วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Attack On Titan Fan fic.: Keep In Mind:2



Attack On Titan Fan fic.: Keep In Mind:
Pairing: (LevixEren),(MikasaxEren),(LevixHanji)
Romantic Drama
…………………………………………………………………………………………………………..

Levi Side:

Attack On Titan Fan fic.: Keep In Mind:



Attack On Titan Fan fic.: Keep In Mind:
Pairing: (LevixEren),(MikasaxEren),(LevixHanji)
Romantic Drama
…………………………………………………………………………………………………………..

Eren Side:

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (LevixErenxMikasa ver. C) Evil Of Notre Dame



Fic. Attack On Titan (LevixErenxMikasa ver. C)
Evil  Of  Notre Dame

แกร๊ง  แกร๊งง  แกร๊งงง

            เสียงระฆังตีบอกเวลาอย่างเที่ยงตรงของวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ นอร์ทเธอดาม มหาวิหารใหญ่ตั้งตระหง่าน ณ กรุงปรารีส เมื่อแสงอรุณขึ้นสาดส่องทั่วนครเสียงระฆังก้องกังวานดังไปทั่วทั้งเมืองเพื่อปลุกเหล่าประชาของเมืองให้ตื่นจากนิทราเข้าสู่วิถีชีวิตของวันใหม่อีกครา
                แต่ใครเล่าจะรู้บ้างว่ามหาวิหารที่ตระหง่านตาและผู้ที่ตีระฆังก้องกังวานคือผู้ใด? เพราะไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้า เสียงเล่าลือถึงเด็กหนุ่มผู้ผิดแปลก คำร่ำลือว่าแท้จริงแล้วเป็นปีศาจที่ตีระฆังวิหาร ปีศาจที่สาธุคุณแห่งปารีสรับเลี้ยงไว้ให้อยู่ภายใต้ความดูแลของเขตอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะวิหารนี้ทุกชีวิตย่อมถูกเมตตาและละเว้นแม้กระทั่ง ปีศาจ……

Short Fic. Attack On Titan (Levi x Eren ver.C x Jean) Little Green Riding Hood



Short Fic. Attack On Titan (Levi x Eren ver.C x Jean)
Little Green Riding Hood

นี่รู้จักเรื่องเล่านี้รึเปล่า?
เรื่องของเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์ที่สวมผ้าคลุมสีเขียว
เธอมักมาซื้อของช่วงบ่ายที่ร้านในหมู่บ้านประจำ
เธออาศัยอยู่กับบิดาในป่าลึกห่างไกลผู้คน
วันเดือนเคลื่อนผ่านปีแล้วปีเล่ายังไม่เคยมีใครได้ยลโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอคนนั้น
มีข่าวลือว่าคนที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ
ที่แสนอัปลักษณ์นั้นน่ากลัวและน่าสยดสยองเสียจนปลิดลมหายใจเลยทีเดียว………..

Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย Chapter 5: Tease



Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย
Chapter 5: Tease

Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย Chapter 4: Beguile



Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย
Chapter 4: Beguile

Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย Chapter 3: One Among The Night



Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย
Chapter 3: One Among The Night

Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย Chapter 2: My Sweet Victim



Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย
Chapter 2: My Sweet Victim

Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย Chapter 1: Game Start



Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย
Chapter 1: Game Start

Last Memory Special: Special Day Special Person



Last Memory Special: Special Day Special Person

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 15



Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 15
ห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าสุดแกร่งแห่งกองปราบปรามตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องประชุมขนาดย่อมเพื่อหารือกันในคดีลับองค์กรค้ายารายใหญ่ที่มิเกะได้ตรวจสอบแล้วเรียกประชุมอย่างเร่งด่วนเพื่อวางแผนการร่วมกับผู้บังคับบัญชาเอลวิน ด้วยเป็นภารกิจภายในจึงทำให้ตอนนี้ในห้องจึงมีแค่คนที่สนิทและไว้วางใจที่ร่วมงานกันมานานเท่านั้น
“จากแหล่งข่าวที่ได้มาตอนนี้อีกไม่นานพวกนั้นจะมีการลอบขนสินค้ากันที่ท่าเรือวันและเวลาจะต้องรอสายลับที่ส่งเข้าไปยืนยันอีกที” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมสีอ่อนแสกกลางไว้หนวดเคราส่งรูปถ่ายและเอกสารยื่นให้กับผู้เข้าร่วมประชุม
“ถ้าแผนคราวนี้ไปได้สวยเท่ากับว่าเราก็จะจัดการตัวเป้งได้เลยสินะ ฮี่ ฮี่” ฮันซี่ขยับแว่นตาพลางมองข้อมูลที่อยู่ในมืออย่างตื่นเต้น
“อย่างที่ฮันซี่พูด ถ้าเราสามารถจัดการรวบตัวคนร้ายรวมทั้งของทั้งหมดได้เจ้าพวกนั้นก็จะไม่สามารถดิ้นหลุด ถ้ายังไงฉันอยากให้นายคอยเตรียมพร้อมกับสถาณการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยนะรีไว” ฝ่ามือใหญ๋วางลงบนบ่าแกร่งของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้วางใจ
“อืม ฉันจะสั่งพวกนั้นให้เตรียมการไว้ละกัน”
เมื่อทั้งสี่คนสรุปข้อมูลและแจกแจงเอกสารของแต่ละคนเรียบร้อย การประชุมที่เร่งด่วนก็สิ้นสุดลง นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองนาฬิกาบนข้อมือซ้ายของตนซึ่งตอนนี้เป็นเวลา 23.29  ดึกป่านนี้แล้วเจ้าเด็กนั้นคงกลับบ้านของตัวเองเรียบร้อยแล้วสินะ มือแกร่งหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตนขึ้นมาไม่พบข้อความหรือสายไม่ได้รับเลยสักสายทั้งที่บอกว่าเมื่อกลับบ้านเรียบร้อยแล้วให้โทรมาแต่นี่กลับไม่ยอมโทรหรือส่งข้อความให้เขารู้เลยสักนิด ทั้งที่เจ้าเด็กนั่นเป็นคนบอกชอบเขาเองแท้ๆแต่กลับไม่ใส่ใจแม้เป็นเรื่องง่ายๆแบบนี้เห็นทีคงจะเป็นเพียงแค่ลมปาก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคำพูดของเด็กไม่น่าเชื่อถือถึงกระนั่นก็อดรู้สึกที่จะหงุดหงิดไม่ได้
“รอโทรศัพท์จากใครอยู่เหรอจ๊ะ?” ฮันซี่กระโดดเข้ามากอดคอพร้อมส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับชายหนุ่มที่สูงน้อยกว่า
“เปล่า”
 คำตอบสั้นๆที่เหมือนไม่ใส่ใจทำให้หญิงสาวรู้สึกขำก็ในเมื่อตลอดระยะเวลาการประชุมชายหนุ่มตรงหน้าเอาแต่จ้องนาฬิกาข้อมือเหมือนกับนัดใครเอาไว้ ทั้งที่ปกติแล้วคนเคร่งกฏอย่างหัวหน้ารีไวไม่เคยให้เรื่องอื่นมาก่อนงานที่รับผิดชอบตรงหน้า
“ไม่รู้ว่าเด็กน้อยของฉันที่โดนผู้ใหญ่รังแกป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ คิดแล้วก็สงสารจริงๆ” มือเรียวของหญิงสาวแกล้งยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าแสดงความรู้สึกเห็นใจในตัวศิษย์รัก
“ป่านนี้เจ้าเด็กนั่นคงกำลังออกไปเที่ยวเล่นหรือจีบสาวตามประสาเด็ก” คำพูดที่ดูเหมือนถากถางทำให้ฮันซี่ยิ้มกว้างออกมา
“หืม นายพูดเหมือนใส่ใจว่าเด็กนั่นจะไปชอบใครงั้นแหละ”
โป๊ก!
“โอ๊ย!
แฟ้มเอกสารข้อมูลเล่มหนาเขกลงบนหัวของหญิงสาวที่มัดกันยุ่งเหยิง จนฮันซี่ยกมือขึ้นมากุมศีรษะของตนเอง ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งเดินออกจากห้องทำงานของตนเองโดยไม่สนใจถึงเสียงบ่นที่อยู่ด้านหลัง


ประตูสีไม้เปิดออกพร้อมการกลับมาของเจ้าของห้อง มือแกร่งกดเปิดสวิตไฟเพื่อให้ห้องที่มืดมิดสว่างขึ้น เมื่อทั้งห้องสว่างด้วยแสงจากหลอดไฟนีออนร่างบางที่หลับอยู่บนโซฟาจึงรู้สึกตัวแล้วขยับหน้าหนีหลบแสงไฟที่แยงเข้ามาในเปลือกตา
ใบหน้าคมมองภาพเด็กหนุ่มตัวดีที่อยู่เบื้องหน้าอารมณ์หงุดหงิดที่มีก่อนหน้าก็พลันหายไปเมื่อมองใบหน้ามนของเด็กหนุ่มที่หลับตาพริ้มอยู่บนโซฟา ที่เจ้าเด็กบ้านี้ไม่โทรรายงานหรือส่งข้อความมาบอกเขาเพราะเจ้าตัวดียังคงนอนหลับอยู่ที่คอนโดไม่ไปไหนงั้นสิ ชายหนุ่มวางเอกสารลงบนโต๊ะรับแขกข้างโซฟามือแกร่งลูบไล้ผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
“อืม….คุณรีไว” เมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่สัมผัสลงมา ใบหน้ามนของคนนอนหลับไม่รู้เรื่องยิ่งเบียดซุกลงบนฝ่ามือแกร่งนั้นพร้อมทั้งยิ้มอย่างเป็นสุข
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องการกระทำของอีกคนพลางริมฝีปากบางยิ้มตามเด็กหนุ่มที่ยังคงนอนหลับ แม้จะไม่ไว้ใจและไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้มาบอกชอบตนทั้งทีเจอกันเพียงไม่นาน ถึงกระนั้นตัวเขาก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่าตั้งแต่เห็นเจ้าเด็กนี่ครั้งแรกก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยและโหยหาแบบแปลกๆ อีกทั้งเรือนผมสีน้ำตาลก็ช่างคล้ายกับเด็กหนุ่มในความฝันที่เห็นอยู่หลายครั้งแม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ต่อให้เอเลนคือเด็กหนุ่มในความฝันคนนั้นจริงก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะยินดีหรือตอบรับความรู้สึกนั้น เพราะความฝันก็คือความฝัน เจ้าเด็กหนุ่มหัวรั้นที่นอนหลับตรงหน้านี่ต่างหากที่คือของจริง ใบหน้าคมชะงักเหมือนคิดบางสิ่งออก มือแกร่งเคลื่อนจับใบหน้าของเอเลนที่ยังคงหลับลึกและ

เจ็บๆ คุณรีไวหยิกผมทำไมครับ!!?” มือบางยกขึ้นจับแก้มทั้งสองข้างของตนเองที่โดนชายหนุ่มหยิกอย่างแรงจนต้องสะดุ้งตื่น
“ตื่นได้สักทีนะเอเลน นายรู้ไหมนี่มันกี่โมงแล้ว?”
คำถามจากชายหนุ่มทำให้ร่างบางเหลือบขึ้นไปมองเวลาบนนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังด้านข้าง เมื่อเห็ว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไรนัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจทันที
“ทเที่ยงคืน แย่แน่ๆมิคาสะ และคุณแม่ต้องว่าแน่ๆเลย!!” เอเลนรีบคว้าหาโทรศัพท์ของตนขึ้นมาแล้วใบหน้ามนต้องซีดลงกว่าเก่าเมื่อพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับถึง 89 สาย 65 สายเป็นของมิคาสะ 4 สายของแม่ของเขา และอีก 20 สายที่เหลือเป็นของเหล่าบรรดาเพื่อนๆที่กระหน่ำโทรกันเข้ามา ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมข้อความในโปรแกรมสนทนาที่ทุกคนต่างกระหน่ำส่งเข้ามากว่าร้อยข้อความ
ร่างบางรีบกดโทรออกไปหาเพื่อนสาวคนสนิทที่กระหน่ำโทรจนสายแทบไหม้ ยังไม่ทันที่เสียงสัญญาณรอสายจะดังเสียงของหญิงสาวก็แทรกขึ้นทันที
เธออยู่ไหนน่ะเอเลน? ฉันโทรไปหาคุณฮันซี่ตั้งหลายสายแต่เธอก็ไม่รับสายฉันเลยเสียงเด็กสาวร้อนรนทันที่ที่รับสาย
ขอโทษนะมิคาสะ พอดีฉันมาหลบฝนที่ห้องคุณรีไวแล้วเผลอหลับไปน่ะ ใบหน้ามนยิ้มเฝื่อนกับสายโทรศัพท์
นายโอเครึเปล่า? เสียงของหญิงสาวพลันอ่อนลงเมื่อได้ยินว่าอีกคนนั้นปลอดภัยดี
ฉันไม่เป็นไรมิคาสะ เดี๋ยวฉันจะรีบ….’ ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคโทรศัพท์ในมือก็ถูกแย่งไปทันที เอเลนมองตามโทรศัพท์ที่โดนแย่งไปอย่างมึนงง คุณรีไวจะทำอะไร?
โฮ่ย เธอชื่อมิคาสะสินะถ้าไงฝากบอกแม่เจ้าเด็กนี้ด้วยว่าพรุ่งนี้ฉันจะพาไปส่งที่ร้านเพทรา ไม่ต้องห่วง ประโยคที่เหมือนจะเป็นการขออนุญาต? ทำให้เอเลนยิ่งมองชายหนุ่มอย่างสงสัย
‘………….ฉันจะบอกคุณแม่ของเอเลนให้ค่ะถ้าไม่ใช่เห็นแก่ความสุขของเอเลนที่เธอคอยเฝ้ามองมาตลอดนับตั้งแต่อดีตกาล เธอคงไม่เปิดโอกาสให้กับชายหนุ่มร่างเตี้ยที่แก่กว่ามากขนาดนี้หรอก
ตกลงตามนี้รีไวยื่นโทรศัพท์ส่งคืนให้กับร่างโปร่งก่อนที่จะเดินหายเข้าไปยังห้องอาบน้ำ
เอเลนรับโทรศัพท์เพื่อคุยต่อกับมิคาสะ
ไอเตี้ยนั่นไม่ว่าเมื่อไรก็กวนโมโหชะมัดหลายครั้งที่อดสงสัยไม่ได้ว่าคนแบบนั้นมีอะไรดีนัก
แหะๆ เอาน่ามิคาสะ
เอเลนนายแน่ใจกับความรู้สึกตัวเองตอนนี้แล้วใช่ไหม? แม้จะรู้ดีว่าแท้จริงแล้วทั้งสองคนผูกพันธ์กันมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต แล้วปัจจุบันความรู้สึกที่แท้จริงของทั้งสองยังคงเป็นเฉกเช่นเดิมหรือไม่ก็ยากที่จะคาดเดา
ฉันแน่ใจแล้วล่ะมิคาสะ ต่อให้ไม่มีเรื่องในอดีตฉันก็มั่นใจว่ายังไงความรู้สึกนี้คงเกิดขึ้นกับคนคนเดิมอีกครั้งแน่นอนไม่ว่าเมื่อไรหรือจะผ่านไปนานขนาดไหนหรือจะไร้ซึ่งความทรงจำในบรรพกาลแต่สุดท้ายแล้วคนที่หัวใจได้เลือกแล้วก็ยังคงเป็นคนนี้คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ได้ยินอย่างนั้นฉันก็สบายใจ พยายามเข้านะเอเลน เมื่อมิคาสะวางสายจากเอเลนเธอจึงรีบโทรรายงานคลาร่ามารดาของเด็กหนุ่มเพื่อให้คลายกังวล รวมทั้งโทรบอกบรรดาเพื่อนคนอื่นๆที่เธอวานให้ช่วยกันโทรหาเอเลน โดยเฉพาะคนที่ดูเหมือนจะเป็นกังวลมากที่สุด แจน กิลชูไตน์
เอเลนมันไม่ได้คิดสั้นใช่ไหม? ปลอดภัยดีสินะ!!!!’ เสียงตะโกนอย่างร้อนรนด้วยความเป็นห่วงทำให้เด็กสาวต้องหันโทรศัพท์ออกจากตัวด้วยความหนวกหู
แจนนายเลิกส่งเสียเป็นม้าตกมันสักที เอเลนปลอดภัยดีไม่ต้องห่วง
แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหนน่ะแล้วทำไมไม่กลับบ้าน?
แจนนายฟังฉันดีๆนะ มิคาสะถอนหายใจยาวก่อนจะสนทนากับปลายสายอีกครั้ง ตอนนี้เอเลนอยู่คอนโดคุณรีไว พรุ่งนี้เขาจะไปส่งเอเลนที่ร้านตอนเช้า ทันที่ที่พูดจบเด็กสาวกดวางสายทันทีด้วยเกรงว่าเสียงที่จะตามมาจะทำให้ลำโพงโทรศัพท์ของเธอแตกเสียก่อน

“อะไรน๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เป็นจริงดังคาดเมื่อตอนนี้คนที่ต้องรองรับเสียร้องโหยหวนด้วยความตกใจคืออาร์มินและมาร์โกที่แจนรีบเร่งมาหาหลังจากได้รับความจากมิคาสะว่าติดต่อร่างบางไม่ได้แล้วเกรงว่าเอเลนจะคิดสั้นบ้าบิ่นเลยทำให้เขาวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพ่วงที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ
แจนเข้าไปเขย่าไหล่อาร์มินอย่างสติแตก จนเด็กหนุ่มตัวเล็กได้แต่ส่ายไปมาตามแรงเหวี่ยงอย่างมีนงง
“อาร์มินนนนน ทำไมเอเลนไปอยู่กับไอเตี้ยนั่นได้วะ!!!! ทำไมวะ ทำม๊ายยยยย?”
มาร์โกที่อยู่ในเหตุการณ์เข้ามาจับไหล่ของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเพื่อเรียกสติเมื่อเห็นว่าตอนนี้อาร์มินหน้าเริ่มซีดด้วยความมึนจากแรงเหวี่ยง
“ใจเย็นก่อนนะครับแจน”
“นี่ฉันก็พยายามใจเย็นอยู่!!” ใจเย็นพอที่จะไม่วิ่งออกไปตามหาคอนโดของเจ้าเตี้ยนั่นแล้วลากเอเลนออกมา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าไอคอนโดบ้านั่นอยู่ที่ไหนก็เถอะ
“เออ อย่างที่มิคาสะบอกน่ะครับว่าเอเลนติดฝนเลยทำให้ต้องไปหลบที่คอนโดคุณรีไวนะครับแจน” อาร์มินที่เริ่มหายมึนช่วยพูดสมทบ
“แต่ฝนมันหยุดตกตั้งแต่หัวค่ำแล้วนะโว๊ย หมอนั่นมันก็ควรเอาเอเลนส่งกลับบ้านสิวะ โคแก่กินหญ้าอ่อนเอ๊ย!!!” ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากออกไปค้นตัวร่างบางที่กำลังจะเป็นเหยื่อให้วัวเตี้ยได้เคี้ยวเล่น
“เอเลนเขาคงมีเหตุจำเป็นเลยทำให้ไม่ได้ติดต่อกลับมามั่งครับ” มาร์โกพยายามหาทางช่วยให้คนตรงหน้าสงบสติอารมณ์แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้แจนยิ่งสติแตกมากขึ้น
“เหตุจำเป็นอะไรที่ทำให้เอเลนมันไม่ยอมรับโทรศัพท์แถมเสียเวลาอยู่ที่คอนโดนั่นตั้งนาน หรือว่า….” เหตุผลที่ถึงขนาดทำให้ลืมเวลาและไม่ยอมรับโทรศัพท์ยิ่งคิดก็ยิ่งได้แค่คำตอบเดียวเท่านั้นว่าร่างบางของเพื่อนสนิทผู้ไร้ประสบการณ์เรื่องใต้สะดือจะโดนทำอะไรต่อมิอะไรไปแล้วบ้าง
“อย่าห้ามฉันนะเว๊ยอาร์มิน มาร์โก ฉันจะไปช่วยเอเลน!!!” เด็กหนุ่มทั้งคู่รีบกระโดดคว้ากอดเอวและขาของร่างสูงที่อยู่ๆก็ลุกขึ้นวิ่งไปทางประตูห้อง
“แล้วรู้เหรอครับว่าเอเลนอยู่ไหนน่ะ!!?” มาร์โก้ที่กอดเอวรั้งเอาไว้พยายามเรียกสติคนสติแตก
“ฉันจะให้ออกตามหา ยังไงฉันต้องช่วยหมอนั่นจากปีศาจเตี้ยให้ได้!!
โป๊ก!!
อาร์มินที่เริ่มหมดความอดทนกับร่างสูงตรงหน้าจึงดึงขายาวที่กำลังกอดยื้อหยุดนั้นอย่างแรง ทำให้แจนที่ไม่ทันระวังตัวหน้าคว่ำ หัวฟาดลงกับพื้นอย่างแรง มาร์โกและแจนหันไปมองเด็กหนุ่มตัวเล็กอย่างหวาดๆ
“พูดไม่รู้เรื่องเหรอไงครับ ออกไปตอนนี้มีแต่วุ่นวายเปล่า มิคาสะก็บอกแล้วว่าเอเลนปลอดภัยดีแค่นี้คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ?” นัยน์ตาสีน้ำทะเลเหยียดมองลงมายังชายหนุ่มร่างสูงที่หันมามองอย่างหวาดๆ
“ข….เข้าใจแล้วครับ” แจนพยักหน้ารัวเมื่อเห็นว่าตอนนี้คนตรงหน้าเริ่มแผ่รังสีอันตรายที่นานๆครั้งจะเจอสักทีและแน่นอนว่าอาร์มินในโหมดนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวและเป็นที่รู้กันในกลุ่มเป็นอย่างดีว่าการทำตัวว่าง่ายและเชื่อฟังอาร์มิตตอนนี้เป็นหนทางที่ฉลาดที่สุดในการเอาตัวรอด
“ในเมื่อเข้าใจแล้วเราก็ควรกลับไปพักกันได้แล้วนะครับ และเพื่อเป็นการไม่เสียเวลาที่คุณไม่ต้องขับรถกลับบ้านและต้องขับไปร้านพี่เพทร่าพรุ่งนี้ วันนี้คุณค้างที่ห้องของผมแล้วกันนะครับแจน” อาร์มินดึงคอเสื้อของคนตัวสูงกว่าเข้าไปยังห้องของตนเองที่อยู่ถัดไปจากห้องในหอพักเดียวกันกับของมาร์โกเพียง 3 ห้องเท่านั้น
ชายหนุ่มตกกระปิดประตูพลางถอนหายใจที่เรื่องวุ่นวายในค่ำคืนนี้ได้จบลงเสียที แล้วได้แต่ภาวนาในใจว่าเอเลนจะไม่หวั่นไหวและมีใจให้กับคนใกล้ตัวที่คอยเฝ้ามองอยู่บ้าง………

แกร๊ก
เสียงประตูห้องอาบน้ำดังขึ้นพร้อมร่างของชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งในชุดเสื้อคอกว้างสีดำและกางเกงผ้าขายาวสีน้ำเงินสบายๆ มือแกร่งเช็ดผมของตนเองจนแห้งสนิทแล้วพาดผ้าไว้ที่ราว นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองหาเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่หายไปจากห้องนั่งเล่นและพบว่าเจ้าตัวดีกำลังวุ่นวายอยู่ในห้องทานอาหารที่อยู่ถัดไปจากห้องรับแขก
รีไวเดินเข้ามาพิงกำแพงมองคนที่กำลังหยิบน้ำเย็นจากตู้เย็นรินใส่แก้วทรงสูงก่อนวางลงบนโต๊ะ สายตาคมที่จับจ้องมองมาทำให้เอเลนเริ่มรู้สึกตัว ร่างบางจึงหันกลับไปสบกับเจ้าของห้องที่กอดอกยืนมองตนอยู่
 “ขอโทษที่ถือวิสาสะนะครับคุณรีไว ผมเอาข้าวห่อไข่ที่ทำไว้ตอนหัวค่ำมาอุ่นให้ครับ คิดว่าคุณอาจจะยังไม่ได้ทานอะไรมา” เอเลนหยิบข้าวห่อไข่อีกจานจากเตาไมโครเวฟที่ร้องเตือนออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“นายไปเอาของพวกนี้มาจากไหน?” ช่วงนี้งานของเขาค่อนข้างยุ่งมากทำให้ไม่ได้ซื้อของสดมาเตรียมใส่ไว้ในตู้เย็นไม่มีแม้กระทั่งไข่ไก่สักฟอง
“เออผมออกไปซื้อมาที่ซุปเปอร์ฯตรงหัวมุม ว่าจะตอบแทนที่ให้ผมหลบฝนน่ะครับ แต่พอทำเสร็จก็ดันง่วงซะงั้น แหะๆ” มือเรียวยกขึ้นเกาหัวแก้เก้อ
“อย่าบอกนะว่านายรอฉันน่ะ?” ถ้าแค่ทำอาหารให้เด็กหนุ่มจะกลับไปเลยก็ได้ แต่เจ้าตัวกลับเผลอหลับบนโซฟา
เอเลนยิ้มบางให้กับชายหนุ่ม “ทานข้าวด้วยกันหลายๆคนอาหารจะยิ่งอร่อยนะครับ” ที่จริงแล้วเพราะการทานข้าวคนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมแม้จะกว้างก็ตามแต่มันก็ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากทีเดียว ถ้าบอกออกไปคุณรีไวจะต้องตอบกลับมาว่า ไม่เห็นเป็นไร แน่ๆ
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้างกับที่ร่างโปร่งยืน “นายก็รีบนั่งลงก่อนที่อาหารจะเย็นซะหมด”
ร่างโปร่งยิ้มร่ารีบนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าทันที เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มตัวอาหารฝีมือตัวเองเข้าปาก เจ้าตัวเลยอดที่จะถามไม่ได้
“เออ เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ไม่เลว”
คำตอบจากรีไวยิ่งทำให้เอเลนยิ้มจนแก้มปริ
“ถ้าคุณไม่รังเกียจหลังเลิกร้านผมมาทำอาหารให้คุณได้ไหมครับ?” กล่าวคำขอออกไปพร้อมใจที่เต้นระทึกลุ้นคำตอบ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเงยขึ้นมองเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งลุ้นคำตอบ มือแกร่งวางช้อนที่กำลังตักอาหารลง
“ฉันว่าจะถามนายเรื่องนี้อยู่”
“ครับ?” เด็กหนุ่มเอียงคอมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย
“ฉันนึกถึงเรื่องที่นายถามเมื่อไม่นานมานี้ ที่นายถามเรื่องเกี่ยวกับอดีต”
“เอ๊ะ?”
มือแกร่งยกขึ้นประสานกัน ใบหน้าเฉยชามองเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ฉันเหมือนกับใครในอดีตของนายอย่างนั้นรึเปล่า?”
“อ….เอ๊!!” นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะถามเรื่องอดีตกับตน
“ปฏิกิริยาแบบนั้นฉันคงเดาถูกสินะ” รีไวถอนหายใจ นัยน์ตาสีขี้เถ้าจับจ้องที่ใบหน้ามนที่กำลังตีสีหน้าไม่ถูกตรงหน้า “ถึงฉันจะบอกไปว่าอดีตเป็นตัวชักนำปัจจุบัน แต่สำหรับเรื่องบางเรื่องถ้ามัวแต่จมอยู่กับอดีตนายจะไม่มีทางเดินไปข้างหน้า”
“จุดนั้นผมเข้าใจดีครับ” เข้าใจดีถึงได้กลุ้มใจและพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองจนในที่สุดก็แน่ใจ
“ถ้านายเข้าใจก็ดี เพราะงั้นฉันยิ่งตอบรับความรู้สึกนายไม่ได้”
“เดี๋ยวสิครับ!” ร่างบางลุกจากที่นั่งของตนเองตรงมายังที่นั่งของอีกคน มือบางคว้าจับที่ข้อมือแกร่งพลางคุกเข้าลง นัยน์ตาสีมรกตสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้า “เพราะเข้าใจดีถึงได้กล้าที่จะบอกกับคุณครับคุณรีไว”
มือแกร่งยกจับคางใบหน้ามนตรงหน้าพร้อมทั้งมืออีกข้างที่ลูบไล้แก้มเนียนเบาๆ “ตอนนี้คนที่นายเห็นตรงหน้าคือใคร?”
“คคุณรีไว”
“คนที่สัมผัสนายอยู่ตอนนี้คือใคร?”
“คุณรีไว”
“แล้วคนที่นายบอกว่าชอบคือใคร?”
“คุณรีไวครับ” แม้จะไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรแต่เอเลนก็ตอบคำถามด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“ก็ดี” ริมฝีปากคมโน้มประกบลงบนริมฝีปากบางตรงหน้า ลิ้นร้อนกระหวัดเกี่ยวลิ้นบางอย่างหยอกล้อ รสข้าวผัดในข้าวห่อไข่ยังคงสัมผัสได้จากลิ้นที่กระหวัดในโพรงปาก
นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงอย่างไม่คาดคิดที่จะได้รับจูบจากชายหนุ่ม ใบหน้าร้อนผ่าวแทบลุกเป็นไฟ อกซ้ายเต้นระรัวจนแทบจะระเบิดออกมา
เมื่อริมฝีปากคมถอนออกไป เอเลนได้แต่ก้มหน้ามองมืออีกข้างของตนเองที่กำจนแน่นด้วยความอายจนไม่กล้าสบตา
“คอนแรกว่าจะถามต่อว่านายรู้สึกยังไง” มือแกร่งตบลงบนหัวสีน้ำตาลเบาๆ “แต่ปฏิกิริยาของนายตอนนี้คงไม่ต้องถามแล้ว”
“คคุณรีไว” ใบหน้ามนค่อยๆเงยขึ้นสบกับใบหน้าเฉยชาที่ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมา แต่มือแกร่งที่สัมผัสบนเรือนผมช่างอบอุ่น
“ฉันอยากให้นายแน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้านายเป็นใคร” นัยน์ตาสีขี้เถ้าสบกับใบหน้ามนที่กำลังเขินอายตรงหน้า “และยืนยันตัวฉันเองเช่นกัน”
“ยืนยันอะไรงั้นเหรอครับ?”
รีไวลูบไล้แก้มเนียนของเด็กหนุ่มไปมา
“หลายครั้งที่ฉันฝันเห็นใครบางคนที่ฉันไม่รู้จัก และนั่น……อาจจะเป็นนาย” คำบอกเล่าของชายหนุ่มยิ่งทำให้เอเลนหัวใจสั่นไหวมากยิ่งขึ้น แม้ไร้ซึ่งความทรงจำแต่ส่วนลึกในจิตวิญญาณก็ยังคงร่ำหาตัวเขาเช่นกัน
“แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน นายที่อยู่ตรงหน้าฉันเป็นคนที่มีตัวตนอยู่จริง”
“ครับ" มือเรียวยกขึ้นจับมือแกร่งที่ยังคงสัมผัสใบหน้าตนอยู่
“ถ้าฉันจะรู้สึกพิเศษกับนายก็ต้องเพราะนายที่อยู่ตรงหน้านี้” ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะคล้ายกับใครบางคนในความฝันที่ไม่อาจสัมผัสได้ เพราะตรงหน้าของเขาคือเด็กหนุ่มที่มีชีวิต ลมหายใจ และสามารถสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกาย เพราะอย่างนี้ล่ะมั่งตัวเขาถึงชอบเผลอสัมผัสคนตรงหน้าไปโดยไม่รู้ตัว
“เช่นกันครับคุณรีไว” แม้จะมีอดีตเป็นตัวผลักดันแต่อนาคตคือสิ่งที่ต้องกำหนดเอง เช่นเดียวกับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกปัจจุบันที่ยังคงเลือกคนตรงหน้าไม่เปลี่ยนแปลง คุณรีไวตรงหน้าแม้จะเป็นจิตวิญญาณเดียวกันกับหัวหน้าในอดีต แต่คุณรีไวก็คือคุณรีไว หัวหน้าก็คือหัวหน้า เป็นอดีตที่ไม่อาจย้อนกลับไป ถึงแม้อยากจะรู้ว่าหลังจากที่ตัวเขาได้จากไปแล้วคนตรงหน้านี้เป็นอย่างไร? คำถามที่ไม่มีคำตอบและอาจไม่สามารถรู้คำตอบได้เลยตราบจนสิ้นลมหายใจ แต่ความเป็นจริงที่ว่าเราสองคนได้มาพบกันอีกครั้งและความรู้สึกเล็กๆที่กำลังเริ่มก่อตัวคือความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองหยาดน้ำค้างที่เริ่มเกาะบนดอกไม้สีฟ้าที่อยู่เต็มระเบียงของเขาผ่านทางหน้าต่าง ดอกไม้เล็กๆที่เขาซื้อมาเป็นประจำราวกับย้ำเตือนให้นึกบางสิ่งที่แสนสำคัญออก ถึงกระนั้นกลับยังคงว่างเปล่า….
“คุณรีไวจะให้ผมนอนที่ไหนเหรอครับ?” เอเลนที่ล้างจานเสร็จเรียบร้อยถามหาที่นอนของตนเอง
ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งหันกลับมาสบกับใบหน้ามนที่ยิ้มระรื่นตรงหน้า “มีห้องว่างสำหรับแขกอยู่นายนอนที่ห้องนั้นละกัน ฉันมีแปรงสีฟันสำรองนายก็เอาไปใช้ซะ” รีไวรื้อตู้กระจกติดพนังบนอ่างล้างหน้าแล้วยื่นแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้แกะห่อให้กับเด็กหนุ่ม
“ขอบคุณครับ” เอเลนรับแปรงสีฟันสีฟ้ามาแกะห่อพลาสติกแล้วเดินเข้าไปทำธุระที่อ่างล่างหน้าเมื่อเห็นว่าอีกคนหลีกทางให้
“ช่วงนี้ฉันคงไม่ค่อยได้เข้าไปที่ร้านเพทร่า”
“งานยุ่งสินะครับ” เอเลนเอาผ้าขนหนูซับน้ำบนใบหน้าที่เปียกจากการล้างหน้าอีกครั้งก่อนเข้านอน ใยหน้ามนหมองลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเวลามาหาตน
“ช่วงกลางวันนายเอาอาหารที่ร้านเพทร่ามาให้ฉันที่ออฟฟิศหน่อยละกัน”
“ได้ครับ” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าช่วงเวลาพักกลางวันยังมีโอกาสที่ได้เจอกับชายหนุ่ม
“แล้วอย่าลืมเอาของนายมาด้วย”
ร่างโปร่งมองอีกคนอย่างสงสัย แล้วใบหน้าต้องขึ้นสีระเรื่อกับคำตอบของชายหนุ่ม
“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากินข้าวพร้อมกันอร่อยกว่า” แม้ไม่อาจรู้ว่าสิ่งสำคัญที่ขาดหายไปคืออะไร แต่กับเด็กหนุ่มที่มีตัวตนอยู่ตรงหน้าก็อยากที่จะลองเรียนรู้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่หาสิ่งที่ขาดหายซึ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคืออะไรกัน

TBC.

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 14



Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 14

“ผมชอบคุณครับ คุณรีไว”

ภายในห้องเก็บของด้านหลังของร้านเพทร่าที่เงียบสงบ ร่างสองร่างที่ส่วนสูงต่างกันต่างยืนนิ่งมองหน้ากันและกัน ไร้การเคลื่อนไหวและคำพูดใดใด เงียบเสียจนแทบจะได้ยืนเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของร่างโปร่งบางที่อยู่ในห้อง เสียงหัวใจที่เต้นอย่างไม่เป็นจังหวะเพื่อรอการโต้ตอบของอีกฝ่ายช่างรุนแรงและปวดหนึนเจ็บไปทั้งอกซ้ายจนต้องยกมือขึ้นมาจับกุมไว้ไม่ให้หัวใจที่สั่นระรัวนั้นหลุดกระเด็นออกมาจากอก
ทว่าท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวจนเอเลนเริ่มรู้สึกอึดอัด เด็กหนุ่มรู้สึกกดดันกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่จ้องสบกับดวงตาของตนเองโดยไม่ฉายแววอารมณ์หรือความหวั่นไหวใดใด ไม่มีแม้กระทั่งความตกใจในสิ่งที่ตัวเขาได้พูดไป จะว่าชายหนุ่มไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็คงไม่ใช่เพราะห้องเก็บของนั้นเงียบมากทีเดียวและระยะห่างระหว่างตัวเขาเองกับคุณรีไวก็ห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือถึงเท่านั้น ความกังวลและความกดดันเริ่มรุมเร้าเด็กหนุ่มร่างโปร่งแต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจถอยหนี ความมุทะลุคือนิสัยของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเขาก็จะขอเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คุณรีไว ผม”  ริมฝีปากบางเตรียมเอ่ยเพื่อย้ำคำพูดของตนให้ชายหนุ่มได้รับรู้อีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ถ้าทุกอย่างครบแล้วก็ไปกัน” รีไวเดินออกไปจากห้องโดยไม่หันกลับมามองเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
อกซ้ายบีบอย่างเจ็บแปลบ ไม่มีคำปฏิเสธแต่ไร้ซึ่งการตอบรับใดใดจากชายหนุ่ม เอเลนรู้สึกหัวสมองว่างเปล่าเหมือนมีหมอกสีขาวมาปกคลุมทำให้มองไม่เห็นสิ่งใด จากปฏิกิริยาเมื่อสักครู่เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่ได้ยิน แต่แสร้งทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นต่างหาก

เอเลนรู้สึกหัวสมองตื้อตันไปหมดจนไม่อาจรับรู้สิ่งต่างๆรอบข้าง ไม่รู้แม้กระทั่งว่าชายหนุ่มออกจากร้านไปเมื่อใด? คุณเพทร่า แจน และอาร์มิน กลับมากันตอนไหน? แม้กระทั่งแขกที่เข้ามาในร้านเขาก็ยังคงรับรายการอาหารและจัดแจงทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยตามสัญชาตญาณ แต่เพื่อนที่รู้จักกันมานานอย่าง มิคาสะ แจน และอาร์มินเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างบางที่พยายามฝืนทำตัวให้เป็นปกติอยู่ได้
ความสงสัยและเป็นห่วงที่เห็นท่าทีของเพื่อนตนเองเปลี่ยนไปทำให้แจนเดินไปหาเอเลนที่กำลังทำความสะอาดอยู่หลังร้าน
“เอเลน แกไม่สบายรึเปล่าวะ?” คำถามจากแจนทำให้เอเลนหลุดออกจากห้วงความคิดสีขาวที่ขุ่นมัวในหัวออกมาได้
ใบหน้ามนมองหน้าเด็กหนุ่มเพื่อนสนิทของตนที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วง “แค่เหนื่อยน่ะแจน ขอโทษที่ทำให้ห่วง” เด็กหนุ่มพยายามส่งยิ้มให้กับเพื่อนสนิทเพื่อให้คลายกังวล แม้จะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำหน้าแบบไหนอยู่ก็ตาม
เมื่อแจนเห็นคนตรงหน้าที่พยายามแสร้งว่าสบายดีอยู่นั่นก็ยิ่งอดรู้สึกหัวเสียด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ทำไมไอเจ้าบ้านี่ไม่เคยเล่าหรือบอกอะไรเขาเลย นายจะรู้มั่งหรือเปล่าว่าตอนนี้นายกำลังทำหน้าแบบไหน หน้าของนายที่เหมือนกับฝืนยิ้มแบบนั้นเห็นแล้วมันชวนหงุดหงิดจริงๆ
เด็กหนุ่มร่างสูงไม่รอช้าเดินกลับเข้ามาหาหญิงสาวเจ้าของร้านที่กำลังวุ่นกับการเตรียมวัตถุดิบสำหรับเหล่าลูกค้าที่จะมาในช่วงเย็น เสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาอย่างร้อนรนทำให้เพทร่าละจากการกวนส่วนผสมในอ่างผสมหันมองตามต้นเสียง
“พี่เพทร่าขอโทษนะครับ ผมขออนุญาตให้เอเลนกลับก่อนได้ไหม? ดูเหมือนมันจะไม่สบาย” คำขอของแจนทำให้เอเลนที่เดินตามเข้ามากำลังจะคัดค้าน แต่ไหล่บางถูกมือของหญิงสาวเพื่อนสนิทอีกคนดึงไว้ก่อน เมื่อเอเลนหันไปมอง มิคาสะส่ายศรีษะช้าๆไปมาเพื่อไม่ให้เอเลนเข้าไปขัดคำขอของแจน ซึ่งเธอเองก็เห็นสมควรด้วย
“เอ๊ะ? เอเลนไม่สบายเหรอจ๊ะ กลับก่อนเลยก็ได้นะ” หญิงสาวมองมาที่เด็กหนุ่มใบหน้ามนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอกครับพี่เพทร่า ผมสบายดีครับ” เอเลนพยายามส่งยิ้มทำตัวให้เป็นปกติ และนั่นยิ่งทำให้แจนรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
“หน้าตาแบบนั้นเนี่ยนะที่นายเรียกว่าไหวน่ะ!?” นัยน์ตาสีเปลือกไม้หันสบกับใบหน้ามนด้วยความหงุดหงิด
“แจน นายคิดมากไปน่าฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย!” เอเลนเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับการคิดและตัดสินใจเอาเองของร่างสูง
“ฉันไม่อยากทะเลาะกับนายนะเอเลน นายกลับไปพักซะ” แจนพยายามข่มอารมณ์ของตนไม่ให้ขึ้นตามคนดื้อด้านที่ไม่ยอมฟังตรงหน้า
“หา? อะไรคือนายไม่อยากทะเลาะวะแจน ฉันบอกไม่เป็นไรนายต่างหากที่ดื้อด้าน อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย!” น้ำเสียงที่เริ่มโวยวายของเอเลนทำให้แจนเริ่มหมดความอดทนจนมือแกร่งคว้าที่คอเสื้อของคนสูงน้อยกว่าอย่างเริ่มมีน้ำโห
“ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะวะว่าตอนนี้แกไม่ปกติไอบ้าเอ๊ย” ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนของตนทำไปเพราะความเป็นห่วงแต่อารมณ์ขุ่นมัวที่กำลังเข้าเล่นงานทำให้เอเลนไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เช่นกัน มือเรียวจึงคว้าคอเสื้อของคนสูงกว่าคืนเช่นกัน
“แล้วเพราะอะไรล่ะวะแจน!!” นัยน์ตาสีมรกตสบกับนัยน์ตาสีเปลือกไม้ นัยน์ตาของทั้งคู่ต่างฉายแววหงุดหงุดใส่กันและกัน
“นั่นก็เพราะ…!!
กริ๊ง
ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ตอบออกไปเสียงกระดิ่งประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน ทำให้อารมณ์ที่กำลังขึ้นของเด็กหนุ่มทั้งสองลดลงมาบ้างเพื่อเตรียมต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาตามสัญชาตญาณ
“ฮัลโหลลลล ทุกคนขอลาเต้เย็นสักแก้วสิจ้า!” ฮันซี่เดินเข้ามาในร้านแล้วต้องหยุดชะงัก มือเรียวยกขึ้นเกาศรีษะประเมิณสถาณการณ์ที่เห็นอย่างไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มสองคนที่หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกำลังกระชากคอเสื้อกันให้ความรู้สึกเหมือนสุนัขสองตัวกำลังแง่งใส่กัน เพทร่าที่กำลังหน้าตื่นตระหนกและทำตัวไม่ถูกกับเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังทะเลาะกัน มิคาสะที่ถือไม้กวาดเตรียมพร้อมจะฟาดหัวหนึ่งในนั้นและคาดว่าคงไม่พ้นจะเป็นแจนที่จะโดน อาร์มินที่พยายามทำท่าทางหาทางไกล่เกลี่ยทั้งคู่ ดูเหมือนว่าเธอจะมาถูกจังหวะสินะ ยิ่งเพทร่าส่งสายตาเป็นประกายมองเธอมาด้วยความหวังอย่างนั้น “หืม นี่ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?”
“ไม่ครับ คุณฮันซี่มาก็ดีแล้วครับถ้ายังไงผมขอฝากลากไอบ้านี่กลับบ้านหน่อยนะครับ” แจนกระชากคอเสื้อของเอเลนส่งไปทางหญิงสาวสวมแว่นตา ร่างบางถลาไปซุกกับบ่าของหญิงสาวที่เตรียมรอรับอยู่พอดี
“เฮ้ยแจน แก!!” ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เอ่ยปากมือเรียวของหญิงสาวซึ่งมีฐานะเป็นอาจารย์ด้วยแล้วหยิกแก้มของเด็กดื้อเสียก่อนจนเอเลนต้องอุทานร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“เอาน่าหนุ่มน้อยบ่ายนี้เราไปออกเดทกันสองคนดีกว่านะ ระหว่างที่ฉันรอกาแฟนายก็ไปเปลี่ยนชุดซะเอเลน” เด็กหนุ่มไม่สามารถขัดคำสั่งของหญิงสาวได้ จึงได้แต่ทำหน้างออย่างไม่พอใจนัก แล้วเดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแต่งตัวสำหรับพนักงานหลังร้าน
“เฮ้อ ขอบคุณนะคะคุณฮันซี่” เพทร่าถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทุกอย่างเริ่มกลับเป็นปกติ
“ขอโทษนะครับพี่เพทร่าและก็ขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับ” แจนก้มหัวสำนึกผิดให้กับหญิงสาวทั้งสอง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ว่าแต่พวกเธอสองคนทะเลากันทำไมน่ะ?” เท่าที่รู้จักเด็กกลุ่มนี้มาแม้แจนและเอเลนจะชอบกัดและทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง แต่น้อยครั้งนักที่จะถึงขั้นลงไม้ลงมือกันรุนแรง
“เออ….” แจนพยายามจะหาทางอธิบาย แต่ก็คิดไม่ถูกว่าควรเริ่มจากตรงไหน ตรงที่เขารู้สึกว่าเอเลนทำตัวแปลกๆหรือหงุดหงิดที่รายนั้นไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังบ้างเลยกันแน่? สีหน้าลังเลของเด็กหนุ่มร่างสูงทำให้อาร์มินต้องช่วยอธิบายให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนฟังแทน
“คือแจนเขาเป็นห่วง เห็นว่าเอเลนดูเหมือนจะไม่สบายเลยอยากให้ไปพักผ่อนแต่รายนั้นกลับไม่ยอมฟังเลยมีปากเสียงกันน่ะครับ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเด็กหนุ่มผมทอง หญิงสาวทั้งสองอดรู้สึกเห็นใจในความหวังดีของเด็กหนุ่มร่างสูงไม่ได้ ทั้งที่ทำไปเพราะเป็นห่วงแต่อีกคนกลับไม่เข้าใจเสียเลย
เมื่อเห็นว่าเอเลนเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ฮันซี่จึงเข้าไปกอดคอเด็กหนุ่มพร้อมคว้าแก้วกาแฟลาเต้ที่สั่งไว้ ก่อนกล่าวลาทุกคนแล้วออกจากร้านไปพร้อมเด็กหนุ่มร่างโปร่ง
เมื่อทั้งสองเดินเข้ามายังลานจอดรถของสำนักงานที่อยู่ข้างกันกับร้านกาแฟเพทร่า ฮันซี่เข้าไปถอยมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ฮาร์เล่ย์ เดวิดสัน รุ่นร็อกเกอร์ สีขาวออกมาพร้อมทั้งโยนหมวกกันน็อคสีขาวเช่นเดียวกับตัวรถให้กับเด็กหนุ่ม
“คุณฮันซี่ผมกลับเองก็ได้นะครับ” เอเลนรู้สึกเกรงใจที่หญิงสาวซึ่งมีฐานะเป็นถึงอาจารย์จะต้องไปส่งตนเอง
“ใครว่าฉันจะไปส่งเธอล่ะ เราจะไปเดทกันต่างหากล่ะ” ฮันซี่คลี่ยิ้มกว้างพร้อมทั้งดึงเด็กหนุ่มให้ขึ้นมาซ้อนท้ายยังพาหานะของตน ร่างโปร่งที่กำลังขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายต้องรีบคว้าเอวคนขับอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อฮันซี่บิดคันเร่งออกตัวพาหนะคู่ใจโดยไม่สนใจเด็กหนุ่มที่ยังไม่ทันได้นั่งที่ดี
แจนมองตามมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีขาวที่แล่นผ่านหน้าร้านไปจนลับตาแล้วต้องถอนหายใจ ถ้าคุณฮันซ่ไม่เข้ามาได้จังหวะพอดีก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาและเอเลนจะเป็นอย่างไรกัน
เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าใสเข้าไปลูบศีรษะคนสูงกว่าอย่างเอ็นดู แจนค่อยๆเอนตัวลงมาพิงลงบนบ่าเพื่อนตัวเล็กพลางถอนหายใจ
“โชคดีนะครับที่ไม่หลุดปากไปเพราะอารมณ์” ทั้งที่เป็นความรู้สึกที่เก็บมานานและตั้งใจจะบอกถ้าต้องเผลอพลั้งเพราะอารมณ์ที่พาไปคงไม่ดีเสียเท่าไร
“นั่นน่ะสิ ดีแล้วล่ะ…….ขอบใจนะอาร์มิน” ดีแล้วที่คุณฮันซี่เข้ามา ถ้าจะบอกคำคำนั้นกับนายฉันอยากให้ออกมาจากความตั้งใจจริงของฉันมากกว่านะ….เอเลน
มิคาสะเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มทั้งสองพลางวางแก้วนมเย็นให้กับเด็กหนุ่มร่างสูง ปฏิกิริยาที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับจากเด็กสาวใบหน้าคมผมดำดุจราตรีทำให้แจนมองแก้วนมอย่างแปลกใจพลางมองสบกับใบหน้าสวยนั้นอย่างสงสัย
“ขอบใจแจน เพราะนายเอเลนถึงได้กลับมาร่าเริงได้บ้าง” ถึงแม้จะทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน แต่ปฏิกิริยาของเอเลนที่มีการตอบสนองตามอารมณ์และความรู้สึกยังดูดีกว่าที่ตอบสนองตามสัญชาตญาณแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณในตอนที่ออกมาจากห้องเก็บของ ไม่รู้ว่าในห้องนั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณรีไวและเอเลน สิ่งที่รับรู้ได้คือท่าทีของเด็กหนุ่มเพื่อนคนสำคัญที่แปลกไปจนทำให้เป็นห่วงและกังวล
                ใบหน้าหล่อของเด็กหนุ่มมองเด็กสาวที่เดินจากไปแล้วต้องเกาแก้มแก้เขิน เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เด็กสาวขอบคุณเขา มันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจระคนดีใจไม่น้อยทีเดียวจนอาร์มินหลุดขำน้อยๆกับท่าทางของเพื่อนสนิทร่างสูงของตน
                เอเลนจะรู้ตัวบ้างไหมว่าบางครั้งผมก็อิจฉาที่มีคนที่แสนดีเหล่านี้รักและห่วงใยอยู่เสมอ………..
.
.
.
.

                สายลมของแม่น้ำที่พัดกระทบผิวหน้าช่างสดชื่นและเย็นสบาย ยิ่งบรรยากาศร่มรื่นย์รายล้อมไปด้วยต้นไม้ในสวนสาธารณะที่ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปมา บรรยากาศเหล่านี้คงทำให้ปลอดโปร่งและเบาสบายไม่น้อยถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ตัวเขาจะต้องนั่งบนม้านั่งข้างริมน้ำในสวน ความรู้สึกพะอีดพะอมเวียนหัวและคลื่นไส้ยังไม่หายตั้งแต่หลุดรอดลงมาจากการขับมอเตอร์ไซค์ที่เรียกได้ว่าผาดโผนจากหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้ยื่นน้ำผลไม้กระป๋องจากตู้กดอัตโนมัติมาให้
                “โทษที โทษที ฉันเห็นรีไวเคยไปส่งนายแล้วเลยคิดว่าน่าจะมีภูมิคุ้มกันเสียอีก” อย่างรีไวเรียกได้ว่าขับรถได้เร็วจนน่ากลัวทีเดียวล่ะต่อให้จะทำตามกฏจราจรก็เถอะนะ
                “เอ๋? มไม่นี่ครับ  คุณรีไว ขับปรกตินะครับ…..เฮ้อ” เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายและเริ่มปรับสภาพให้กลับเป็นปกติ
                ฮันซี่เลิกคิ้วฟังคำตอบเรื่องการขับรถของคนสูงน้อยอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าคนขับรถไม่สนคนนั่งข้างอย่างรายนั้นจะยอมขับรถแบบนิ่มๆเป็นด้วย ปากบอกว่าไม่เข้าใจคำว่าพิเศษแต่ที่นายทำทั้งหมดเขาเรียกว่าพิเศษล่ะนะ จะเรียกว่าโง่หรือบ้าดีนะเนี่ย
                “ว่าแต่นายเป็นอะไรเหรอเอเลน? หรือต้องถามว่าใครทำอะไรนายงั้นเหรอ?”
                ใบหน้ามนมองหน้าหญิงสาวแล้วต้องผลุบลงต่ำเมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของชายหนุ่มที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่น แค่คิดก็รู้สึกหน่วงไปทั้งอกข้างซ้าย
                “ถ้าให้ฉันเดา……รีไวสินะ”
                เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบสิ่งใด แต่นัยน์ตาสีมรกตที่สั่นไหวกับชื่อที่เอ่ยออกมานั้นยิ่งทำให้ฮันซี่รู้ว่าเธอคงเดาไม่ผิดจริงๆ
                หญิงสาวนั่งลงข้างเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีเข้มเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย ริมฝีปากบางของหญิงสาวค่อยๆเอ่ยถาม
                “เอเลน…..เธอชอบรีไวงั้นเหรอ?”
                “อเอ๊ะ!?” นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจะถามตนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปิดบัง “คครับ”
                “งั้นเหรอ” ถึงแม้จะคาดเดาได้อยู่แล้ว การที่ได้ยินเด็กหนุ่มยืนยันยิ่งทำให้เธอแน่ใจยิ่งขึ้น “ขอฉันถามหน่อยนะทำไมเธอถึงชอบรึไวล่ะ? ถ้านับดูแล้วเธอเพิ่งเจอรีไวไม่นานยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ”
                เอเลนก้มมองน้ำผลไม้กระป๋องในมือของตน ควรจะอธิบายอย่างไรให้กับหญิงสาวฟังดี เพราะคนคนนั้นคือคนที่เขาเฝ้ารอคอยและตามหา ถ้าจะให้พูดแล้วล่ะก๊…….
                “คุณฮันซี่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตรึเปล่าครับ?”
                คำตอบของเอเลนทำให้ฮันซี่มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ ไม่คาดคิดว่าเด็กผู้ชายสมัยนี้จะยังคงคิดฝันเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย
                “เธอจะบอกว่าเธอกับรีไวเคยเจอกันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
                เด็กหนุ่มยิ้มแห้งให้กับหญิงสาว
                “มันฟังดูแปลกสินะครับที่ผู้ชายอย่างผมคิดแบบนี้” ถึงไม่มีบันทึกเล่มนั้นช่วยผลักดันแต่เชื่อได้เลยว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาและคุณรีไว จะต้องได้พบเจอกันอีกครั้งแน่นอน และเขาก็มั่นใจแล้วว่าต่อให้ไม่มีเรื่องของ เอเลน เยเกอร์ ในอดีต ตัวเขาจะต้องตกหลุมรักผู้ชายคนนี้อีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคงไม่มีใครอีกแล้วที่สามารถทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้พบเจอ อกซ้ายสั่นไหวและกระตุกเพียงได้ยินชื่อ คอยเฝ้าและมองตามทุกครั้งอย่างไม่รู้ตัว จวบจนตอนนี้คนที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ได้ก็มีเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้น
                “ไม่แปลกหรอกนะ ในโลกนี้มีเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆมากมายที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ อย่างเช่นในอเมริกามีการทดลองจับแยกเด็กคู่แฝดจากกันโดยที่ทั้งคู่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นลูกแฝดจนกระทั่งเวลาผ่านไปโชคชะตาก็ผลักดันให้พวกเขามาพบเจอกัน และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นทั้งที่พวกเธออยู่คนละซีกโลกแต่การดำเนินชีวิต ความถนัด นิสัยส่วนตัว หรือแม้กระทั่งเรื่องของคนรัก พวกเธอยังเหมือนกันอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ เพราะงั้นฉันก็คิดว่าจะต้องมีสายใยที่พวกเราต่างมองไม่เห็นถูกถักทอและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน” ฮันซี่ยิ้มกว้างให้กับเด็กหนุ่ม

                กงล้อแห่งโชคชะตาที่ขับเคลื่อนต่างพาผู้คนมากมายมาให้ได้รู้จักและพบเจอ สายใยที่เชื่อมโยงที่มองไม่เห็นล้วนพากันสานสายสัมพันธ์ถักทอให้แน่นแฟ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายใยความผูกพันธ์ลึกซึ้งที่ต่างมีให้แก่กันข้ามผ่านห้วงของช่วงเวลา สลักล้ำตราตรึงในจิตวิญญาณจนไม่อาจลบเลือนแม้จะผ่านมาแสนเนิ่นนานก็ตาม

                “คุณฮันซี่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดรึเปล่าครับ?”
                “ที่ว่าเราต่างเคยเจอและผูกพันกันมาก่อนในอดีตเลยทำให้มาเจอกันในปัจจุบันนี้รึเปล่า?”
                เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มให้กับหญิงสาวพลางพยักหน้ารับ
                “ครับ ผมกับคุณรีไวเรียกได้ว่าเป็นกรณีแบบนั้น
                คำบอกเล่าของเอเลนทำให้ฮันซี่คิดถึงเรื่องความฝันของชายหนุ่มที่เคยเล่าให้เธอฟัง บางทีสิ่งที่เรียกว่าพรหมลิขิตอย่างที่เด็กหนุ่มกล่าวไว้คงจะมีจริง เพราะไม่ว่าจะเป็นรีไว เอลวิน เพทร่า หรือแม้กระทั่งเอเลน ที่เธอต่างได้พบเจอ ตั้งแต่ครั้งแรกกลับรู้สึกว่ารู้จักกันมาเนิ่นนาน ความรู้สึกเหมือนกับได้พบเพื่อนสนิทที่ได้เจอกันหลังจากจากกันไปนาน ความคิดถึงและโหยหา โชคชะตาเหล่านั้นคงผลักดันเรามาพบเจอกันอีกครั้งสินะ……
                -Pi po  Pi po  Pi po-
                เสียงไซเรนที่ดังขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งมองหาต้นเสียงแล้วก็พบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน
                “ว่าไงมิเกะ? อะไรนะตอนนี้นายกลับมาจากสำนักงานที่ต่างประเทศแล้วงั้นเหรอ” หญิงสาวแสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจเมื่อรับสายจากปลายสาย แต่แล้วสักพักก็ต้องตีสีหน้าเคร่งเครียดกับเนื้อหาที่ปลายสายต้องการความช่วยเหลือ
“ หา แต่ฉันเพิ่งออกมาจากสำนักงานเองนะ เอ๊ะข้อมูลคดีนั้นน่ะเหรอ…… ก็ได้ฉันจะกลับไป” ฮันซี่เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงของตนก่อนหันมาทางเด็กหนุ่มพลางยกมือขึ้นเป็นเชิงขอโทษที่คงไม่อาจไปส่งร่างโปร่งกลับบ้านได้เสียแล้ว
“งานด่วนเหรอครับคุณฮันซี่?” เอเลนเอียงคอถามอย่างสงสัย จากบทสนทนาเมื่อสักครู่คาดว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว
“ใช่แล้วล่ะคดีใหญ่ที่มิเกะกำลังตามสีบกับหน่วยงานต่างชาติเลยทีเดียวนะ เธอยังไม่เคยเจอมิเกะสินะ เขาเป็นผู้ชายที่จมูกไวและเก่งมากๆเลยล่ะคราวหน้าคงได้เจอกัน” หญิงสาวตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงคดีที่ชายหนุ่มมาให้เธอช่วยสืบค้น
“ครับ คุณฮันซี่รีบไปเถอะครับ” ไม่อยากบอกเลยว่าต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่หญิงสาวไม่ได้ไปส่งตน การที่ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ผาดโผนแบบนั้นอีกรอบแค่คิดก็รู้สึกคลื่นไส้แล้ว

เมื่อหญิงสาวจากไปทำภารกิจของตนพร้อมกับพาหนะคู่ใจก็ถึงเวลาที่เด็กหนุ่มเองก็ควรจะกลับบ้านของตนได้แล้วเช่นกัน

ครืนนน
ซ่า   ซ่า   ซ่า….

 สายฝนที่ตกกระหน่ำอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้เอเลนต้องรีบวิ่งฝ่าสายฝนไปหลบใต้หลังคาของร้านดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ฝนเปลี่ยนฤดูแบบนี้คิดจะตกก็ตกหรือไงนะ  เด็กหนุ่มอดบ่นกับสภาพอากาศที่คาดเดายากเมื่อใกล้ช่วงเปลี่ยนฤดูมิได้
“นายมาทำอะไรตรงนี้น่ะ?” น้ำเสียงที่หลงใหลทำให้เอเลนหันไปมองตามต้นเสียง และพบเจอกับชายหนุ่มร่างไม่สูงนักที่คุ้นตา เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายยังคงทำให้เอเลนรู้สึกหน่วงที่อกซ้ายตอนนี้เลยไม่กล้าที่จะสบตากับนัยน์ตาสีขี้เถ้านั้นตรงๆ
“คุณรีไวมาซื้อของเหรอครับ?” เด็กหนุ่มพยายามฝีนทำตัวให้เป็นปกติแม้จะลำบากเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มก็ตาม
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มพร้อมกางร่มที่ตนพกมาโดยให้อีกคนได้อาศัยอยู่ในร่มด้วยกัน
“ตามมาคอนโดฉันอยู่ใกล้ๆนี้ กว่านายจะถึงบ้านจะเป็นหวัดซะก่อน”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของชายหนุ่มนัก แต่เอเลนก็เดินตามชายร่างเล็กแต่แข็งแกร่งไปแต่โดยดี

คอนโดชั้นบนท่ามกลางตัวเมือง ห้องสีขาวสะอาดตาตามแบบคนรักความสะอาด เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นแม้จะผ่านการใช้งานมาแล้วแต่ก็ยังคงความใหม่และสะอาดอย่างเหลือเชื่อ บ่งบอกถึงความเป็นระเบียบและรักความสะอาดของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
เอเลนมองสำรวจสิ่งของต่างๆภายในห้องและต้องสะดุดกับกรอบรูปสีน้ำตาลที่วางไว้บนชั้นหนังสือ รูปถ่ายของคุณรีไวที่กำลังอุ้มเจ้าน้องหมาพันธุ์ปอมเปอเรเนียน สีหน้าของคุณรีไวที่ถ่ายรูปนั้นยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเจ้าน้องหมาเอเลนที่ชายหนุ่มพูดถึงนั้นในรูปก็เห็นได้ชัดเจนถึงความเอาใจใส่ของผู้เป็นเจ้าของเพราะขนที่ดูเรียบร้อยและเงางามรวมทั้งท่าทางที่สดใสร่างเริงนั้นยืนยันได้ว่าต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นเข้าของมากทีเดียว ขณะที่กำลังสำรวจห้องไปรอบๆนั้นมือแกร่งคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มลากไปยังห้องเล็กที่อยู่ถัดจากตู้หนังสือไม่ไกลนัก
เด็กหนุ่มถูกจับโยนเข้าห้องน้ำเพื่อชำระและทำร่างกายให้อุ่นขึ้นจากการเปียกฝน หลังอาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งดีแล้วเด็กหนุ่มจึงนำเสื้อผ้าที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้มาสวมใส่ เสื้อยืดแขนยาวสีขาวที่ดูเหมือนจะหลวมไปเสียหน่อยเมื่อเทียบกับความหนาของร่างกายของชายหนุ่มที่อุดมไปด้วยมัดกล้าม แต่สำหรับกางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้มนั้นดูเหมือนจะพอดีกับความสูงของเด็กหนุ่ม จนเอเลนแอบขำความคิดของตนที่จิตนาการภาพเจ้าของกางเกงนี้สวมใส่มัน ปลายขาของกางเกงคงกองรวมอยู่ที่ข้อเท้ามากทีเดียว
เมื่อเอเลนออกมาจากห้องน้ำชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นเป็นปมอย่างหงุดหงิดจนเด็กหนุ่มแอบสะดุ้งกับสายตาขุ่นเคืองที่จ้องมองมา
นี่ตัวเขาทำอะไรผิด หรือว่าที่แอบคิดเรื่องความยาวของขากางเกงคุณรีไวจะแอบรู้ทัน!!
มือแกร่งคว้าที่ผ้าขนหนูที่พาดคอเด็กหนุ่มแล้วตวัดขึ้นขยี้ลงบนผมสีนี้ตาลเข้มนั้น
“ทำไมไม่เช็ดหัวให้ดีดี น้ำมันหยดลงพื้นเห็นไหม?”
เอเลนแอบขำกับนิสัยรักความสะอาดของคนตรงหน้า ไม่ว่าเมื่อไรเรื่องนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยสำหรับคนคนนี้
ด้วยส่วนสูงที่แตกต่างทำให้รีไวหงุดหงิดกับการที่ตนไม่สามารถจัดการเช็ดหัวสีน้ำตาลของคนตรงหน้าได้ถนัด มือแกร่งจึงคว้าข้อมือบางของเด็กหนุ่มให้นั่งลงกับพื้นหน้าโซฟาสีแดงกลางห้อง และตัวเขานั่งบนโซฟาหลังเด็กหนุ่มพร้อมทั้งลงมือขยี้ผมและเช็ดผมสีน้ำตาลที่เปียกชื้นจนแห้ง
สัมผัสคุ้นเคยและใฝ่หาทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ใบหน้ามนเงยหน้าสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าพลางยิ้มบางให้กับใบหน้าเฉยชานั่น การกระทำของเด็กหนุ่มทำให้รีไวเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างสงสัย
.
.
“ผมชอบคุณนะครับ คุณรีไว” เอเลนตัดสินใจย้ำอีกครั้ง ไม่ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไรก็อยากที่จะให้คนคนนี้ได้รับรู้
ใบหน้าคมนั้นยังคงนิ่งเฉย จนเด็กหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มแห้งให้อีกฝ่ายถึงกระนั่นก็ยังเอ่ยเพื่อย้ำความรู้สึกของตนให้คนฟังได้รับรู้
“ผมชอบคุณจริงๆนะครับ”
“ฉันรู้แล้ว”
นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้าง ไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะตอบสิ่งใดกลับ นึกว่าจะทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทำให้อกซ้ายของเอเลนเต้นระรัวอีกครั้ง
“แล้วคุณ…..!!
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้เอ่ยคำใดต่อไป ผ้าขนหนูที่เช็ดผมตนเองอยุ่นั้นถูกเลื่อนมาคลุมใบหน้าของตนพร้อมมือแกร่งที่ผลักศีรษะของตนเองออกมาจนหน้าของเด็กหนุ่มแทบคว่ำลงกับพรมสีครีมของพื้นห้อง
“เสร็จแล้วไอหนู เดี๋ยวฉันไปส่งแกที่บ้าน”
เอเลนคว้าชายเสื้อของชายหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นจากโซฟา นัยน์ตาสีมรกตฉายแววสั่นไหวจับจ้องใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้า
“คุณรีไว ผมชอบคุณ ได้โปรดเชื่อผมเถอะครับ”
…………นายบอกชอบคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงเดือนแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง?”
“มไม่ใช่นะครับ มีคุณเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้” นัยน์ตาสีมรกตหลุบต่ำพยายามซ่อนความรู้สึกหวั่นไหวที่กำลังก่อตัว
“นายไม่คิดว่ามันเร็วไปหรือไง?”
ไม่เร็วไปหรอกครับผมรอคุณมาตั้งนานแล้ว คำถามจากชายหนุ่มทำให้เอเลนแอบอยากเถียงออกไปแต่ก็ต้องเก็บกลืนคำพูดเอาไว้
“มันอาจจะเร็วไปในสายตาคุณหรือคนอื่นๆ แต่สำหรับผมแล้วมันคือโชคชะตา” นัยน์ตาสีมรกตเหลือบเงยมองใบหน้าคมที่กำลังก้มมองลงมาอย่างนิ่งเฉย ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้า นัยน์ตาสีมรกตสั่นไหวอย่างเว้าวอน
“ต้องเป็นคุณเท่านั้นครับ คุณรีไว”
ชายหนุ่มถอนหายใจกับความดื้อรั้นของคนตรงหน้า
“บอกตามตรง  ฉันไม่ไว้ใจแก ความรู้สึกของแกมันอาจเป็นเพียงอารมณ์ความหลงใหลชั่ววูบเท่านั้น” เหมือนกับคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามา ล้วนแค่หลงใหลไปกับรูปลักษณ์และสิ่งที่เขามีเท่านั้น
คำว่าไม่ไว้ใจของชายหนุ่มทำให้เอเลนรู้สึกปวดหนึบไปทั้งอกซ้าย ถึงกระนั้นก็ยังขอเดินหน้าเพื่อพิสูจน์ความตั้งใจจริงของตน
“คุณยังไม่จำเป็นต้องตอบหรือเชื่อใจผมก็ได้ครับคุณรีไว แต่ขอเพียงแค่ให้ผมได้อยู่ข้างๆคุณจะได้ไหมครับ?”
ความดื้อดึง ดื้อรั้นและความมุทะลุของเด็กหนุ่มทำให้รีไวรู้สึกสนใจในตัวคนตรงหน้ามากขึ้น
ตามใจแกไอหนู”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้เอเลนตื่นเต้นและดีใจจนโผเข้ากอดสะโพกคนที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้ามนยิ้มจนแก้มปริซุกลงกับต้นขาของที่ยืนอยู่
“ขอบคุณครับ คุณรีไว!!
มือแกร่งขยี้ลงบนผมสีน้ำตาลอย่างคุ้นชิน ตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าไอเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ช่างเหมือนกับสุนัขตัวโตต่างจากเจ้าปอมเปอเรเนียนที่เขาเคยเลี้ยงไว้ แต่ท่าทางเวลาดีใจของเด็กหนุ่มทำให้รู้สึกเหมือนเห็นหูและหางกระดิกกำลังกระดิกเลยทีเดียว

ครืนนน
แรงสั่นขอโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะรับแขกทำให้มือแกร่งหันไปรับสายและสนทนากับผู้ที่ติดต่อเข้ามา เมื่อวางสายสนทนามือแกร่งจึงโยนกุญแจห้องให้กับเด็กหนุ่ม
“ฉันคงไปส่งนายไม่ได้แล้ว ถ้าฝนหยุดตกนายค่อยกลับก็ได้ แล้วอย่ากลับดึกนักล่ะถึงบ้านแล้วโทรรายงานฉันด้วย” นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตน ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นและฝนยังคงโหมตกกระหน่ำ จะให้เด็กหนุ่มรออยู่ที่นี้จนฝนหยุดตกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“คุณรีไว แต่ผมยังไม่มีเบอร์ของคุณเลยครับ” เด็กหนุ่มรีบทักท้วงก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกจากห้อง
“บอกเบอร์นายมา”
“เบอร์ผม 0XX-XXX-XXXX” หลังจากเอเลนบอกเบอร์โทรศัพท์ของตนไป เสียงเพลงเรียกเข้าของอนิเมชั่นยอดนิยมก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนโทรเข้ามา และคนที่โทรเข้านั้นแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใคร
“ทีนี้นายก็มีเบอร์ของฉันแล้ว อย่าลืมโทรมารายงานด้วยล่ะไอหนู”
“ครับ!!” เด็กหนุ่มมองเบอร์โทรที่โทรเข้ามาตาเป็นประกาย ในที่สุดเขาก็มีเบอร์ไว้ติดต่อคุณรีไว
“ก่อนนายไปฉันฝากเอาเจ้านั่นไปไว้ที่ระเบียงด้วย” รีไวชี้ไปยังถุงกระดาษสีน้ำตาลที่เขาซื้อมาจากร้านดอกไม้ก่อนออกไปจากห้องคอนโดของตน

เด็กหนุ่มถือถุงกระดาษเดินไปทางระเบียง มือบางเปิดม่านสีน้ำเงินกรมท่าก่อนเลื่อนจับประตูกระจก ใบหน้ามนก้มมองสิ่งของที่อยู่ในถุงกระดาษ นัยน์ตาสีมรกตพลันเบิกกว้างกับสิ่งที่อยู่ภายใน ต้นอ่อนที่เริ่มมีดอกตูมน้อยๆของเจ้าดอกไม้กลีบสีฟ้า ดอกไม้สุดท้ายที่อยู่ในห้วงของความทรงจำที่ตัวเขาในอดีตเป็นคนมอบให้
เมื่อได้มองที่ระเบียงกระถางสีขาวมากมายต่างวางเรียงรายไว้อย่างเป็นระเบียบ  ทุกกระถางล้วนมีดอกไม้ชนิดเดียวกัน ดอกไม้เล็กๆสีฟ้าที่มีเกสรสีเหลืองสดอยู่ตรงกลาง ดอกฟอร์เกทมีน็อท ราวกับตอกย้ำให้คิดถึงบุคคลแสนสำคัญ หยาดน้ำใสไหลลงอาบแก้ม อกซ้ายรู้สึกอุ่นวาบอย่างตื้นตัน สองเรียวแขนโอบกอดกระถางเล็กในมือพลางแนบแก้มใสลงอย่างแผ่วเบา

แม้ไม่อาจจำเรื่องราวที่ผ่านมา แต่ส่วนลึกในจิตวิญญาณยังคงร่ำหาความรู้สึกและความทรงจำที่สลักฝังแน่นอย่างไม่รู้ตัว เป็นการตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์ที่ลึกล่ำอยู่เหนือกาลเวลา

……ได้โปรดอย่าลืม………ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร…..ได้โปรดอย่าลืมผม อย่าลืมความรู้สึกนี้……มันจะเป็นนิรันดร์ฝังลึกในจิตวิญญาณของผมกับคุณตลอดไป……


TBC.