วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory Chapter 22


Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 22


การเดินทางเพื่อออกสำรวจเหล่าผู้คนที่อยู่นอกกำแพงที่ได้รับมอบหมายในครานี้ทำให้รีไวต้องเสียเวลาเดินทางนานกว่าทุกที ด้วยระยะทางที่ไกลออกไปจากกำแพงที่มากขึ้นถึงกระนั้นชายหนุ่มก็พยายามรุดหน้าเดินทางอย่างรีบเร่งเพื่อจัดการภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จากระยะทางที่ต้องใช้การเดินทางโดยม้าประมาณ 2-3 วัน จากการเดินทางโดยแทบไม่หยุดพักทำให้เขาสามารถไปถึงที่หมายได้เพียง หนึ่งวันครึ่งเท่านั้น
เมื่อมาถึงในช่วงบ่ายของวันที่สองของการเดินทาง เหล่าทหารที่ประจำหน่วยต่างออกมาต้อนรับพร้อมทั้งเชิญหัวหน้าของตนให้พักผ่อนเสียก่อน ถึงกระนั้นหัวหน้ารีไวกลับรีบจัดแจงทำภารกิจของตนเองเพื่อให้ตัวเขาสามารถที่จะเดินทางกลับได้ทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น
ความใจร้อนและเอาแต่ใจของหัวหน้ารีไวทำให้เหล่าทหารยศต่ำกว่าต่างต้องรีบเร่งดำเนินงานอย่างทันท่วงที เพราะใครๆต่างก็รู้ดีว่าหัวหน้ารีไวขึ้นชื่อเรื่องความเป็นคนอารมณ์ร้อน และเจ้าระเบียบขนาดไหน และถึงแม้จะเป็นชายหนุ่มที่มีปัญหาเรื่องส่วนสูง แต่ความแข็งแกร่งจนถึงขั้นได้ชื่อว่าเป็นสุดแกร่งแห่งมนุษยชาตินั้นเป็นที่รู้จักและยำเกรงกันดี
รีไวมองอ่านสำรวจรายละเอียดเอกสารในมือจากทหารประจำหน่วยที่รับผิดชอบอย่างถี่ถ้วน ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากที่จะกดดันเหล่าทหารใหม่ที่มาประจำการที่ต่างแดน แต่ด้วยความเป็นห่วงเด็กหนุ่มที่ปกติจะอยู่ข้างกายเขาเสมอจนเป็นความคุ้นชิน และถึงแม้เขาจะต้องออกไปทำภารกิจนอกกำแพงอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไม่มีครั้งไหนที่เขาจะต้องห่างจากเด็กหนุ่มหลายวันเหมือนกับภารกิจครั้งนี้ ความรู้สึกโหว่งในอก และความห่วงหาแล่นเข้าถาโถม จนยังแปลกใจกับตัวเองที่มีความรู้สึกและความนึกคิดราวกับไม่ใช่ตัวของเขา
ห่วงว่าตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นอย่างไร? จะเจอใครทำร้ายหรือปรามาสเจ้าเด็กนั้นในระหว่างที่เขาไม่อยู่หรือเปล่า? ถ้าเขาไม่อยู่เจ้าหนูนั่นจะนอนหลับได้เป็นปกติไหม? และเจ้าหนูนั่นจะคิดถึงเขาบ้างไหมในระหว่างที่ต้องอยู่ห่างกันแบบนี้?
ตลอดการเดินทางและทำภารกิจในหัวของเขามีแต่เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ชื่อเอเลนวนเวียนไปมามากมาย  ที่เขาบอกว่าความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปอย่างยากที่จะคาดคิดคงเป็นเรื่องจริง
ใบหน้าเฉยชาแอบยกยิ้มที่มุมปากเมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีมรกตที่เฝ้าคิดถึง เอเลนนายทำให้ฉันเป็นได้ถึงขนาดนี้นายจะต้องรับผิดชอบด้วยนะไอหนู…..
หลังจากตรวจสอบรายงานที่เหล่านายทหารสรุปและแก้ไขจนเรียบร้อย เช้าตรู่วันถัดมาหัวหน้ารีไวก็รีบเร่งให้มีการจัดสำรวจพื้นที่และเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ออกมาตั้งถิ่นฐาน
แม้จะเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลจากกำแพงแต่ก็นับว่ามีชาวบ้านเริ่มทยอยออกมาอยู่กันกว่าสิบครัวเรือน ซึ่งถือว่ามากพอสมควร อาคารและสิ่งปลูกสร้างดำเนินการจนเริ่มเห็นเป็นรูปร่างของหมู่บ้านเล็กๆที่น่าอยู่อาศัย เนื่องจากบริเวณก่อตั้งใกล้แม่น้ำเรื่องสาธารณูปโภคแม้จะยังไม่สะดวกสบายเท่าบริเวณที่อยู่ใกล้กำแพง แต่ก็ไม่เดือดร้อน ครอบครัวที่ย้ายมามีที่ทำอาชีพล่าสัตว์และเกษตรกรปะปนอยู่ จึงทำให้มีการเพาะปลูกพืชพันธุ์ และล่าสัตว์มาเป็นอาหาร และในเมืองจะส่งเกวียนสำหรับใส่เสบียงรวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆมาประจำอาทิตย์ละครั้ง จากที่คาดการณ์อีกไม่นานบริเวณนี้จะสามารถเป็นเมืองขนาดย่อมและทำการค้าขายแลกเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะแร่ธาตุ และ อัญมณี รวมถึงพืชพรรณหายากที่ค้นพบและเป็นที่ต้องการของคนที่อาศัยอยู่ใกล้กำแพง นับว่าเอลวินมองการณ์ไกลถึงการขยายอาณาเขตและการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อยู่มากทีเดียว
บรรดาชาวบ้านเมื่อเห็นหัวหน้าทหารรีไวแห่งหน่วยสำรวจต่างก็ออกมารายล้อมต้อนรับด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและความยินดีกับชัยชนะที่มนุษยชาติได้รับ
“ขอบคุณนะคะเพราะหัวหน้ารีไวมนุษยชาติถึงได้มีวันนี้” หญิงวัยกลางคนท่ามกลางชาวบ้านที่รายล้อมเอ่ยขึ้น
“คุณเป็นสุดยอดของความภาคภูมิใจของมนุษยชาติเลยนะครับ” ชายคนหนึ่งจากฝูงชนตะโกนเอ่ยชม
“ฉันแค่ทำตามหน้าที่” หัวหน้ารีไวตอบกลับอย่างเฉยชา
แม้จะอยากบอกใครต่อใครว่าคนที่ทุ่มเทมากกว่าใครคือเด็กหนุ่มไททันที่เหล่าคนต่างหวาดกลัว แต่รีไวรู้ดีว่าเหล่าพวกที่ดีแต่รายล้อมเขาอยู่นี้คงได้ถามถึงคำถามน่ารำคาญต่างๆมากมาย และเขาเองก็ไม่ได้อยากที่จะตอบคำถามไร้สาระเหล่านั้น การนิ่งเงียบและพูดเท่าที่จำเป็นจึงเป็นการหลีกเลี่ยงสำหรับคนขี้รำคาญอย่างเขาได้ดีที่สุด
“อีกไม่นานมนุษยชาติเราก็จะกลับมายิ่งใหญ่ เพราะพวกไททันน่ารังเกียจพวกนั้นก็จะหมดไปจากโลกแล้ว” เหล่าชาวบ้านยังคงพูดคุยเซ็งแซ่ระหว่างที่เหล่าทหารยังคงเก็บข้อมูลเพื่อกลับไปรายงาน
“แล้วไอเด็กที่กลายเป็นไททันได้ทางหน่วยทหารจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ต้องกำจัดและฆ่าให้หมดอยู่แล้วเพื่อความยิ่งใหญ่ของมนุษย์เรายังไงล่ะ”

ตึง!!
รีไวกระชากคอเสื้อชายหนุ่มที่พูดไม่เข้าหูเขาขึ้นกระแทกกับกำแพงอิฐของบ้านที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง นัยน์ตาสีขี้เถ้าหรี่มองอย่างไม่สบอารมณ์กับชายหนุ่มร่างใหญ่ที่พยายามดิ้นรนให้หลุดจากมือแกร่งที่ดึงคอเสื้อเขาจนรัดแน่นหายใจไม่ออก ยิ่งเมื่อได้เห็นแววตาเย็นชาน่ากลัวที่หัวหน้ารีไวจ้องมองมา หนุ่มร่างใหญ่ได้แต่พยายามฝืนกลืนน้ำลายเหนียวที่ยากจะลงคอของตน
“สำหรับพวกที่ไม่เคยพยายามจะทำอะไร เก็บปากเน่าๆของพวกแกไว้เห่าหาหมาตัวเมียดีกว่า” มือแกร่งเหวี่ยงปล่อยคือเสื้อของหนุ่มร่างใหญ่ออกก่อนจะเดินจากไป
เหล่าชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสบตามองกันไปมากับการกระทำที่ไม่คาดคิดของหัวหน้าทหารหนุ่ม เหล่าผู้คนที่รายล้อมถึงกับหยุดชะงัก รีไวจึงจัดแจงทำภารกิจของตนให้เรียบร้อยในการสำรวจความเป็นอยู่ของชาวบ้านในเขตพื้นที่ใหม่
ชายหนุ่มเดินสำรวจหมู่บ้านจนทั่ว จนมาถึงที่สุดท้าย ซึ่งเป็นเพิงและมีเตาหลอมโลหะสำหรับทำอาวุธสำหรับล่าสัตว์ นัยน์ตาสีขี้เถ้าสะดุดกับหินแร่สีเขียวก้อนใหญ่วางอยู่บนโต๊ะหน้าเพิงไม้กับโลหะชนิดอื่น
“โฮ่ย นายมีของที่คล้ายกับเจ้านี่แต่เล็กกว่านี้ไหม?” รีไวตะโกนถามชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตาหลอม
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ชายวัยกลางคนจึงหันมาทางต้นเสียงพลางมองไปทิศทางของนิ้วที่ชี้ไปยังหินสีเขียวก้อนใหญ่ตรงหน้า
“ไม่คิดว่าหัวหน้ารีไวจะสนใจของแบบนี้ กำลังอยากหาของไปฝากใครงั้นเหรอ?” ชายเจ้าของเพิงหลอมเดินออกมาพลางรื้อกล่องลังไม้ที่อยู่ถัดไปจากโต๊ะวางหินแร่
“จะว่าเป็นของฝากก็ได้”
“ขอผมหาของที่เหมาะๆสักครู่” ชายร่างใหญ่ดึงกระเป๋าหนังสีน้ำตาลออกมาก่อนจะกวาดแร่โลหะบนโต๊ะออกแล้ววางกระเป๋าพร้อมเปิดให้ชายหนุ่มตรงหน้าดู “ถึงส่วนใหญ่ผมจะทำอาวุธแต่ของสวยๆงามๆอย่างเครื่องประดับฝีมือของผมก็ไม่แพ้ใครหรอกนะ” ชายวัยกลางคนพูดอย่างภาคภูมิ
รีไวมองสำรวจเหล่าเครื่องประดับโลหะและอัญมณีที่วางเรียงรายอยู่ในกล่อง แม้เขาจะไม่ได้รู้และเชี่ยวชาญเรื่องเครื่องประดับ แต่ต้องยอมรับว่าชายคนนี้มีฝีมืออย่างที่กล่าวจริงๆ เมื่อสัมผัสลวดลายของเครื่องประดับต่างๆที่อยู่ในกล่อง ล้วนมีความประณีตและวิจิตร ผิดกับรูปลักษณ์ของช่างที่เจียระไนตรงหน้า
เมื่อชายเจ้าของร้านเห็นว่าหัวหน้ารีไวไม่รู้ที่จะเลือกเครื่องประดับชิ้นไหนตรงหน้า เขาจึงหยิบอหวนสีเขียววงหนึ่งขึ้นมานำเสนอ
“ผมว่านี่น่าจะเหมาะ ถ้าคุณหัวหน้าอยากมัดใจสาวหรือขอสาวแต่งงานแหวนที่ทำจากหินมรกตนี้เข้าท่าอยู่นะครับ”
รีไวมองแหวนเงินเรียบๆแต่ฉลุลายใบไม้เล็กน้อยอย่างประณีต ประดับด้วยอัญมณีสีเขียวใสเล็กๆตรงกลางอย่างสนใจ
“มรกตนี้มีความหมายว่า รักแท้อันมั่นคง ด้วยนะครับ สาวที่ได้รับต้องดีใจแน่นอน” หนุ่งร่างใหญ่ยิ้มกว้างนำเสนอแหวนตรงหน้าให้กับชายหนุ่ม
“โฮ่ ไม่เลวงั้นฉันเอาวงนี้นายบอกราคามาได้เลย” รีไวหยิบถุงเหรียญทองขึ้นมาเตรียมที่จะจ่ายค่าสินค้า
“ผมให้ครับ ถือว่าตอบแทนกับสิ่งที่คุณทำให้พวกเรา ขอให้มีความสุขสมหวังกับคนนั้นนะครับ ดูจะเป็นคนที่สำคัญมาก” เจ้าของร้านหยิบแหวนมรกตใส่ลงในถุงผ้ากำมะหยี่ใบเล็กยื่นให้กับชายหนุ่ม
“ขอบใจ” รีไวรับถุงใส่แหวนมาเก็บลงใส่กระเป๋า ก่อนเดินกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับทันที
ชายหนุ่มหยิบแหวนมรกตขึ้นมาดูอีกครั้ง แสงแดดที่ส่องตกกระทบลงบนผิวอัญมณี ยิ่งทำให้สีเขียวมรกตเป็นประกายสว่างสดใส สีเขียวของมรกต สีที่ชวนให้ระลึกถึงนัยน์ตาของเด็กหนุ่มที่จ้องมองมาเสมอ ประกายตาที่มุ่งมั่น แววตาที่ไม่หวั่นเกรง ช่างดึงดูดและงดงามราวกับอัญมณีที่ถืออยู่ในมือ
ถ้านายเห็นแหวงวงนี้นายจะทำหน้ายังไงกันนะเจ้าหนู?
ริมฝีปากบางยกยิ้มเมื่อคาดการณ์ถึงท่าทางที่เก้อเขินและทำตัวไม่ถูกของเด็กหนุ่ม ฉันจะบอกคำคำนั้นกับนายเมื่อกลับไปถึงนะเอเลน พร้อมทั้งสวมแหวนวงนี้ให้นาย
ความรู้สึกตื่นเต้นที่อยากเห็นสีหน้าและท่าทางของเด็กหนุ่มผู้ที่จะได้รับอัญมณีที่ล้ำค่า และความหมายที่ลึกล้ำ ยิ่งผลักดันให้เขาอยากรีบเร่งกลับไปหาเอเลนให้เร็วที่สุด
หัวหน้าทหารหนุ่มรีบเร่งสรุปรายงานทั้งหมดแล้วจัดเตรียมเอกสารเพื่อเตรียมตัวกลับ เมื่ออาชาสีดำที่เป็นพาหานะมาถึง รีไวรีบขึ้นม้าอย่างไม่รีรอพร้อมทั้งควบทะยานออกไปโดยที่เหล่าทหารประจำการยังไม่ทันที่จะได้กล่าวลาเลยด้วยซ้ำ
ใบหน้าที่เรียบเฉยนั้นซุกซ่อนไว้ด้วยความตื่นเต้นและหัวใจที่พองโตราวกับติดปีก เพื่อที่จะได้บอกคำสำคัญกับคนที่สำคัญ มือแกร่งกุมถุงผ้ากำมะหยี่ไว้แน่น อยากรีบกลับไปให้เร็วที่สุด อยากที่จะเห็นร้อยยิ้มและสีหน้าดีใจของเจ้าเด็กนั่น……..

เมื่อกลับมาถึงภายในกำแพงก็เป็นเวลาพลบค่ำของอีกวันแล้ว รีไวฝากม้าให้ทหารที่ประจำการอยู่หน้าป้อมปราการไปเก็บ ร่างไม่สูงแต่ทว่าแข็งแกร่งกว่าใครหิ้วสัมภาระและเอกสารรีบขึ้นบันไดหินหวังตรงไปยังห้องพักของเด็กหนุ่มทันที ระหว่างทางเดินฮันซี่ที่เพิ่งออกมาจากห้องค้นคว้าของตนถึงกับชะงักเมื่อพบเห็นคนไปทำภารกิจกลับมาเร็วกว่าที่คาด
“ร..  รีไว นายกลับมาเร็วจังนะ” ใบหน้าหญิงสาวถึงขั้นซีดเมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น
“งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดน่ะ พวกเอกสารทั้งหมดฉันเตรียมไว้แล้วและจะสรุปให้เอลวินอีกทีพรุ่งนี้” รีไวรีบเดินเพื่อจะผ่านตัวหญิงสาวไป แต่ฮันซี่เดินมาขวางทางไว้เสียก่อน
“พื้นที่ที่ไปเป็นยังไงบ้างล่ะนายเล่าให้ฉันังหน่อยสิ” ฮันซี่พยายามทำท่าทางตื่นเต้นถามเรื่องการสำรวจในสถาณที่ที่คนตรงหน้าไปมา แม้ท่าทางของหญิงสาวจะดูเก้ๆกังๆแปลกไปจากทุกที แต่รีไวเลือกที่จะไม่ใส่ใจเพราะตอนนี้ใจเขากำลังร่ำร้องถึงสิ่งสำคัญสิ่งอื่นที่อยากจะทำมากกว่า
“ถ้าเธออยากรู้ก็เอาไปอ่านซะ” ชายหนุ่มยัดเอกสารที่อยู่ในมือให้หญิงสาวแล้วรีบเร่งเดินจากมา
“เดี๋ยวสิรีไวตรงนี้น่าสนใจมากเลยนายช่วยเล่าให้ฉันฟังก่อนสิ!” ฮันซี่พยายามรั้งแขนไม่ให้เดินจากไป
“ฉันจะอธิบายหั้งเท่าที่เธออยากรู้เลยแต่เป็นพรุ่งนี้ ตอนนี้ฉันไม่ว่าง!” รีไวเน้นคำว่าไม่ว่างหนักๆ และสะบัดแขนให้หลุดออกจากมือที่พยายามเกาะไว้
แม้ฮันซี่จะพยายามหาเรื่องต่างๆมาถามเขามากมาย เขาก็ไม่ตอบและเดินหนีจนหญิงสาวถอดใจที่จะไล่ตาม ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังแกร่งที่กำลังก้าวขึ้นไปยังห้องนอนที่บัดนี้ว่างเปล่า นัยน์ตาสีเปลือกไม้สั่นระริกก่อนค่อยๆก้มลงมองบันไดอิฐสีหม่น ริมฝีปากบางเอ่ยอย่างแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบ
“ขอโทษ รีไว….

เมื่อเปิดประตูไม้ขนาดใหญ่เข้ามาในห้องใบหน้าคมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น แม้แต่ตะเกียงน้ำมันก็ยังไม่มีวี่แววว่าเพิ่งถูกใช้งาน
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการรีบเร่งเดินทาง รีไวจึงทิ้งตัวลงบนเตียงหนาของเด็กหนุ่มเจ้าของห้อง ไปอยู่ไหนนะเจ้าเด็กนั่น คงเพราะเขากลับมาเร็วกว่ากำหนดเจ้าหนูนั่นคงไปนั่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนและยังไม่กลับห้องสินะ
 มือแกร่งยกถุงกำมะหยี่ขึ้นมาดูอีกครั้ง นายรีบกลับมาได้แล้วไอหนู ฉันจะได้บอกสิ่งที่นายต้องการที่สุดเสียที……

แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่มาเยือน นัยน์ตาสีขี้เถ้าค่อยๆปรือขึ้นจากการหลับไหลเพราะความเหนื่อยล้า มือแกร่งควานไปยังที่นอนข้างกายก็ยังคงพบว่าที่ข้างๆนั้นยังคงเย็นเฉียบและว่างเปล่า
คิ้วคมขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ เจ้าหนูนั่นหายไปไหนทั้งคืนแม้แต่ห้องตัวเองก็ไม่กลับ หรือจะไปนอนที่ห้องของเขากันแน่?
เมื่อคิดได้ดังนั้นรีไวจึงกลับไปดูห้องของตนเอง แต่ก็พบว่าเตียงนอนนั้นยังอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยไม่มีวี่แววของการถูกใช้งาน ความหงุดหงิดเริ่มแล่นริ้ว เจ้าหนูนั่นหายไปไปไหนของมัน อย่าให้รู้นะว่าหมอนั่นแอบหนีไปนอนกับใครในขณะที่เขาไม่อยู่ แบบนี้คงได้มีการลงโทษกันน่าดู
เมื่อหาเจ้าตัวยุ่งไม่เจอ รึไวจึงจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อไปพบเอลวินในช่วงเช้าแล้วรายงานเรื่องภารกิจให้เรียบร้อย แล้วหวังว่าหลังเสร็จกับการประชุมกับเอลวินแล้วเจ้าตัวดีจะโผล่มาให้เขาได้สั่งสอนที่ไม่ยอมอยู่รอเขาเสียหน่อย
ครืน ครืน
เสียงท้องฟ้าคำรามเพื่อเตือนว่าพายุฝนกำลังจะมา เมฆดำเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมฟ้าแลบและฟ้าร้องที่เริ่มส่งเสียงดังระงมไปทั่วป้อมปราการ

“เฮ้เอลวินฉันเอารายงานมาส่ง” ชายหนุ่มเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาหาผู้บังคับบัญชาของตน
ในห้องทำงานของหัวหน้าหน่วยสำรวจ ฮันซี่เองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เอลวินและฮันซี่ต่างมีสีหน้าตึงเครียด จนรีไวรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของทั้งสอง
เอลวิน มองผู้มาเยือนพร้อมทั้งเชิญให้นั่งลงก่อนจะหยิบรายงานที่คนตรงหน้ายื่นให้ขึ้นอ่าน
“ขอบใจนะรีไวนายทำทุกอย่างได้รวดเร็วและเรียบร้อยมาก”
“ทำตามหน้าที่นั้นแหละ” รีไวกอดอกมองคนตรงหน้าพิจารณารายงานของตน
“หน้าที่สินะ” เอลวินยกยิ้ม
“ยิ้มแปลกๆนะแกน่ะ” รอยยิ้มที่ดูราวกับฝืนและสมเพชบางอย่าง
“งั้นเหรอ” นัยน์ตาสีน้ำทะเลยังคงไล่อ่านรายงานอย่างละเอียด “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องทำตามบทบาทและหน้าที่สินะ บทบาทต่อไปของฉันคือต้องขึ้นเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ของนายก็จะต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยและควบตำแหน่งวีรบุรุษผู้แข็งแกร่งของมนุษยชาติ” เป็นดั่งเสาหลักและที่ตั้งมั่นในการก้าวเดินต่อไปของมนุษยชาติ
โดยเฉพาะรีไวที่ตอนนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นถึงวีรบุรุษผู้กอบกู้ แม้แท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกยินดีและเต็มใจกับการยกย่องที่ได้รับ แต่เพราะเป็นบทบาทที่ถูกวางไว้แล้วต้องเดินต่อไป
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าไอบทบาทพวกนั้นจะเป็นยังไง ตอนนี้ฉันเองก็มีบทบาทที่อยากทำอยู่” บทบาทที่เลือกเองตามใจที่เรียกร้อง บทบาทที่อยากทำกับเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีมรกตล้ำค่า
“รีไวเรื่องเอเลน” ฮันซี่พยายามจะเอ่ยความจริงให้กับชายหนุ่ม แต่เอลวินขัดขึ้นเสียก่อน
“เอเลนฝากสิ่งนี้ให้นาย” จดหมายสีขาวถูกยื่นให้กับชายหนุ่มตรงหน้า
ไม่ช้าก็เร็วชายหนุ่มจะต้องรู้อยู่ดี แม้จะต้องเจ็บปวดและทรมาณ แต่มันคือการตัดสินใจแล้วตามบทบาทที่เขาจะต้องก้าวเดิน ดังนั้นเอลวินจึงไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องของเอเลนให้ยืดเยื้อ
คิ้วคมขมวดหากันอย่างสงสัย ทำไมเจ้าหนูนั่นถึงจะต้องฝากอะไรผ่านคนอื่น ทำไมถึงไม่มาให้เขาโดยตรง มือแกร่งค่อยๆเปิดซองจดหมายสีขาวออก  กลีบดอกไม้สีฟ้าร่วงลงบนมือแกร่งของชายหนุ่ม เมื่อเปิดออกดูจนเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน นัยน์ตาสีขี้เถ้าได้แต่ตะลึงและนิ่งข้าง
เหล่าดอกไม้เล็กๆสีฟ้าที่มีเกสรสีเหลือสดอยู่ตรงกลางร่วงลงสู่มือมากมาย ดอกไม้ที่ชื่อว่า Forget me not ได้โปรดอย่าลืมผม อย่าลืมความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณ…..
เปรี้ยง!!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมสายฝนที่เริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
ร่างเล็กที่นิ่งเฉยเริ่มสั่นไหว ไหล่แกร่งสั่นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านที่รุนแรง ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ทั้งไม่เข้าใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น มือหนากระชากคอเสื้อของผู้บังคับบัญชาของตน นัยน์ตาสีขี้เถ้าวาวโรจน์ด้วยความโกรธจ้องเขม็งที่นัยน์ตาสีน้ำทะเลซึ่งมองมาอย่างนิ่งเฉย
เสียงสั่นเครือพยายามพูดรอดไรฟันเพื่อถาม
“เกิดอะไรขึ้นเอลวิน!!?”
“ฉันทำตามบทบาทและหน้าที่เช่นกันรีไว” เอลวินตอบเสียงราบเรียบ นัยน์ตาสีน้ำทะเลมองมาอย่างแน่วแน่และนิ่งเฉย
“บทบาทอะไรของนาย นายถึงต้องฆ่าไอหนูนั่น!!!
“นายเองก็รู้ดีอยู่แล้วรีไว ว่าถ้าพวกนั้นยังอยู่รวมทั้งเอเลนเรื่องจะไม่มีทางจบ เหล่ามนุษย์คนอื่นที่หวาดกลัวสุดท้ายแล้วจะก่อการจลาจล และจะเข่นฆ่ากันเอง ไม่ช้าก็เร็วเรื่องแบบนั้นจะต้องเกิด ก่อนที่จะสูญเสียไปมากกว่านี้ทุกอย่างจะต้องจบ”
“ถ้าเกิดการจลาจลฉันนี่ล่ะจะเป็นคนหยุดพวกมันเอง!!
“นายก็รู้ว่า ทำไม่ได้ จริงไหม”
ท่าทีที่หนักแน่นและแววตาที่จริงจังของเอลวินทำให้รีไวคลายมือที่ดึงคอเสื้อของผู้บังคับบัญชาตนออก นคมกัดขยี้ริมฝีปากของตนจนเลือดไหล เจ็บใจ สุดท้ายแล้วตัวเขาทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ
“อยู่ไหน” รีไวเอ่ยถามรอดไรฟัน “เอาหมอนั่นไปไว้ที่ไหน!?”
ซ่า ซ่า ซ่า…….
ฝนที่เทกระหน่ำลงทำให้พื้นดินชื้นแฉะ ดินดำที่เหยียบย่ำลงไปกลายเป็นโคลนเหนียวเกาะร้องเท้าบูททหารจนเหนอะหนะ
หลังโบสถ์ใหญ่ของเมืองฮันซี่พาชายหนุ่มมายังสถานที่ที่ซึ่งฝังร่างไร้วิญญาณของเอเลน
ชายหนุ่มที่ไม่สูงแต่ทว่าแข็งแกร่งใช้สองมือของตนขุดดินที่ตอนนี้เปียกแฉะและเหนอะหนะท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ  ฮันซี่มองแผ่นหลังของคนที่ขึ้นชื่อว่ารักความสะอาดกำลังคลุกปื้อนไปด้วยดินเหนียวก้มลงขุดสุสานของคนสำคัญของตนพลางกลั้นเสียงสะอื่นไห้
เพราะไม่อาจเชื่อได้ว่าคนสำคัญอันเป็นที่รักบัดนี้ได้จากไปแล้ว จึงอยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นด้วยสองตานี้อย่างแท้จริง
สายฝันที่เทกระหน่ำทั้งยังไม่มีเครื่องมือในการช่วยขุดทำให้รีไวต้องใช้เวลาในการขุดหลุมลึกที่ฝังร่างของคนสำคัญไว้ ถึงกระนั้นสองมือก็ยังคงขุดต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งในใจยังคงหวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่เรื่องตลกร้ายเท่านั้น
มือหนาขุดลึกจนเจอโลงไม้สีดำ มือแกร่งพยายามเปิดงัดฝาโลงศพที่ปิดตาย แม้นิ้วจะถูกบาดและเล็บถลอกจนเปิดออกเห็นเนื้อ หรือแม้เลือดที่มือจะหลั่งรินเท่าไรชายหนุ่มก็ไม่สนใจหรือรู้สึกเจ็บ เพราะตอนนี้ในใจที่ถูกบีบรัดจนทรมาณเจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลที่มือของเขาตอนนี้
ฝาโลงศพสีดำถูกเปิดออก ภายในมีร่างของเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยหลับไหลราวกับนอนหลับอย่างไม่เปลี่ยนแปลง อาจเพราะพลังของไททันที่มีในตัวจึงทำให้ศพของเอเลนยังไม่เน่าเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น ร่างไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มจึงดูราวกับว่ายังมีชีวิตและหลับไปเท่านั้น
สองมือที่เต็มไปด้วยแผลจากการขุดและเปิดฝาโลงด้วยมือเปล่าค่อยๆเลื่อนจับใบหน้ามนที่นอนนิ่ง คราบเลือดจากแผลที่มือเปรอะลงบนแก้มเนียนใส สัมผัสที่เย็นชืดและร่างที่เย็นเฉียบ ยิ่งตอกย้ำว่าร่างนี้ไร้ซึ่งชีวิต
รีไวพยายามเขย่าร่างไร้วิญญาณเพื่อหวังว่าจะมีการตอบสนอง สองแขนแกร่งค่อยๆประคองร่างเย็นเฉียบนั้นขึ้นมากอด
“เฮ้ ตื่นสิไอหนูฉันกลับมาแล้วนะ” รีไวกอดร่างไร้วิญาณเข้าแนบอก
“ตัวนายเย็นมากเลยนะฉันจะกอดให้ความอบอุ่นกับนายเอง” สองแขนแกร่งกอดกระชับร่างเย็นเฉียบหวังให้ร่างนั้นอุ่นขึ้นสักนิด
“ฉันกลับมาแล้วนะเจ้าหนูนายตื่นมาสักทีสิ” ริมฝีปากคมก้มลงจุมพิตริมฝีปากเย็นชืดที่หลับใหล
“ฉันมีของมาให้นายด้วยนะเอเลนนายจะต้องดีใจแน่ๆ” รีไวหยิบแหวนมรกตจากถุงผ้ากำมะหยี่สวมที่นิ้วนางข้างซ้ายให้กับร่างของเด็กหนุ่ม
ชายหนุ่มจุมพิตลงบนแหวนมรกตน้ำงามและจูบลงบนมือเย็นเชียบก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจุมพิตที่ริมฝีปากซึ่งไร้การตอบสนองอีกครั้ง
“ฉันรักนาย” คำบอกรักครั้งแรกที่ได้พูดกลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
“ฉันรักนาย” คำบอกรักที่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง
“ฉันรักนาย” คำบอกรักที่ไร้ซึ่งผู้รับรู้
“ฉันรักนาย” คำบอกรักที่สายเกินไป
“ฉันรักนายเอเลน” คำบอกรักที่ไม่อาจส่งไปถึงผู้ที่เฝ้าคอยอยากจะรับฟัง
ฮันซี่ได้แต่กลั้นเสียงสะอื้นไห้กับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่รู้ว่าเป็นสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา หรือน้ำตาของหัวหน้าทหารสุดแกร่งรีไวกันแน่ ที่กำลังหลังรินไหลอาบทั้งสองแก้มของชายหนุ่ม…….


หลังจากที่ฮันซี่พยายามพาชายหนุ่มกลับมาจากสุสาน รีไวก็ได้แต่ขังตนเองอยู่ในห้องไม่ออกไปพบผู้คน เอลวินจึงออกใบอนุญาตให้หัวหน้ารีไวหยุดงานเป็นกรณีพิเศษและปิดข่าวไม่ให้คนภายนอกรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของหัวหน้ารีไวกับเอเลน โดยในใบอนุญาตระบุเพียงแค่ว่าเนื่องจากการทำงานที่หนักมาเป็นระยะเวลานานจึงอนุญาตให้หัวหน้าทหารรีไวลาหยุดพักร้อนเป็นกรณีพิเศษอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าเจ้าตัวจะพอใจ ถึงแม้ทหารประจำการหลายคนจะสงสัยถึงการหายตัวไปอย่างเงียบๆของหัวหน้ารีไวหลังจากพึ่งกลับมาจากภารกิจ แต่ด้วยว่าทุกคนต้องรีบเตรียมงานการแต่งตั้ง เอลวิน สมิธ เป็นผู้ปกครองคนใหม่อย่างเป็นทางการจึงทำให้ไม่มีใครสนใจกับการลาพักร้อนของหัวหน้ารีไวมากนัก
ก็อกๆ
“รีไวฉันเอาอาหารมาให้” ฮันซี่แอบถือถาดอาหารมาส่งให้กับชายหนุ่มตั้งแต่ที่เริ่มขังตนเองอยู่ในห้องจนตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว
เมื่อเข้ามาในห้องฮันซี่ถึงกับโยนถาดซุปและขนมปังที่ถือมาทิ้งทันทีแล้วเข้าไปคว้ามีดจากชายหนุ่มที่จ่ออยู่ที่คอของตน
“รีไวนายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ!!!” นัยน์ตาสีน้ำตาลตื่นตระหนกตกใจกับการกระทำของชายหนุ่ม ที่ตอนนี้ทั้งตัวมีแต่แผลรอยมีดบาด บางแผลลึกจนเลือดหยดไหลลงมานองกับพื้น
รีไวหันมองสบตากับหญิงสาวผมสีเปลือกไม้เข้ม นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่เย็นชาและดุดัน บัดนี้กลับเคว้งคว้างและว่างเปล่า
ฮันซี่โอบกอดชายหนุ่มที่ราวกับไร้ชีวิตตรงหน้า สองไหล่บางสั่นไหวด้วยเสียงสะอื้นไห้
“ฮึก  รีไว ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ เพราะฉันไร้ความสามารถ เพราะฉันอ่อนแอ ขอโทษรีไว”
มือแกร่งค่อยๆดันไหล่บางตรงหน้าออก ใบหน้าเฉยชาก้มมองมือตนเองที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดของตน ฮันซี่รีบคว้าผ้าพันคอที่มักสวมใส่กับเครื่องแบบของคนตรงหน้ามาพันแผลและกดเพื่อห้ามเลือด
“เธอไม่ผิดหรอกนะฮันซี่ คนที่อ่อนแอคือฉัน คนที่น่าสมเพชที่ทำอะไรไม่ได้เลยก็คือฉัน” คนที่น่าสมเพชที่สุดก็คือตัวเขาเองที่ไม่อาจปกป้องสิ่งใดได้ ปกป้องแม้กระทั่งคนสำคัญก็ไม่ได้
“รีไวขอร้องอย่าทำแบบนี้ นายยังมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องทำ นายเป็นวีรบุรุษของมนุษยชาตินะ” เสียงหญิงสาวพูดอย่างสั่นเครือ มือเรียวยังคงกดแผลเพื่อห้ามเลือดของชายหนุ่ม
วีรบุรุษงั้นเหรอ ไม่เลย ฉันมันก็แค่ไอโง่ที่ทำอะไรไม่ได้ เป็นแค่ตัวน่ารังเกียจที่น่าสมเพชที่ปกป้องคนสำคัญแค่เพียงคนเดียวก็ยังไม่ได้ เป็นแค่สิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่น่ารังเกียจ บทบาทและหน้าที่ที่ฉันต้องการมันไม่มีอีกแล้ว บทบาทที่ฉันจะได้รับต่อไปจะเป็นยังไงฉันไม่สน
 “พรุ่งนี้เอลวินก็จะต้องรับตำแหน่งแล้ว ฉัน ไม่สิ พวกเราหวังที่จะให้นายรีบกลับมาอยู่เคียงข้างกับพวกเรานะรีไว”
ฮันซี่เงยมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง “ฉันจะมาทำความสะอาดให้กับยกอาหารมาใหม่นะ” นัยน์ตาสีเปลือกไม้มีแววกังวลฉายให้เห็นก่อนจะปิดประตูแล้วออกจากห้องไป

ห้องของหัวหน้าทหารรีไวที่มักเปิดหน้าต่างเพื่อรับอากาศปลอดโปร่งตอนนี้ถูกปิดทึบ ประตูนอกจากหญิงสาวซึ่งมีกุญแจสำรองจะเปิดเข้ามาเพื่อส่งอาหารก็จะถูกล็อคโดยผู้ที่อยู่ด้านใน ราวกับปิดกั้นตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่อาจรู้วันหรือเวลา ชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดนั่งอย่างไร้ชีวิตบนเตียงสีขาวของตน มีเพียงตะเกียงน้ำมันที่ฮันซี่จุดทิ้งให้ไว้ก่อนจะเดินกลับออกไปเฉกเช่นทุกวัน

รีไวก้มมองมือที่หญิงสาวพันแผลให้ นัยน์ตาสีขี้เถ้ายังคงไร้ซึ่งแววตาราวกับไม่มีชีวิต
บทบาทงั้นเหรอ วีรบุรุษงั้นเหรอ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลยสักนิด แต่แรกแล้วตัวเขาที่อยู่ในเมืองใต้ดินโดนฝึกสอนเรื่องการต่อสู้ เปลี่ยนบทบาทมาแล้วมากมายจนกระทั่งมาเป็นหัวหน้าทหาร บทบาทที่เลือกทำเพื่อให้มนุษยชาติก้าวเดินต่อไป แต่พอเป็นบทบาทที่เขาต้องการเพื่อตัวเองกลับไม่มีสิทธิ์แม้จะได้เลือก ชีวิตนี้มันช่างน่าตลกสิ้นดี
รีไวทิ้งตัวลงบนที่นอนของตน นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหม่อมองเพดานห้องทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา แต่เดิมบทบาทที่ได้รับคือการกำจัด เอลวิน สมิธ แต่กลับกลายเป็นว่าดันร่วมมือกับหมอนั่นจนมาถึงเป้าหมายได้สำเร็จ บทบาทที่เปลี่ยนไปตามที่หมอนั่นวางไว้ แล้วสุดท้ายหมอนั่นกลับสั่งทำลายคนสำคัญของเขา
นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่ไร้แววเริ่มมีประกายความโกรธแค้น ความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในอกสุมกันราวกับก้อนเชื้อเพลิงที่กำลังแผดเผา ความโกรธและความเคียดแค้นเริ่มเข้าครอบงำ เพราะคำสั่งของหมอนั่น เพราะบทบาทที่หมอนั่นจัดวางให้เป็น ถ้าตอนนั้นฆ่าหมอนั่นเรื่องทุกอย่างก็จะจบ
ใช่….เป็นเพราะหมอนั่น……… เอลวิน สมิธ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เช้าของวันสถาปณาผู้ปกครองคนใหม่แห่งมนุษยชาติเป็นเช้าที่ครื้นเครง เหล่าผู้คนต่างตื่นเต้นและพากันแห่มาดูพิธีแต่งตั้งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องโถงปราสาทเก่าซึ่งเป็นป้อมปราการลับของหน่วยสำรวจ แม้จะอยู่ไกลจากตัวเมืองปกติแต่เหล่าผู้คนต่างก็มากันอย่างมากมายเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานของชัยชนะและความหวังใหม่ของมนุษยชาติ
ห้องโถงใหญ่ถูกประดับและตกแต่งใหม่อย่างสวยงาม พรมกำมะหยี่สีแดงถูกเป็นทางยาวเพื่อรอต้อนรับว่าที่ผู้นำคนใหม่ แทนทำพิธีถูกประดับด้วยผ้าม่านและธงที่ปักตราสัญลักษณ์ของหน่วยทหารต่างๆ โดยมีสัญลักษณ์ของหน่วยสำรวจเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางอย่างสมเกียรติ
..พิกซีฟ ที่ได้รับเชิญให้เป็นเกียรติในการสวมมงกุฎแต่งตั้งให้กับเอลวิน อยู่ในชุดทหารพิธีการเต็มยศ ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของชายวัยสูงอายุมองมาที่ชายหนุ่มผู้เป็นความหวังใหม่ด้วยความภาคภูมิใจและความยินดี
เมื่อถึงเวลาอันสมควร เอลวิน สมิธ ปรากฏกายที่ห้องโถงในชุดแต่งกายพิธีการแบบทหารพร้อมด้วยเหรียญตราที่ติดอยู่บนอกและบ่าเพื่อบอกถึงฐานะของเจ้าตัว ร่างสูงใหญ่เดินตามพรมแดงที่ปูยาวเข้าสู่แท่นพิธีอย่าสง่าผ่าเผย
“ในที่สุดก็สำเร็จจนได้นะเอลวิ”
“เพราะความพยายามและความเสียสละของทุกคนครับท่าน” เอลวินโค้งตอบรับอย่างสุภาพ

มงกุฎสีทองอร่ามถูกอัญเชิญเข้ามาเพื่อมอบให้สมเกียรติกับฐานะของผู้นำแห่งความหวังใหม่
เหล่าประชาชนต่างมองดูพิธีการด้วยความตื้นตัน ตื่นเต้น และดีใจ
“เห็นว่าหัวหน้ารีไวลาพักร้อน เสียดายที่เขาไม่ได้มาดูความสำเร็จของตนเองในวันนี้” ชาวบ้านที่มามุงดูงานพิธีคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“เขาอาจจะมาก็ได้นะ หัวหน้ารีไวเป็นถึงวีรบุรุษของเรางานแบบนี้เขาต้องมาอยู่แล้ว” เสียงหนึ่งพูดขึ้นสนับสนุน
“ฉันก็อยากเจอวีรบุรุษของเราจริงๆ”  เสียงสนับสนุนอีกเสียงดังเซ็งแซ่
“ทุกๆท่านโปรดอยู่ในความสงบเราจะเริ่มพิธีกันแล้ว” เสียงทหารหัวหน้าพิธีการเอ่ยปราม ทำให้เหล่าผู้คนสงบและเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
“ไม่มีใครที่จะเหมาะกับตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของชัยชนะที่ราวกับการเกิดใหม่มนุษยชาติเท่ากับบุคคลผู้นี้  เอลวิน สมิธ”
.. พิกซีพ ยกมงกุฏขึ้น เอลวินทำความเคารพก่อนจะก้มลงเพื่อเตรียมรับตำแหน่งหน้าที่ต่อไปของตน
ฉึก!!

โลหะดาบสีเงีนพุ่งเสียบที่มงกุฎปักลงกับพื้น ท่ามกลางความตื่นตระหนกและตกใจ ร่างหนึ่งที่สวมใส่ฮู๊ดสีเขียวปิดบังหน้าตาพุ่งทะยานตัวดัวเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติลงจากหน้าต่างเข้าสู่ทางเดินพรมกำมะหยี่สีแดง
เหล่าทหารประจำการต่างวิ่งเข้ามาป้องกันชายหนุ่มผมสีทองที่กำลังเข้ารับตำแหน่ง เมื่อคนสวมฮู๊ดร่างลงมายืนท่ามกลางพิธีงาน มือแกร่งเปิดฮู๊ดที่ปิดบังใบหน้าของตนเองออก เผยให้เห็นผมดำตั้งสั้นดุจอีกา และใบหน้านิ่งเฉยชาที่ทุกคนต่างคุ้นเคยและรู้จักกันดี
“หัวหน้ารีไว !!!!
เหล่าผู้ร่วมงานต่างมองผู้บุกรุกนิ่งด้วยความตกใจราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เช่นเดียวกับเอลวิน ที่มองมายังทหารเอกของตนอย่างไม่อยากเชื่อเช่นกัน
“รีไวนาย?” นัยน์ตาส้าน้ำทะเลฉายแววงุงงงเอ่ยถาม
รีไวยักไหล่ไปมา “ฉันเบื่อพักร้อนแล้วคิดว่าควรทำภารกิจที่ค่างคาให้เสร็จเสียที” มือแกร่งสับเปลี่ยนใบมีดเล่มใหม่ของเครื่องสามมิติของตน
“ภารกิจของนาย?” เอลวินพยายามเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“ภารกิจแต่เดิมของฉันที่โดนสั่งมา  กำจัด เอลวิน สมิธ ยังไงล่ะ!!!” ฉมวกจากเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติถูกยิงออกไปพร้อมร่างเล็กแต่แข็งแกร่งที่พุ่งตรงหาเป้าหมาย
“รีไวนายรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรอยู่น่ะ!?” เอลวินตะโกนถาม ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้น แต่ชายหนุ่มไม่ตอบ
เหล่าทหารประจำการแม้จะไม่เข้าใจและสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดว่าทำไมหัวหน้ารีไวถึงได้หันดาบเข้าใส่ว่าที่ผู้นำคนใหม่ ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้เหล่าทหารต้องเข้าปะทะกับชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แต่ด้วยความสามารถที่ต่างชั้นกันทำให้ไม่มีใครที่สามารถรับมือกับรีไวได้ เหล่าทหารรักษาการณ์จึงตัดสินใจรุมเข้าจู่โจมเพื่อหวังถ่วงผู้บุกรุก
ฮันซี่ที่อยู่ในเหตุการณ์เช่นเดียวกันก็ใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติของตนเข้าปะทะเพื่อนที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
นัยน์ตาสีเปลือกไม้ฉายแววเจ็บปวดกับการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้า “รีไวนายบ้าไปแล้วเหรอไง!!
“อาจจะอย่างนั้น” รีไวใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติกระโจนหมุนต่อสู้กับเหล่าทหารที่เข้ามาขวางทาง
นัยน์ตาสีขี้เถ้าประกายเดือดดาลอย่างคนขาดสติ หวังเพียงจะจัดการชายหนุ่มผมทองตรงหน้าเพื่อบรรเทาโทสะและความเจ็บปวดที่สุมอยู่ในอกของตน
ฮันซี่รีบใช้เครื่องสามมิติเข้าตามขัดขวาง ร่างโปร่งบางพยายามลอยตัวเข้ากระแทกตัวชายหนุ่มให้เสียหลัก
แรงกระแทกของฮันซี่ทำให้รีไวเสียการทรงตัว แต่ชายหนุ่มก็แก้ไขสถาณการณ์ได้ทัน มือหนาจับดาบแน่นแล้วหันเข้าโจมตีหญิงสาวแทน ฮันซี่ตั้งรับการปะทะของชายหนุ่มที่จู่โจมเข้ามา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอและรีไวปะมือกัน เมื่อต้องซ้อมต่อสู้บ่อยครั้งที่เธอขอให้รีไวเป็นคู่มือให้ เธอจึงรู้ดีว่าชายหนุ่มมีฝืมือมากขนาดไหน แค่ตั้งรับโดยที่ไม่บาดเจ็บก็เต็มกลืนแล้วทีเดียว
แรงฟันของดาบที่ปะทะลงมาทำให้ดาบของฮันซี่หักพุงลงไปปักกับพื้น หญิงสาวจึงรีบหลบการจู่โจมของชายหนุ่มเพื่อเปลี่ยนดาบใหม่
ไม่ไหว ดูเหมือนรีไวตั้งใจที่จะฆ่าเอลวินจริงๆ เพราะแรงปะทะที่ส่งมาช่างดุดันกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเจอ แล้วแบบนี้ต้องทำยังไงดี?
นัยน์ตาสีเปลือกไม้พยายามครุ่งคิดหาวิธีรับมือชายหนุ่มที่ขาดสติเบื้องหน้า
เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ ใช่แล้วแค่ทำให้เครื่องใช้งานไม้ได้!!!
ฮันซี่รีบพุ่งตัวเข้าไปหารีไวอีกครั้ง เป้าหมายของเธอคือการจัดการกับเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มลงได้บ้าง เมื่อได้จังหวะฮันซี่ฟาดดาบลงที่ลวดสลิงของเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติของรีไวและทำลายแก๊สในการขับเคลื่อน
เมื่อสายสลิงถูกตัดออกรวมทั้งแก๊สที่ใช้ในการขับเคลื่อนถูกทำลาย ชายหนุ่มจึงเสียหลักในการทรงตัวทันที ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งที่กำลังพุ่งทยานกลางห้องโถงร่วงหล่นลงสู่พื้น

ฉึก!!!!
ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งร่วงลงเสียบเข้ากับดาบหักที่ปักอยู่บนพื้น แรงกระแทกทำให้ดาบเสียบทะลุเข้ากลางอก โลหิตสีแดงหลั่งรินไหลจากดาบลงสู่พื้นพรมสีแดง เลือดสีสดกระอักออกจากปากของหัวหน้าทหารหนุ่ม
สิ่งที่เกิดทำให้ฮันซี่กรีดร้องด้วยความตกใจ ร่างโปร่งบางทะยานลงที่พื้นวิ่งเข้าไปดูชายหนุ่ม
“รีไว ไม่นะรีไว!!!!
มือแกร่งยกขึ้นวางบนบ่าของหญิงสาว ใบหน้าเฉยชายกยิ้มอย่างพึงพอใจ ริมฝีปากคมค่อยๆขยับเอ่ยสิ่งสุดท้ายของลมหายใจ
“ขอบใจ เท่านี้ฉันก็ไปหาหมอนั่นได้”
มือแกร่งร่วงลงจากไหล่บาง ฮันซี่จ้องมองร่างที่ไม่ไหวติงของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง
ท่ามกลางความโกลาหลเหล่าฝูงชนต่างเข้ามารุมถามถึงสิ่งที่เกิดกับว่าที่ผู้นำคนใหม่
คิ้วหนาขมวดกันมุ่นอย่างยากลำบากใจ น้ำลายเหนียวหนืดยากที่จะกลืนลงคอ ท่ามกลางเหล่าประชาชนที่เฝ้ารอคำตอบเบื้องหน้า นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลฉายแววเจ็บปวดอย่างมิอาจห้ามก่อนค่อยๆพยายามปรับเปลี่ยนให้นิ่งเฉย
“แต่เดิมรีไวเป็นนักฆ่าขององค์กรลับสั่งให้จัดการหน่วยสำรวจ” ริมฝีปากหนาขบกันแน่น ภายในอกปวดรัดกับสิ่งที่ต้องเอ่ย  “เขาเป็น…..คนทรยศ”
ฮันซี่หันมองหน้าเอลวิน ใบหน้าของว่าที่ผู้นำฉายแววเจ็บปวดอย่างไม่ปิดบัง ร่างโปร่งบางขบฟันจนขึ้นสันกราม เพราะบทบาทและหน้าที่ที่ต้องดำเนินต่อไป เพราะเลือกแล้วซึ่งจะต้องทำให้คนสำคัญต้องเจ็บปวด บาปกรรมและความรู้สึกผิดที่ไม่อาจสลัดทิ้งจะติดตัวไปจนถึงวันที่ร่างกายนี้สูญสลาย

จากคนในเมืองใต้ดินสู่การเป็นหัวหน้าทหาร จากหัวหน้าทหารสู่การเป็นมนุษย์ผู้แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติ จากบุรุษผู้แข็งแกร่งสู่วีรบุรุษผู้นำมาซึ่งชัยชนะของมนุษย์ และจากวีรบุรุษจบลงสู่คนทรยศ
นั้นคือชีวิตและบทบาทที่หัวหน้ารีไวได้รับและได้เลือกมาตลอดจนวาระสุดท้ายของชีวิต สิ่งเหล่านั้นช่างไร้ค่าเมื่อสุดท้ายแล้วบทบาทที่ต้องการมากที่สุดกลับไม่สามารถเลือกได้

นั้นคืออดีตที่ผ่านมาแสนนานของเขาสินะ นี่คือเรื่องราวที่เอเลนและเด็กสาวคนนั้นพูดถึงสินะ เรื่องราวที่นานแสนนานมาแล้ว เรื่องราวของความสัมพันธ์ของเขาและเด็กหนุ่มที่นานนับพันๆปี ช่างน่าถวิลหาแม้จะเจ็บปวด ช่างลึกล้ำแม้จะขมกลืน แต่คือสิ่งสำคัญและมีค่าที่ถูกสานต่อผ่านช่วงเวลาหลายยุคหลายสมัย แม้ทุกอย่างรอบตัวจะเปลี่ยนแปลงแต่สิ่งหนึ่งในใจที่ยังคงอยู่และรู้สึกได้แม้จะยังไม่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้น คือความรู้สึกอบอุ่น โหยหา และลึกล้ำ ความรู้สึกที่เป็นนิรันดร์ที่ก้าวผ่านกาลเวลา…..
.
.
.
.
.
.
“คุณฮันซี่ช่วยอธิบายตรงนี้อีกทีสิครับ”
“ฉันว่าไปดูภาคปฏิบัติที่ห้องผ่าตัดเลยเธอจะเข้าใจง่ายกว่านะ”
เสียงพูดคุยที่คุ้นเคยเข้าสู่โสตประสาท แต่เปลือกตายังคงหนักยากที่จะลืมขึ้นได้ทันที ร่างนอนหลักมานานกว่าสองวันจึงค่อยๆพยายามขยับปลายนิ้ว เปลือกตาหนาค่อยๆเริ่มกระตุ้นเพื่อพยายามปรือตาขึ้น
“แต่ครั้งที่แล้วเข้าไปคุณฮันซี่ก็เอาแต่ควักเครื่องในออกมาโชว์ให้ผมดูนี่ครับ”
“เธอจะได้คุ้นชินไงเอเลน อยากเรียนแพทย์ต้องเป็นเพื่อนกับศพให้ได้นะจ๊ะ”
เสียงหยอกล้อยังคงดำเนินต่อไป เปลือกตาหนาค่อยๆปรือขึ้นจนมองเห็นเพดานสีขาวที่แปลกตาไปจากทุกที เมื่อมองสำรวจรอบๆจึงเห็นว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลรวมทั้งมีสายน้ำเกลือและสายยางสำหรับให้อาหารเหลวสอดอยู่ที่จมูกของตน
รีไวพยายามทบทวนความทรงจำถึงเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะหลับฝันไปนาน เขาอยู่ระหว่างกำลังจะเตรียมตัวกลับค่อนโดพร้อมเอเลนหลังจากทำภารกิจ และเจ้าหนูนั่นก็กำลังจะโดนยิง
เอเลนเป็นยังไงบ้าง?!
ใบหน้าคมรีบหันมองต้นเสียงที่ยังคงคุยกัน รีไวถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเด็กหนุ่มที่เขาเข้าปกป้องดูปกติดี จะมีก็แต่สีหน้าเคร่งเครียดที่กำลังนั่งอ่านกองหนังสือบนโต๊ะ โดยมียัยแว่นโรคจิตที่ช่วยติวอยู่ข้างๆ
เพราะมีสายยางให้อาหารเหลวใส่อยู่จึงทำให้ชายหนุ่มเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก มือแกร่งจึงเคาะกำแพงหัวเตียงเพื่อหวังให้ทั้งสองรับรู้
เสียงเคาะส่งสัญญาณได้ผลเมื่อทั้งคู่ละออกจากหนังสือตรงหน้าแล้วหันมาหาต้นเสียงที่เตียงของผู้ป่วย ฮันซี่และเอเลนต่างรีบรุดเข้ามาที่เตียงทันทีเมื่อเห็นว่าคนสลบมาสองวันได้สติแล้ว
“รีไว รีไว นายฟื้นแล้ว ใช่ หมอ ฉันต้องไปตามหมอ!!!!” ด้วยความดีใจที่เห็นเพื่อนฟื้นขึ้นมาฮันซี่จึงรีบเปิดประตูออกไปนอกห้องเพื่อเรียกพยาบาลและแพทย์ผู้รับผิดชอบมาดูอาการโดยลืมไปว่าในห้องมีปุ่มกดเรียกฉุกเฉิน
“ค…..คุณรีไว” นัยน์ตาสีมรกตคลอด้วยน้ำใสที่เอ่อล้นเมื่อได้สบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่ลืมตาขึ้นมา
รีไวดึงสายยางสำหรับให้อาหารเหลวออกโดยไม่ฟังคำคัดค้านของเด็กหนุ่มที่ว่าควรให้แพทย์ตรวจเช็คก่อน มือหนาดันหัวสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มให้ก้มลงมาใกล้ เพราะเพิ่งฟื้นเสียงที่เปล่งออกมาจึงค่อนข้างเบา แต่กระนั้นเด็กหนุ่มได้ยินอย่างชัดเจน
“ทีนี้รู้รึยังว่าฉันรู้สึกยังไงไอหนูไททัน”
“คคุณรีไว คุณ…..” เอเลนมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาได้ยิน
“อย่าหายไปจากฉันอีกรู้ไหมเอเลน” แขนแกร่งยกขึ้นโอบไหล่บางเข้าชิดกับอกตน
“ผมขอโทษครับหัวหน้า” เด็กหนุ่มโอบไหล่หนาทั้งสองข้าง ใบหน้ามนซุกเข้ากับบ่าแกร่งของคนตรงหน้า นัยน์ตาสีมรกตเอ่อล้นด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ความรู้สึกอบอุ่นซึมเข้าสู่หัวใจ เช่นเดียวกับชายหนุ่ม

ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้ง คราวนี้เขาจะไม่มีวันปล่อยมือและความรู้สึกนี้ไป คราวนี้เขาจะเป็นผู้เลือกบทบาทตามที่หัวใจปรารถนา ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็จะไม่ขอสูญเสียคนตรงหน้านี้ไป เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ไม่เคยได้สูญเสียหรือจางหายไป ก้าวข้ามผ่านกาลเวลาเป็นความรู้สึกที่จะมีและคงอยู่อย่างเป็นนิรันดร์……..

TBC.
.....................................................................................................................................................................................
Talk:  ในที่สุดตอนที่ทุกท่านรอคอยก็เปิดเผย อดีตของหัวหน้ารีไวค่ะ
ว่าแต่กว่ามันจะเปิดช่างยาวนานจริงๆ= =
ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมติดตามและช่วยลุ้นจนมาถึงตอนนี้นะคะ
ปริศนาในเรื่องทั้งหมดถูกเปิดเผยแล้ว ต่อไปจะเป็นฉากสู่ขอฮาๆๆๆ
ขอขอบคุณเหล่านักอ่านทุกท่านที่คอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ หลังๆไม่ได้เขียนตอบเลย
ต้องขอโทษด้วยนะคะ//โค้งงามๆสามที
ขอขอบคุณทุกท่านที่เฝ้าติดตามจริงๆค่ะ เพราะทุกท่านบีถึงมาถึงตรงนี้ได้
อย่างที่บอกไม่คิดเลยว่าฟิคเรื่องนี้จะยาวมาขนาดนี้(ตอนแรกวางไว้สั้นมากจริงๆนะนั่น)
แต่พอเขียนๆไปแล้วรู้สึกอยากทำให้ตัวละครมีชีวิตเลยมีมุมและเหตุการณ์ที่หลากหลาย
พอทุกท่านอ่านแล้วรู้สึกร่วมด้วยไปกับเราเป็นสิ่งที่ปลื้มมากๆค่ะ
เพราะถือว่าเป็นความสำเร็จระดับหนึ่งในการเขียนเลยที่ผู้อ่านสามารถเข้าถึงและคล้อยตามไปกับงานของเราได้
เรื่องรวมเล่มหลังฟิคเรื่องนี้จบแล้วบีจัดรูปเล่มจริงจังเกือบสมบูรณ์แล้ว
บีจะเปิดให้สั่งทางไปรษณีก่อนนะคะ เพราะยังไม่รู้ว่าจะสามารถฝากใครลงงานไหนได้รึเปล่า
เลยอาจจะเน้นไปรษณีเป็นหลักค่ะ และจะพยายามทำรูปเล่มออกมาให้ดีที่สุดค่ะ(ได้ข่าวปกยังเป็นวุ้น.....//กราบ)

ขอฝากเพจเช่นเคยนะคะ เพจถึงร้อยแล้วอยากให้ทำอะไรรีเควสมาได้นะคะ ^ ^

https://www.facebook.com/beru89club

รักนักอ่านทุกท่านนะคะ >3<
Trendy Blood





4 ความคิดเห็น:

  1. โอ๊ยยย เจ็บปวดน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกแง๊ๆๆๆๆ
    เฮห์โจววว ตายอนาถแท้เจ้าเก๊ารับม๊ายด้ายยยย
    แหวนๆๆๆ แหวนมันหายไปใหน//อ้ออยู่ที่นางเอเลนนี่หว่า//
    //นึกว่าตามหาช้างงงง//โดนจาพนมศอกกลับแหงก///
    เศร้าอ่ะน้ำตาซึมอ่ะแง๊แม่จ๋า
    ชาติที่แล้วมันทำไมเศร้าขนาดนี้ก๊าาา
    สรสารเฮห์โจววง่ะ
    ชาตินี้แกอย่าตายห้นมตายเด็ดขาดนะเฮห์โจวพ่อตารอแกอยู่
    น้าา//อ้าวฟื้นแล้วนี่หว่าแล้วแกจะพล่ามทำไม๊ isayaa

    ฮ่ะๆๆๆๆไปแระหวัดดี

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คนที่เหลืออยู่เจ็บปวดมากค่ะ แม้รีไวจะไม่เคยบอกรักเอเลนเลยตอนที่เอเลนยังมีชีวิตอยู่ในชาติที่แล้ว แต่ทุกการกระทำก็บอกได้ว่ารีไวรักเอเลนมากค่ะ

      ลบ
  2. ถ้านี่เป็นฮันซี่คงฝังใจตลอดชีวิตอะ มอบความตายให้กับคู่รีไวเอเลนกับมือ ถึงแม้จะไม่เต็มใจไม่ตั้งใจก็เหอะ ทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทางแล้วววว

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ30 กรกฎาคม 2564 เวลา 20:15

    คือมันแบบๆๆน้ำตาแตกจนหายใจไม่ออกแล้วจ้าาา;-;
    คือมันรู้สึกแย่นะที่แบบ เรารีบกลับมาหาคนรักแต่คนรักกลับโดนฆ่าตายอะ คือโคตรแย่ สงสารมาก แต่ตอนนี้เขาได้อยู่ด้วยกันแล้วอิชั้นก็ดีย์ใจ

    ตอบลบ