วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 2



Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 2
                ถึงแม้เอเลนจะออกจากโรงพยาบาลมาได้ 3 วันแล้ว แต่เขาก็ยังคงวิ่งวุ่นกับการทำรายงานกับกลุ่มเพื่อนที่ดูท่าจะไม่จบสื้นลงเสียง่ายๆ และยิ่งกำหนดส่งใกล้เข้ามาด้วยแล้วยิ่งทำให้เขาและเพื่อนๆนั้นแทบจะเรียกได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอกเลยทีเดียว เพราะทุกวันนี้คลุกอยู่แต่ในห้องทำงานของบ้านเยเกอร์ที่ตอนนี้แลดูจะเป็นห้องนอนรวมเพราะมีบรรดาเครื่องนอนและหมอนวางอยู่ตามมุมต่างๆของพื้นห้อง รวมทั้งร่างโปร่งเองก็ขนอุปกรณ์การนอนจากห้องนอนตนเองมานอนรวมกับเพื่อนคนอื่นๆเช่นกัน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นบ้านของเขาแต่การที่จะแอบหนีขึ้นไปนอนบนห้องคนเดียวก็ดูจะเป็นการเอาเปรียบเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมไปเสียหน่อย ยิ่งพวกเขามีโอกาสได้ออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และบรรดากองหนังสือก็แค่ช่วงเวลาที่มารดาเรียกเขาและเพื่อนๆไปทานข้าวเท่านั้น แต่ก็นับว่ายังดีกว่าบรรดาเพื่อนคนอื่นๆ ที่ตลอดสามวันมานี้ไม่ได้กลับบ้านของตนเองเลย  ส่วนมิคาสะเนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านติดกันมาตั้งแต่จำความได้ เลยทำให้ไม่ได้รู้สึกต่างไปจากเดิม ถ้านี่ไม่ติดว่าหัวข้อ“ไททันและกำแพงแห่งชีวิต” เป็นหัวข้อโปรดของ ดร.ฮันซี่ แล้วพวกเขาคงสรุปรายงานกันได้ง่ายกว่านี้  จากการยื่นหัวข้อเสนอที่จะทำและสายตาของความคาดหวังที่อาจารย์เจ้าของวิชาที่ส่งมานั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันไม่น้อยทีเดียว
“พวกนายคิดว่ายังไง ถ้าเราต้องอาศัยอยู่ภายในกำแพงแบบเรื่องที่เรากำลังทำรายงานอยู่ แม้แต่ทะเลยังไม่ได้เห็นเลย ฉันว่ามันดูน่าหดหู่จังนะ แต่ก็อาจจะเป็นชีวิตที่สบายกว่าที่คิดก็ได้”ประเด็นจากแจนทำให้ทุกคนในห้องหันมาให้ความสนใจ โดยเฉพาะเมื่ออาร์มินบอกว่าเราควรเอาความคิดของเราจากการศึกษาเรื่องนี้ใส่สรุปลงไปด้วยเลยยิ่งทำให้เกิดประเด็นข้อคิดต่างๆขึ้นมา
“ผมว่าถ้าเป็นผมถึงแม้การอยู่แบบนั้นจะฟังดูเหมือนสบายและไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่ผมมองว่ามันเป็นการยัดเยียดความคิดและความกลัวให้กับมนุษย์มากขึ้นมากกว่า  ผมคงพยายามคิดค้นหาหนทางเพื่อให้มนุษย์ออกไปยังโลกภายนอก และเพื่อศึกษาสิ่งที่อยู่ภายนอกนั้น ซึ่งต่อให้ต้องเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับไททันก็ตาม” คำพูดของอาร์มินที่ออกมานั้นทำให้ทุกคนในห้องถึงกับแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่ตัวเล็กและดูอ่อนแอที่สุดในกลุ่มอย่าง อาร์มินอัลเรลโต จะมีความคิดที่กล้าหาญได้ขนาดนี้ โดยปกติตัวเขาเองจะเป็นคนที่ชอบค้นคว้าศึกษาสิ่งต่างๆ และนั้นอาจจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาอยากที่จะออกไปเผชิญสิ่งใหม่ๆก็เป็นได้
“สำหรับฉัน ฉันคงพยายามไขว่คว้าหาอิสรภาพมากกว่าที่จะต้องยอมทนอยู่ในโลกแคบๆแบบนั้น ฉันคงอยากเห็นโลกที่กว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น โลกที่อยู่ภายนอกของกำแพง  และฉันคงจะพยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุด เพราะถ้าไม่มีใครสักคนที่สานต่อความฝันก็คงไม่มีทางเป็นความจริงได้ ” นัยน์ตาสีมรกตตอบ เขานึกถึงความฝันที่เกิดขึ้นที่หอสมุดในวันนั้น ภาพตัวเขาเองอีกคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกที่อยู่ภายใต้กำแพง ความน่าอับอายของมนุษยชาติในวันที่กำแพงถูกทำลาย ซึ่งในความฝันนั้นตัวเขาเองก็อยู่ที่นั้นด้วย มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญและตะกอนความคิดจากการทำรายงาน แต่เขาก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจ  บางทีบันทึกปกดำที่มีชื่อของเขาอยู่นั้นอาจจะทำให้ความขุ่นมัวในจิตใจของเขาหายไปได้บ้าง  แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มีเวลาสนใจอะไรนอกเหนือจากรายงานตรงหน้านี้
“สำหรับฉัน ถ้าเอเลนตัดสินใจจะสู้ ฉันก็คงสู้ด้วยเช่นเดียวกัน  เพราะไม่ว่าเมื่อไร โลกก็โหดร้ายเสมอ” มิคาสะหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มตอบบ้าง นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องไปยังนัยน์ตาสีมรกตอย่างแน่วแน่  หลายครั้งที่เอเลนอดคิดไม่ได้ว่า ที่จริงแล้วหญิงสาวตรงหน้านี้มีอะไรต้องการบอกเขา แต่ทุกครั้งที่เขาถามออกไปก็จะได้คำตอบกลับมาเพียงแต่ว่า  “ไม่มีอะไร  บางทีการที่เธอไม่รู้คงจะดีเสียกว่า”  และนั่นก็ทำให้เขาไม่คาดคั้นอะไรจากเธออีก เพราะโดยปกติเมื่อเขาถามอะไรมิคาสะก็ยินดีจะตอบคำถามเขาเสมอ  แต่การที่เธอพยายามเลี่ยงที่จะไม่ตอบนั้นแสดงว่าเธอคงไม่อยากพูดถึงจริงๆ
“ดูเหมือนเราจะรวบรวมข้อมูลได้มากพอที่จะทำให้ อาจารย์ฮันซี่ พอใจได้แล้วล่ะนะ” ชายหนุ่มผู้สูงที่สุดในกลุ่มกล่าว เบลทรูธและไรเนอร์อาสาที่จะนำรายงานทั้งหมดไปเข้าเล่มที่ร้านแถวหน้ามหาลัย ซึ่งเป็นทางที่เด็กหออย่างพวกเขาต้องผ่าน
ในที่สุดการทำรายงานแบบมาราธอนตลอดสัปดาห์ก็สิ้นสุดลง ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปยังบ้านและหอพักของตนตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ยกเว้นก็แต่คุณชายแจนที่อ้างว่าง่วงนอนเกินกว่าจะขับรถกลับเองได้ไหว เลยขออาศัยพักที่บ้านของร่างโปร่งอีกคืน และนั้นทำให้มิคาสะแทบจะขนย้ายสำมะโนครัวมายังห้องนอนของเขา ถึงแม้เขากับมิคาสะจะนอนเตียงเดียวด้วยกันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่เด็กเพราะผูกพันธ์เสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว และรวมทั้งตลอดระยะเวลาที่ต้องทำรายงานทำให้เธอต้องอยู่ในห้องที่มีแต่ชายหนุ่มแต่เพราะเป็นเรื่องของงานเลยเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่การที่หญิงสาวจะเข้ามานอนในห้องนอนของชายหนุ่มตอนกลางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้มีชายหนุ่มถึงสองคนด้วยแล้วเห็นจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก ถึงแม้มิคาสะจะบอกว่านายแจนนั้นไม่น่าไว้ใจ เขาก็ไม่เข้าใจว่าไม่น่าไว้ใจตรงไหน เพราะถ้าเทียบกันแล้วบ้านทางคุณชายแจนนั้นแลดูจะมีสมบัติมากกว่าเขา  และคนอย่างคุณชายแจนเองนอกจากเรื่องปากที่พูดไม่ค่อยเข้าหูเขาแล้วก็ดูไม่น่าจะมีนิสัยชอบขโมยของชาวบ้านเขา กว่ามิคาสะจะยอมกลับไปก็ด้วยเกรงใจมารดาของเขาที่ต้องเข้ามาเป็นคนปรามเอาไว้เองก็ทำให้เวลาผ่านไปจนถึงสี่ทุ่มแล้ว
“แจนแกลงไปนอนที่พื้นเลย” ร่างโปร่งโยนหมอนลงไปบนฟูกนอน และเริ่มจัดแจงที่นอนของตัวเอง ต้องนอนในห้องทำงานมาตั้งหลายวัน  แล้วในเมื่อวันนี้จะได้นอนสบายๆบนเตียงของตัวเองสักทีทำไมเขาต้องมาแบ่งนอนกับอีกคนด้วยล่ะ ต่อให้เตียงของเขาจะนอนสองคนได้สบายๆก็เถอะนะ
“อะไรวะ เตียงแกก็ออกจะกว้าง” ร่างสูงที่เดินออกมาจากห้องน้ำแอบบ่น แต่เขาก็ยอมลงไปนั่งอยู่บนฟูกที่จัดเตรียมไว้ให้แต่โดยดี นี่ถ้าไม่เห็นว่ามาพึ่งพาบ้านร่างโปร่งตรงหน้าเสียหลายวันเขาคงไม่ยอมตกลงง่ายๆหรอก
“ก็นายไม่ยอมกลับบ้านของนายเองนี่ แล้วผมก็ไปเป่าให้แห้งด้วยนะเดี๋ยวหมอนฉันขึ้นราฉันจะให้แกซื้อให้ใหม่” เอเลนรีบไล่คนตรงหน้าไปเป่าผมจากที่ดูเหมือนว่าร่างสูงเจ้าของผมสีน้ำตาลที่เปียกชื้นนั้นจะล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น
“นายนี่เรื่องมากจริงๆเลยนะ อย่าให้ถึงคราวฉันบ้างละกัน” แจนลุกขึ้นไปหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาจัดแจงตนเองจนเห็นว่าผมตนนั้นแห้งสนิทดีแล้วก่อนจะกลับมายังที่นอนของตนอีกครั้ง “ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา”
คำถามที่ถามมาจากคนตรงหน้าทำเอานัยน์ตาสีมรกตรู้สึกแปลกใจ เขาไม่คิดว่าร่างสูงจะนึกห่วงเขาบ้างเหมือนกัน
“ไม่ยักรู้ว่านายเป็นห่วงชั้นด้วย” คำตอบของใบหน้ามนทำให้ร่างสูงหน้าขึ้นสี
“ใครห่วงนาย ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นกลัวมิคาสะอัดต่างหากล่ะ!!!” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนรีบล้มตัวลงนอนใบหน้าซุกเข้าไปในผ้านวมผืนหนา “ชั้นจะนอนแล้วนายปิดไฟด้วยล่ะ”
“อะไรของนายวะ แจน” ร่างโปร่งแอบหงุดหงิดกับการกระทำของคู่กัดตกลงนี่ใครเป็นคนมาอาศัยกันแน่เนี่ย
ใบหน้ามนเอื้อมมือเปิดไฟบนหัวเตียงก่อนลุกขึ้นไปปิดไฟในห้อง มือเรียวเปิดลิ้นชักและหยิบบันทึกปกดำที่มีชื่อที่เหมือนกับเขาสลักอยู่บนหน้าปก ใบหน้ามนผลิกหน้ากระดาษหมายจะอ่านบันทึกนั้น ก็พลันเกิดอาการง่วงเข้าครอบงำ เปลือกตาค่อยๆหนักอึ้งเกินกว่าจะต้านไหว แล้วนัยน์ตาสีมรกตก็ได้ตกลงสู่ห้วงนิทราฉับพลัน
,
,
,
,
,
,

,
,
,
,
เคร้ง!!  เสียงโลหะที่หนักอึ้งกระทบกัน  นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆปรือขึ้น  ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำ เขารู้สึกร่างทั้งร่างหนักเหมือนกับว่าเพิ่งผ่านการถูกใช้แรงงานหรือไปวิ่งรอบสนามมาสักสิบรอบอย่างนั้นแหละ  ร่างโปร่งเริ่มได้สติใบหน้ามนจึงได้เห็นว่าข้อมือ และข้อเท้าของตนนั้นถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เหล็กหนาแข็งแกร่ง แล้วทำไมเขาถึงต้องถูกพันธนาการไว้อย่างนี้ด้วยล่ะ เขาได้ทำความผิดอะไรที่ร้ายแรงถึงขนาดต้องล่ามกันไว้อย่างนี้เลยหรือไง
“เอเลน มีคำถามอะไรจะถามไหม?”  เสียงของชายวัยกลางคนที่ดูสุภาพและเป็นมิตรเข้ามาในโสตประสาท  ชายคนตรงหน้าผู้มีใบหน้าดูสุขุมอ่อนโยน และเรือนผมสีทองตัดรองทรงนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารที่เหมือนกับเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ที่เขาได้ทำรายงานไป อีกทั้งชายอีกคนที่แลดูจะสูงน้อยกว่าเขาเล็กน้อยแต่ทว่ากลับดูแข็งแกร่งจ้องมองตรงมาที่เขา นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่ดูติดจะเย็นชาและใบหน้าที่แสดงที่ความไร้อารมณ์นั้นกลับทำให้บางอย่างภายในจิตใจชองเขาสั่นไหว
“เออคือว่า    ที่นี้ที่ไหนครับ?” แล้วทำไมเขาถึงได้โดนล่ามเหมือนกับเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเยี่ยงนี้
“ก็อย่างที่เห็นมันคือ คุกใต้ดิน ตอนนี้ด้วยสภาพของเธอกองสารวัตรทหารจะเป็นผู้รับผิดชอบ” อะไรนะคุกใต้ดินอย่างนั้นเหรอ เขาจำได้ว่าเขาอยู่ในห้องนอนของตนเอง……ไม่สิมันเหมือนกับตอนนั้นเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หอสมุด  นี่เขากำลังอยู่ในความทรงจำของบันทึกปกดำเล่มนั้นภาพเหตุการณ์ทั้งหลายถูกอัดแน่นเข้าสู่สมองและความทรงจำของเขาอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นเขากลายร่างเป็นไททันเพื่อช่วยปกป้องเพื่อน ใช่แล้วตัวเขาเองก็เป็นไททันเช่นเดียวกัน
“เฮ้ย รีบๆตอบมาซะสิไอ้หนู สิ่งที่แกอยากจะทำคืออะไร?” คำถามจากชายร่างเล็กตรงหน้าทำให้นัยน์ตาสีมรกตเงยมองไปตามต้นเสียง เสียงที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว
“เข้าสังกัดทีมสำรวจ และฆ่าไททันให้หมดครับ” นั้นคือปณิธานที่แน่วแน่ของเขาไม่ว่าเมื่อไรก็ตามเขาต้องกำจัดไททันพวกนั้นให้หมดไปจากโลกใบนี้
“โฮ่ ไม่เลว เอลวิน เรื่องดูแลเจ้านี่ฉันจัดการเองช่วยแจ้งทางเบื้องบนให้หน่อยนะ ฉันไม่เชื่อใจไอเด็กนี้หรอก ถ้าเกิดมันหักหลังหรืออาละวาดขึ้นมาฉันจะฆ่ามันทันทีไม่มีใครเหมาะกับหน้าที่นี้เท่าฉันอีกแล้ว” ชายผมดำเดินเข้ามาจับยังลูกกรงเบื้องหน้า นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองเขาด้วยประกายแววตาที่เหมือนเหยี่ยวจับจ้องมองเหยื่อ  ตัวเขาเองรู้ดีว่าชายผู้อยู่ตรงหน้านี้เก่งกาจเพียงไร และมีจิตใจที่แน่วแน่เพียงไหน ถ้ามีอะไรผิดพลาดเขารู้ได้เลยว่าชายผู้นี้สามารถสังหารเขาได้อย่างแน่นอน  และนั่นกลับทำให้หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ราวกับว่าชายตรงหน้านี้มีอิทธิพลต่อตัวเขาเป็นอย่างมาก ชายผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาเย็นชาและใบหน้านิ่งเฉย หัวหน้าทหารรีไว
ดูเหมือนเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาในครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น  ความรู้สึกและความทรงจำที่อยู่ในสมุดบันทึกเชื่อมโยงกับความรู้สึกของเขา  เหมือนกับว่าตัวเขาและ เอเลน เยเกอร์ ในบันทึกนี้เป็นคนคนเดียวกัน  ราวกับว่าจิตวิญญาณของเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของเอเลน  เยเกอร์ในบันทึก เพราะทุกครั้งที่เอเลนในบันทึกนึกคิด หรือโต้ตอบอะไรออกไป ก็เสมือนกับว่าตัวเขาเองเป็นคนกระทำลงไปเองจริงๆ มันไม่เหมือนกับการดูหนังสักเรื่องและผู้ดูมีความรู้สึกร่วมตาม แต่เหมือนกับว่าตัวเขาเองเป็นผู้แสดงเพราะความรู้สึก ความเจ็บปวดที่เอเลนได้รับก็ถูกถ่ายทอดมายังตัวของเขาเองเช่นกันราวตัวเขาและเอเลนในบันทึกนี้ป็นคนคนเดียวกันและมีจิตวิญญาณเดียวกัน

“นี่คือสิ่งที่จะทำให้นายจดจำ  ฉันคิดว่าการอบรมสั่งสอนที่ดีที่สุดคือ  ให้รับรู้ความเจ็บปวด สิ่งที่จำเป็นสำหรับนายในตอนนี้ไม่ใช่การเรียนรู้ด้วยคำพูด แต่เป็นการสั่งสอน  และใบหน้าของนายก็อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะจะโดนเตะพอดี” ความเจ็บแล่นเข้าทุกสัมผัส ใบหน้ามนบอบช้ำ โลหิตสีแดงหลั่งรินหยดลงตามพื้น นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองชายผู้แข็งแกร่งตรงหน้าสายตาของความเดือดดาลจากความเจ็บปวดที่ได้รับ และนั้นยิ่งทำให้ชายผู้มีใบหน้าเฉยชาเจ้าของนัยน์ตาสีขี้เถ้าแสนเย็นชานั้นยิ่งกระหน่ำเตะเขาอีกชุดใหญ่นี่ตัวเขากำลังโดนอัดเป็นกระสอบทรายในชั้นศาลระหว่างพิจารณาคดีของตัวเขาเองแบบนี้มันไม่ตลกเลยนะ
“เดี๋ยวก่อนรีไว  มันอันตรายนะ”  ชายผู้อยู่ในชุดเครื่องแบบของสารวัตรทหารรีบกล่าวเตือนการกระทำที่ดูอุกอาจของชายร่างเล็กแต่แข็งแกร่งตรงหน้า
“อยากตรวจหมอนี่ให้ละเอียดไม่ใช่เหรอ?  ตอนที่ไอเด็กนี้แปลงร่างเป็นไททันเหมือนจะฆ่าไททันไป 20 ตัวก่อนที่จะหมดแรง ถ้าเป็นศัตรูส่วนที่เป็นสติปัญญาคงเป็นปัญหา  แต่ถ้าไม่ใช่ศัตรู พวกนายจะทำยังไงล่ะ คิดให้ดีนะว่าจะให้ฆ่าไอเด็กนี้ไหม?” คำกล่าวของชายร่างเล็กส่งผลให้คนที่อยู่ในชั้นศาลเริ่มมองถึงความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากตัวเขามากขึ้น  รวมทั้งคำพูดสนับสนุนจาก หัวหน้าหน่วย เอลวินสมิธซึ่งทำให้สถาณการณ์ของตัวเขาดูเหมือนจะดีขึ้นบ้าง
“เธอทำได้จริงรึ  รีไว?”  ชายผู้มียศสูงสุดในชั้นศาลเอ๋ยถามถึงความแน่ใจในการควบคุมและจัดการตัวเขากับชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งและเก่งกาจที่สุดของมนุษยชาติ
“ถ้าเป็นเรื่องฆ่าเขาล่ะก็ทำได้แน่ครับ” คำตอบจากชายผู้แข็งแกร่งทำให้หัวใจของใบหน้ามนกระตุกวูบ ใบหน้ารู้สึกด้านฉาขึ้นมาฉับพลัน ถึงแม้ตัวเขาจะรู้อยู่แล้วว่าชายคนนี้เป็นคนที่เด็ดขาดและแข็งแกร่งที่จะไม่ลังเลในการฆ่าเขามาตั้งแต่ต้นก็ตาม แต่กลับเหมือนมีเศษกระจกเล็กๆที่บาดเข้าไปและฝังอยู่ในจิตใจจากคำพูดของชายตรงหน้านี้

ในห้องพักของทหารหน่วยสำรวจหลังจากผลสรุปของชั้นศาลได้ทำให้ตัวเขาได้สังกัดเข้าทีมสำรวจอย่างที่ต้องการ ใบหน้ามนค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำประคบรอยแผลและรอยฟกช้ำบนใบหน้า  บางทีการเข้าทีมสำรวจอาจทำให้เขาต้องตายก่อนที่จะได้ออกไปสู้กับพวกไททันมากกว่า
“เฮ้ยเอเลน  เกลียดฉันรึเปล่า?”ชายร่างเล็กแต่กำยำเข้ามานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขา ถึงใบหน้านั้นจะดูเหมือนไม่ได้สนใจที่จะฟังคำตอบของเขาจริงจัง  แต่น้ำเสียงที่เอ๋ยถามออกมานั้นฟังดูหนักแน่นและแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนจากเจ้าตัวผู้เป็นเจ้าของใบหน้าเฉยชาตลอดเวลา
“ไม่ครับ  ผมเข้าใจว่าต้องทำให้สมจริง” ร่างโปร่งเอ๋ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ที่จริงจากการกระทำที่ดูจะไร้เหตุผลไปสักหน่อยในชั้นศาลนั้นมันควรทำให้เขารู้สึกไม่พอใจชายตรงหน้า แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นไม่รู้ทำไมต่อให้คนคนนี้จะทำอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้นหรือถ้าสักวันคนตรงหน้าเขาตรงนี้จะต้องเป็นคนที่สังหารเขาจริงๆ เขาก็รู้สึกว่าคงไม่สามารถที่จะเกลียดหัวหน้าทหารรีไว คนนี้ได้เลย
.
.
.
.
.
.
.
.”เอเลน  เฮ้ย!! ตื่นสิวะ”  ใบหน้ามนลืมตาจากเสียงเรียกของเพื่อนร่วมห้องของเขา
“เหวอออ!!  แจนแกยื่นหน้ามาใกล้ไปแล้ว ตกใจหมด!!!” เมื่อร่างโปร่งได้สติเขารีบผลักเพื่อนผู้ดูเหมือนจะหวังดีกระเด็นตกเตียงด้วยความตกใจ  ใครใช้ให้แจนยื่นหน้ามาใกล้เขาตอนเพิ่งตื่นล่ะ  ใบหน้ายาวที่เหมือนม้านั้นเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้นแหละ
“ไรวะ คนอุส่าห์หวังดีนึกว่าฝันร้าย  เห็นนอนร้องครางยังกับโดนทรมานอยู่นั้นแหละ” ชายหนุ่มผู้หวังดีบ่นร่างโปร่งตรงหน้า ดูท่าเขาจะทำบุญกับใครไม่ขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะกับนายเอเลน เยเกอร์ คนนี้
“ก็นายทำฉันตกใจนี่หว่า  ว่าแต่นี่กี่โมงแล้ว?” ร่างโปรงควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลา “ตีสาม!!! แกจะปลุกฉันขึ้นมาทำไมวะเนี่ยไอคุณแจน!!  นี่มันตีสามนะแสดงว่าเขาเพิ่งหลับไปได้ยังไม่ถึงแปดชั่วโมงเลยด้วยซ้ำแถมพรุ่งนี้ต้องมีเรียนเช้าอีกด้วย ไอเจ้าหน้าม้านี่ทำเขาเสียเวลานอนจริงๆ
“ก็นายเอาแต่ครางจนชั้นตื่นเนี่ยแหละ ว่าแต่นายเถอะตกลงฝันร้ายรึไง?” ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่ดูเหมือนจะทรมาณของคนตรงหน้านี่เขาก็ไม่ตื่นขึ้นมาให้ถูกบ่นหรอก
ใบหน้ามนไม่ตอบคำถามของร่างสูง ความรู้สึกหวั่นไหวในใจยังคงติดอยู่ รวมทั้งนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่แสนจะเย็นชานั้นก็ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาเช่นกัน  ทำไมเขาถึงได้รู้สึกติดใจกับนัยน์ตาคู่นั้นรวมทั้งคนที่ชื่อ  รีไว  คนนั้นขนาดนี้กันนะ
“นายขึ้นมานอนบนเตียงไหมแจน?”  ใบหน้ามนเอ๋ยถามพลางจัดที่เขยิบที่เพื่อให้เพื่อนร่วมห้องวันนี้ของตน
“ตกลงนายฝันร้ายจริงๆสินะเนี่ย ฉันจะยอมนอนข้างๆนายให้ละกันนะ” ร่างสูงอดที่จะแอบกัดคนตรงหน้าไม่ได้อย่างน้อยความฝันของเอเลนก็ทำให้เขาได้เปลี่ยนจากนอนพื้นแข็งๆขึ้นไปนอนบนเตียงล่ะนะ
“ถ้านายพูดอะไรน่ารำคาญอีกฉันจะให้นายลงไปนอนในห้องทำงานเหมือนเดิม” ร่างโปร่งเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่างของคนตรงหน้า
“เออ รีบนอนต่อเลยละกัน  แกเองก็อย่าส่งเสียน่ารำคาญออกมาอีกล่ะ” ร่างสูงจัดแจงอุปกรณ์การนอนของตนและมุดเข้าผ้านวมผืนหนาต่อทันที  เวลานอนหลังจากการทำรายงานมาราธอนเป็นสิ่งมีค่าทุกวินาทีของชีวิตนักศึกษาที่ยังคงต้องมีเรียนวิชาเช้าด้วยแล้ว
ที่เขายอมให้แจนขึ้นมานอนเตียงเดียวกันนั้นเป็นเพราะตอนนี้ความรู้สึกสั่นไหวบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจ  ซึ่งคงเป็นเพราะความฝันจากบันทึกเล่มนี้  ด้วยที่จิตใจที่ยังคงรู้สึกวูบไหวอยู่นั้นการที่มีใครสักคนอยู่ข้างๆมันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากกว่า เอเลน เยเกอร์ ในบันทึกนี้ต้องการจะบอกอะไรกับเขาอย่างนั้นเหรอ?  จะเป็นด้วยความบังเอิญ หรืออะไรกัน ที่ทำให้เขาและเจ้าของบันทึกนี้ถึงได้มีชื่อคล้ายกัน  อีกทั้งคนอื่นๆในบันทึกยังคงเป็นคนที่เขารู้จักที่อยู่ในโลกปัจจุบันนี้  ตัวเขาและ เอเลน  เยเกอร์ ในบันทึกนี้เกี่ยวข้องกันยังไงกันแน่?  หรือเขากับเอเลน ในบันทึกนี้คือคนคนเดียวกัน  ถ้าอย่างนั้นแล้วการที่เขามาเจอบันทึกนี้เป็นเพราะเขาต้องตามหาอะไรบางอย่างอย่างนั้นรึเปล่า?  แล้วหัวหน้ารีไวคนนั้น ทำไมชื่อนี้ถึงได้ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวและปวดร้าวได้ขนาดนี้  เอเลน และ หัวหน้ารีไว มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?  คำถามทั้งหลายวนไปมาในความคิดของใบหน้ามน  ทั้งๆที่เขาควรจะเลิกสนใจมันซะเพราะมันก็เป็นแค่บันทึกถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วนานนับหลายพันปี และทั้งยังเป็นเพียงตำนานที่ไม่ได้รับการยืนยันว่ามีอยู่จริง  แต่ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ไม่อาจละทิ้งซึ่งความอยากรู้และความรู้สึกคนึงหาที่ได้เจอบันทึกเล่มนี้  โดยเฉพาะกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่แสนจะเย็นชานั้นไปได้เลย

TBC.

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 มีนาคม 2557 เวลา 17:57

    ไม่ต้องคิดให้มากความ ไปในฝันก็หากระจกมาส่องซะ
    หน้าถอดแบบออกมาเหมือนกันเดะๆ รับรองว่าคนเดียวกันแน่นอน ;D

    ในความรู้สึกของเรา แจนเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงเลยค่ะ
    แจนกับเอเลนน่าจะเป็นเพื่อนสนิทคู่กัดกันมากกว่า
    แต่ว่าแจน ถ้านายหวังมากกว่านั้นละก็ อย่างหวัง!

    หัวหน้ายังไม่โผล่สักที รอคอยอยู่นะค่ะ♥

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ฟิคนี่แจนดีมากค่ะ ดีเว่อร์จนแทบเกือบจะลืมเฮียรีไวไปเลย(แอ๊ฟโดนฟันคอ!!!)

      ลบ
  2. ใช่ข้าเองก็คิดว่าไอหน้าม้าแจนมันดีมากดีเกินไปแล้วดีจนข้าเกือบลมยัยมืดมนไปเลย

    ตอบลบ
  3. หง่อววววว เริ่มมาแล้วว น่าติดตามจริงๆด้วย ส่วนแจนนี่สงสารรอเลยได้มั้ย ถถถถ พ่อหน้าม้าาา

    ตอบลบ