Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last
Memory
Chapter 10
นายเกลียดฉันรึเปล่า?
.
.
.
ฉันที่อ่อนแอ
.
.
ฉันที่ไม่อาจปกป้องนายได้…
.
.
.
.
มือแกร่งเสยผมสีดำที่ปรกลงมาที่หน้าผากของตน
ร่างที่ไม่สูงแต่แข็งแกร่งและกำยำไปด้วยกล้ามเนื้อสมชายชาตรีลุกขึ้นนั่งบนเตียงสีขาว
นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองไปทั่วห้องชุดคอนโดส่วนตัวของตนที่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ
ฝันอีกแล้วสินะ……
ตั้งแต่จำความได้ความฝันเดิมๆที่ฉายซ้ำไปมา
ภาพของใครสักคนที่ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มในฝัน ใบหน้าที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนถึงแม้จะฝันวนซ้ำหลายต่อหลายครั้ง
แต่ที่ยังจดจำและทำให้รู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งแม้ยามตื่นจากห้วงฝัน
คือหยาดน้ำตาของเด็กหนุ่มที่หลั่งไหลลงมา ในฝันสองมือของเขาพยายามไขว่คว้าร่างที่กำลังล้มลงตรงหน้า
แต่แล้วร่างของเด็กหนุ่มกลับทะลุผ่านร่างของเขาไปและล้มลงในความมืดมิด
ความหวาดกลัวที่ไม่เคยรู้จักเข้าถาโถม เสียงตะโกนของเขามากมายที่ไม่อาจได้ยินในห้วงฝัน
ความกลัวเข้าครอบงำจิตใจ ทั้งที่เป็นแค่ฝันแต่กลับให้ความรู้สึกหวาดหวั่นและหนาวเหน็บที่บาดลึก
ทั้งที่เขาผ่านเรื่องอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน
ชีวิตที่ต้องเสี่ยงกับความตายบ่อยครั้งกลับไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเลยสักครั้งเดียว
แต่ความฝันที่วนเวียนอยู่ในความทรงจำกลับทำให้คนแข็งแกร่งเช่นเขาหวาดหวั่น
ในฝันตัวเขาที่พยายามกู่ร้องเรียกหาใครสักคน
ความรู้สึกที่น่าสมเพชต่อความอ่อนแอของตัวเอง ความกลัวที่ใครคนนั้นจะเกลียด
ร่างแกร่งลุกขึ้นบิดไปมาไล่ความขี้เกียจก่อนเดินไปเปิดม่านที่หน้าต่าง
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองท้องฟ้าที่ขุ่นมัวเนื่องจากสายฝนที่ตกลงมา….
ฝนเปลี่ยนฤดูงั้นเหรอ….. ก็ดีจะได้ไม่ต้องรดน้ำ
ใบหน้าคมจ้องมองดอกไม้เล็กๆกลีบสีฟ้าในกระถางสีขาวที่ระเบียง
ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกชอบและผู้พันธ์กับเจ้า ดอกฟอร์เกทมีน็อท
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น รู้สึกตัวอีกทีเขาก็จะปลูกเจ้าดอกไม้นี่อยู่เสมอไม่เคยขาด
เหมือนกับคอยย้ำเตือนตัวเองว่าไม่ให้ลืมหรือต้องนึกสิ่งสำคัญบางอย่างให้ออก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรแต่ในใจลึกๆก็รู้สึกโหยหาอย่างประหลาดเมื่อมองผ่านเจ้าดอกไม้เล็กๆสีฟ้านี้
นัยน์ตาคมก้มมองเวลาที่นาฬิกาสีเงินบนข้อมือซ้ายของตน วันนี้นัดกับยัยนั่นไว้ ต้องรีบแล้วสิ เพราะการให้อีกฝ่ายรอนานไม่ใช่นิสัยคนรักความสะอาดและเคร่งกับกฎระเบียบอย่างเขา
ร่างแกร่งหยิบผ้าเช็ดตัวสีขาวพาดบ่าและเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดแจงตนเองและไปยังสถานที่นัดหมายให้ตรงตามเวลา
“เอเลนจะมาซื้ออะไรเหรอ?”
มิคาสะเอ่ยถามเมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในเมือง
วันนี้เอเลนพาเธอขับรถออกมาซื้อของ
เพราะฝนตกตอนเช้าเลยทำให้ทั้งเธอและร่างโปร่งกว่าจะออกขากบ้านมายังห้างก็เป็นเวลาช่วงบ่ายแล้ว
ใบหน้ามนหันมาคลี่ยิ้มสดใสให้กับเด็กสาว
แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดีว่าเป้าหมายของการมาซื้อของที่ลากอีกคนมาด้วยคืออะไร
ร่างอรชรของเด็กสาวจึงได้แต่เดิมตามอีกคนที่จูงมือเธอเดินนำไปยังแผนกเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
เมื่อมาถึงเด็กหนุ่มก็ตรงเข้าไปเลือกของที่ต้องการ
มิคาสะเลยเดินดูเสื้อผ้าซีซั่นใหม่ที่ถูกนำวางออกมาโชว์เพื่อต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังมาเยือน
เสื้อโค๊ทและชุดไหมพรมหลากหลายรูปแบบถูกวางจัดโชว์บนหุ่นในท่วงท่ากิจกรรมต่างๆ ไม่นานนักเอเลนก็เดินกลับมาหาเด็กสาวที่ยืนรอ
ในมือถือถุงกระดาษที่มีสัญลักษณ์ของร้านค้า
เด็กหนุ่มยื่นถุงสินค้าที่ซื้อมาให้กับเด็กสาวตรงหน้า
มิคาสะรับถุงกระดาษมาอย่างแปลกใจ
“ฉันให้เธอนะมิคาสะ”
ใบหน้ามนฉีกยิ้มกว้างส่งให้เด็กสาวที่รับของไป
มือบางแกะดูของที่อยู่ในถุง
นัยน์ตาสีราตรีแปลกใจ ใบหน้าสวยขึ้นริ้วสีแดงด้วยความดีใจ
ริมฝีปากยิ้มบางเมื่อได้เห็นสิ่งของที่อยู่ในนั้น
เอเลนหยิบผ้าพันคอสีแดงที่ตั้งใจมาซื้อพันรอบคอให้เด็กสาว
“แบบนี้ดูสมกับเป็นเธอเลยนะ” เมื่อเอเลนได้รับรู้เรื่องราวที่ผ่านมาผ่านบันทึก
เขายิ่งรู้สึกผูกพันกับคนรอบๆตัวเขามากยิ่งขึ้น เพราะสายใยความผูกพันและสัญญาที่ต่างเคยมีให้กันมาก่อนทำให้เขาและคนอื่นๆได้มาเจอกันอีกครั้ง
มือบางกระชับผ้าพันคอที่ได้รับ
ความอบอุ่นซึมเข้าสู่หัวใจของเด็กสาว เป็นอีกครั้งที่ได้รับผ้าพันคอจากเด็กหนุ่มตรงหน้า
ครั้งแรกที่ได้รับนั้นผ่านมานานแสนนานและผ้าพันคอสีแดงผืนนั้นก็เป็นสิ่งล่ำค่าที่แสนสำคัญของเธอจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ไม่คิดเลยว่าจะได้รับผ้าพันคอสีแดงจากเด็กหนุ่มคนเดิมอีกเป็นครั้งที่สอง
และเธอก็จะเก็บเอาไว้ติดตัวเป็นสมบัติล่ำค่าดั่งเช่นในอดีตที่เคยเป็นมาเช่นกัน
เมื่อได้ของที่ต้องการเอเลนและมิคาสะเลยชวนกันไปหาร้านกาแฟเพื่อนั่งคุยเล่นกัน
เมื่อทั้งสองสั่งและรับกาแฟที่เคานท์เตอร์เรียบร้อยนัยน์ตาสีมรกตจึงกวาดมองไปรอบๆร้านกาแฟที่ตกแต่งด้วยสีเอริ์ทโทนสบายตาเพื่อหาที่นั่ง
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์เลยทำให้ในร้านค่อนข้างมีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนมาก
ร่างโปร่งจึงตัดสินใจออกไปยังระเบียงนอกร้านเพื่อมองหาที่นั่งในส่วนของเอาท์ดอร์ของร้าน
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เหลือที่ว่างสำหรับเขาทั้งสอง เอเลนและมิคาสะจึงตัดใจที่จะหาที่นั่งและเตรียมก้าวออกจากร้านแต่มีเสียงตะโกนเรียกพวกเขาทั้งสองไว้ก่อน
“ เอเลน มิคาสะ
ทางนี้ว่างอยู่นะ!”
เมื่อมองไปทางต้นเสียงก็เจอกับหญิงสาวร่างโปร่งผมสีน้ำตาลสวมแว่นตาที่คุ้นเคยกำลังกวักมือเรียกคนทั้งคู่อยู่
“อาจารย์ฮันซี่
ขอบคุณมากครับ” ร่างโปร่งก้าวไปยังต้นเสียงที่เรียกพร้อมโค้งและกล่าวขอบคุณบุคคลที่ถือเป็นอาจารย์ของตนเองอย่างนอบน้อม
“ไม่เอาอ่ะ! อยู่ข้างนอกชั้นไม่ให้พวกเธอเรียกว่าอาจารย์ ไหนเรียกคุณฮันซี่สิ” คนอายุมากกว่าออกคำสั่งเด็กทั้งสองคนเมื่อทั้งคู่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว
“ครับ/ค่ะ คุณฮันซี่” ทั้งคู่เอ่ยเรียกคนตรงหน้าพร้อมกันอย่างว่าง่าย
ใบหน้าที่สนุกสนานอยู่เสมอคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว
มือเรียวขยี้ลงบนศีรษะเด็กทั้งสองคนอย่างเอ็นดู “ดีมาก”
เอเลนและมิคาสะต่างส่งยิ้มให้กับคนตรงหน้าที่อายุมากกว่า
แม้ในอดีตคนตรงหน้านี้คือผู้ที่หยิบยื่นความตายให้กับเขาเพราะภาระหน้าที่ที่บีบบังคับ
แต่ในปัจจุบันเธอเป็นอาจารย์ที่น่าเคารพนับถือ
ใบหน้าที่เคยหลั่งรินน้ำตาจากความเสียใจที่ต้องตัดสินใจหยิบยื่นความตายให้กับตนในอดีตเขายังจำได้ติดตา
พอเมื่อมองใบหน้าที่ยิ้มให้อย่างสนุกสนานและเป็นสุขในปัจจุบันนี้ที่หญิงสาวตรงหน้าไม่ต้องตัดสินใจแบกรับหรือทำร้ายใครอีกแล้วก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากยิ่งขึ้น
ดีจริงจริงที่เราได้เจอกันอีกครั้งนะครับคุณฮันซี่….
“ว่าแต่คุณฮันซี่มาคนเดียวเหรอคะ?”
เด็กสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่ตรงหน้าอยู่คนเดียวและมีกาแฟวางไว้เพียงแค่แก้วเดียวเท่านั้น
“ฉันมารอคนน่ะ
อีกสักพักก็คงจะมาแล้วล่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบ นัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมมองเด็กหนุ่มและเด็กสาวตรงหน้า
หลายครั้งที่เธอรู้สึกเอ็นดูเด็กทั้งสองเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตั้งแต่เจอครั้งแรกในคลาสบรรยายวิชาของเธอ
เธอก็รู้สึกผูกพันกับบรรดาเด็กๆกลุ่มนี้มากอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนกับได้เจอเพื่อนเก่าที่พลัดพรากกันไป
และยิ่งทำให้เธออยากสนิทสนมกับพวกเขามากยิ่งขึ้นทุกครั้งที่มีโอกาส
“เอ๋
รอแฟนรึเปล่าน๊าคุณฮันซี่เนี่ย” เอเลนอดแซวคนตรงหน้าเล่นไม่ได้
เพราะวันนี้หญิงสาวแต่งตัวค่อนข้างดูดีผิดกับตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่เธอคงจะคลุกอยู่แต่ในห้องวิชาการเพื่อทำวิจัยจนทำให้เวลาที่เจอกันในมหาลัยหรือแม้กระทั่งในชั่วโมงเรียนของเธอเอง
หญิงสาวตรงหน้าก็จะอยู่ในสภาพของนักวิชาการที่น่านับถือหรือไม่ก็จะอยู่ในสภาพของคนอิดโรยอดหลับอดนอนมาเป็นเวลานาน
และทำให้บ่อยครั้งที่บรรดาตัวเขาและเพื่อนๆอดเป็นห่วงไม่ได้จนต้องหากาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังมาให้อยู่เสมอๆ
กริ๊งงงง!!
ก่อนที่ฮันซี่จะได้ตอบคำถามของเด็กหนุ่ม
เสียงกริ่งของสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นเสียก่อน
ด้วยความตื่นเต้นและสัญชาตญาณของความชอบเสี่ยงตายทำให้ฮันซี่รีบวิ่งไปยังต้นเสียง
จนทำให้อีกสองคนที่อยู่ด้วยต้องวิ่งตามเพื่อไล่จับคนที่วิ่งหนีไปเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย
เอเลนอดคิดไม่ได้ว่าความบ้าบิ่นและชอบเรื่องอันตรายของฮันซี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้จะเป็นในอดีตหรือจนกระทั่งปัจจุบัน
แต่ผิดกันตรงที่ว่าในปัจจุบันเธอเป็นนักวิชาการไม่ใช่ทหารอย่างสมัยก่อน ดังนั้นความบ้าบิ่นของเธอจึงทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้
เสียงกริ่งที่ดังขึ้นมาจากธนาคารฝั่งตรงข้ามระเบียงของร้านกาแฟที่ทั้งสามนั่งพูดคุยกัน
หญิงสาวกระโดดข้ามรั้วไม้ของร้านวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ
โดยมีเด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองคนวิ่งไล่ตามฝ่าฝูงชนที่วิ่งหนีออกมาอย่างแตกตื่น
แต่พวกเขาทั้งสามกลับวิ่งสวนทางเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ
กว่าที่เด็กหนุ่มจะคว้าร่างของคนผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าเอาไว้ได้ ทั้งเขา มิคาสะ
และฮันซี่ต่างก็เข้ามาอยู่ในธนาคารที่เกิดเหตุอย่างไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว
คนร้ายที่ทำการปล้นมีด้วยกันสี่คน
เหล่าคนร้ายสองคนกำลังง่วนกับการขนเงินจากตู้เซฟลงกระเป๋าใบใหญ่และอีกสองคนที่เหลือกำลังจับมัดเจ้าหน้าที่ธนาคารและลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการรวมตัวกัน
หนึ่งในนั้นเมื่อเห็นกลุ่มคนวิ่งสวนเข้ามาจึงหันมาให้ความสนใจกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ในมือของคนร้ายถือปืนจ่อมายังที่พวกเขาทั้งสามคน
น้ำลายเหนียวยากที่จะกลืนลงคอ
นัยน์ตาสีมรกตมองไปรอบข้างเพื่อหาทางหนี
ผิดกับอีกคนที่เขาพยายามวิ่งตามจับที่ดูเหมือนกำลังตื่นเต้นและสนุกกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“เอเลน
เขามีปืนด้วยล่ะและกำลังเล็งมาทางนี้ดูสิ!”
ฮันซี่ร้องบอกด้วยความตื่นเต้นราวกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเพียงหนังแอ๊คชั่นในภาพยนต์
ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“เฮ้ยพวกแกเป็นตำรวจเรอะ!!” คนร้ายยกปืนขึ้นเล็งพร้อมตะโกนถาม
“พวกเราไม่ใช่ตำรวจครับ
แค่บังเอิญวิ่งผิดทางเรากำลังจะไปทางที่ถูกครับ!!!” ใบหน้ามนรีบตอบคำถามกลับไป
แต่คำตอบที่เหมือนกับเล่นลิ้นนั้นทำให้คนร้ายรู้สึกเหมือนถูกกวนประสาท
มือแกร่งที่ถือปืนจึงยิงลงบนพื้นเป็นการข่มขวัญคนตรงหน้า
เอเลนถึงกับหน้าซีดก้มมองรอยกระสุนบนพื้นที่ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่ก้าว
ตอนนี้เขาไม่ใช่ทหาร คุณฮันซี่และมิคาสะเองก็ไม่ใช่เช่นกัน การเจอสถาณการณ์เลวร้ายที่ไม่คาดฝันตรงหน้าทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงไม่ได้
แต่ในเมื่อเขาเป็นผู้ชายเขาควรที่จะต้องปกป้องผู้หญิงทั้งสองคนถึงจะถูก ร่างบางก้าวขาขึ้นมาข้างหน้าและให้หญิงสาวทั้งสองคนหลบอยู่ด้านหลัง
อย่างน้อยถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเขาจะได้ใช้ตัวเองเพื่อปกป้องคนทั้งสองไว้ได้
แต่ไหล่บางของเด็กหนุ่มกลับถูกดันไปด้านหลังร่างอรชรของเด็กสาวผมดำดุจราตรีวิ่งผ่านเขาไปด้วยความเร็ว
นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรร่างของมิคาสะก็ตรงไปที่ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าขาเรียวเตะขึ้นที่ข้อมืออย่างรวดเร็วจนปืนที่อยู่ในมือของชายหนุ่มร่วงลงกับพื้น
ไม่รอช้าเด็กสาวเตะปืนที่ตกลงบนพื้นไปด้านหลังให้ไกลจากรัศมีที่คนตรงหน้าจะหยิบถึง
ร่างอรชรแต่กลับแข็งแกร่งเข้าจู่โจมชายที่สูงใหญ่กว่าจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เอเลนได้แต่ตกตะลึง
ที่เขาคิดว่าโลกปัจจุบันเด็กสาวไม่ได้แข็งแกร่งดั่งเช่นทหารในอดีตเขาอาจจะคิดผิดไปแล้วก็ได้
“ว้าวๆ
มิคาสะเธอสุดยอดมากเลยสถาณการณ์เริ่มมันส์ขึ้นแล้ว” ฮันซี่ตะโกนเชียร์เด็กสาวตรงหน้าอย่างตื่นเต้น
ราวกับกำลังดูเกมการแข่งขันกีฬามวยปล้ำเสียอย่างนั้น
มิคาสะเมื่อจัดการชายคนแรกให้ล้มลงไปได้
เธอก็รีบวิ่งเข้าไปเตะข้อพับชายอีกคนที่อยู่ไม่ไกลจนล้มลงไป
และเมื่ออาวุธร่วงหล่นจากมือเธอจึงรีบคว้าเอาไว้และทุบด้ามปืนลงที่หลังคอเพื่อให้คนร้ายนั้นหมดสติไป
นัยน์ตาสีราตรีเคลื่อนที่ยังชายคนที่สามอย่างรวดเร็วดุจสายลม
แขนแกร่งที่ยื่นมาของชายหนุ่มถูกเด็กสาวล็อคแล้วบิดอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนทำให้ชายร่างสูงใหญ่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ขณะที่เธอกำลังจัดการกับชายคนที่สาม ผู้ก่อการร้ายอีกคนที่กำลังโกยเงินเข้ากระเป๋าได้หันปืนเล็งมาที่เธอ
เมื่อเห็นว่าบรรดาคนในกลุ่มถูกเด็กสาวร่างบางจัดการจนหมด
เด็กสาวคนนี้แข็งแกร่งและอันตรายเกินไป
ใบหน้าคมสวยนั้นไม่เปลี่ยนสีสักนิดเมื่อต้องเจอกับอาชญากรและสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น
“มิคาสะ!!”
นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างสองขาเตรียมก้าวเข้าไปขวางวิถีกระสุนที่กำลังจะยิงออกมา
แต่ช้ากว่าอีกคนเมื่อหญิงสาวที่กำลังดูสถาณการณ์อย่างตื่นเต้นคว้าเก้าอี้ที่อยู่ข้างตัวแล้วถไลไปชนชายที่ถือปืนอยู่
เมื่อปืนร่วงลงจากมือเธอก็กระโดดรับไว้อย่างสวยงามและจ่อเข้าที่ศีรษะของชายคนนั้นแทน
“ของแบบนี้มันอันตรายนะจ๊ะ
ถ้านักเรียนของชั้นบาดเจ็บขึ้นมาก็แย่สิ” ฮันซี่ส่งยิ้มให้กับชายที่อยู่เบื้องหน้า
สองมือขึ้นนกของไกปืนเตรียมพร้อม
ทำให้ชายร่างสูงใหญ่ถึงกับหวาดกลัวมองหญิงสาวตรงหน้า
นี่คงถือได้ว่าเป็นคราวซวยการปล้นของพวกเขาอย่างแท้จริง
รู้งี้น่าจะยอมปล่อยให้ไอเด็กหนุ่มมันยอมวิ่งหนีไปถูกทางอย่างที่มันบอก
ก…เก่งเกินไปแล้ว เอเลนได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ที่เขาคิดว่าทั้งสองคนเป็นแค่ผู้หญิงสาวธรรมดาในโลกปัจจุบันเขาคงจะคิดผิดไปจริงๆ
จากเหตุการณ์ที่เกิดทำให้เขาคิดได้ว่าทั้งสองคนยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิม
และแข็งแกร่งกว่าตัวเขาเสียอีกไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน
คิดแล้วก็อดรู้สึกน้อยใจตัวเองไม่ได้
ร่างโปร่งเตรียมก้าวเข้าไปปล่อยเหล่าคนที่ถูกมัดจับเป็นตัวประกันที่ตอนนี้ทุกคนต่างทำสีหน้าโล่งอกและส่งสายตาชื่นชมให้กับหญิงแกร่งทั้งสอง
ยังไม่ทันที่จะถึงเหล่าคนที่ถูกมัดรวมตัวกัน แขนแกร่งของชายอาชญากรที่โดนอัดสลบไปคนแรกก็ล็อคเข้าที่คอของเขาเสียก่อน
ปืนสีเงินมันวาวจ่อเข้าที่ขมับของร่างโปร่ง
“เฮ้ย!! พวกแกทั้งสองคนเป็นใครกันแน่วะ!!”
แขนแกร่งกอดรัดที่ต้นคอแน่น ร่างบางพยายามดิ้นให้หลุดออกจากพันธนาการแต่งแขนหนานั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยเจ้าตัวง่ายๆ
“เอเลน!!” ฮันซี่และมิคาสะเรียกชื่อเด็กหนุ่มด้วยความตกใจ
ใบหน้าทั้งสองเริ่มตึงเครียดพยายามประเมิณสถาณการณ์ตรงหน้า
ร่างโปร่งพยายามดึงแขนหนาที่รัดรอบคอของตนอย่างยากลำบาก
สักพักแขนหนาที่ถูกพันธนาการไว้ก็คลายออก พร้อมชายสูงใหญ่ที่ถูกเหวี่ยงออกไปด้านข้าง
ร่างโปร่งทรุดเข่าลงกับพื้นพยายามสูดเอาอากาศเข้าเนื่องจากแขนหนาที่รัดลงมาทำให้เขาหายใจแทบไม่ออก
นัยน์ตาสีมรกตมองร่างชายที่ล้มลงด้านข้าง
เสื้อโค๊ทยาวสีดำกลางหลังปักลายปีกสีขาวและดำไขว่กันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกองตำรวจหน่วยปราบปรามที่เจ้าตัวรู้จักดี
และนัยน์ตาสีมรกตยิ่งเบิกกว้างมากยิ่งขึ้นเมื่อเสี้ยวหน้าที่เห็นอยู่นั้นช่างคล้ายกับคนในห้วงฝันที่เขาเฝ้ารอคอย
ขอบตาร้อนผ่าว หัวใจเริ่มเต้นระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
ความตื่นเต้นที่ได้เจอกับชายตรงหน้าแทบทำให้เขาหยุดหายใจ ชายหนุ่มที่เขารอคอย
และเป็นอีกครั้งที่เขาได้ชายคนนี้ช่วยชีวิตตนเองไว้
ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งเตะและเหยียบซ้ำเข้าที่ร่างอาชญากรตัวสูงใหญ่ที่ล้มลงอยู่แทบเท้า
“พวกนายไม่รู้จักหยุดกันมั่งเลยรึไง
วันนี้วันพักผ่อนของชั้นแท้ๆ” ชายหนุ่มมองสถาณการณ์รอบตัว จากที่ได้รับโทรแจ้งสถาณการณ์ฉุกเฉินเลยทำให้เขาต้องรีบรุดมาดูที่เกิดเหตุ
โชคดีที่สถาณที่เกิดเหตุและสถาณที่นัดของเขาใกล้กันจึงทำให้เขาเสียเวลาไม่มากในการมายังจุดหมาย
นัยน์ตาสีขี้เถ้าแปลกใจกับสิ่งที่เกิด
เพราะในรายงานแจ้งไว้ว่าคนร้ายที่ทำการปล้นเป็นผู้ชายทั้งหมดสี่คน และดูเหมือนจะก่อเหตุมาแล้วหลายครั้งไหนจะมีอาวุธติดตัวไว้อีกไม่คิดเลยว่าพอเขามาถึงสถาณการณ์ทุกอย่างจะเรียบร้อยลงอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อมองเห็นหญิงสาวที่คุ้นเคยกันดีก็ทำให้พอเข้าใจว่าไอเจ้าอาชญากรตัวใหญ่ตรงหน้าที่ต้องมาเจอกับยัยจอมเพี้ยนแต่เรื่องฝีมือในการต่อสู้ไม่เป็นรองใครที่ไหนก็ทำให้พอเข้าใจสถาณการณ์มากขึ้น
จะแปลกใจก็แต่เด็กสาวอีกคนที่กำลังจับมัดผู้ชายตัวโตกว่าตนเองสองคนด้วยใบหน้าเรียบเฉยนั้นมากกว่า
พวกผู้หญิงนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าได้แต่คาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงต้องบอกว่าเป็นคราวซวยของพวกมันที่ดันมาปล้นในวันนี้
“เฮ้
รีไวล์นายแอบมาสายนะวันนี้”
ฮันซี่ตะโกนทักชายตรงหน้าที่เธอนัดไว้พลางโยนปืนในมือที่ริบมาได้ให้กับชายหนุ่ม
รีไวล์รับปืนที่โยนมาอย่างแม่นยำ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจัดการสั่งงานลูกน้องที่เข้ามาคุมตัวบรรดาคนร้ายพร้อมทั้งส่งของกลางทั้งหมดเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินความต่อไป
“ก็เพราะเจ้าพวกนี้มันไม่มีวันพักผ่อนซะบ้างเลยน่ะสิ”
ใบหน้าคมขมวดคิ้วพร้อมทั้งจัดแจงเรื่องให้คนใต้บังคับบัญชาสานต่อ เพราะยังไงวันนี้ก็เป็นวันพักผ่อนของเขาการที่ต้องมาทำหน้าที่เพราะสถาณการณ์ฉุกเฉินก็มากเกินพอแล้วกับวันหยุดที่มีอันน้อยนิดของเจ้าตัว
รีไวล์เดินเข้ามาหาหญิงสาวที่วันนี้ได้นัดไว้
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองเด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคนอย่างสงสัย ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไปฮันซี่ก็แนะนำเด็กทั้งสองให้เขาได้รู้จัก
“นี่เอเลน
และนี่ก็มิคาสะ ทั้งสองคนเป็นลูกศิษย์ของชั้นเอง”
ฮันซี่แนะนำเด็กทั้งสองคนอย่างภาคภูมิใจ
เอเลนและมิคาสะกล่าวทักทายชายหนุ่มตรงหน้า
ตอนนี้ภายในอกของเด็กหนุ่มรู้สึกตื้นตันและดีใจจนแทบจะทะลักออกมา
ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุขจนทำให้เด็กสาวที่อยู่ด้วยเผลอยิ้มตามรอยยิ้มสดใสนั้น
….ในที่สุดก็พบกันจนได้นะครับหัวหน้า……..
“แล้วก็นี่ รีไวล์
หัวหน้าหน่วยสุดแกร่งของกองปราบปรามอาชญากรรม”
ฮันซี่แนะนำอีกฝ่ายให้เด็กทั้งสองรู้จัก
ใบหน้าฉายแววมีความสุขและสนุกสนานยิ้มกว้าง “และก็เป็น…แฟนของชั้นเอง”
ใบหน้ามนถึงกับชาขึ้นมาในทันที
ความเจ็บแล่นริ้วที่หน้าอก
ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังรู้สึกดีใจที่ได้เจอกับชายหนุ่มตรงหน้า แต่ความสัมพันธ์ที่หญิงสาวเอ่ยออกมาทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงที่กลางใจ
นี่ผมมาช้าไปงั้นเหรอครับหัวหน้า?
เด็กสาวเมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้แต่กุมมือของเด็กหนุ่มเอาไว้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
อยากพาเด็กหนุ่มหลบออกไปจากสถาณการณ์ตรงหน้านี้
ทั้งที่ได้เจอคนที่เฝ้ารอและผูกพันกันมาแสนนานแล้ว แต่ทุกอย่างกลับมลายหายไป
ก่อนที่เธอจะพาร่างโปร่งหันหลังเดินออกมาเสียงหัวเราะของฮันซี่ก็ระเบิดขึ้นเสียก่อน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โอยยย
ไม่ไหวละชั้นปวดท้อง ดูนายทำหน้าเข้าสิรีไวล์ ฮ่า ฮ่า”
เสียงหัวเราะของฮันซี่ทำให้เด็กทั้งสองแปลกใจ
ยิ่งมองไปเห็นใบหน้าคมที่ทำสีหน้าปุเลี่ยนด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับคนทั้งคู่
“แค่ชั้นเป็นเพื่อนกับยัยตัวประหลาดแบบนี้ก็เหลือเชื่อมากพอแล้ว
อย่าได้คิดเกินเลยกว่านั้นเชียวไอหนู”
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองเด็กทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง
เขาไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดกับการล้อเล่นบ้าๆของคนที่กำลังหัวเราะไม่หยุดข้างๆ
เอเลนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
ความขุ่นมัวในใจถูกพัดหายไป ใบหน้ามนกลับมายิ้มอย่างร่าเริงอีกครั้ง
“แต่คุณฮันซี่เป็นอาจารย์ที่ดีมากๆเลยนะครับ
และเธอก็ยังเก่งหลายด้านด้วย” อย่างเหตุการณ์วันนี้ก็ทำให้เอเลนรู้ว่านักวิชาการไม่ได้มีแต่พวกที่หมกมุ่นอยู่แต่กับตำราและการทดลองจนร่างกายเสียสุขภาพ
เพราะหญิงสาวคนนี้แข็งแกร่งถึงขนาดล้มผู้ชายตัวโตได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
“ก็เพราะยังพอมีข้อดีอยู่บ้างนั้นแหละ
เลยทำให้ต้องร่วมงานกันบ่อยๆ”
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองไปยังร่างโปร่งของหญิงสาวเพื่อนสนิทอย่างเอือมระอา
เพราะรู้ดีว่าฮันซี่นั้นมีความสามารถจนทำให้กรมตำรวจต้องมาอาศัยพึ่งพาบ่อยๆ
จะติดก็แค่นิสัยเพี้ยนๆของเจ้าตัวที่แก้ไม่หายจนหลายครั้งที่ร่วมงานกันทำให้เขารู้สึกขยาดไม่ได้
“คุณฮันซี่ช่วยงานในกรมตำรวจด้วยเหรอครับ?”
ใบหน้ามนถามอย่างแปลกใจ
“ใช่แล้วล่ะ
โดนขอร้องให้ไปช่วยน่ะ ทำตั้งแต่วิเคราะห์คดี ชันสูตรศพ
บางครั้งก็ลงพื้นที่ด้วยนะ” หญิงสาวตอบอย่างภาคภูมิใจกับความสามารถของตนเอง
“เอ๋
แล้วคุณฮันซี่สามารถทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ
อย่างชันสูตรศพนี่มันต้องมีใบอนุญาติและต้องจบทางนิติเวช มาไม่ใช่เหรอครับ
แต่คุณฮันซี่สอนเรื่องประวัติศาสตร์ในมหาลัยนี่นา?” ใบหน้ามนมองหญฺงสาวอย่างสงสัย
เพราะงานที่เธอไปช่วยนั้นเป็นงานเฉพาะทางทั้งนั้นซึ่งถ้าไม่มีใบประกอบศิลป์หรือใบอนุญาตยืนยันแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันได้ง่าย
นิ้วชี้เรียวแกว่งไปมา
พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของหญิงสาวสวมแว่นหนา “ No No
พวกเธอไม่รู้อะไรซะแล้วคงไม่เคยอ่านประวัติอาจารย์กันเลยสินะ นอกจากชั้นจะจบด้านอักษรศาสตร์เอกประวัติศาสตร์แล้ว
ชั้นยังจบทางแพทย์ศัลยกรรม นิติเวชวิทยา สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์
โดยเฉพาะเอกด้านอาชญากรรม มีแพทย์ทหาร รวมทั้งใบอนุญาตอื่นๆอีกกว่าสิบสาขาเลยนะ
ชั้นมีกระทั่งใบอนุญาตขับเครื่องบินด้วยล่ะ แต่ในมหาลัยชั้นจะรับสอนแค่บางวิชา เพราะงานข้างนอกมันสนุกและท้าทายมากกว่า
แต่การเป็นอาจารย์มหาลัยทำให้มีสิทธิ์หลายๆอย่างดีน่ะ อย่างน้อยก็การใช้ห้องสมุดในมหาลัยฟรีและงบการสนับสนุนการทดลองต่างๆล่ะนะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างให้กับเด็กทั้งสอง
ร่างโปร่งอดคิดไม่ได้ว่าที่เขาว่ากันว่าอัจฉริยะกับคนเพี้ยนต่างกันแค่เส้นด้ายเส้นเดียวดูถ้าจะไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินเลยไปเลย
ยิ่งเมื่อได้เห็นหญิงสาวตรงหน้าที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของจริงที่หาตัวจับได้ยากด้วยแล้ว
จึงไม่แปลกใจเลยว่าสภาพอิดโรยทั้งหลายที่เขาเคยเห็นของหญิงสาวคนนี้จะมาจากการที่ทำทั้งงานในและงานนอกอย่างบ้าคลั่ง
แต่ก็อดที่จะชื่นชมความสามารถของเจ้าตัวไม่ได้จริงๆ
“ก็เพราะอย่างนี้เลยทำให้ต้องทำงานร่วมกันบ่อยๆยังไงล่ะ”
ใบหน้าคมถอนหายใจกับยัยสติเฟื่องข้างตัว
งานปราบปรามอาชญากรรวมทั้งการวิเคราะห์คดีและพิสูจน์หลักฐานของหน่วยทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีและสามารถคลี่คลายได้อย่างรวดเร็วส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหญิงสาวคนนี้นั้นแหละ
“แหะๆ
เหนื่อยหน่อยนะครับ เออ…..ผมดีใจจังครับที่ได้รู้จักคนแข็งแกร่งเช่นคุณครับ
คุณรีไวล์” เอเลนยิ้มให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็ได้เจอเสียที
เขาจะจำอะไรเกี่ยวกับเราได้บ้างไหมนะ? ใบหน้ามนจ้องมองใบหน้าเย็นชาที่เหมือนเฉกเช่นในอดีต
ในใจก็ได้แต่หวังที่จะให้คนตรงหน้าจำเรื่องราวที่ผ่านมาของทั้งสองได้เช่นกัน
หลังจากที่ผมไม่อยู่แล้วคุณเป็นอย่างไรบ้างครับหัวหน้ารีไวล์ คุณมีความสุขรึเปล่า?
แล้วทำไมคุณถึงกลายเป็นผู้ทรยศไปได้กันครับ? คำถามมากมายที่อยากถามแต่ไม่อาจเอ่ยออกไป
เพราะไม่รู้ว่าคนคนนี้จะจดจำเรื่องราวในอดีตที่แสนนานได้รึเปล่า
คิดแล้วก็แอบหวั่นและเหงาอยู่ในใจ
รีไวล์มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา
มือแกร่งเผลอยกขึ้นไปวางบนผมสีน้ำตาลที่รู้สึกคุ้นเคย นัยน์ตาสีมรกตมองด้วยใจที่เต้นระรัว
หรือว่าหัวหน้าจะจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้?
“นายชื่อเอเลนสินะ
ชื่อเหมือนกับ…”
ร่างโปร่งแทบจะหยุดหายใจ
หวังให้คนตรงหน้ามีความทรงจำในอดีตเฉกเช่นเดียวกับตน
“ครับ?”
“ช่างเหมือนกับ…. สุนัขที่ชั้นเคยเลี้ยงไว้”
ความหวังทลายลงตรงหน้าทันที
ตอนนี้ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนตัวเองมีหูและหางงอกออกมา
คำพูดของชายหนุ่มทำให้มิคาสะเพื่อนตั้งแต่เด็กที่คอยเข้าข้างเขาอยู่เสมอยังหลุดขำออกมา
“ยิ่งผมสีน้ำตาลนี้ยิ่งเหมือนเลย”
ใบหน้าคมมองเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าจริงจัง มือแกร่งขยี้ลงบนผมสีน้ำตาลที่เหมือนกับสุนัขที่เขาเคยเลี้ยงไว้อย่างคิดถึง
“แหะๆ
คงเป็นอาเซเชี่ยนที่น่ารักดีนะครับ”
ร่างโปร่งได้แต่เอ่ยถามไปด้วยสีหน้าน้ำตาตกใน
อย่างน้อยคนคนนี้คงพอจำเรื่องราวของเขาได้ล่ะมั่งจึงเอาเขาไปตั้งชื่อสุนัขที่เคยเลี้ยงไว้
คงจะเป็นอาเซเชี่ยนที่ดูเหมาะสมกับชายหนุ่มคนนี้และเป็นสุนัขที่ตำรวจนิยมเลี้ยงไว้ใช้งานสินะ
“อืมน่ารักนะ
แต่เป็นปอมเปอเรเนียนต่างหาก” มือแกร่งยังคงลูบผมสีน้ำตาลอย่างเอ็นดู
ร่างโปร่งแทบเข่าอ่อนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นถนน
นี่นอกจากเขาจะชื่อเหมือนสุนัขที่ชายหนุ่มเคยเลี้ยงไว้ แถมเจ้าสุนัขตัวนั้นยังไม่ใช่อาเซเชี่ยนสุนัขตำรวจที่องอาจ
แต่กลับเป็นเจ้าน้องหมาพันธุ์ปอมเปอเรเนียน
ที่ดูยังไงคนตรงหน้าก็ไม่น่าจะคว้าเอาเจ้าหมาพันธุ์เล็กอย่างนั้นมาเลี้ยงได้เลย
“อ๋อ ใช่ใช่
เอเลนที่เพทราเอามาให้นายเลี้ยงเพราะกลัวจะเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวสินะ ตายไปได้สองปีแล้วมั่ง”
ฮันซี่จ้องมองเด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกตรงหน้าอย่างสนุกสนาน
“ก็เหมือนอยู่น๊า ยิ่งทำหน้าหงอยๆแบบนี้ยิ่งเหมือนใหญ่เลยล่ะเอเลน
ฮ่าฮ่า”
“ผมไม่ชาน้องหมานะครับ
คุณรีไวล์ครับขยี้จนหัวผมยุ่งหมดแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มพยายามดันมือแกร่งที่ขยี้ผมเขาอย่างสนุกสนานออก
แต่มือนั่นกลับยิ่งขยี้ลงมาแรงมากขึ้นก่อนจะยกออกไป
ใบหน้ามนถึงกับทำแก้มป่องใส่ชายหนุ่มอายุมากกว่าที่ทำให้เขาต้องจัดทรงผมตัวเองใหม่ให้เข้าที่
“ชั้นว่าเราต้องไปกันแล้วล่ะฮันซี่
ไม่งั้นห้องข้อมูลจะปิดซะก่อน” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของตน
ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันหยุดแต่งานที่ทำให้เขาต้องออกมาเจอกับหญิงสาวตรงหน้าก็ทำให้เขายังคงต้องกลับไปที่สำนักงานเพื่อทำสำนวนคดีอยู่ดี
“นั่นสินะ
แล้วไว้เจอกันนะ” หญิงสาวโบกมือลาเด็กทั้งสองคน แล้วเตรียมหันหลังเดินจากไปแต่เด็กหนุ่มคว้าจับชายเสื้อของรีไวล์ไว้เสียก่อน
จึงทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักฝีเท้าและมองมาอย่างสงสัย
“อ…เออ คือผมอยากเจอคุณอีกจะได้ไหมครับ?”
นัยน์ตาสีมรกตมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเว้าวอน ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้ว
ทั้งที่อยากรู้จักและอยากคุยเรื่องราวต่างๆอีกมากมายแต่ดูเหมือนจะยากเสียเหลือเกิน
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย
ทั้งที่ปกติเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับตัวเอง
และออกจะเป็นคนขี้รำคาญเมื่อเจอคนแปลกหน้า
แต่กับเด็กหนุ่มคนนี้เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นด้วยเลย
แต่ถึงกระนั่นก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาต้องมาเจอเจ้าเด็กนี่อีก “ก็…ถ้ามีโอกาสล่ะก็นะ”
เอเลนส่งยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่มอีกครั้ง
ก่อนที่รีไวล์และฮันซี่จะเดินจากไป
เด็กสาวเดินเข้ามากุมมือร่างโปร่งที่ยังคงมองจ้องแผ่นหลังของทั้งคู่ที่กำลังเดินจากไป
“นายไม่เป็นไรนะเอเลน?”
มิคาสะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอกมิคาสะ
ชั้นจะพยายาม… เขาคงจะนึกออกในสักวัน”
เด็กหนุ่มยิ้มให้เด็กสาวแม้รอยยิ้มนั่นจะดูเหงาแต่ก็ยังไม่หมดสิ้นซึ่งความหวัง
“ชั้นเข้าใจแล้วล่ะตอนที่เธอต้องมองชั้นโดยที่ไม่สามารถเล่าอะไรได้เลยเป็นยังไง
คราวนี้ถึงคราวที่ชั้นต้องพยายามมั่งแล้วล่ะ”
กว่าที่เขาจะรับรู้ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเด็กสาวที่คอยเฝ้ามองและอยู่ข้างกายเขามาตลอดคงมีหลายครั้งที่อัดอั้นใจและอยากบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานั้นให้เขาได้รับรู้
แต่ไม่อาจทำได้เพราะมันคือสิ่งที่ยากจะเชื่อได้ถึงความอัศจรรย์ของเรื่องราวและสายสัมพันธ์ที่มีมาให้แก่กันตั้งแต่ในอดีตกาล
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่ฝังแน่นลึกซึ้งของเขากับชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งคงยากที่จะเอ่ยให้อีกคนได้รับรู้
หวังเพียงว่าสักวันคนคนนั้นจะนึกเรื่องราวที่ถูกเก็บงำไว้ในส่วนลึกของจิตใจออกได้บ้าง
คราวนี้ล่ะเขาจะขอไขว่คว้าความสุขและคนตรงหน้านี้ที่ในที่สุดเขาก็ได้พบเจอเสียที
และคราวนี้เขาก็จะขอมอบความสุขให้โดยที่ไม่ต้องทำให้คนนี้ต้องเจ็บปวดเหมือนเช่นที่เขาได้ทำไว้ในอดีตที่ผ่านมา
ในรถเฟอร์รารี่สีดำมันวาวที่กำลังแล่นไปยังออฟฟิศสำนักงานส่วนกลางของกรมตำรวจ
หญิงสาวมองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิทที่คุ้นเคย แล้วอดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาไม่ได้
ทำให้คนเฉยชาที่กำลังขับรถเริ่มรู้สึกรำคาญใจ
“เธอยิ้มอะไรน่าขนลุกน่ะฮันซี่”
รีไวล์เอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นว่าคนนั่งด้านข้างไม่มีทีท่าที่จะหยุดมองและส่งยิ้มแปลกๆมาทางเขาเสียที
“
ก็กำลังคิดว่าหนุ่มสุดแกร่งแสนจะเย็นชาแบบนายกำลังสนใจเด็กหนุ่มในสังกัดของชั้นรึเปล่าน่ะสิ"
คำพูดของฮันซี่ทำให้ใบหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“แหม
ก็ปกตินายเป็นพวกขี้รำคาญยิ่งกับคนเพิ่มเจอกันนายก็แทบจะไม่สานความสัมพันธ์ต่อกับใคร
แต่พอเอเลนบอกว่าอยากเจอนายอีกนายเพียงแค่ไม่หันกลับอย่างไม่สนใจนะ
แต่ยังตอบกลับไปว่าถ้ามีโอกาส…
บอกตามตรงชั้นที่เป็นเพื่อนนายมานานอดแปลกใจไม่ได้จริงๆ แต่ก็พอเข้าใจนะเวลาเห็นเอเลนและเด็กพวกนั้นมันเหมือนกับได้เจอเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนานเลย
นายเองก็คงรู้สึกอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ เหมือนตอนที่ชั้นเจอนาย เอลวิน และทุกๆคน”
ฮันซี่นึกถึงความรู้สึกที่ได้เจอกับคนอื่นๆรวมทั้งคนที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆตัวเธอด้วยเช่นกัน
ความรู้สึกยินดีที่ได้เจอ
ความรู้สึกที่อยากก้าวเดินไปข้างหน้าและเห็นสิ่งต่างๆด้วยกัน
“คงจะเป็นอย่างนั้น” ทั้งที่เจอเด็กคนนั้นเป็นครั้งแรก
แต่กลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคย และอยากที่จะสัมผัสร่างโปร่งที่อยู่เบื้องหน้า
อะไรบางอย่างที่อยู่ในใจร่ำร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว พอรู้สึกตัวอีกทีก็ยื่นมือไปลูบผมสีน้ำตาลนั่นอย่างโหยหาเสียแล้ว
“รีไวล์
บางทีที่นายสนใจเอเลนอาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้นะ” หญิงสาวมองหน้าเพื่อนรักของตนอย่างแฝงความนัยน์
เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่คนตรงหน้านี้ให้ความสนใจกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันโดยไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน
“หืม?
พรหมลิขิตอะไรของเธอ ชั้นกับเด็กนั่นคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วด้วยซ้ำ” แม้จะรู้สึกติดใจเด็กหนุ่มคนนั้นขนาดไหน
แต่ด้วยสภาพสังคมที่ต่างกันก็ยากที่จะทำให้เขาทั้งสองคนมีโอกาสได้เจอกันอีก
เพราะอีกฝ่ายก็เป็นเพียงแค่เด็กนักศึกษา
เด็กหนุ่มที่ยังคงใช้ชีวิตตามประสาวัยเรียนและสนุกสนานกับเพื่อนฝูงไม่ได้มีวี่แววว่าจะเข้ามาผัวพันกับงานตำรวจเฉกเช่นเขาได้เลย
เว้นเสียแต่ว่าเกิดคดีขึ้นในมหาลัยล่ะก็นะ
แต่ถึงอย่างนั่นก็ใช่ว่าจะได้เจอหรือยุ่งเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นเสียหน่อย
ฮันซี่ได้แต่หัวเราะในลำคอกับคำพูดของเพื่อนรักของตน
“นายนี่ไม่รู้อะไรสักเลยนะสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิตน่ะมันมีแรงดึงดูดที่มหัศจรรย์มากเลยนะรู้ไหม”
ต่อให้พรหมไม่ลิขิตแต่จากแววตาและใบหน้าของเอเลนก่อนจากมาที่เธอได้เห็นทำให้เธอคาดเดาได้ว่า
เด็กหนุ่มคงได้ลิขิตชะตาชีวิตตนเองกับชายหนุ่มแข็งแกร่งคนนี้เรียบร้อยแล้ว
และด้วยความที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวความเลือดร้อนและความบ้าบิ่นยังคงมีอยู่มากทำให้เธออดที่จะคอยลุ้นเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปไม่ได้
อยากรู้จริงๆเลยนะชายผู้แข็งแกร่งที่เฉยชาอย่างนายจะมีวิธีการรับมือกับพรหมลิขิต
เอ๊ะหรือจะเป็นเอเลนลิขิตกันนะ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนชั้นก็อยากรู้จริงๆเลยว่านายจะทำยังไงนะ รีไวล์……
.
.
.
เส้นขนานที่เดินทางข้ามผ่านกาลเวลามายาวนานในที่สุดก็ได้มาบรรจบกัน
เส้นหนึ่งคือเรื่องราวที่อยากจะสานต่อและทักทอเส้นทางข้างหน้าไปด้วยกัน
เส้นหนึ่งคือสายใยของเรื่องราวใหม่ที่อยากผูกและสานสัมพันธ์ให้ลึกล้ำเพื่อก้าวเดิน
เหล่าคนที่อยู่ท่ามกลางเส้นทางของความผูกพันที่หลากลายนี้
ท้ายที่สุดแล้วเส้นทางที่ถูกเลือกและสานต่อจะเป็นทางใด?
TBC.
เป็นมุขที่ทำเอาช็อคไปเลย
ตอบลบตอนที่ฮันซี่บอกว่าเป็นแฟนกับรีไว
ปิดหน้าจอคอม ลุกขึ้นไปเข้าครัวทำอาหารระบายความเครียด
ในหัวมโนเรื่องไว้มากๆ พอกลับมากลั้นใจเลื่อนไปดูอีกบรรทัดหนึ่ง
นั่งสตันไป 30 วินาที....
แล้วนี้ตรูจะเครียดเพื่อ !????
Orz
พรวดดดดด ขอโทษที่เเอบตัดอารมณ์นะคะฮาๆๆๆๆ(หัวเราะเเบบฮันซี่)
ลบในที่สุดก็ได้เจอกันซักที! เอเลนออกตัวแรงมากค่ะลูกกก แต่เข้าใจว่าด้านได้อายอดใช่มั้ยคะ 5555555 บอกตรงๆตอนฮันซี่บอกรีไลเป็นแฟนนี่เบิกตาช็อคไป3วิ ตามด้วยคำว่า ห๊ะ?!
ตอบลบ