วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

Attack On Titan Fan fic.: Lessons of love: Prologue


Attack On Titan Fan fic.: Lessons of love

Pairing: (LevixEren)

Rate: R18

Story By: Trendy Blood

………………………………………………………………………………………………..

Prologue:

         

            โบสถ์สีขาวตั้งเด่นตระหง่านท่ามกลางพื้นที่ที่รายล้อมรอบด้วยสีเขียวของทุ่งหญ้าบนเนิน หมู่บ้านเล็กๆในชนบทที่ห่างจากตัวเมืองใหญ่ออกไม่มากนักเป็นที่ที่เขาคุ้นเคยเพราะอาศัยอยู่มาตั้งแต่จำความได้ จนเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตัวเขาได้ย้ายไปศึกษาและร่ำเรียนต่อยังต่างแดน และเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เขาก็ยังทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ และด้วยความสามารถและความทุ่มเทในการทำงานทำให้หน้าที่การงานเติบโตอย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้แม้จะมีคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่สาวซึ่งเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวยังคงอาศัยอยู่ที่ชนบทแห่งนี้ แต่ตัวเขาที่แต่ละวันมีตารางงานเข้ามาจนล้นหลามก็แทบไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนครอบครัวที่เหลืออยู่สักเท่าไรนัก

            จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่กลับมาเยี่ยมพี่สาวผู้มีผมสีดำดั่งรัตติกาลเช่นเดียวกับตนก็ตอนพี่สาวของเขาแต่งงาน และอีกครั้งก็ตอนที่คลอดลูกสาวหรือจะเรียกว่าหลานสาวของเขาก็ว่าได้

            ส่วนครั้งนี้ ทั้งที่งานที่มีมากมายให้รับผิดชอบยังคงไม่เข้าที่ได้ แต่เพราะคำขอร้องแกมบังคับของพี่สาวเพียงคนเดียวเลยทำให้ต้องจัดการเคลียเอกสารทั้งหมดอย่างหามรุ่งหามค่ำ เพื่อขอวันหยุดที่เขาแทบไม่เคยได้ใช้ตั้งแต่เริ่มทำงานมา ทั้งที่คิดว่าคงโดนประธานบริษัทตำหนิกับการขอหยุดยาวอย่างกะทันหัน แต่ประธานบริษัทหนุ่มคนนั้นกลับเพียงยิ้มและหัวเราะ แถมยังเพิ่มวันหยุดให้กับคนอย่างเขาเสียอย่างนั้น จากที่คาดว่าจะมาทำธุระตามที่พี่สาวของตนร้องขอเพียงแค่3วัน เขากลับได้วันหยุดมาถึง 2 สัปดาห์

           

            นัยน์ตาสีหมอกก้มมองนาฬิกาบอกเวลาที่ข้อมือของตนซึ่งเป็นเวลาใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว ทั้งที่คาดว่าพอลงจากเครื่องบินที่นั่งมาหลายชั่วโมงแล้วเขาจะพักโรงแรมที่ใกล้กับสนามบินและเช่ารถเพื่อขับมา แต่พี่สาวจอมจุ้นให้เขายกเลิกโรงแรมและมาพักด้วยกัน ด้วยเหตุที่ว่าครอบครัวจะได้สนิทสนมกับมากขึ้น แต่บอกตามตรงนอกจากพี่สาวที่เป็นสายเลือดเดียวกันโดยตรงแล้วกับคนที่ขึ้นชื่อว่าพี่เขยเขาก็ไม่ได้ที่จะเคยคุยด้วยเท่าไร ถึงกระนั่นเขาก็รับรู้ได้ว่าพี่เขยของเขาเป็นคนที่อบอุ่นและอ่อนโยนที่ขนาดที่คนอย่างพี่สาวของเขาสามารถที่จะฝากฝังชีวิตไว้ได้

            ประตูโบสถ์เปิดออกพร้อมหญิงสาวร่างอรชรผมดำมันเงาเดินออกมา ใบหน้าหวานใจดีมองซ้ายมองขวาราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง หญิงสาวหันมาสบกับนัยน์ตาสีหมอกของชายหนุ่มที่มองมาอย่างเฉยชา ใบหน้าหวานถอนหายใจอย่างรู้สึกหน่าย ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่เธอคุ้นเคย

            “ถ้ามาแล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะรีไว?”

            รีไวมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าถมึงทึง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีทั้งเขาและพี่สาวคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิดล่ะนะ

            “พี่นั้นล่ะกำลังหาใครอยู่งั้นเหรอ?”

            ด้วยท่าทางที่ดูกังวลและสีหน้าที่วิตกนั่นดูยังไงก็คงไม่ใช่ออกมาตามหาเขาที่นัดไว้อย่างแน่นอน

            “เอเลนน่ะสิหายไปไหนก็ไม่รู้ นายเห็นบ้างไหม? เด็กผู้ชายอายุห้าขวบสูงประมาณนี้ ผมสีน้ำตาล ตาสีเขียว” หญิงสาวทำมือไปมาอธิบายรูปร่างลักษณะของเด็กที่กำลังตามหา

            “ถ้าไงฉันจะลองไปช่วยดูรอบๆละกัน”

            “ช่วยหน่อยนะรีไว”

 

            ใบหน้าคมของชายหนุ่มหันกลับไปมองโบสถ์สีขาวที่ตั้งเด่นอีกครั้ง ชุดสีดำที่เศร้าหมองกับเพลงมิซซาที่กำลังขับร้องในโบสถ์ยามเย็นช่างดูเงียบเหงาและว้าเหว่ ก็เข้าใจอยู่หรอกนะสำหรับเด็กเล็กขนาดนี้ที่ต้องมางานที่น่าหดหู่แบบนี้คงไม่ชอบสักเท่าไร ยิ่งถ้างานนั้นเกี่ยวพันถึงตนเองด้วยแล้วล่ะก็ ไม่น่าแปลกที่จะไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

            รีไวเดินค้นหาทั่วทั้งบริเวณโบสถ์ตามพุ่มไม้หรือแม้กระทั่งต้นไม้ในบริเวณใกล้ๆก็ยังไม่เห็นวี่แววของเด็กที่พี่สาวตนพูดถึง

            เสียงเพลงสวดและเสียงเปียโนที่ลอยดังมาจากโบสถ์ทำให้รู้ว่าพิธีสวดกำลังเริ่มขึ้น นัยน์ตาสีหมอกมองไปยังลริเวณรอบๆอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ เหลืออีกเพียงที่เดียวที่เขายังไม่ได้ไป.........สุสาน......

 

            เสียงเพลงสวดที่เบาลงเพราะระยะทางของโบสถ์ซึ่งกำลังเริ่มพิธีกับสุสานที่ฝังศพนั้นห่างกันอยู่มาก ประตูรั้วสีดำค่อยๆเปิดออก แผ่นหินที่สลักชื่อจารึกและคำไว้อาลัยต่างตั้งเรียงรายในสุสานที่ห่างไกลออกมาจากตัวโบสถ์ รีไวสาดส่องสายตาเพื่อตามหาเป้าหมาย ความมืดที่เริ่มคืบคลานทำให้สุสานยิ่งวังเวง แสงไฟจากโคมไฟในสวนยังพอทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในสุสานขนาดใหญ่ได้บ้าง

            นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองเห็นวัตถุสีดำที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้วัตถุที่น่าสงสัยมากขึ้น เมื่อเดินใกล้เข้าไปภาพสีดำเริ่มเห็นแจ่มชัด แผ่นหลังของเด็กคนหนึ่งที่กำลังนั่งกอดเข่ามองแผ่นป้ายต่างๆอย่างไม่สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัว แม้แต่ตัวเขาที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่เบื้องหลังเจ้าเด็กตรงหน้าก็ราวกับไม่รับรู้ถึงการมาของเขา

            “นายน่ะเอเลนใช่ไหม?” เพราะถ้าผิดคนเขาจะได้เลิกเสียเวลากับเจ้าเด็กที่นั่งอย่างไม่สนใจโลกตรงนี้

            เพราะเสียงเรียกเด็กน้อยจึงหันมามอง แสงไฟภายในสุสานที่ส่องกระทบบนใบหน้าของเด็กชายทำให้เขาแน่ใจว่าคงเป็นคนที่เขากำลังตามหา นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่มองมาอย่างแปลกใจกับผมสีน้ำตาลที่ปลิวไปตามลมที่กำลังพัดผ่านในสุสาน จากลักษณะท่าทางคาดว่าเด็กคนนี้คงอายุประมาณ 5 ปี

            เด็กชายเพียงหันมามองเขาก่อนที่จะหันกลับไปอย่างไม่สนใจกับคำถาม

            “นี่นายน่ะเวลาผู้ใหญ่ถามต้องตอบสิไอหนู”

            รีไวเดินมาขนาบข้างก่อนจะดึงเสื้อของเด็กที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น

          “ปล่อยผมนะ!!” เด็กน้อยพยายามดิ้นไปมาเมื่อโดนดึงขึ้นจนขาลอยจากพื้น

            “ก็พูดได้นี่ไอหนู ตกลงนายชื่อเอเลนใช่ไหม?” นัยน์ตาสีขี้เถ้าหรี่มองเค้นความจริงจากร่างเล็กที่กำลังดิ้นมา

            “แม่ผมบอกว่าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะคนที่ดูไม่ดีแบบลุง” มือเล็กพยายามแกะมือหนาที่ดึงหิ้วเขาออก ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้รู้จักชื่อเขา แต่คนที่ดูน่ากลัวแบบนี้คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่

            “แม่นายน่าจะสอนนายด้วยนะว่าควรพูดจากับผู้ใหญ่ดีๆ อีกอย่างฉันเพิ่งยี่สิบห้ายังไม่ใช่ลุงสักหน่อย”

            รีไวจัดการหมุนคอเสื้อให้เด็กชายตัวน้อยหันหน้าเข้าหาตัวเอง ใบหน้ากลมบูดบึ้งเมื่อสบมองกับนัยน์ตาสีหมอกที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตร

            ใบหน้ากลมของเด็กชายงองุ้ม ร่างเล็กที่พยายามดิ้นไปมานิ่งลงไปเสียดื้อๆจนชายหนุ่มแปลกใจ

            “ไม่มีอีกแล้วล่ะ” เสียงใสค่อยๆเอ่ยอย่างแผ่วเบา

            “คุณแม่กลับมาไม่ได้อีกแล้ว”

            รีไวจ้องมองหน้ากลมที่หมองลงตรงหน้า นัยน์ตาสีมรกตกลมโตฉายแววหวั่นไหวเด่นชัด ถึงกระนั่นกลับไม่มีน้ำตาไหลออกมา จากคำพูดและท่าทางของเด็กตรงหน้ารวมถึงงานที่ถูกจัดขึ้นที่โบสถ์ก็สรุปได้แล้วว่าเจ้าหนูนี่คงเป็น เอเลน ไม่ผิดแน่

            “แล้วนายมาทำอะไรที่นี้คนอื่นเขาตามหานายอยู่นะไอหนู”

          ใบหน้ากลมมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะก้มลงมองที่พื้นแทน

            “ผมจะรอคุณแม่ จะตามไปอยู่กับคุณแม่ ถ...... ถ้า.... ถ้ารอที่นี้.......”

            รีไวมองหน้าเด็กชายตัวยุ่งพลางถอนหายใจ ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะคิดอะไรพิเรนทร์อย่างการจะลงไปนอนในหลุมตอนเขากำลังจะฝังศพในวันพรุ่งนี้สินะ

             “แต่นายกำลังทำให้ใครอีกหลายคนเป็นห่วงนะเอเลน”

รีไวมองร่างเล็กที่ไหล่บอบบางสั่นไหว สองมือค่อยๆประคองเด็กชายตัวน้อยพาดลงกับบ่า มือหนาลูบผมสีน้ำตาลไปมา

“แม้จะไม่ได้อยู่ข้างๆแต่แม่ก็จะอยู่กับนายไปตลอดจริงไหมไอหนู?”

เอเลนเอียงคอมองชายแปลกหน้าอย่างไม่เข้าใจ รีไวจับตัวเด็กชายอุ้มให้นั่งลงบนแขนก่อนนิ้วชี้จะจิ้มลงบนอกของเด็กชายตัวน้อย

“ตรงนี้ไงไอหนู แม้จะไม่ได้เจอแต่เขาจะอยู่กับนายตลอดเวลาและตลอดไป”

สองมือเล็กแตะลงบนที่อกข้างซ้ายของตนเอง ใบหน้ากลมมนพยักน้อยราวกับเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองหน้าด้านข้างของชายหนุ่มที่กำลังพาเขาเดินออกจากสุสาน ดูเหมือนคนหน้าตาน่ากลัวคนนี้จะไม่ใช่คนเลวอย่างที่คิด เศษใบไม้และกิ่งไม้ที่ติดตามผมสีดำนั่น อย่าบอกนะว่าคนคนนี้ออกมาตามหาเขาน่ะ? ว่าแต่ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?

 

เสียงดนตรีและเพลงสวดเงียบลง แขกเหรื่อที่มาร่วมไว้อาลัยต่างเริ่มทยอยกลับจนหมด แสงไฟในโบสถ์เริ่มมืดลง แสงไฟจากรถยนต์คันสีขาวจอดรออยู่หน้าโบสถ์ พร้อมทั้งเหล่าคนที่เขาคุ้นตาดี จะเว้นก็แต่เด็กสาวตัวน้อยที่กำลังวิ่งมาทางเขา

“เอเลนไปไหนมาคุณแม่เป็นห่วงมากเลยนะ” เสียงใสกังวานของเด็กหญิงตัวน้อยตะโกนขึ้น

ร่างเล็กในชุดกระโปรงผ้าสีดำวิ่งเข้ามาหา รีไวจึงอุ้มเอเลนลงวางกับพื้นก่อนจะเดินไปสมทบกับพี่สาวและพี่เขยของตนที่รออยู่

“ขอบใจมากนะรีไว โล่งอกที่หาเจอว่าแต่เด็กคนนั้นไปอยู่ที่ไหนมา?”

“สุสาน”

คำตอบที่ได้ยินทำให้หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มอย่างนิ่งงัน ร่างอรชรค่อยๆเดินเข้าไปหาเด็กทั้งสองคนที่เด็กหญิงลูกสาวของเธอกำลังเข้าไปตะกองกอดเด็กชายร่างเล็กอย่างห่วงแหน มือเรียววางลงบนผมสีน้ำตาลพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เอเลนกลับบ้านกันเถอะนะจ๊ะ”

“ฮะ”

เอเลนเพียงพยักหน้าตอบรับ ใบหน้ากลมมนยังคงไร้ซึ่งสีหน้าและอารมณ์แสดงออก แต่เด็กชายตัวน้อยก็เดินขึ้นรถไปอย่างว่าง่ายพร้อมเด็กหญิงผมสีดำยาวที่เดินตามมาติดๆ

หลังจากที่รถยนต์เริ่มแล่นออกไป เด็กหญิงตัวน้อยก็จ้องเขม็งมองใบหน้าคมของชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จัก

“อุ๊ย แม่ลืมไปว่ามิคาสะตั้งแต่คลอดที่โรงพยาบาลตอนนั้นก็ไม่เคยเจอรีไวอีกเลยนี่นา” หญิงสาวหัวเราะกับท่าทางจ้องเขม็งมองคนแปลกหน้าของลูกสาวตน กับท่าทางเฉยชาที่ไม่สนใจของน้องชายของตน

“รีไว คุณน้ารีไวที่คุณแม่ชอบพูดถึงบ่อยๆเหรอคะ?” เด็กสาวหันมาเลิ่กคิ้วถามมารดาของตน

“ใช่แล้วล่ะ คุณน้ารีไวน้องชายของแม่ น้าชายของมิคาสะไงล่ะจ๊ะ”

“งั้นเหรอคะ แต่หน้าตาเหมือนคนนิสัยไม่ดีแบบนี้เป็นคุณน้ารีไวจริงๆงั้นเหรอ?” เด็กสาวหรี่ตามองอย่างสงสัย

“นี่ยัยเด็กแก่แดด ทั้งเธอและหมอนั่นต้องไปตัดแว่นซะแล้วล่ะนะ” มือหนาวางทับลงบนผมสีดำยาวของเด็กสาวตัวน้อยก่อนจะบีบอย่างแรง

มิคาสะเองก็ไม่ยอมแพ้แขนสองข้างจึงทั้งดึงและหยิกมือของคนที่ชื่อว่าเป็นน้าชายของตน

“ไม่มีทางยังไงตาลุงนี้ต้องไม่ใช่คนดี คุณแม่กำลังถูกหลอกแน่ๆค่ะ!!” นัยน์ตาสีราตรีกลมโตจ้องเขม็งอย่างหาเรื่องกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่เหลือบมองลงมาอย่างนึกรำคาญ

การเจอกันกับหลานสาวที่ไม่ได้เจอมานานตัวเขาก็ไม่ได้คิดจะสร้างสัมพันธ์หรือสายใยด้วยเท่าไรหรอกนะ แต่ไอท่าทางไม่เคารพผู้ใหญ่และแววตากวนประสาทนี้ชวนให้อยากจับยัยเด็กหัวดื้อตรงหน้าถ่วงลงแม่น้ำเสียจริง ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกสาวสุดที่รักของพี่สาวแล้วล่ะก็เขาคงทำอย่างที่คิดไปแล้ว

เอเลนมองเด็กสาวเพื่อนของตนต่อล้อต่อเถียงกับผู้มีศักดิ์เป็นอาตรงหน้าก่อนจะเบนสายตาไปมองยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่กำลังมืดลงเรื่อยๆ

 

 

เสียงบาทหลวงที่สวดส่งวิญญาณถึงตอนสุดท้ายสงบลงพร้อมการไว้อาลัยแด่ผู้ที่จากไป ดอกไม้สีขาวถูกโยนลงบนหลุมสองหลุมขนาดใหญ่สองหลุมที่มีโลงศพสีดำซึ่งมีร่างไร้วิญญาณของผู้ที่จากไปนอนหลับไหล มือเล็กโยนดอกไม้สีขาวแห่งความอาลัยลงในหลุมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วดินที่อยู่รายรอบก็ถูกเทกลบลงไป

วันนี้เด็กน้อยก็ยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าและแววตายังคงไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตาหรือเสียงสะอื้นไห้จนน่าแปลกใจ ทั้งที่เด็กในวัยนี้น่าจะแสดงอารมณ์ออกมามากกว่าผู้ใหญ่ที่คอยชอบปั้นหน้า แต่เอเลนกลับมีแต่ความเงียบงันราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิด

“เอเลนนี่เข้มแข็งจังเลยนะ”

“ช่างเป็นอุบัติเหตุที่น่าเศร้า”

“ทั้งพ่อและแม่ของเด็กคนนั้นไม่รอดทั้งคู่เลยสินะ”

“ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร”

“เห็นว่าตระกูลอัคเคอร์แมนจะรับไปเลี้ยงต่อเพราะคุณคราร่าที่เสียชีวิตไปเป็นเพื่อนสนิท”

เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบเกี่ยวกับเด็กหนุ่มตัวน้อยดังอยู่รายรอบ แม้จะไม่ได้อยากฟังแต่ตัวเขาที่อย๔ใกลกับพี่สาวซึ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาและเด็กชายตัวน้อยที่เป็นหัวข้อสนทนาหลัก การที่เรื่องพวกนี้จะเข้าหูบ้างอย่างน่ารำคาญก็มีแต่ต้องทนฟังต่อไปเท่านั้น

และบทสนทนาทั้งหลายนั่นใช่ว่าควรให้เอเลนมารับรู้ เขาที่คอยอยู่ช่วยพี่สาวต้อนรับแขกยังรู้สึกรำคาญใจแล้วประสาอะไรกับเอเลน

“นี่ยัยเด็กแก่แดดเธอกับเอเลนไปนั่งรอในรถไปอยู่ตรงนี้ก็เกะกะเปล่าๆ”

“ฉันไม่รับฟังคนไม่ดีพูดหรอกนะคะ” มิคาสะเขม่งตามองอย่างไม่สบอารมณ์

“เห็นแม่ของเธอบอกว่าถ้ากลับบ้านเร็วจะทำขนมให้พวกเธอเสียด้วย แต่ถ้าไม่ยอมไปนั่งรอในรถดีๆแบบนี้คงต้องอดแล้วล่ะมั่ง......น่าเสียดายนะ”

นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองท่าทีของเด็กสาวตัวน้อยที่เปลี่ยนไป มือเล็กจับมือของเด็กชายอีกคนลากกลับยังรถยนต์ที่จอดรอ แม้จะอิดออดแต่มิคาสะก็พาเอเลนเข้าไปนั่งรออยู่ในรถอย่างเงียบๆ

“ดูเหมือนนายจะรับมือกับพวกเด็กๆได้ดีกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะ”

“เด็กก็เป็นเด็กล่ะนะ ว่าแต่พี่เลี้ยงยัยนั่นมายังไงกัน?”

“เหรอฉันว่ามิคาสะออกจะเหมือนนายอยู่นะรีไว”

คำพูดจากปากพี่สาวทำให้รีไวคิ้วกระตุก นี่เขากับยัยเด็กแก่แดดนั่นเหมือนกันตรงไหน?

“ว่าแต่หมอนั่นความสัมพันธ์กับพ่อไม่ดีงั้นเหรอ?” ตอนที่เจอที่สุสานเด็กชายเอาแต่พูดถึงแม่ของตนไม่ได้กล่าวถึงพ่อเลยสักนิด ตัวเขาจึงเข้าใจว่าอุบัติเหตุนี้จึงมีเพียงฝ่ายหญิงที่สิ้นไป แต่พอเข้าร่วมงานถึงรู้ว่าเป็นอุบัติเหตุรถยนต์ประสานงากันอย่างรุนแรงโดยที่ไม่มีฝ่ายใดรอดชีวิต

“ฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ แต่ภายนอกก็ดูเป็นครอบครัวที่รักใครอบอุ่นดีนั่นล่ะ ...............ถ้าวันนั้นคราร่าไม่มาฝากเอเลนไว้เด็กนั่นคงไม่ได้อยู่ที่นี้สินะ.......แต่ถ้าเป็นอย่างนั่นมันจะดีกับเด็กคนนั้นรึเปล่ารีไว?”

นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองหน้าพี่สาวของตนที่มองมาอย่างนิ่งงัน คำถามที่ราวกับถามมาลอยๆแต่กลับอยากได้ฟังคำตอบที่ชัดเจน.....

“ไม่หรอก........”

รีไวหันไปโค้งขอบคุณแขกผู้มาร่วมงานก่อนจะหันกลับไปมองพี่สาวของตนอีกครั้ง

“เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าการที่หมอนั่นเหลือตัวคนเดียวแบบนี้จะดีรึเปล่า แต่อย่างน้อยหมอนั่นก็ยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมล่ะ.......”

ใบหน้าหวานของหญิงสาวยกยิ้มบาง แม้จะไม่ได้คำตอบ แต่อย่างน้อยชีวิตเล็กๆของเพื่อนรักของเธอก็ยังคงอยู่ แบบนี้เรียกว่า ยังโชคดีได้รึเปล่านะ........

 

“นี่รีไว....”

ชายหนุ่มเลิ่กคิ้วขึ้นสบตากับพี่สาวของตนเองเป็นเชิงถาม

“นายน่ะไม่คิดจะรับเอเลนไปเลี้ยงหน่อยงั้นเหรอ?”
...........................................................................................................................................
ไหสดๆแหละ =w= //เผ่น!!

8 ความคิดเห็น:

  1. เจิมเรื่องใหม่เจ้าค่ะ
    พี่เลี้ยงเด็กกับคุณหัวหน้าดูแปลกๆ
    หน้าอย่างเฮียเลี้ยงเด็กเป็นด้วย (โดนบู๊ทเสยปาก)
    รอตอนต่อไปเจ้า

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นั่นสิคะ เฮียอาจเลี้ยงได้ดีกว่าที่คิด เลี้ยงแบบให้โตมาเป็นไปตามใจตัวเอง(เลี้ยงยังไง?) ฮาๆ >w<

      ลบ
  2. ถ้าเฮียรับเลี้ยงตอนนี้ จะได้รับแม่บ้าน(และแม่ของลูก?)ที่เพียบพร้อม 1 ea และหนึ่งเดียวเชียวนะครับ หาแบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!! //ชายในเครื่องแบบมาจากไหน!
    มองเหล่าเพื่อน(พี่)สาวที่สร้างไหแข่งกันใหญ่ ก็รออ่านอยู่ดีครับ ฮาาา

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เดี๋ยวนะ แม่บ้านนี่เข้าใจ แม่ของลูก!!!!!!!!! อันนั้นต้องไปในฟิคสดแล้วล่ะค่ะฮาๆๆๆๆๆ เอาน่าเดี๋ยวเด็กก็โตค่ะ(มั่ง)

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ1 ตุลาคม 2557 เวลา 14:45

    คุณอารีไว จะเลี้ยงเด็กไหวไหมนะ (ตบะเฮียจะแตกก่อนไหม) แม้ตอนนี้เด็กจะยังเงียบๆอยู่ แต่ถ้าเฮียรับไปดูแลตอนนี้ อีกสักพักเฮียก็จะหัวทิ่มลงหลุม(รัก)แน่นอนค่ะ หึหึ // คุก คุก คุก <<< ก็แค่เสียงไอเท่านั้นนะคะ

    รอตอนต่อไปค่า ^^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณอาจะทนดาเมจไหวไหม คาดว่าคุณอาต้องหาทนายมือดีไว้ปรึกษาเร็วๆนี้ค่ะ หุหุหุ //เสียงไซเรนดังระงมมาจากไหน

      ลบ
  4. เหมือนผมได้ยินว่า ..นายไม่คิดจะรับเอเลนไปเลี้ยงต้อยหน่อยเหรอ?
    นี่น่าจะที่ถูกมากกว่านะ//หลบตีน

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เป็นการเลี้ยงต้อยอย่างถูกกฎหมายค่ะ55555//หลบสายตาชายในเครื่องเเบบเเปบ

      ลบ