Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last
Memory
Chapter 2
ถึงแม้เอเลนจะออกจากโรงพยาบาลมาได้
3
วันแล้ว แต่เขาก็ยังคงวิ่งวุ่นกับการทำรายงานกับกลุ่มเพื่อนที่ดูท่าจะไม่จบสื้นลงเสียง่ายๆ
และยิ่งกำหนดส่งใกล้เข้ามาด้วยแล้วยิ่งทำให้เขาและเพื่อนๆนั้นแทบจะเรียกได้ว่าตัดขาดจากโลกภายนอกเลยทีเดียว
เพราะทุกวันนี้คลุกอยู่แต่ในห้องทำงานของบ้านเยเกอร์ที่ตอนนี้แลดูจะเป็นห้องนอนรวมเพราะมีบรรดาเครื่องนอนและหมอนวางอยู่ตามมุมต่างๆของพื้นห้อง
รวมทั้งร่างโปร่งเองก็ขนอุปกรณ์การนอนจากห้องนอนตนเองมานอนรวมกับเพื่อนคนอื่นๆเช่นกัน
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นบ้านของเขาแต่การที่จะแอบหนีขึ้นไปนอนบนห้องคนเดียวก็ดูจะเป็นการเอาเปรียบเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมไปเสียหน่อย
ยิ่งพวกเขามีโอกาสได้ออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และบรรดากองหนังสือก็แค่ช่วงเวลาที่มารดาเรียกเขาและเพื่อนๆไปทานข้าวเท่านั้น
แต่ก็นับว่ายังดีกว่าบรรดาเพื่อนคนอื่นๆ
ที่ตลอดสามวันมานี้ไม่ได้กลับบ้านของตนเองเลย
ส่วนมิคาสะเนื่องจากเป็นเพื่อนบ้านติดกันมาตั้งแต่จำความได้ เลยทำให้ไม่ได้รู้สึกต่างไปจากเดิม
ถ้านี่ไม่ติดว่าหัวข้อ“ไททันและกำแพงแห่งชีวิต” เป็นหัวข้อโปรดของ ดร.ฮันซี่ แล้วพวกเขาคงสรุปรายงานกันได้ง่ายกว่านี้
จากการยื่นหัวข้อเสนอที่จะทำและสายตาของความคาดหวังที่อาจารย์เจ้าของวิชาที่ส่งมานั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันไม่น้อยทีเดียว
“พวกนายคิดว่ายังไง
ถ้าเราต้องอาศัยอยู่ภายในกำแพงแบบเรื่องที่เรากำลังทำรายงานอยู่
แม้แต่ทะเลยังไม่ได้เห็นเลย ฉันว่ามันดูน่าหดหู่จังนะ แต่ก็อาจจะเป็นชีวิตที่สบายกว่าที่คิดก็ได้”ประเด็นจากแจนทำให้ทุกคนในห้องหันมาให้ความสนใจ
โดยเฉพาะเมื่ออาร์มินบอกว่าเราควรเอาความคิดของเราจากการศึกษาเรื่องนี้ใส่สรุปลงไปด้วยเลยยิ่งทำให้เกิดประเด็นข้อคิดต่างๆขึ้นมา
“ผมว่าถ้าเป็นผมถึงแม้การอยู่แบบนั้นจะฟังดูเหมือนสบายและไม่ทุกข์ร้อนอะไร
แต่ผมมองว่ามันเป็นการยัดเยียดความคิดและความกลัวให้กับมนุษย์มากขึ้นมากกว่า
ผมคงพยายามคิดค้นหาหนทางเพื่อให้มนุษย์ออกไปยังโลกภายนอก
และเพื่อศึกษาสิ่งที่อยู่ภายนอกนั้น
ซึ่งต่อให้ต้องเสี่ยงกับการเผชิญหน้ากับไททันก็ตาม”
คำพูดของอาร์มินที่ออกมานั้นทำให้ทุกคนในห้องถึงกับแปลกใจ
เพราะไม่คิดว่าคนที่ตัวเล็กและดูอ่อนแอที่สุดในกลุ่มอย่าง อาร์มินอัลเรลโต
จะมีความคิดที่กล้าหาญได้ขนาดนี้
โดยปกติตัวเขาเองจะเป็นคนที่ชอบค้นคว้าศึกษาสิ่งต่างๆ
และนั้นอาจจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาอยากที่จะออกไปเผชิญสิ่งใหม่ๆก็เป็นได้
“สำหรับฉัน
ฉันคงพยายามไขว่คว้าหาอิสรภาพมากกว่าที่จะต้องยอมทนอยู่ในโลกแคบๆแบบนั้น
ฉันคงอยากเห็นโลกที่กว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น โลกที่อยู่ภายนอกของกำแพง และฉันคงจะพยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุด
เพราะถ้าไม่มีใครสักคนที่สานต่อความฝันก็คงไม่มีทางเป็นความจริงได้ ”
นัยน์ตาสีมรกตตอบ เขานึกถึงความฝันที่เกิดขึ้นที่หอสมุดในวันนั้น
ภาพตัวเขาเองอีกคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกที่อยู่ภายใต้กำแพง
ความน่าอับอายของมนุษยชาติในวันที่กำแพงถูกทำลาย
ซึ่งในความฝันนั้นตัวเขาเองก็อยู่ที่นั้นด้วย
มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญและตะกอนความคิดจากการทำรายงาน แต่เขาก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจ
บางทีบันทึกปกดำที่มีชื่อของเขาอยู่นั้นอาจจะทำให้ความขุ่นมัวในจิตใจของเขาหายไปได้บ้าง
แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มีเวลาสนใจอะไรนอกเหนือจากรายงานตรงหน้านี้
“สำหรับฉัน
ถ้าเอเลนตัดสินใจจะสู้ ฉันก็คงสู้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะไม่ว่าเมื่อไร โลกก็โหดร้ายเสมอ” มิคาสะหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มตอบบ้าง
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องไปยังนัยน์ตาสีมรกตอย่างแน่วแน่ หลายครั้งที่เอเลนอดคิดไม่ได้ว่า
ที่จริงแล้วหญิงสาวตรงหน้านี้มีอะไรต้องการบอกเขา
แต่ทุกครั้งที่เขาถามออกไปก็จะได้คำตอบกลับมาเพียงแต่ว่า “ไม่มีอะไร
บางทีการที่เธอไม่รู้คงจะดีเสียกว่า”
และนั่นก็ทำให้เขาไม่คาดคั้นอะไรจากเธออีก
เพราะโดยปกติเมื่อเขาถามอะไรมิคาสะก็ยินดีจะตอบคำถามเขาเสมอ
แต่การที่เธอพยายามเลี่ยงที่จะไม่ตอบนั้นแสดงว่าเธอคงไม่อยากพูดถึงจริงๆ
“ดูเหมือนเราจะรวบรวมข้อมูลได้มากพอที่จะทำให้
อาจารย์ฮันซี่ พอใจได้แล้วล่ะนะ” ชายหนุ่มผู้สูงที่สุดในกลุ่มกล่าว
เบลทรูธและไรเนอร์อาสาที่จะนำรายงานทั้งหมดไปเข้าเล่มที่ร้านแถวหน้ามหาลัย
ซึ่งเป็นทางที่เด็กหออย่างพวกเขาต้องผ่าน
ในที่สุดการทำรายงานแบบมาราธอนตลอดสัปดาห์ก็สิ้นสุดลง
ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปยังบ้านและหอพักของตนตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ
ยกเว้นก็แต่คุณชายแจนที่อ้างว่าง่วงนอนเกินกว่าจะขับรถกลับเองได้ไหว
เลยขออาศัยพักที่บ้านของร่างโปร่งอีกคืน
และนั้นทำให้มิคาสะแทบจะขนย้ายสำมะโนครัวมายังห้องนอนของเขา ถึงแม้เขากับมิคาสะจะนอนเตียงเดียวด้วยกันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่เด็กเพราะผูกพันธ์เสมือนส่วนหนึ่งในครอบครัว
และรวมทั้งตลอดระยะเวลาที่ต้องทำรายงานทำให้เธอต้องอยู่ในห้องที่มีแต่ชายหนุ่มแต่เพราะเป็นเรื่องของงานเลยเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
แต่การที่หญิงสาวจะเข้ามานอนในห้องนอนของชายหนุ่มตอนกลางคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้มีชายหนุ่มถึงสองคนด้วยแล้วเห็นจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก
ถึงแม้มิคาสะจะบอกว่านายแจนนั้นไม่น่าไว้ใจ เขาก็ไม่เข้าใจว่าไม่น่าไว้ใจตรงไหน
เพราะถ้าเทียบกันแล้วบ้านทางคุณชายแจนนั้นแลดูจะมีสมบัติมากกว่าเขา และคนอย่างคุณชายแจนเองนอกจากเรื่องปากที่พูดไม่ค่อยเข้าหูเขาแล้วก็ดูไม่น่าจะมีนิสัยชอบขโมยของชาวบ้านเขา
กว่ามิคาสะจะยอมกลับไปก็ด้วยเกรงใจมารดาของเขาที่ต้องเข้ามาเป็นคนปรามเอาไว้เองก็ทำให้เวลาผ่านไปจนถึงสี่ทุ่มแล้ว
“แจนแกลงไปนอนที่พื้นเลย”
ร่างโปร่งโยนหมอนลงไปบนฟูกนอน และเริ่มจัดแจงที่นอนของตัวเอง
ต้องนอนในห้องทำงานมาตั้งหลายวัน
แล้วในเมื่อวันนี้จะได้นอนสบายๆบนเตียงของตัวเองสักทีทำไมเขาต้องมาแบ่งนอนกับอีกคนด้วยล่ะ
ต่อให้เตียงของเขาจะนอนสองคนได้สบายๆก็เถอะนะ
“อะไรวะ เตียงแกก็ออกจะกว้าง”
ร่างสูงที่เดินออกมาจากห้องน้ำแอบบ่น
แต่เขาก็ยอมลงไปนั่งอยู่บนฟูกที่จัดเตรียมไว้ให้แต่โดยดี
นี่ถ้าไม่เห็นว่ามาพึ่งพาบ้านร่างโปร่งตรงหน้าเสียหลายวันเขาคงไม่ยอมตกลงง่ายๆหรอก
“ก็นายไม่ยอมกลับบ้านของนายเองนี่
แล้วผมก็ไปเป่าให้แห้งด้วยนะเดี๋ยวหมอนฉันขึ้นราฉันจะให้แกซื้อให้ใหม่”
เอเลนรีบไล่คนตรงหน้าไปเป่าผมจากที่ดูเหมือนว่าร่างสูงเจ้าของผมสีน้ำตาลที่เปียกชื้นนั้นจะล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น
“นายนี่เรื่องมากจริงๆเลยนะ
อย่าให้ถึงคราวฉันบ้างละกัน” แจนลุกขึ้นไปหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาจัดแจงตนเองจนเห็นว่าผมตนนั้นแห้งสนิทดีแล้วก่อนจะกลับมายังที่นอนของตนอีกครั้ง
“ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา”
คำถามที่ถามมาจากคนตรงหน้าทำเอานัยน์ตาสีมรกตรู้สึกแปลกใจ
เขาไม่คิดว่าร่างสูงจะนึกห่วงเขาบ้างเหมือนกัน
“ไม่ยักรู้ว่านายเป็นห่วงชั้นด้วย”
คำตอบของใบหน้ามนทำให้ร่างสูงหน้าขึ้นสี
“ใครห่วงนาย
ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นกลัวมิคาสะอัดต่างหากล่ะ!!!”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนรีบล้มตัวลงนอนใบหน้าซุกเข้าไปในผ้านวมผืนหนา “ชั้นจะนอนแล้วนายปิดไฟด้วยล่ะ”
“อะไรของนายวะ แจน”
ร่างโปร่งแอบหงุดหงิดกับการกระทำของคู่กัดตกลงนี่ใครเป็นคนมาอาศัยกันแน่เนี่ย
ใบหน้ามนเอื้อมมือเปิดไฟบนหัวเตียงก่อนลุกขึ้นไปปิดไฟในห้อง
มือเรียวเปิดลิ้นชักและหยิบบันทึกปกดำที่มีชื่อที่เหมือนกับเขาสลักอยู่บนหน้าปก ใบหน้ามนผลิกหน้ากระดาษหมายจะอ่านบันทึกนั้น
ก็พลันเกิดอาการง่วงเข้าครอบงำ เปลือกตาค่อยๆหนักอึ้งเกินกว่าจะต้านไหว
แล้วนัยน์ตาสีมรกตก็ได้ตกลงสู่ห้วงนิทราฉับพลัน
,
,
,
,
,
,
,
,
,
,
เคร้ง!!
เสียงโลหะที่หนักอึ้งกระทบกัน
นัยน์ตาสีมรกตค่อยๆปรือขึ้น
ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำ เขารู้สึกร่างทั้งร่างหนักเหมือนกับว่าเพิ่งผ่านการถูกใช้แรงงานหรือไปวิ่งรอบสนามมาสักสิบรอบอย่างนั้นแหละ ร่างโปร่งเริ่มได้สติใบหน้ามนจึงได้เห็นว่าข้อมือ
และข้อเท้าของตนนั้นถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เหล็กหนาแข็งแกร่ง
แล้วทำไมเขาถึงต้องถูกพันธนาการไว้อย่างนี้ด้วยล่ะ เขาได้ทำความผิดอะไรที่ร้ายแรงถึงขนาดต้องล่ามกันไว้อย่างนี้เลยหรือไง
“เอเลน
มีคำถามอะไรจะถามไหม?”
เสียงของชายวัยกลางคนที่ดูสุภาพและเป็นมิตรเข้ามาในโสตประสาท ชายคนตรงหน้าผู้มีใบหน้าดูสุขุมอ่อนโยน
และเรือนผมสีทองตัดรองทรงนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารที่เหมือนกับเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ที่เขาได้ทำรายงานไป
อีกทั้งชายอีกคนที่แลดูจะสูงน้อยกว่าเขาเล็กน้อยแต่ทว่ากลับดูแข็งแกร่งจ้องมองตรงมาที่เขา
นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่ดูติดจะเย็นชาและใบหน้าที่แสดงที่ความไร้อารมณ์นั้นกลับทำให้บางอย่างภายในจิตใจชองเขาสั่นไหว
“เออคือว่า ที่นี้ที่ไหนครับ?” แล้วทำไมเขาถึงได้โดนล่ามเหมือนกับเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเยี่ยงนี้
“ก็อย่างที่เห็นมันคือ
คุกใต้ดิน ตอนนี้ด้วยสภาพของเธอกองสารวัตรทหารจะเป็นผู้รับผิดชอบ” อะไรนะคุกใต้ดินอย่างนั้นเหรอ
เขาจำได้ว่าเขาอยู่ในห้องนอนของตนเอง……ไม่สิมันเหมือนกับตอนนั้นเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หอสมุด นี่เขากำลังอยู่ในความทรงจำของบันทึกปกดำเล่มนั้นภาพเหตุการณ์ทั้งหลายถูกอัดแน่นเข้าสู่สมองและความทรงจำของเขาอีกครั้ง
ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นเขากลายร่างเป็นไททันเพื่อช่วยปกป้องเพื่อน
ใช่แล้วตัวเขาเองก็เป็นไททันเช่นเดียวกัน
“เฮ้ย
รีบๆตอบมาซะสิไอ้หนู สิ่งที่แกอยากจะทำคืออะไร?”
คำถามจากชายร่างเล็กตรงหน้าทำให้นัยน์ตาสีมรกตเงยมองไปตามต้นเสียง
เสียงที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว
“เข้าสังกัดทีมสำรวจ
และฆ่าไททันให้หมดครับ” นั้นคือปณิธานที่แน่วแน่ของเขาไม่ว่าเมื่อไรก็ตามเขาต้องกำจัดไททันพวกนั้นให้หมดไปจากโลกใบนี้
“โฮ่ ไม่เลว เอลวิน
เรื่องดูแลเจ้านี่ฉันจัดการเองช่วยแจ้งทางเบื้องบนให้หน่อยนะ
ฉันไม่เชื่อใจไอเด็กนี้หรอก
ถ้าเกิดมันหักหลังหรืออาละวาดขึ้นมาฉันจะฆ่ามันทันทีไม่มีใครเหมาะกับหน้าที่นี้เท่าฉันอีกแล้ว”
ชายผมดำเดินเข้ามาจับยังลูกกรงเบื้องหน้า
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองเขาด้วยประกายแววตาที่เหมือนเหยี่ยวจับจ้องมองเหยื่อ
ตัวเขาเองรู้ดีว่าชายผู้อยู่ตรงหน้านี้เก่งกาจเพียงไร
และมีจิตใจที่แน่วแน่เพียงไหน ถ้ามีอะไรผิดพลาดเขารู้ได้เลยว่าชายผู้นี้สามารถสังหารเขาได้อย่างแน่นอน และนั่นกลับทำให้หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ราวกับว่าชายตรงหน้านี้มีอิทธิพลต่อตัวเขาเป็นอย่างมาก
ชายผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาเย็นชาและใบหน้านิ่งเฉย หัวหน้าทหารรีไว
ดูเหมือนเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาในครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น ความรู้สึกและความทรงจำที่อยู่ในสมุดบันทึกเชื่อมโยงกับความรู้สึกของเขา เหมือนกับว่าตัวเขาและ เอเลน เยเกอร์
ในบันทึกนี้เป็นคนคนเดียวกัน ราวกับว่าจิตวิญญาณของเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของเอเลน
เยเกอร์ในบันทึก เพราะทุกครั้งที่เอเลนในบันทึกนึกคิด
หรือโต้ตอบอะไรออกไป ก็เสมือนกับว่าตัวเขาเองเป็นคนกระทำลงไปเองจริงๆ
มันไม่เหมือนกับการดูหนังสักเรื่องและผู้ดูมีความรู้สึกร่วมตาม
แต่เหมือนกับว่าตัวเขาเองเป็นผู้แสดงเพราะความรู้สึก
ความเจ็บปวดที่เอเลนได้รับก็ถูกถ่ายทอดมายังตัวของเขาเองเช่นกันราวตัวเขาและเอเลนในบันทึกนี้ป็นคนคนเดียวกันและมีจิตวิญญาณเดียวกัน
“นี่คือสิ่งที่จะทำให้นายจดจำ ฉันคิดว่าการอบรมสั่งสอนที่ดีที่สุดคือ ให้รับรู้ความเจ็บปวด
สิ่งที่จำเป็นสำหรับนายในตอนนี้ไม่ใช่การเรียนรู้ด้วยคำพูด แต่เป็นการสั่งสอน และใบหน้าของนายก็อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะจะโดนเตะพอดี”
ความเจ็บแล่นเข้าทุกสัมผัส ใบหน้ามนบอบช้ำ โลหิตสีแดงหลั่งรินหยดลงตามพื้น
นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองชายผู้แข็งแกร่งตรงหน้าสายตาของความเดือดดาลจากความเจ็บปวดที่ได้รับ
และนั้นยิ่งทำให้ชายผู้มีใบหน้าเฉยชาเจ้าของนัยน์ตาสีขี้เถ้าแสนเย็นชานั้นยิ่งกระหน่ำเตะเขาอีกชุดใหญ่นี่ตัวเขากำลังโดนอัดเป็นกระสอบทรายในชั้นศาลระหว่างพิจารณาคดีของตัวเขาเองแบบนี้มันไม่ตลกเลยนะ
“เดี๋ยวก่อนรีไว มันอันตรายนะ”
ชายผู้อยู่ในชุดเครื่องแบบของสารวัตรทหารรีบกล่าวเตือนการกระทำที่ดูอุกอาจของชายร่างเล็กแต่แข็งแกร่งตรงหน้า
“อยากตรวจหมอนี่ให้ละเอียดไม่ใช่เหรอ? ตอนที่ไอเด็กนี้แปลงร่างเป็นไททันเหมือนจะฆ่าไททันไป
20
ตัวก่อนที่จะหมดแรง
ถ้าเป็นศัตรูส่วนที่เป็นสติปัญญาคงเป็นปัญหา
แต่ถ้าไม่ใช่ศัตรู พวกนายจะทำยังไงล่ะ คิดให้ดีนะว่าจะให้ฆ่าไอเด็กนี้ไหม?”
คำกล่าวของชายร่างเล็กส่งผลให้คนที่อยู่ในชั้นศาลเริ่มมองถึงความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากตัวเขามากขึ้น รวมทั้งคำพูดสนับสนุนจาก หัวหน้าหน่วย
เอลวินสมิธซึ่งทำให้สถาณการณ์ของตัวเขาดูเหมือนจะดีขึ้นบ้าง
“เธอทำได้จริงรึ รีไว?”
ชายผู้มียศสูงสุดในชั้นศาลเอ๋ยถามถึงความแน่ใจในการควบคุมและจัดการตัวเขากับชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งและเก่งกาจที่สุดของมนุษยชาติ
“ถ้าเป็นเรื่องฆ่าเขาล่ะก็ทำได้แน่ครับ”
คำตอบจากชายผู้แข็งแกร่งทำให้หัวใจของใบหน้ามนกระตุกวูบ
ใบหน้ารู้สึกด้านฉาขึ้นมาฉับพลัน ถึงแม้ตัวเขาจะรู้อยู่แล้วว่าชายคนนี้เป็นคนที่เด็ดขาดและแข็งแกร่งที่จะไม่ลังเลในการฆ่าเขามาตั้งแต่ต้นก็ตาม
แต่กลับเหมือนมีเศษกระจกเล็กๆที่บาดเข้าไปและฝังอยู่ในจิตใจจากคำพูดของชายตรงหน้านี้
ในห้องพักของทหารหน่วยสำรวจหลังจากผลสรุปของชั้นศาลได้ทำให้ตัวเขาได้สังกัดเข้าทีมสำรวจอย่างที่ต้องการ
ใบหน้ามนค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำประคบรอยแผลและรอยฟกช้ำบนใบหน้า บางทีการเข้าทีมสำรวจอาจทำให้เขาต้องตายก่อนที่จะได้ออกไปสู้กับพวกไททันมากกว่า
“เฮ้ยเอเลน เกลียดฉันรึเปล่า?”ชายร่างเล็กแต่กำยำเข้ามานั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขา
ถึงใบหน้านั้นจะดูเหมือนไม่ได้สนใจที่จะฟังคำตอบของเขาจริงจัง
แต่น้ำเสียงที่เอ๋ยถามออกมานั้นฟังดูหนักแน่นและแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนจากเจ้าตัวผู้เป็นเจ้าของใบหน้าเฉยชาตลอดเวลา
“ไม่ครับ ผมเข้าใจว่าต้องทำให้สมจริง”
ร่างโปร่งเอ๋ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ที่จริงจากการกระทำที่ดูจะไร้เหตุผลไปสักหน่อยในชั้นศาลนั้นมันควรทำให้เขารู้สึกไม่พอใจชายตรงหน้า
แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นไม่รู้ทำไมต่อให้คนคนนี้จะทำอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้นหรือถ้าสักวันคนตรงหน้าเขาตรงนี้จะต้องเป็นคนที่สังหารเขาจริงๆ
เขาก็รู้สึกว่าคงไม่สามารถที่จะเกลียดหัวหน้าทหารรีไว คนนี้ได้เลย
.
.
.
.
.
.
.
.”เอเลน เฮ้ย!! ตื่นสิวะ”
ใบหน้ามนลืมตาจากเสียงเรียกของเพื่อนร่วมห้องของเขา
“เหวอออ!! แจนแกยื่นหน้ามาใกล้ไปแล้ว
ตกใจหมด!!!” เมื่อร่างโปร่งได้สติเขารีบผลักเพื่อนผู้ดูเหมือนจะหวังดีกระเด็นตกเตียงด้วยความตกใจ ใครใช้ให้แจนยื่นหน้ามาใกล้เขาตอนเพิ่งตื่นล่ะ
ใบหน้ายาวที่เหมือนม้านั้นเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้นแหละ
“ไรวะ คนอุส่าห์หวังดีนึกว่าฝันร้าย เห็นนอนร้องครางยังกับโดนทรมานอยู่นั้นแหละ” ชายหนุ่มผู้หวังดีบ่นร่างโปร่งตรงหน้า
ดูท่าเขาจะทำบุญกับใครไม่ขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะกับนายเอเลน เยเกอร์ คนนี้
“ก็นายทำฉันตกใจนี่หว่า ว่าแต่นี่กี่โมงแล้ว?”
ร่างโปรงควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลา “ตีสาม!!!
แกจะปลุกฉันขึ้นมาทำไมวะเนี่ยไอคุณแจน!!” นี่มันตีสามนะแสดงว่าเขาเพิ่งหลับไปได้ยังไม่ถึงแปดชั่วโมงเลยด้วยซ้ำแถมพรุ่งนี้ต้องมีเรียนเช้าอีกด้วย
ไอเจ้าหน้าม้านี่ทำเขาเสียเวลานอนจริงๆ
“ก็นายเอาแต่ครางจนชั้นตื่นเนี่ยแหละ
ว่าแต่นายเถอะตกลงฝันร้ายรึไง?” ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่ดูเหมือนจะทรมาณของคนตรงหน้านี่เขาก็ไม่ตื่นขึ้นมาให้ถูกบ่นหรอก
ใบหน้ามนไม่ตอบคำถามของร่างสูง
ความรู้สึกหวั่นไหวในใจยังคงติดอยู่
รวมทั้งนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่แสนจะเย็นชานั้นก็ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาเช่นกัน
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกติดใจกับนัยน์ตาคู่นั้นรวมทั้งคนที่ชื่อ รีไว
คนนั้นขนาดนี้กันนะ
“นายขึ้นมานอนบนเตียงไหมแจน?”
ใบหน้ามนเอ๋ยถามพลางจัดที่เขยิบที่เพื่อให้เพื่อนร่วมห้องวันนี้ของตน
“ตกลงนายฝันร้ายจริงๆสินะเนี่ย
ฉันจะยอมนอนข้างๆนายให้ละกันนะ” ร่างสูงอดที่จะแอบกัดคนตรงหน้าไม่ได้อย่างน้อยความฝันของเอเลนก็ทำให้เขาได้เปลี่ยนจากนอนพื้นแข็งๆขึ้นไปนอนบนเตียงล่ะนะ
“ถ้านายพูดอะไรน่ารำคาญอีกฉันจะให้นายลงไปนอนในห้องทำงานเหมือนเดิม”
ร่างโปร่งเริ่มหงุดหงิดกับท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่างของคนตรงหน้า
“เออ
รีบนอนต่อเลยละกัน
แกเองก็อย่าส่งเสียน่ารำคาญออกมาอีกล่ะ” ร่างสูงจัดแจงอุปกรณ์การนอนของตนและมุดเข้าผ้านวมผืนหนาต่อทันที
เวลานอนหลังจากการทำรายงานมาราธอนเป็นสิ่งมีค่าทุกวินาทีของชีวิตนักศึกษาที่ยังคงต้องมีเรียนวิชาเช้าด้วยแล้ว
ที่เขายอมให้แจนขึ้นมานอนเตียงเดียวกันนั้นเป็นเพราะตอนนี้ความรู้สึกสั่นไหวบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจ ซึ่งคงเป็นเพราะความฝันจากบันทึกเล่มนี้
ด้วยที่จิตใจที่ยังคงรู้สึกวูบไหวอยู่นั้นการที่มีใครสักคนอยู่ข้างๆมันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากกว่า
เอเลน เยเกอร์ ในบันทึกนี้ต้องการจะบอกอะไรกับเขาอย่างนั้นเหรอ? จะเป็นด้วยความบังเอิญ หรืออะไรกัน
ที่ทำให้เขาและเจ้าของบันทึกนี้ถึงได้มีชื่อคล้ายกัน อีกทั้งคนอื่นๆในบันทึกยังคงเป็นคนที่เขารู้จักที่อยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ตัวเขาและ เอเลน เยเกอร์ ในบันทึกนี้เกี่ยวข้องกันยังไงกันแน่? หรือเขากับเอเลน
ในบันทึกนี้คือคนคนเดียวกัน
ถ้าอย่างนั้นแล้วการที่เขามาเจอบันทึกนี้เป็นเพราะเขาต้องตามหาอะไรบางอย่างอย่างนั้นรึเปล่า? แล้วหัวหน้ารีไวคนนั้น
ทำไมชื่อนี้ถึงได้ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวและปวดร้าวได้ขนาดนี้ เอเลน และ หัวหน้ารีไว
มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?
คำถามทั้งหลายวนไปมาในความคิดของใบหน้ามน
ทั้งๆที่เขาควรจะเลิกสนใจมันซะเพราะมันก็เป็นแค่บันทึกถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วนานนับหลายพันปี
และทั้งยังเป็นเพียงตำนานที่ไม่ได้รับการยืนยันว่ามีอยู่จริง แต่ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ไม่อาจละทิ้งซึ่งความอยากรู้และความรู้สึกคนึงหาที่ได้เจอบันทึกเล่มนี้
โดยเฉพาะกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่แสนจะเย็นชานั้นไปได้เลย
TBC.
ไม่ต้องคิดให้มากความ ไปในฝันก็หากระจกมาส่องซะ
ตอบลบหน้าถอดแบบออกมาเหมือนกันเดะๆ รับรองว่าคนเดียวกันแน่นอน ;D
ในความรู้สึกของเรา แจนเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงเลยค่ะ
แจนกับเอเลนน่าจะเป็นเพื่อนสนิทคู่กัดกันมากกว่า
แต่ว่าแจน ถ้านายหวังมากกว่านั้นละก็ อย่างหวัง!
หัวหน้ายังไม่โผล่สักที รอคอยอยู่นะค่ะ♥
ฟิคนี่แจนดีมากค่ะ ดีเว่อร์จนแทบเกือบจะลืมเฮียรีไวไปเลย(แอ๊ฟโดนฟันคอ!!!)
ลบใช่ข้าเองก็คิดว่าไอหน้าม้าแจนมันดีมากดีเกินไปแล้วดีจนข้าเกือบลมยัยมืดมนไปเลย
ตอบลบหง่อววววว เริ่มมาแล้วว น่าติดตามจริงๆด้วย ส่วนแจนนี่สงสารรอเลยได้มั้ย ถถถถ พ่อหน้าม้าาา
ตอบลบ