Fic. [AU]: Attack On Titan: ล่ารักอันตราย (Part
II)
Pairing: (Levi x Eren)
……………………………………………………………………………………..
Chapter 3: Risk
เอลวินอ่านกราฟแสดงดัชนีตลาดหุ้นก่อนจะคลิกขายหุ้นที่ดูไร้ประโยชน์สำหรับตนออกไป
ความถี่ของกราฟและค่าผกผันที่คนไม่คุ้นเคยดูแล้วต้องปวดหัว
แต่สำหรับนักเล่นหุ้นที่มากประสบการณ์เป็นอะไรที่ท้าทายเสมอ
การคาดเดาแนวโน้มของตลาดและค่าผกผันเป็นสิ่งที่เอลวินคุ้นเคยและถนัด เขาสามารถคาดเดาอัตตราการขึ้นลงของหุ้นได้อย่างแม่นยำน้อยครั้งที่เขาจะคำนวณพลาด
แต่ในความผิดพลาดนั้นกลับทำให้เขารู้สึกสนใจเสียยิ่งกว่าสิ่งที่เป็นไปตามที่เขาคาดเดา
เช่นเดียวกับการอ่านคนและเลือกใช้คนรอบตัวในองค์กรที่แตกต่างกันออกไป ถึงอย่างนั้นชายผู้ชื่อว่า
เอลวิน สมิธ แม้จะดูเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาแต่หลายครั้งที่ความคิดของเขาก็ยากที่จะเข้าใจ
หลายคนมองว่าเขาคือชายผู้มีพรสวรรค์
และอีกหลายคนมองว่าเขาเป็นบุคคลที่อันตรายและน่ารังเกียจ
แกร๊ก
เสียงประตูที่เปิดออกทำให้นัยน์ตาสีฟ้าละออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ชำเลืองมองผู้มาเยือน
ก่อนจะกลับไปตั้งหน้าตั้งตาจัดการดูตลาดหลักทรัพย์ตรงหน้าอีกครั้ง
ยังไงคนที่เข้ามาถึงห้องชั้นบนสุดของเหล่ากรรมการบริษัทที่มีการคุ้มกันมากมายขนาดนี้
ก็มีเพียงเหล่าคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“วันนี้นายมาสายนะรีไว”
แม้ถ้อยคำจะเหมือนตำหนิ
แต่คนที่ถูกกล่าวถึงรู้ดีว่าชายหนุ่มผมทองต้องการหยอกเขาเล่นเท่านั้น
“มัวแต่ทำความสะอาดน่ะ”
รีไวจัดการถอดสูทสีเทาของตนพาดไว้กับพนักเก้าอี้ทำงาน
แล้วจัดการเข้ารหัสเครื่องแลปท๊อปของตน
น้ำเสียงที่เน้นย้ำว่า
ทำความสะอาด ของรีไวอย่างจงใจเท่ากับบอกว่าไม่ใช่การทำความสะอาดคอนโดของชายหนุ่มแน่นอน
อีกทั้งวันนี้ไม่มีรายงานที่เขาต้องจัดการส่งมือขวาคนสนิทไปจัดการเก็บกวาด
การทำความสะอาดครั้งนี้ของเข้าตัวขึงเท่ากับว่าเป็นการทำความสะอาดแบบส่วนตัวที่ไม่ต้องคาดเดาเขาก็รู้ว่าหมายถึงใคร
“ดูเหมือนนายจะถูกใจกับเอเลนเป็นพิเศษมากกว่าที่ฉันคิด”
เอลวินจัดการทำการปิดคำสั่งการซื้อขายหุ้น
ใบหน้าสุขุมมองมือขวาคนสนิทอย่างให้ความสนใจ
“ถ้านายยังไม่แก่เกินกว่าที่ความจำจะเลอะเลือนนะเอลวิน
ฉันเป็นพวกรักความสะอาดและไม่ชอบให้ของของฉันมีสิ่งแปลกปลอม
หรือแม้กระทั่งกลิ่นแปลกๆโดยที่ฉันไม่อนุญาต”
เอลวินเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
รีไวหยิบปากกาจากในลิ้นชักขึ้นมาเซ็นต์เอกสาร
ก่อนจะเอาปากกาชี้ไปยังชายหนุ่มผมทองที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันนัก
“กลิ่นยูโฟเรียโกลด์ของนายมันติดไปที่เอเลน
เดาว่านายคงอาสามาส่งเจ้าหนู”
เอลวินหัวเราะในลำคออย่างนึกขำ
เพราะเป็นพวกรักความสะอาดจึงไวต่อกลิ่นต่างๆเป็นพิเศษ
ทั้งที่เขาคิดว่ากลิ่นน้ำหอมของเขาไม่ได้ฉุนขนาดจะไปติดคนอื่นง่ายๆ
และเขาอยู่กับเอเลนเพียงแค่ไม่กี่นาที ดูเหมือนคราวหลังเขาต้องระวังตัวเวลาบังเอิญไปเจอกับเอเลนข้างนอก
ดูเหมือนว่าเจ้าของจะเอ็นดูและหวงของมากทีเดียว
rrrrRRRRRR
เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของเอลวินดังขึ้นขัดบทสนทนา
ชายหนุ่มผมทองมองเบอร์ที่โทรเข้าเมื่อเห็นว่าเป็นคนรู้จักจึงกดรับตามปกติ
“ว่าไงไมค์?”
เอลวินตอบรับโทรศัพท์เสียงใสกับคนคุ้นเคย
รีไวจึงหันไปสนใจกับการทำงานบนหน้าจอแล็ปทอปของตนต่อ
จากน้ำเสียงที่ทักทายอย่างสดใสเป็นกันเองของเอลวินเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
รีไวที่จับน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่ายได้จึงชำเลืองมองเพื่อนคนสนิทที่ตอนนี้สีหน้าดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างเห็นได้ชัด
แล้วต้องเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเอลวินที่จริงจังนั้นกำลังมองมาที่ตนเช่นกัน
หลังจากที่ชายหนุ่มผมทองกดวางสายโทรศัพท์ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องมองไปยังใบหน้าคมคายของอีกคนด้วยสีหน้าจริงจัง
ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าจึงละสายตาออกจากหน้าจอแล๊ปทอปเพื่อรอฟังอีกฝ่าย
“ดูเหมือนนายต้องไปทำความสะอาดของเก่าที่ค้างคามานาน”
รีไวทำหน้าครุ่นคิดสักครู่ก่อนนัยน์ตาสีหมอกจะวาวโรจน์ราวกับมีประกายไฟฟ้าในตาเมื่อนึกถึงใครบางคนที่อีกฝ่ายพูดถึง
สีหน้าและท่าทางของรีไวทำให้เอลวินรู้ว่าเจ้าตัวเองคงรู้ดีว่าอีกฝ่ายที่เขาพูดถึงเป็นใคร
เพื่อเป็นการยืนยันชายหนุ่มจึงเอ่ยชื่อบุคคลที่พวกเขารู้จักดีแม้ไม่ได้เจอมานานแล้วก็ตาม
“อย่างที่นายคิด.....
เคนนี่ หมอนั่นกลับมาแล้ว”
นัยน์ตาสีหมอกแปรเปลี่ยนเป็นดุดันก่อนใบหน้าเฉยชาจะยกยิ้มอย่างน่าขนลุก
เอลวินถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมาด้วยรู้ดีว่าเคนนี่และรีไวต่างเป็นคนประเภทเดียวกันแต่อุดมการณ์นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ไมค์บอกนายรึเปล่าว่าตอนนี้ไปเจ้าขยะชิ้นใหญ่นั่นอยู่ที่ไหน?”
“คิดแล้วว่านายต้องถาม”
เอลวินยิ้มขำก่อนจะจัดการคัดลอกข้อความในโปรแกรมสนทนาส่งให้อีกคนผ่านทางแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟน
ที่อยู่ที่ไมค์ส่งมาคือรีสอร์ทบริเวณน้ำตกที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ
ถ้าขับรถไปคงใช้เวลาราวๆสามถึงสี่ชั่วโมง
แต่สำหรับคนขับรถเร็วอย่างรีไวใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งก็เพียงพอแล้ว
“ในเมื่องานในออฟฟิศนายดูแลเองกับฮันซี่ได้สบายอยู่แล้วฉันขอออกไปทำงานนอกสถานที่ดีกว่า”
รีไวสวมเสื้อสูทที่เขาพาดไว้ตามเดิมก่อนจะเลือกกุญแจรถที่มีเรียงอยู่มากมายที่ราวแขวนข้างประตู
“ฉันขอยืม
แอสตอน มาร์ติน วัน เจ็ดสิบเจ็ด ของนายละกันนะเอลวิน ฉันไม่อยากเสียเวลากลับไปเอาบูกัตติที่คอนโด”
“เฮ้! นั่นมันผลิตเพียงแค่เจ็ดสิบเจ็ดคันในโลก นายเอาคันอื่นไปแทนได้ไหม?” เอลวินถึงกับเหงื่อตกเมื่อเห็นคนตัวเล็กกว่าเลือกกุญแจรถคันหายากของเขา
กุญแจที่แขวนอยู่มีราวๆยี่สิบคันทำไมถึงต้องมาเลือกคันสะสมลูกรักของเขาด้วย!
รีไวเพียงแค่ยักไหล่ก่อนจะโยนกุญแจที่เลือกแล้วกลางอากาศพร้อมคว้าไว้ที่ทำเอาเจ้าของรถถึงกับรู้สึกยิ้มไม่ออก
แต่คนโยนเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะหันหลังเตรียมเดินออกจากห้องอย่างที่ไม่คิดจะเปลี่ยนใจเลือกใหม่
“บูกาติก
เซอร์รีน โรลอย มัสแตง ปอร์เช่ แมคคาเรน แลมโบกินี เฟอร์รารี่
ทั้งหมดของนายกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นรุ่นลิมิเต็ทหายากทั้งนั้น เอามาตั้งโชว์เฉยๆไม่ใช้งานแบบนี้ก็เหมือนม้าศึกที่ไม่ได้ออกโรง
ถือซะว่าฉันช่วยให้รถของนายได้ใช้สมกับประสิทธิภาพก็แล้วกันเอลวิน”
เอลวินมองตาละห้อยกับหลังของคนตัวเล็กที่โบกมือลาพร้อมทั้งแกว่งกุญแจรถในมือให้เขาช้ำใจเล่นก่อนจากไป
ชายหนุ่มถึงกับกุมขมับกับความเอาแต่ใจของคนสนิทของตน
ทั้งที่เขาอุตส่าห์ขับแต่เบนส์เอสคลาสเพราะหวงเหล่าลูกรักทั้งหลายแท้ๆ
บางทีนี่คงเป็นการแก้เผ็ดของรีไวเรื่องเอเลนที่ทำให้เขารู้ซึ้งทีเดียว
รีไวสตาร์ทแอสตอน
มาร์ติน ด้วยความรู้สึกย่ำใจที่เอาลูกรักของเอลวินมาใช้
ชายหนุ่มจัดการปรับกระจกรถให้อยู่ในระดับพอดีกับสายตา แอสตอน มาร์ติน วัน
เจ็ดสิบเจ็ด สมเป็นรถยนต์ราคาแพงที่ชายหนุ่มผมทองจะหวงแหน
คนขับรถที่เรียกได้ว่ามือฉมังอย่างรีไวเพียงแค่สตาร์ทเครื่องก็รู้ถึงความรุนแรงที่หนักแน่นของเครื่องยนต์เบนซินที่มีถึง
12 สูบ ความเร็ว 750 แรงม้า ชายหนุ่มผิวปากอย่างถูกใจกับรถยนต์ประสิทธิภาพสูง
หน้าขอคำสั่งเครื่องยนต์แสดงแอพพลิเคชั่นต่างๆบนจอ แถบนาฬิกาที่ตอนนี้เป็นเวลาตีสองยี่สิบสาม
ชายหนุ่มจึงหยิบสมาร์ทโฟนของตนขึ้นมาเพื่อส่งข้อความให้กับเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ก็ยังคงนอนสลบบนเตียงเพราะฝีมือของเขา
เมื่อข้อความถูกส่งรีไวโยนโทรศัพท์ลงที่เบาะนั่งข้างคนขับก่อนจะจัดการเข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งอุ่นเครื่อง
เสียงเครื่องยนต์ราวกับเสียงคำรามของม้าคะนองศึกที่พร้อมลุยไปกับเขา แอสตอน
มาร์ติน วัน เจ็ดสิบเจ็ดทะยานตัวออกจากโรงรถที่มีแต่รถรุ่นหายากของกรรมการบริษํทเอลวิน
สมิธ
กว่าที่ร่างกายที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักจะลุกขึ้นได้ก็เป็นเวลาเช้าของอีกวัน
สรุปแล้วอาหารเย็นเมื่อวานเขาจึงไม่ต้องทำ
อย่าว่าแต่อาหารเย็นเลยตัวเขาเองยังไม่มีแรงลุกออกมาหาอะไรลงท้อง
ได้แต่นอนอยู่บนเตียงในห้องของคนอันตรายที่ชอบลากเข้ามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เอเลนค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงและเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาเผลอหลับไป
เมื่อตื่นมาร่างกายของเขาก็จะถูกเช็ดทำความสะอาดและเปลี่ยนชุดให้ใหม่อยู่เสมอ เรียกว่าสมกับเป็นคุณรีไวที่คงไม่อยากให้เขานอนในสภาพที่เลอะเทอะอยู่แบบนั้น
แต่จะโทษใครได้เพราะคนที่ทำให้เขาเลอะมันก็ตาแก่โรคจิตเองนั้นแหละ
หลังจากจัดการอาบน้ำชำระร่างกายและจัดการสิ่งแปลกปลอมที่ค้างคาอยู่ภายในออก
เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยเอเลนจึงได้หยิบสมาร์ทโฟนของตนเพื่อตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเช่นทุกครั้ง
หน้าจอที่มีแอพพลิเคชั่นต่างๆแจ้งเตือนรวมถึงโปรแกรมสนทนาที่ต่างมีข้อความฝากทิ้งไว้ในช่วงที่เขาหลับถูกเปิดอ่านที่ละข้อความ
จนจนกระทั่งมาถึงข้อความของคุณรีไวที่เขาตั้งรูปไอคอนเป็นรูปจิ้งจอกหน้าตาเจ้าเล่ห์
[ฉันมีธุระต้องจัดการอาจกลับเย็นหรือเป็นพรุ่งนี้ เฝ้าบ้านให้ดีๆล่ะเจ้าหนู]
เอเลนพิมพ์ข้อความตอบกลับโปรแกรมสนทนาเพราะรู้ดีว่าถ้าอ่านแล้วแต่ไม่ตอบอะไรไปตาแก่จอมน่ารำคาญนั่นคงหาข้ออ้างแกล้งเขาแน่ๆ
[เข้าใจแล้วครับ
ไม่ต้องรีบนะครับคุณจะพักร้อนต่อสักเดือนหรือสักปีก็ได้นะครับคุณรีไว]
เมื่อรอสักพักแล้วยังไม่เห็นว่าข้อความของตนถูกเปิดอ่านเอเลนจึงเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ของตน
เพราะส่วนใหญ่ชายหนุ่มตอบกลับข้อความค่อนข้างเร็ว ขาจึงเข้าใจดีว่าถ้าคุณรีไวไม่ตอบกลับข้อความเขาแสดงว่าชายหนุ่มคงกำลังติดเรื่องสำคัญหรือยุ่งเกินกว่าจะสนใจโทรศัพท์ในทันที
ในที่สุดเขาก็ได้หาอะไรลงท้องเสียทีเด็กหนุ่มก็ต้องรีบจัดการสวมรองเท้าเพื่อไปทำงานให้ทันเวลาเก้าโมงเช่นทุกวัน
ภาพเด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดและทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวสวมกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบเดินออกจากคอนโดสุดหรูเป็นภาพที่เหล่าเจ้าหน้าที่และผู้ที่อาศัยอยู่ในดอนโดแห่งนี้เห็นจนคุ้นตา
เอเลนโค้งหัวทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูเหมือนเช่นทุกครั้ง
ด้วยความที่ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี้ได้หลายเดือนแล้วเอเลนจึงคุ้นชินและปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากเดิม
ถึงแม้ช่วงแรกของการมาอยู่ที่นี้คนอื่นๆมักมองเขาด้วยแววตาที่สงสัยและอยากรู้อยากเห็น
ยิ่งเมื่อรู้ว่าห้องพักที่เขาต้องเข้ามาอยู่นั้นใครเป็นเจ้าของ
สายตาที่จับจ้องมองเขาล้วนแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด
จากทีแรกที่มองเขาราวกับสบประหม่า แต่พักหลังกลับเป็นสายตาที่มองมาอย่างระแวงและอยากรู้เรื่องต่างๆของเขาเสียมากกว่า
เพราะอย่างนั้นเลยทำให้เขาไม่คิดจะผูกมิตรกับคนในอาคารเท่าไร รู้ดีว่าถ้าสนิทกับใครสักคนคนเหล่านั้นคงอยากที่จะรู้เรื่องของคนอันตรายที่เขาอยู่ร่วมด้วยเป็นแน่
เอเลนจึงเพียงทักทายเหล่าคนอื่นๆที่เขาพบเจอตามมารยาทเท่านั้นแต่ไม่ใคร่จะเสวนา
และคงเพราะเป็นคุณรีไวอีกนั้นแหละเลยทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะมาคุยกับเขาก่อนเช่นกัน
เรียกว่าอย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชีวิตเขายุ่งยากไปกว่าเดิมจากที่คนคนนั้นทำชีวิตเขาเละเทะจนจับต้นชนปลายไม่ถูกจนถึงตอนนี้แล้วก็ตาม
เมื่อคิดย้อนดูเขาเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับคนอันตรายแบบนั้น
ซ้ำยังเป็นตาแก่ที่ทั้งเจ้าเล่ห์และโรคจิตอย่างรับมือยาก
แต่ที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่าคือตัวเขาเริ่มคุ้นชินกับตาแก่เอาแต่ใจคนนั้น
และความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปถึงไหนต่อไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนกับว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่างทุกที
ให้ตายสินี่เราทำตัวเหมือนอีหนูที่มีป๋าเลี้ยงเข้าทุกวัน!
พอคิดอย่างนั้นเด็กหนุ่มถึงกับเซเข้าข้างทางเกาะกำแพงเพื่อหวังเป็นที่พึ่ง
เอเลนพยายามสูดหายใจลึกก่อนค่อยๆผ่อนลมหายใจเพื่อเรียกสติ
ใจเย็นก่อนเอเลน นายแค่ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันต่างหาก เพราะต้องอยู่กับหมอนั่นเลยต้องดูแลเรื่องงานบ้านเพื่อและกับที่อยู่ก็เท่านั้นเอง
[แล้วทำไมนายไม่คิดหนีไปจากฉันจริงๆล่ะ?]
คำถามที่ถูกคนอันตรายถามดังก้องขึ้นมาในหัว
ใบหน้าหวานรู้สึกร้อนผ่าวอย่างไม่อาจห้าม อกซ้ายเต้นรัวราบกับจะระเบิดออกมา
ที่ไม่หนีเพราะรู้ว่านายต้องตามลากกลับมาอยู่แล้วไงล่ะ! เอเลนพยายามกระซิบบอกย้ำกับตัวเอง
เขาไม่ได้อยากอยุ่ใกล้คนอันตรายสักหน่อยแต่เพียงแค่ถ้าเขาหนีไปจริงๆ
คนคนนั้นก็ต้องตามเขากลับมาต่างหากมันก็เท่านั้นเอง
เด็กหนุ่มพยายามเร่งฝีเท้าของตนเองราวกับเหมือนกำลังเดินหนีทั้งที่ไม่มีอะไรตามหลัง
รู้ดีว่าที่กำลังหนีตอนนี้ไม่ใช่คนอันตรายหรือใครทั้งนั้น
สิ่งที่ตอนนี้เขากำลังอยากหนีที่สุดอาจเป็นความรู้สึกของตนเอง
“อันตราย!”
โครม!!
เสียงของใครบางคนที่ตะโกนดังขึ้นจนเด็กหนุ่มสะดุ้งแต่เสียงนั้นกับถูกแทนที่ด้วยเสียงของรถยนต์ที่พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วและชนกับบางสิ่งบางอย่าง
ร่างในชุดเสื้อคลุมแขนยาวสวมกางเกงยีนส์ขายาวลอยกลางอากาศก่อนจะร่วงหล่นอย่างรุนแรงบนพื้นถนน
ตัวเขาที่เดินมาถึงทางม้าลายเลยเดินลงจากทางเท้าหวังจะข้ามถนนตามเส้นทางเดิมทุกวัน
เพราะมัวแต่คิดวนเวียนไปมา จึงทำให้เขาไม่ทันสังเกตสัญญาณไฟที่เปลี่ยนสีให้หยุดรอ
ภาพที่เขาเห็นคือเหล่าผู้คนต่างรุมล้อม
บางคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกอย่างเร่งด่วน เอเลนรู้สึกหัวหนักอึ้งเกินกว่าที่จะพยายามประคองสติไว้ได้
สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นในสติที่เริ่มพร่าเลือนคือชายในชุดสูทสีดำสวมรองเท้าหนังที่วิ่งเข้ามาหาเขาอย่างร้อนรน
เพราะสติที่เริ่มพร่ามัวทำให้ไม่อาจเห็นใบหน้าของชายผู้ซึ่งก้มมองเขาพร้อมกับตะโกนบางอย่างที่เขาไม่ได้ยิน.......
ร่างของเด็กหนุ่มถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
เหล่าพยาบาลและทีมแพทย์ถูกเรียกตัวมาช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินพิเศษ
หน้ากากออกซิเจนถูกสวมให้กับเด็กหนุ่มที่ไร้สติ
เตียงผู้ป่วยสีขาวถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดด้วยความเร่งรีบ
เหล่าทีมแพทย์พยายามฉุดยื้อชีวิตเด็กหนุ่มจากพญามัจจุราชที่คลืบคลานเข้ามา
การผ่าตัดช่วยเหลือดำเนินการไปอย่างยาวนาน
ทุกช่วงเวลาคือจังหวะชีวิตของผู้บาดเจ็บที่กำลังพยายามหายใจ
เมื่อไฟห้องผ่าตัดดับลงเหล่าแพทย์ผู้ผ่าตัดได้แจ้งว่าเด็กหนุ่มพ้นขีดอันตรายแล้วเหลือเพียงให้พักฟื้นเท่านั้น
และเพราะร่างกายหลายส่วนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ทั้งกระดูกขาขวาและแขนขวาที่หัก
กระดูกซี่โครง รวมถึงส่วนศรีษะที่ได้รับการกระแทกและกระบอกตาที่โดนกระแทกอย่างรุนแรงจนปูดบวมทำให้ทีมแพทย์ตัดสินใจผ่าตัดกระบอกตาของเด็กหนุ่ม
เรียกได้ว่าเป็นเคสการผ่าตัดใหญ่นานหลายชั่วโมง จึงทำให้เด็กหนุ่มต้องพันผ้าปิดตา
ส่วนต่างๆของร่างกายถูกดามและเข้าเฝือกเพื่อพักฟื้น
เอเลนถูกเข็นเข้าห้องพักผู้ป่วยพิเศษเพราะคนที่รับเป็นเจ้าของไข้ของเด็กหนุ่มสั่งไว้
รวมถึงพยาบาลพิเศษที่คอยดูแลเด็กหนุ่มตลอด 24 ชั่วโมงจนกว่าจะฟื้น
มืด.....
ทุกอย่างช่างมืดไปหมด
ในความมืดราวกับมีหินห้อนขนาดมหีมาร่วงหล่นลงมาทับ
ขยับไม่ได้....
ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกพันธนาการ......
ปากขยับไปมาอย่างไร้เสียง
มีเพียงเสียงลมที่ลอดออกผ่านลำคออย่างไม่เป็นภาษา
ท่ามกลางความมือที่ไม่สิ้นสุดปรากฏร่างของชายผู้มีผมรัตติกาล
ชายผู้นั้นค่อยๆหันมาใบหน้าที่ราวกับถูกหมอกปิดบังทำให้มองเห็นไม่ถนัดแม้จะเพ่งมองเท่าไรก็กลับเห็นเพียงแต่เงาที่เลือนราง
แล้วเมื่อเดินเข้าไปหา รอบข้างที่เป็นรัติกาลถูกย้อมไปด้วยสีแดงทั่วสารทิศ
เมื่อหันมองที่ชายคนเดิมมือทั้งสองของชายผู้นั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงราวกับโลหิต
เฮือก!
เอเลนสะดุ้งสุดแรงแต่ร่างกายที่ยังคงหนักอึ้ง แขนขวาและขาขวาที่ถูกดามไว้เลยทำให้เด็กหนุ่มเพียงแค่ยกศรีษะขึ้นจากหมอนใบใหญ่ได้เท่านั้น
“นายรู้ตัวแล้วงั้นเหรอ?”
มือใหญ่ของใครบางคนจับลงบนบ่าของเด็กหนุ่ม
“จะให้ฉันเรียกหมอให้รึเปล่า?
เจ็บตรงไหนไหม?”
ความมืดและเลือดที่มากมายนั้นคงเป็นเพราะเขาฝันไป
ตอนนี้เขารู้สึกถึงลมหายใจที่หอบแรงของตน ความเย็นของลมแอร์ที่กระทบผิวหนัง
จากคำพูดที่ได้ยินทำให้เขาเดาได้ว่าบางทีที่นี่อาจเป็นโรงพยาบาล แต่มีสิ่งที่แปลกไป
“ทำไมมันมืดไปหมด
ผมมองอะไรไม่เห็น!!”
เด็กหนุ่มโวยวายทั้งที่ตอนนี้เขาลืมตาแต่ทุกอย่างรอบข้างยังคงมืดสนิท
“ใจเย็นก่อนนายไม่ได้ตาบอดเพียงแต่ต้องพันผ้าไว้ก่อนเท่านั้นอีกไม่กี่วันก็เอาออกได้”
มือปริศนาวางลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มพร้อมทั้งอธิบาย
เมื่อรู้ว่าตนไม่ได้ตาบอดเอเลนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่แขนขาที่ขยับไม่ได้ดั่งใจนึกทำให้เขาหันมอง
อีกฝ่ายคงสังเกตเห็นเขาที่พยายามขยับตัวจึงกดบ่าเขาลงกับเตียงพร้อมทั้งอธิบาย
“นายโดนรถชน
แขน ขา และซี่โครงหักหลายขุดทำให้ตอนนี้นายขยับตัวลำบากไปบ้างแต่อีกไม่นานก็หาย”
“รถชน...?”
เด็กหนุ่มทวนคำ “ผมเกิดอุบัติเหตุเหรอครับ?”
“นายจำไม่ได้งั้นเหรอ?”
เอเลนส่ายศีรษะไปมาเป็นคำตอบ
พูดถึงเรื่องความจำแล้วชายที่ช่วยเหลือเขาคนนี้เป็นใครกัน?
“คุณคือ...”
ก่อนที่เจ้าตัวจะได้ถาม เด็กหนุ่มก็รู้ถึงสิ่งที่ผิดปกติมากกว่านั้น มือบางข้างที่เหลือยกขึ้นกุมศีรษะของตน
“ไม่สิ
ก่อนหน้านั้น.... ผมเป็นใครกัน?”
เด็กหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆของอีกฝ่ายคาดว่าน่าจะเป็นชายที่กำลังลูบหัวเขาอยู่
“นายชื่ออเล็กซ์”
“อเล็กซ์”
เด็กหนุ่มทวนคำอีกครั้ง “ขอโทษนะครับ แต่.... ผมรู้สึกแปลกๆ”
“ไม่ต้องห่วง
ฉันรู้จักนายดีสบายใจได้อีกไม่นานนายจะหายดีรวมทั้งความทรงจำของนายก็จะกลับคืนมา”
มือใหญ่ที่วางบนผมสีน้ำตาลละออก
เอเลนที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอเล็กซ์รู้สึกโหวงในใจ
“เดี๋ยวก่อน”
อาจเพราะตาที่ถูกปิดไว้เลยทำให้เขารู้สึกกังวลเมื่อมองไม่เห็น เขาจึงเรียกชายปริศนาไว้เพราะเกรงว่าจะถูกทิ้งอยู่คนเดียว
เพื่อให้รู้ว่าเขายังอยู่ข้างๆมือใหญ่ของใครบางคนจึงแตะลงบนมือของเด็กหนุ่มที่วางอยู่บนเตียง
“คุณเป็นใครกัน?”
คาดเดาจากน้ำเสียงเด็กหนุ่มคาดว่าชายคนนี้น่าจะอายุมากกว่าเขา
ถ้าให้เดาคงประมาณวัยกลางคน
“จะเรียกฉันว่าคุณลุงขายาวก็ได้”
ชายปริศนาตอบพลางหัวเราะขำ ที่ทำให้คนฟังเอียงคออย่างแปลกใจ
“ไว้นายมองเห็นแล้วค่อยรู้จักฉันตอนนั้นก็แล้วกันอเล็กซ์
แต่ไม่ต้องห่วงนายไม่ได้อยู่คนเดียวฉันจะคอยอยู่ข้างๆ”
มือใหญ่ละออกจากมือของเด็กหนุ่ม
เอเลนรู้สึกใจหายวูบสักพักก่อนจะรู้สึกถึงความนุ่มที่อยู่บนมือแทน
“เพื่อให้นายพักผ่อนอย่างสบายใจและมั่นใจว่าฉันยังอยู่ข้างๆฉันจะเอาผ้าให้นายจับข้างนึงแล้วฉันจับอีกข้างแล้วกัน
อย่างน้อยมันคงยาวพอที่ฉันจะเดินไปที่โต๊ะทำงานหรือชงกาแฟได้”
แม้จะมองไม่เห็นแต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกอุ่นใจกับการกระทำของคนที่เรียกตัวเองว่าคุณลุงขายาว
สมองที่ได้รับการกระทบกระเทือนจะคงปวดจนรู้สึกขมับเต้นตุบๆ
เอเลนจึงพยายามข่มตาหลับลงอีกครั้งเพื่อหวังว่าอาการปวดหัวจะทุเลาลง
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้ว่าตัวเขาชื่ออเล็กซ์และเพราะเจออุบัติเหตุเลยต้องมาอยู่ที่โรงพยาบาล
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเพราะมีคนที่ช่วยยืนยันตัวตนของเขาอยู่ข้างๆ
บางทีตื่นมาอีกครั้งเขาคงจำเรื่องราวต่างๆได้บ้างโดยเฉพาะเรื่องของชายปริศนาที่เรียกตนเองว่าคุณลุงขายาว
TBC.
.............................................................................................................................
Talk: ปรากฏการณ์ใหม่ของล่ารักฯ มันซีเรียสได้ด้วย..... ดูกันต่อไปค่ะว่าชายปริศนานี่จะเป็นใคร รีไวเราได้เจอศึกใหญ่หนักหน่วงทั้งกายใจแหงมๆ (ภาคหนึ่งแกล้งเอเลนไว้มาก ภาคนี้เราเลยแกล้งเฮียแทน.....//โดนคนอ่านรุมสะกำ)
ขอโทษที่หายไปนานนะคะคือทั้งเดือนเพิ่งว่างค่ะเลยรีบมาปั่น น้องชาย น้องสาว รับปริญญาพร้อมกันทั้งคู่ อิชุ้นเลยต้องไปเป็นตากล้องค่ะ แล้วไหนจะต้องไปโดนใช้แรงงานเยี่ยงกรรมกร เพราะอยู่ๆพระมารดาก็อยากจัดบ้านใหม่เลยต้องรือสรรพเพเหรกที่มีของทิ้งเยอะมากมาย แล้วก็วุ่นกับการย้ายของรวมถึงย้ายที่อยู่ด้วยค่ะ แล้วก็กำลังเตรียมสอบด้วย เป็นเดือนที่หัวหมุนมากๆ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้อิชุ้นจะพยายามกลับมาทำหน้าที่เป็นนักเขียนที่อย่างน้อยอัพอาทิตย์ละครั้งให้ได้นะคะ TTATT อย่าเพิ่งทิ้งกันนะ
รักนักอ่านทุกคนค่ะ >3<
เอาแล้วถึงเวลาเฮียเตี้ยโดนรังแกกลับบ้างแล้ว ถึงจะน่าสงสารแต่ท่าทางเฮียเตี้ยแกคงสู้ตายเพื่อให้ได้เมียคืนแน่ๆ
ตอบลบท่าทางว่าคนที่ช่วยเอเลนไว้นี่คงเป็น เคนนี่ แน่เลย รึอาจเป็นแผนแก้แค้นรีไวมาแต่ต้นกันนะ
ลุ้นค่ะ ^^