเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้น จนทำให้ร่างสูงที่เดินตามมาตัดสินใจวิ่งเข้าหาแล้วคว้าข้อมือบางนั่นไว้จนร่างบางถึงกับสะดุ้งตกใจ
“จับได้สักทีนะ เธอชื่อเอเลนใช่ไหม?” เด็กสาวได้พยายามดิ้นไปมา มืออีกข้างพยายามกระชับผ้าคลุมของตนให้แน่นเพื่อไม่ให้ใบหน้าของตนถูกเปิดเผย
“เธอพูดไม่ได้งั้นเหรอ?” นัยน์ตาสีเปลือกไม้เพ่งมองร่างบอบบางที่พยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากพันธนาการของเขา แต่แรงของเด็กสาวช่างไร้ค่าเมื่อมันไม่ได้สร้างความกระทบกระเทือนแม้แต่น้อยให้กับชายหนุ่ม
ไม่พูดไม่จาเลยแฮะ พูดไม่ได้อย่างนั้นล่ะมั่ง? แต่ช่างเถอะ ที่อุตส่าห์ตามมาเพราะอยากรู้ว่าภายใต้ผ้าคลุมนั่นจะเหมือนกับเรื่องที่เล่าขานรึเปล่า?
มือหนาจับที่ผ้าคลุมสีเขียวหวังจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเด็กสาว มือบางอีกข้างรีบกระชับผ้าคลุมของตัวเองไว้แน่น
“ย….อย่าค่ะ ได้โปรด” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยคำขอร้องให้คนร่างสูงกว่าหยุดกระทำ
“อ้าว! ก็พูดได้นี่นา ทำไมเธอถึงไม่อยากให้ฉันมองหน้าเธอล่ะ?” มือหนายังคงยื้อฉุดผ้าคลุมบนศรีษะของเด็กสาว
“ขอร้องล่ะค่ะ หยุดเถอะ หน้าตาของฉันอัปลักษณ์มากๆคนหน้าตาดีอย่างคุณไม่เข้าใจหรอกค่ะ!” เสียงหวานยังคงตะโกนขอร้องให้ชายหนุ่มหยุดกระทำ
หน้าตาจะอัปลักษณ์ขนาดไหนกันเชียว? อยากรู้จังแฮะ ทั้งที่มีเสียงหวานที่น่าพิสมัยขนาดนี้ มือหนายังคงยื้อผ้าคลุมจนกระทั่ง
แคว่ก!!
เสียงขาดของชิ้นผ้าที่ถูกยื้อแย่งไปมา นัยน์ตาสีเปลือกไม้ตกใจ ลนลานกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข……ขอโทษ!!! ฉัน…..ไม่……” คำพูดถูกกลืนหายเมื่อเด็กสาวหันมามองเศษของผ้าคลุมที่ถูกฉีกขาด นัยน์ตาสีน้ำตาลตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
ใบหน้าขาวเนียนผ่องอมชมพู นัยน์ตาสีมรกตสั่งระริกคลอด้วยหยาดน้ำใส ผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มเงางาม ริมฝีปากบางสีระเรื่อแม้ไม่ได้รับการแต่งแต้ม นี่มันต้องเรียกว่าสวยจนเกือบหยุดหายใจต่างหากล่ะ!!!
“ทำไงดี? คุณพ่อต้องโกรธแน่ๆ” ร่างโปร่งบางสั่นไหว น้ำตาคลอนัยน์ตาสีมรกต
มือหนาปาดน้ำตาที่ราวกับเกล็ดอัญมณีของเด็กสาว เอเลนตกใจกับสัมผัสของนิ้วที่แตะลงมาที่ใบหน้า มือเรียวรีบยกขึ้นปิดบังใบหน้าของตนเอง
“ขอโทษค่ะ หน้าตาของฉันคงอัปลักษณ์มากต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องเห็นอะไรแย่ๆแบบนี้”
หา? ยัยนี้เคยเห็นหน้าตาตัวเองรึเปล่า? ตัวเขาที่เดินทางรอนแรมไปเรื่อยๆบอกได้เลยว่ายังไม่เคยเจอใครที่งดงามเท่านี้มาก่อน
“นี่เธอน่ะเคยเห็นหน้าตาตัวเองรึเปล่า?”
เด็กสาวได้แต่สายหน้าไปมา
เฮ้อ! มิน่าล่ะ แจนได้แต่ถอนหายใจกับท่าทางของเด็กสาว มือหนาคว้าข้อมือบางให้เดินตามไปยังลำธารที่เจ้าตัวเพิ่งเดินผ่านมาขณะไล่ตามเด็กสาว
เมื่อมาถึงลำธารแจนพลางดันตัวเด็กสาวที่อิดออดมาตลอดทางไปยังริมสายน้ำ นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆมองผิวน้ำใสที่สะท้อนภาพตนเองราวกับกระจก สองมือบางลูบไล้ใบหน้าของตนไปมา นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกกับภาพเด็กสาวที่ได้เห็นตรงหน้า
“นี่ ฉันเหรอคะ?” เอเลนเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
“ก็ใช่น่ะสิ ใครกันที่แกล้งบอกว่าเธออัปลักษณ์น่ะ?” แจนมองเด็กสาวตรงหน้าที่ตกตะลึงกับเงาของเจ้าตัวที่สะท้อนบนสายธารน้ำใส
“แต่คุณพ่อบอกว่าอัปลักษณ์”
หืม? พ่องั้นเหรอ? ก็เข้าใจอยุ่หรอกมีลูกสาวสวยขนาดนี้จะห่วงและหวงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ให้ลุกคิดว่าตัวเองอัปลักษณ์ก็เกินไป แถมไอชุดซอมซ่อที่ไม่ได้เหมาะกับเจ้าตัวเลยคงเพราะว่าพ่อเป็นคนบอกให้ใส่สินะ
“พรุ่งนี้เธอจะมาที่นี้ได้อีกรึเปล่า?” แจนเอ่ยถามเด็กสาว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสนใจจะบอกว่าตอนนี้หัวใจเขาถูกเด็กสาวคนนี้ครอบครองแล้วก็ว่าได้
“เอ๊ะ?”
“คือ ฉันอยากเจอเธออีกน่ะ” อยากที่จะรู้จักให้มากขึ้น
“ค….คงไม่ได้หรอกค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” เอเลนโค้งขอโทษคนตรงหน้า
“ทำไมล่ะ?” แจนถามกลับไปอย่างหงุดหงิด ทั้งที่อุตส่าห์เจอคนที่คิดว่าใช่แล้วจะให้ปล่อยไปง่ายๆก็ไม่รู้เมื่อไรจะได้เจอกันอีก
“คุณพ่อบอกไว้ว่าคนอื่นโดยเฉพาะผู้ชายน่ากลัวและอันตรายห้ามเข้าใกล้ค่ะ” คำตอบของเด็กสาวทำให้แจนคว้าข้อมือบางของเจ้าตัวขึ้นมาทาบลงบนแก้มของตน
เด็กสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ ใบหน้ามนขึ้นสี มือบางสั่นระริกเมื่อสัมผัสลงบนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม
ปฏิกิริยาของเอเลนทำให้แจนยิ้ม
“เธอกลัวฉันรึเปล่า?”
“อเออ ไม่ค่ะ” เด็กสาวก้มหน้าส่ายศีรษะไปมา
“ดีแล้ว ในเมื่อเธอไม่กลัวฉันก็แสดงว่าฉันไม่ใช่คนอันตรายจริงไหม?” มือหนาประคองมืออีกคนเข้ากับแก้มของตนเองให้แนบชิดยิ่งขึ้น
“ต..แต่คุณพ่อ
“เธอโตแล้วนะ เธอควรอยู่ห่างจากพ่อของเธอบ้าง” ดูเหมือนว่าพ่อของเธอจะมีอิทธิพลต่อเธอมากทีเดียว
ใบหน้ามนครุ่นคิดกับคำพูดของชายหนุ่ม เธอเคยคิดว่าการเชื่อฟังบิดาของตนเองมาตลอดเป็นสิ่งที่ดี แต่ตอนนี้เธอเองก็อยากทำตามที่ใจของตนเรียกร้องบ้าง
“เออ พรุ่งนี้ช่วงบ่ายฉันจะออกมาเก็บผลไม้ในป่าตอนนั้นคงสามารถมาเจอคุณได้” คำตอบของเด็กสาวทำให้แจนยิ้มระรื่นอย่างมีความสุข
“ได้สิพรุ่งนี้บ่ายฉันจะมานะ  ฉันแจน ส่วนเธอชื่อเอเลนใช่ไหม?”
ใบหน้ามนพยักหน้าก่อนจะส่งยิ้มบางให้อีกฝ่าย
หลังจากนั้นทุกวันแจนและเอเลนจะแอบมาเจอกันช่วงบ่าย ชายหนุ่มจะเล่าเรื่องราวการเดินทางที่เขาได้พบเจอมามากมายให้กับเด็กสาวได้ฟัง เอเลนเองก็สนุกและตื่นเต้นกับเรื่องราวต่างๆมากมายที่ร่างสูงเล่าให้ฟังเช่นกัน ทุกวันเธอจะหิ้วตะกร้าและแยมผลไม้มาเพื่อทานและใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับชายหนุ่มร่างสูงจนเป็นความคุ้นชินและความสัมพันธ์ที่กระชับเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆในเวลาเพียงไม่นาน ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่แจนได้ใกล้ชิดกับเอเลน เขาก็ถูกเสน่ห์ของเด็กสาวดึงดูดและถลำลึกจนยากที่จะถอนตัว
วันนี้ช่วงบ่ายทั้งเขาและเอเลนก็ยังคงมาพบกันที่เดิม ณ. ริมลำธารในป่า เอเลนเด็กสาวแสนสวยยังคงปกปิดกายด้วยชุดมิดชิดและผ้าคลุมสีเขียวทุกครั้งที่ได้เจอ
“เอเลนวันนี้ฉันมีของขวัญมาให้เธอน่ะ” ชายหนุ่มยื่นถุงกระดาษมอบให้เด็กสาว
ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อเมื่อหยิบชุดกระโปรงยาวแสนสวยขึ้นมาจากในถุงกระดาษ
“แจนคะขอลองได้รึเปล่าคะ?” มือเรียวกอดชุดกระโปรงที่ได้รับมาอย่างตื่นเต้น
“ได้สิฉันให้เธอแล้วนี่” เมื่อได้รับคำอนุญาตร่างอรชรรีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ สักพักก็ก้าวออกมาสองมือเรียวจับกระโปรงชุดสวยที่เพิ่งเคยได้ใส่เป็นครั้งแรก
“เป็นไงมั่งคะ?” เมื่อแจนได้เห็นร่างบางในชุดกระโปรงตัวสวยที่ตนเป็นคนเลือกยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงและถี่ขึ้น
“สวยมากเอเลน” คำตอบของชายหนุ่มทำให้สองมือบางจับที่ใบหน้าของตนเอง ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อร้อนผ่าวจากคำชมที่ได้รับ
ใบหน้าหล่อยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว ร่างสูงค่อยๆเดินเข้าไป มือหนาประคอมมือบางของเด็กสาวขึ้นมาจุมพิต ยิ่งส่งผลให้เอเลนใบหน้าขึ้นสีดังผลแอปเปิ้ลสุก
“เอเลนฉันจะไปหาพ่อของเธอ” เขาตัดสินใจแล้วอยากที่จะทำให้เด็กสาวคนนี้มีความสุขด้วยตัวของเขาเอง
“เอ๊ะ?” ใบหน้ามนมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันอยากอยู่กับเธอตลอดไปและคงต้องขออนุญาตจากพ่อของเธอก่อน แม้ว่ามันจะยากซะหน่อยแต่ฉันจะพยายาม” แจนยิ้มให้กับอีกคน
“ฉันจะลองถามคุณพ่อดูนะคะ” ใบหน้ามนยิ้มระรื่นส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า
การเข้าหาคุณพ่อที่ห่วงและหวงลูกสาวขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่เขาอยากอยู่กับเอเลน ต่อให้จะยากลำบากเพียงใดเขาก็พร้อมที่จะก้าวไปโดยไม่ถอยหลังกลับ

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณของการลาจากของคนทั้งคู่ เด็กสาวเดินกลับเข้าไปในบ้านพักกลางป่าของตน แสงสว่างจากเทียนและกลิ่นของซุปร้อนทำให้เธอรู้ว่าบิดาของเธอได้ตระเตรียมอาหารเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว
แอ๊ด
เสียงประตูไม้เปิดขึ้นพร้อมร่างอรชรของเด็กสาวเดินกลับเข้ามา
“โฮ่ วันนี้กลับมาช้านะเอเลน” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองเด็กสาวที่เพิ่งกลับเข้ามาซึ่งสายกว่าปกติ แล้วใบหน้าคมต้องขมวดคิ้วยิ่งกว่าเก่าเมื่อพบว่าเครื่องแต่งกายของเด็กสาวเปลี่ยนไป “ชุดเดิมเธอไปไหนซะล่ะเอเลน?”
“เออ คือว่ามีคนให้มาน่ะค่ะคุณพ่อ” ใบหน้ามนตอบกลับไปโดยไม่เอะใจเลยว่าคำตอบของเธอสร้างความขุ่นเคืองเพียงไรให้กับคนที่ได้ฟัง
“อย่างนั้นเหรอ” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองใบหน้าหวานที่คุ้นเคย มือแกร่งลูบไล้ผมสีน้ำตาลไปมา
“เออคุณพ่อคะ หนูมีคนที่อยากแนะนำให้คุณพ่อรู้จักค่ะ” เอเลนตัดสินใจพูดออกไป ตั้งแต่จำได้เธอไม่เคยพาใครมาแนะนำให้รู้จัก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้พาคนสำคัญของเธอมาให้ชายหนุ่มที่เป็นบิดาของเธอได้รู้จัก ทำให้เธออดที่จะกังวลใจไม่ได้ แต่ใบหน้าเฉยชากลับเผยรอยยิ้มบางมือแกร่งยังลูบไล้เส้นผมของเธออย่างอ่อนโยน
“อย่างนั้นเหรอ อาทิตย์หน้าพามาทานอาหารเย็นด้วยสิพ่อเองก็อยากรู้จักเพื่อนของเอเลนเช่นกัน” คำตอบของบิดาทำให้ใบหน้ามนยิ้มระรื่นอย่างมีความสุข โดยที่เธอไม่ทันสังเกตเลยว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นซ่อนแววตาวาวโรจน์ที่น่ากลัวดุจเปลวเพลิงไว้

“วันนี้มีนัดงั้นเหรอครับ แต่งตัวหล่อเชียวนะครับ” เอลวินทักชายหนุ่มที่เดินลงมาจากห้องพักชั้นบนของร้าน
“คุณเอลวิน แน่นอนครับวันนี้อาจจะเป็นวันที่ดีที่สุดของผมเลยก็ได้” ชายหนุ่มพกความมั่นใจเต็มร้อยกล่าวด้วยสีหน้าสดใส
“งั้นผมขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยนะครับ” ชายหนุ่มผมสีทองยิ้มสุภาพแสดงความยินดีให้กับแขกของตน
“ขอบคุณครับ ถ้าผมมีข่าวดีผมอาจได้ปิดร้านคุณเพื่อเลี้ยงฉลองเลยก็ได้” ถ้าทุกอย่างไปด้วยดี เขากับเอเลนก็จะได้ลงเอยและแต่งงานกัน แค่คิดว่าจะได้เด็กสาวมาอยู่เคียงข้างก็ทำให้หัวใจพองโตจนแทบจะล้นออกมาจากอก
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มสุภาพส่งแขกของตนออกจากร้าน นัยน์ตาสีน้ำทะเลมองวิวทิวทัศน์ยามเย็นที่พระอาทิตย์เริ่มจะลาขอบฟ้า และจันทราเริ่มเห็นเด่นบนท้องนภา “วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงสินะ” บางครั้งในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงก็มักเกิดเรื่องราวที่ไม่คาดฝันขึ้น ไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นกัน

. กระท่อมไม้กลางป่าที่เป็นที่นัดหมาย ชายหนุ่มเดินทางมาถึงด้วยหัวใจพองโตที่เต้นระรัว มือหนาเคาะบนประตูไม้เพื่อบอกว่ามีแขกผู้มาเยือน สักพักบานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนที่สูงน้อยกว่าเขาแต่รูปร่างช่างกำยำสมชายชาตรีแม้จะอยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวสีขาวแขนยาวแต่ก็ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายคนนี้มีรูปร่างที่ล่ำสัน
“เออ สวัสดีครับคุณคงเป็นคุณพ่อของเอเลน ผม แจน กิลชูไตน์ ครับ” แจนเอ่ยแนะนำตัวเองอย่างสุภาพกับชายหนุ่ม
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองคนตรงหน้าอย่างนิ่งเฉยและเงียบเชียบจนฝ่ายที่ถูกจ้องอดที่จะรู้สึกกดดันไม่ได้ ดูท่างานนี้จะเป็นงานช้างทีเดียว
“แจนมาแล้วเหรอคะ” เด็กสาวที่เดินออกมาจากห้องครัววางขนมปังบนโต๊ะก่อนที่จะเดินมาหาแขกของเธอที่ถูกเชื้อเชิญมาในค่ำนี้
ชายหนุ่มสุดแกร่งเจ้าของบ้านเดินไปนั่งยังตำแหน่งประจำของตนเองบนโต๊ะอาหาร การกระทำที่เฉยเมยทำให้แจนอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้คิดไปเองเขารู้สึกว่าชายหนุ่มนั่นจ้องมองเขาเหมือนกับหมาป่าที่กำลังจ้องเหยื่อยังไงอย่างงั้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแจน คุณพ่อถึงแม้ว่าจะเป็นคนเงียบไม่ค่อยพูดจาแต่ท่านเป็นคนอ่อนโยนและใจดีมากๆเลยนะคะ” เอเลนยิ้มให้กำลังใจคนตรงหน้า และมันก็ทำให้แจนใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ยังไงชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นพ่อของเอเลนและเขาก็อยากคบกับเอเลนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นแม้จะหวั่นเกรงแต่ก็อยากพิสูจน์ให้คนคนนั้นยอมรับเขาให้ได้
ซุปร้อนถูกเสริ์ฟให้แต่ละคน เมื่อจานซุปถูกเติมครบทุกจานเด็กสาวจึงได้กลับไปนั่งยังที่นั่งของตนเอง
“อาหารน่ารับประทานมากครับ ปกติเอเลนเป็นคนทั้งหมดเลยสินะเก่งจังเลยนะครับสามารถทำได้ตั้งหลายอย่างน่ำ” แจนเอ่ยชมเด็กสาวหวังทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น
“อืม” คำตอบห้วนๆที่ดูไม่ใส่ใจยิ่งทำให้แจนรู้สึกกดดัน
“เออ แล้วปกติคุณพ่อ” แจนต้องหยุดชะงัก น้ำลายเหนียวกลืนลงคอเมื่อนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายจับจ้องมาอย่างเฉียบเย็น
“ฉันไม่เคยมีลูกอย่างแก ไม่ต้องมาเรียกว่าพ่อ” คำพูดจากชายหนุ่มทำให้ร่างสูงรู้สึกกดดัน แต่ในเมื่อเขาต้องการพิสูจน์เจตนารมณ์ก็มีแต่ต้องก้าวต่อไปเท่านั้น
“เอองั้น ผมควรเรียกคุณว่าอะไรดีครับ?” แจนพยายามทำใจดีสู้เสือ
“รีไว” ชายหนุ่มยังคงตอบเสียงห้วน
“เออ ครับคุณรีไวล์เรื่องของผมกับเอเลน” ทันที่จะเอ่ยออกไป รีไวล์ก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“นายควรรีบทานก่อนที่ซุปจะเย็นนะ” คำเชิญของชายหนุ่มทำให้แจนไม่อาจปฎิเสธได้ ร่างสูงจึงเก็บคำพูดลงไป ยังไงตอนนี้ก็เป็นเวลาอาหาร หลังทานเสร็จแล้วค่อยพูดอย่างเป็นทางการอีกครั้งคงไม่เป็นไร
ร่างสูงที่ตักซุปทานไปจนครึ่งจานเหลือบมองเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจา อีกทั้งซุปในจากไม่พร่องลงไปแม้แต่น้อย
“เอเลนไม่สบายรึเปล่า? ทำไมถึงไม่ทานเลยล่ะ” แจนอดเป็นห่วงเด็กสาวอันเป็นที่รักของตนไม่ได้
ใบหน้ามนค่อยๆเงยหน้ามองคนตรงหน้า หน้าที่ซีดเซียวพยายามฝีนยิ้มให้กับชายหนุ่มร่างสูง “ไม่เป็นไรค่ะฉันแค่ปวดหัวน่ะค่ะแจน”
“จะไม่เป็นไรได้ไง หน้าเธอซีดหมดแล้วนะ!!” แจนเข้ามาจับไหล่ร่างบางที่กำลังสั่นระริก นัยน์ตาสีเปลือกไม้ฉายแววกังวลกับอาการของหญิงสาว ใบหน้าที่เริ่มซีดเซียวและร่างกายบางที่กำลังสั่นไหวราวกับเป็นไข้ เอเลนเป็นอะไรไป?
มือแกร่งของอีกคนปัดมือของชายหนุ่มที่กำลังจับต้องลูกสาวของตน “ปล่อยเอเลนซะไอเด็กเวร”
แจนมองชายหนุ่มอย่างขุ่นเคือง เอเลนกำลังไม่สบายจะให้เขาดูอยู่เฉยๆได้ยังไง
“ผมจะพาเอเลนไปหาหมอ ขอทางด้วยครับคุณรีไว” ชายหนุ่มร่างสูงอุ้มเด็กสาวที่กำลังสั่นระริกขึ้นมาในอ้อมแขน
“ไม่ต้องพาไปปล่อยไว้เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” คำพูดของรีไวล์ทำให้แจนโมโห เป็นพ่อภาษาอะไรดูก็รู้ว่าเอเลนกำลังทรมาณขนาดไหนแล้วจะให้ปล่อยทิ้งไว้ได้ยังไงกัน เอเลนที่ต้องอยู่กับพ่อที่แสนเย็นชาขนาดนี้ช่างน่าสงสาร
“คุณเป็นพ่อยังไงกัน ไม่รักลูกของคุณรึยังไง?!” นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองคนตรงหน้าอย่างเดือดดาล
ใบหน้าคมมองอีกคน รอยยิ้มเย็นปรากฏบนใบหน้าที่นิ่งเฉย รอยยิ้มที่คนที่เห็นถึงกับเย็นยะเยือก “หึหึ พ่องั้นเหรอ? รักอย่างนั้นเหรอ” ขาแกร่งเดินเข้าหาร่างสูงอย่างช้าๆ มือเข้าบีบกรามคนตรงหน้าอย่างรุนแรง จนแจนนิ้วหน้าด้วยความเจ็บ
“จะบอกอะไรให้นะไอเด็กเหลือขออย่างแกยังรักเอเลนได้ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของฉันด้วยซ้ำ”
นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ถ้ารักเอเลนทำไมถึงยอมนิ่งเฉยทนดูคนที่ตนเองรักเจ็บปวดทรมาณได้ล่ะ อย่างนี้เขาเรียกว่ารักงั้นเหรอ?
“แล้วทำไม?” ทันที่ที่เอ่ยถามพลันร่างกายของชายหนุ่มผมสีอ่อนก็ชาขึ้นมาทันที ขาที่เคยมีกำลังกลับอ่อนเปลี้ยจนทรุดลงกับพื้น สองแขนที่ประคองร่างเด็กสาวหมดแรงเสียดื้อๆ จนเด็กสาวร่วงหล่นจากอ้อมกอดแต่ถูกมือแกร่งของอีกคนรับไว้ได้เสียก่อน
แจนทรุดนอนลงกับพื้นร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงไปไม่อาจขยับได้ เกิดอะไรขึ้น? หรือว่า!!!
“กแกใส่อะไรให้ฉันกิน?!!” เสียงแหบแห้งตะโกนออกมาจากร่างกายที่เริ่มเป็นอัมพฤตของชายหนุ่มร่างสูง
รีไวล์วางร่างบอบบางของเด็กสาวลงบนพรมอย่างทะนุถนอม นัยน์ตาสีขี้เถ้าปลายตามองชายหนุ่มอีกคนที่กำลังกระตุกเกร็งกล้ามเนื้อจากยาที่เขาใส่เข้าไป
“จะบอกอะไรให้อย่างนะ เอเลนไม่ใช่ลูกสาวของฉัน” คำพูดจากชายหนุ่มทำให้นัยน์ตาสีเปลือกไม้เบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ที่ต้องมารับบทพ่อบ้าๆก็เพราะฉันรักเอเลนยังไงล่ะ” มือแกร่งคว้ามีดที่อยู่บนโต๊ะอาหารเดินไปแล้วนั่งหน้าชายหนุ่ม
“ตอนนี้ยาคงทำให้นายพูดไม่ได้” โลหะสีเงินวาวแกว่งไปมาตามมือของรีไวล์
“ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ เอเลน และฉัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ถ้าไม่มีฉันเอเลนอาจจะตายได้ และ….” มีดสีเงินวาวกรีดลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม โลหิตสีแดงไหลรินลงมาจนเจิ่งนองที่พื้น “เอเลนไม่ได้ไม่สบาย เธอก็แค่หิวเท่านั้น”
นัยน์ตาสีเปลือกไม้เบิกกว้างสั่นระริกด้วยความหวาดผวา เมื่อเบื้องหน้าเขาพบว่าเด็กสาวจ้องมองมาที่เขาดุจสัตว์ป่าที่หิวกระหาย นัยน์ตาสีมรกตแปรเปลี่ยนเป็นทองอำพัน ริมฝีกปากบางคลี่ยิ้มจนเห็นฟันขาวและขมเขี้ยวยาวอย่างน่าขนลุก พระจันทร์เต็มดวงที่ฉายเป็นฉากหลังของเด็กสาวยิ่งตอกย้ำสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้า….ปีศาจ
ร่างอรชรค่อยๆคลานเข้ามา ลิ้นบางก้มลงเลียเลือดของชายหนุ่มที่ไหลเจิ่งนองที่พื้น ใบหน้ามนเคลื่อนเข้าหาอีกคนลิ้นบางไล้เลียเลือดจากบาดแผลที่โดนกรีดจนมาถึงคอแกร่งของชายหนุ่ม เอเลนยิ้มอย่างพึงพอใจปากบางกัดลงที่ต้นคอของเหยื่อที่ไร้ทางสู้  ไร้การดิ้นรนและต่อต้าน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงร้องเปล่งออกมา มีก็แต่เสียงดูดกลืนของเหลวสีแดงสดดังท่ามกลางความเงียบดังกึกก้องไปทั่วเท่านั้น เวลาไม่นานปลายนิ้วที่สั่นเทาก็หยุดลง ร่างที่เคยมีชีวิตพลันซีดเซียวไร้วิญญาณ ลมหายใจค่อยๆแผ่วเบาจนกระทั่งสิ้นสุด ร่างบางลุกขึ้นนั่งมองภาชนะที่เคยใส่อาหารของตนที่นิ่งสงบไม่ไหวติง มือบางยกขึ้นเช็ดคราบเลือดที่ริมฝีปากของตนเอง ชายหนุ่มร่างเล็กแต่แข็งแกร่งวางมือลูบไล้บนศีรษะเล็ก เอเลนหันมองสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้า ดวงตาสีทองสั่นไหวระริก หยาดน้ำใสคลอเบ้าตาเปลือกตาหนาค่อยๆปิดลงร่างอรชรล้มลงกับบ่าแกร่งที่คุ้นเคย เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครั้งที่คืนพระจันทร์เต็มดวงเด็กสาวจะกลายร่างเป็นอสูรกายที่ต้องการเลือดของมนุษย์เพื่อดำรงชีวิตให้อยู่ต่อไป รีไวล์รู้ดีว่าแท้จริงแล้วเอเลนเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่แสนบริสุทธิ์และใสซื่อเท่านั้นไม่ได้ต้องการคร่าชีวิตใครทุกครั้งหลังจากที่เธอจัดการเหยื่อเรียบร้อยแล้วนัยน์ตาของเธอมักจะสั่นระริกและหยาดน้ำใสแห่งความรู้สึกผิดจะไหลออกมาทุกครั้ง และนั่นทำให้เขาไม่อาจสังหารเธอได้ลงแต่เริ่มนั้นเขาเก็บเด็กสาวตัวน้อยได้จากในป่า เด็กที่มอมแมมและหวาดกลัวด้วยความอาดูรจึงไม่อาจปล่อยผ่านเลยไปได้ เขาจึงเก็บเด็กหญิงตัวน้อยมาเลี้ยงดูเมื่อเวลาผ่านไปจนเอเลนเติบใหญ่สิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น คืนวันพระจันทร์เต็มดวงแรกของเด็กสาวคราบเลือดของเหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ไหลเจิ่งนอง ทั้งที่รู้ว่าเด็กสาวคือปีศาจที่ต้องสังหารแต่มือแกร่งที่กำดาบกลับโยนอาวุธคู่กายทิ้งและตะกองกอดร่างอรชรที่กำลังสั่นไหว นัยน์ตาสีมรกตแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง เสียงกรีดร้องด้วยความบ้าคลั่งที่แสนเศร้าโศกและสิ้นหวัง ความเจ็บแปลบและปวดหนึบในใจทำให้เขารู้ดีว่าไม่อาจปล่อยร่างบางนี้ไปได้
“ไม่เป็นไรเอเลน ฉันจะไปกับเธอยังนรกขุมสุดท้ายด้วยกัน” ริมฝีปากคมจุมพิตลงบนขมับของร่างอรชร การตัดสินใจที่แน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่รู้ดีว่าไม่อาจสูญเสียคนในอ้อมกอดไปได้
“ดูท่าต้องรีบเก็บกวาดแล้วล่ะนะ พื้นไม้เวลาเป็นคราบมันกำจัดยากเสียด้วย นายเองก็ไม่ค่อยชอบนี่รีไวล์” ชายหนุ่มร่างสูงผมทองเดินเข้ามาในบ้านไม้อย่างคุ้นเคย
“เปลี่ยนเป็นพวกกระเบื้องยังกำจัดง่ายกว่านะเอลวิน” รีไวล์อุ้มร่างอรชรที่หลับไม่ได้สติขึ้นมา
“อ้าวเรียบร้อยแล้วเหรอ บทบาทคราวนี้เป็นไงมั่งล่ะขอรับ” ชายหนุ่มร่างโปร่งอีกคนเดินเข้ามาพร้อมพิณคู่ใจตัวเก่ง
“ห่วยแตกมากฮันซี่ ทำไมฉันต้องมาเป็นพ่อเจ้าเด็กนี่ด้วย” คิดแล้วยังอดเคืองไม่หายที่ต้องสวมบทเป็นพ่อจนทำให้ร่างบางในอ้อมกอดมีแมลงน่ารำคาญเข้ามาจับต้อง
“คราวนี้กระผมว่าดีแล้วเชียวนะ อย่างครั้งก่อนที่เป็นเจ้าหญิงผู้ถูกขุมขังบนหอคอยสูงผมกับเอลวินต้องวุ่นไปหาเส้นไหมถักทอมาเป็นเส้นผมยาวสลวยลงมาจากหอคอย ลำบากแทบตายตอนนั้น” กว่าจะหาไหมยาวมาเรียงและหวีจนเหมือนเส้นผมได้มันลำบากมากเลยนะรู้ไหม
“หึ ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากเป็นพ่อของไอเด็กนี่อยู่ดี”
“ขอรับ กว่าเอเลนจะตื่นกระผมคงแต่งบทกวีใหม่ให้ได้อยู่แล้วล่ะขอรับ” ฮันซี่ถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของชายหนุ่มตรงหน้า ทุกครั้งหลังคือพระจันทร์เต็มดวงเอเลนจะหลับหมดสติไปจนกระทั่งตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อพระจันทร์เต็มดวงมาเยือน และเมื่อเธอตื่นขึ้นมากลับไม่มีความทรงจำใดใดเหลืออยู่เลย จำคนรอบข้างและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งที่จำได้มีเพียงแค่ชื่อของตนเองเท่านั้น เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
รีไวล์กระชับร่างบางในอ้อมกอดแน่น ขาแข็งแกร่งย่างก้าวลงไปยังห้องใต้ดินประตูไม้ถูกเปิดออก ร่างอรชรที่หลับใหลถูกวางลงบนเตียงนุ่มแผ่วเบา ห้องใต้ดินที่มืดมิดมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันที่ให้ความสว่างไสว ริมฝีปากคมทาบทับลงบนริมฝีปากบางสีระเรื่อ มือแกร่งลูบไล้ใบหน้าคนนอนหลับอย่างรักใคร่
ฝันดีเอเลน……..
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ประตูไม้สีเข้มของร้านสมิธเปิดออกพร้อมแขกใหม่ผู้มาเยือน
“ขอต้อนรับสู่ร้านของเราครับคุณนักเดินทาง ถ้ายังไงวันนี้เชิญพักผ่อนที่นี้ดีไหมครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ท่าทางเป็นมิตรเอ่ยชวนนักเดินทางหนุ่มให้ใช้บริการ
“ขอขอบคุณมากนะครับ ผมคงต้องขอรบกวนสักคืน” หนุ่มพเนจรวางสัมภาระของตนพลางลงบนเก้าอี้นั่งข้างเคานท์เตอร์  “ผมมิคาสะ อัคเคอร์แมน เป็นนักเดินทางยินดีที่ได้รู้จักครับ” ชายหนุ่มทักทายเจ้าของร้านด้วยความสุภาพ
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ถ้าไม่รังเกียจจะลองฟังนิทานที่น่าสนุกจากนักกวีของร้านเราหน่อยไหมครับ  คุณนักเดินทาง”

Fin.

3 ความคิดเห็น: