วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Fic, Attack On Titan (AU): Utakata (泡沫):บทนำ

Fic, Attack On Titan (AU): Utakata (泡沫)
Pairing: All Eren
Rate: NC-17


บทนำ
ประกายเพลิงสีแดงลุกโชนท่ามกลางความมืดมิดของยามราตรี เสียงไม้ในเลวไฟลั่นระงมด้วยความร้อนระอุของเพลิง ไร้เสียงของผู้คนและวี่แววของผู้อื่นที่อยู่ในละแวก จะมีก็เพียงร่างเล็กในชุดแต่งกายตามแบบสากลนิยมชั้นดีที่ได้แต่นั่งคุดคู้อยู่ท่ามกลางพื้นที่กว้างรายล้อมไปด้วยเปลวเพลิงที่ยังลุกไหม้ ที่ซึ่งแต่เดิมเป็นห้องโถงในบ้านพักต่างอากาศของตน ร่างเล็กสั่นเทาไร้เรี่ยวแรง ใบหน้ากลมมนเปียกปอนไปด้วยหยาดน้ำตา นัยน์ตากลมโตสั่นระริกพร่ามัวงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เท่าที่จำได้เขาและครอบครัวตกลงใจมาพักที่บ้านพักตากอากาศเพราะเป็นช่วงที่เด็กน้อยว่างจากการร่ำเรียนหนังสือ อีกทั้งบิดาผู้ซึ่งทำหน้าที่แพทย์และมีมารดาของตนเป็นผู้ช่วยนั้นจะมีเวลาว่างที่จะได้หยุดพักและเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัว
            ……………..ทั้งที่ควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและน่าจดจำที่สุดในฤดูร้อน……………
            ควันไฟที่เริ่มโหมอย่างแน่นหนาทำให้เด็กน้อยเริ่มหายใจไม่ออก ร่างบอบบางล้มลงกับพื้น เด็กชายตัวน้อยสำลักควันไฟที่โหมกระหน่ำ แม้ควันไฟจะแน่นหนาแต่ภาพตรงหน้ายังคงเด่นชัด ร่างของบิดาและมารดาที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นที่ไหลนองไปด้วยธารน้ำสีชาด ท่ามกลางเปลวเพลิงสีแดงที่ลุกโหม ไม่ว่าจะมองไปทางใดราวกับว่าโลกนี้กำลังจะแตกสบาย และถูกย้อมไปด้วยสีแดงที่น่าหวาดหวั่น เด็กน้อยไม่อาจคิดสิ่งใดได้ ร่างเล็กค่อยๆคลานไปหาร่างทั้งสองที่นอนนิ่งไร้วิญญาณด้วยสัญชาตญาณ มือน้อยตะกองก่ายผู้เป็นมารดาและบิดา เสียงใสสั่นเครือตะโกนก้องกู่ร้องราวจะขาดใจ ยิ่งตะโกนออกไปมากเท่าไรก็ยิ่งสูดกลิ่นควันเข้าไปมากเท่านั้น จนสติสัมปชัญญะเริ่มลางเลือน
            “หมอนี่คงเป็นลูกชายของหมอเยเกอร์”
            ท่ามกลางสติที่เริ่มพร่ามัว เสียงของชายหนุ่มแปลกหน้าดังขึ้นท่ามกลางกองไฟ ใจน้อยๆเริ่มชื้นราวกับมีความหวัง คนที่ผ่านมาอาจสามารถช่วยเหลือเขาและครอบครัวได้ เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาท่ามกลางเปลวไฟ ท่ามกลางสติที่พร่ามัวเด็กน้อยรู้สึกเหมือนร่างเล็กๆของตนลอยสูงขึ้น กว่าจะรู้ตัวร่างของเขาก็เริ่มอยู่ห่างจากสองร่างที่เขาตะกองกอด ร่างเล็กบอบบางพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่เพราะควันจากเปลวเพลิงที่สูดเข้าไปจำนวนมากทำให้ร่างกายนั้นหนักอึ้ง น้ำเสียงที่พยายามร้องตะโกนให้คนที่พาเขาออกมาให้ช่วยพาร่างพ่อและแม่ออกมาด้วยนั้นแห้งผาก มีเพียงแค่เสียงลมในลำคอ ร่างที่ไม่อาจทำอะไรได้มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลรินและหน้าตาที่เจ็บปวดอย่างน่าเวทนาโดยไร้สุรเสียง…..
           
            เมื่อออกมาภายนอกร่างกายที่ได้รับออกซิเจนเข้าไปจึงเริ่มสำลักควันพิษอีกครั้ง
            “นายมัวทำอะไรอยู่?” เสียงชายหนุ่มปริศนาอีกคนดังขึ้น พร้อมทั้งเดินเข้ามาทางเด็กชายตัวน้อยที่ถูกอุ้มพาดบ่า
            ร่างเล็กยังคงสำลักควันไฟที่สูดเข้าไปมาก ทั้งน้ำตาและน้ำมูกต่างไหลจนไม่อาจลืมตามองใบหน้าของชายปริศนาทั้งสองได้
            “ดูเหมือนจะยังไม่ตายนะไอหนู”
            ร่างเล็กถูกวางลงบนพื้น ร่างบอบบางยังคงคุกเข้าสำลักควันไฟและหอบเอาออกซิเจนเข้าปอด ระหว่างที่กำลังไออยู่นั้นมือหยาบของชายปริศนาจับใบหน้ากลมมนให้เชิดขึ้นเพื่อพินิจเคราะห์
            “โฮ่ ตาสีเขียวหายากเสียด้วย ดูเหมือนเราจะได้ของดีกว่าการล้นบ้านพักตากอากาศที่ไม่มีอะไรเลย”
            “อย่าพูดมากไป ต่อให้หมอนี่เป็นเด็กแต่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจที่เราพูด”
            เมื่อร่างกายที่หนักอึ้งเริ่มเบาบางลง เด็กน้อยถึงได้เห็นชายหนุ่มปริศนาสองคนตรงหน้า ชายหนุ่มที่น่าสงสัย ทั้งสองสวมชุดกิโมโนผ้าฝ้าย ใบหน้าถูกพันด้วยผ้าปิดบังไว้เหลือเพียงดวงตาสีทมิฬฉายแววน่าขนลุก ถึงกระนั้นเด็กน้อยกลับวิ่งเข้าหาสองชายหนุ่ม มือเล็กกุมชายผ้ากิโมโนของทั้งสองแน่นใบหน้ากลมมนยังคงมีคราบน้ำตาที่หลั่งไหล
            “ช่วยพ่อกับแม่ข้าด้วย ท่านพ่อและท่านแม่ข้ายังติดอยู่ข้างในได้โปรดช่วยพวกท่านด้วย!” เด็กน้องส่งเสียงอ้อนวอนพลางคุกเข้าต่อหน้าชายปริศนาทั้งสอง
            ชายปริศนามองภาพของบ้านหลังใหญ่ที่ถูกเผาจนวอดวายก่อนจะหันมาสบสายตาเด็กน้อย มือหยาบวางลงบนผมสีน้ำตาลของร่างเล็กก่อนจะส่ายหัวไปมา
            “เสียใจด้วยเจ้าหนู ข้าว่าพ่อกับแม่ของเจ้าไม่รอดแล้วตัดใจเสียเถอะ”
            “ไม่ๆ พวกเขายังไม่ตาย พวกท่านต้องช่วยพ่อกับแม่ข้านะได้โปรด!!
            เด็กน้อยตะโกนลั่นเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำใสหลั่งรินจากดวงตาสีมรกตที่บัดนี้แดงช้ำอย่างน่าสงสาร
            “คำขอร้องเจ้าข้าคงทำไม่ได้เจ้าหนู”
ชายปริศนาอุ้มเด็กหนุ่มขึ้นพาดบ่าอีกครั้งโดยไม่สนใจแรงอันน้อยนิดที่พยายามขัดขืน เด็กหนุ่มถูกโยนขึ้นเกวียมที่เทียมรออยู่ไม่ไกลนักจากบ้านพักตากอากาศที่ตอนนี้เพลิงที่ลุกไหม้โหมกระหน่ำไปถึงชั้นสองของอาคาร ทันทีที่ร่างเล็กถูกโยนลงบนพื้นเกวียนชายปริศนาทั้งสองรีบเร่งออกเกวียนอย่างไม่รอช้า ราวกับรับรู้ชะตากรรมเด็กน้อยจึงได้แต่จ้องมองบ้านท่ามกลางกองเพลิงที่ห่างออกไปเรื่อยๆจนลับตา มือน้อยปาดคราบน้ำตาที่เออล้นบนใบหน้าของตนก่อนจะสำรวจรอบๆกาย ชายปริศนาที่ปิดบังหน้าตา เกวียนไม้เก่าที่ไร้ซึ่งสิ่งของใด
“คุณเป็นใครงั้นเหรอครับ?” ท่ามกลางเสียงล้อที่บดเบียดกับพื้นดินลูกรังเด็กน้องเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
ชายปริศนาปรายตามองก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับเส้นทางตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าคงไม่ได้คำตอบเด็กชายจึงนั่งกอดเข่าทั้งสองของตน เสื้อเชิ้ตสีขาวที่บัดนี้มอมแมมและกางเกงผ้าขาสั้นที่เด็กชายสวมใส่การแต่งกายที่แตกต่างจากชายปริศนาทั้งสอง เด็กน้อยรู้ดีว่าชนชาติของตนไม่ได้เป็นที่ยอมรับนักในดินแดนแห่งนี้ตามที่ท่านพ่อและท่านแม่เคยตักเตือน เด็กชายจึงเข้าใจดีว่าหลายครั้งคนในดินแดนแห่งนี้ไม่ใคร่ที่จะเสวนาด้วยกับเขาซึ่งเป็นชาวต่างแดน
“ไม่จำเป็น เพราะคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” เป็นชายอีกคนที่คุมบังเหียนม้าเป็นฝ่ายตอบ
เมื่อเห็นว่าชายทั้งสองไม่ได้มีทีท่าสนใจตน เด็กชายตัวน้อยจึงทำเพียงหามุมนั่งภายในเกวียนแคบๆ สองแขนโอบกอดตนเองให้แน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ แม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่จากสิ่งที่เกิดทำให้พอคาดการณ์ได้ว่าชีวิตของเขาคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มือเล็กกำชายแขนเสื้อของตนจบยับ นัยน์ตากลมโตที่ยังบวมช้ำเริ่มมีน้ำใสรื้นคลอที่เบ้าตา เด็กน้อยได้แต่ก้มหน้าลงแนบกับเข่าทั้งสอง พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ไว้ในลำคอ ไม่รู้ว่าชายที่งสองเป็นมิตรหรือศัตรูแต่เพราะไร้หนทางที่จะเลือก จึงทำได้เพียงต้องไปให้ถึงยังปลายทางที่เกวียนจะจอดลง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีรอบกายจากที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้และทางขึ้นเขาที่ชัน ตอนนี้เกวียนเคลื่อนที่อยู่บนทางเรียบของถนนใหญ่ที่เขาไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เกวียนค่อยๆเคลื่อนเข้าไปยังสิ่งก่อสร้างที่เนประตูไม้ขนาดใหญ่สีแดง เด็กน้อยมองสำรวจรอบๆเห็นเพียงกำแพงสีแดงที่ไกลสูดสายตา เมื่อชายคนหนึ่งพูดคุยกับเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งโยนถุงเงินให้ ประตูไม้ขนาดใหญ่จึงถูกเปิดออก เด็กน้อยจึงได้เห็นสถานที่ที่เกวียนเคลื่อนเข้ามา ประตูสีแดงขนาดใหญ่ถูกปิดลงทันทีเมื่อเกวียนเคลื่อนเข้ามาจนพ้น ราวกับเกรงกลัวว่าจะมีใครหนีรอดออกไปจากที่แห่งนี้ เมื่อมองดูรอบๆผ่านทางหน้าต่างบานเล็กของเกวียน นัยน์ตาสีมรกตมองรอบๆอย่างแปลกใจ ภายในกำแพงสีแดงสูงใหญ่เป็นอาคาร ตึกรามบ้านช่องและสิ่งก่อสร้างต่างๆมากมาย ราวกับเป็นเมืองอีกเมืองที่อยู่ภายในกำแพงที่ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก เมื่อรู้ตัวอีกทีเกวียนก็จอดลงตรงหน้าประตูไม้ที่ถูกประดับด้วยโคมไฟมากมาย เหนือบานประตูมีป้ายชื่อขนาดใหญ่เขียนไว้เด่นชัด สำนักโซเอะ
ชายปริศนาเร่งให้เด็กน้อยลงจากเกวียน เมื่อชายอีกคนเข้าไปพูดคุยกับชายหนุ่มผมสวมแว่นตามัดผมในชุดกิโมโนเนื้อดี ชายส่วมแว่นตาผมสีน้ำตาลเข้มมองพินิจเคราะห์ราวกับเด็กชายเป็นสินค้า มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มถือปล้องยาสูบ ก่อนจะใช้ปล้องยาสูบนั้นเชยคางเล็กให้ใบหน้ากลมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาได้ชัดๆ
“นัยน์ตาสีเขียว หายากน่าดู” ชายหนุ่มยกปล้องยาสูบขึ้นสูบก่อนจะยกยิ้มชวนขี้เล่น
“นายชื่ออะไรอายุเท่าไรเจ้าหนู?”
แม้จะยังไม่เข้าใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตน เด็กน้อยก็ตอบคำถามตามที่ชายสวมแว่นถามไถ่
“ข้าชื่อเอเลน เยเกอร์ อายุแปดปีครับ”
ชายหนุ่มสวมแว่นตาเดินวนมองรอบตัวเอเลน ทั้งจับตัวเด็กน้อยหมุนไปมาเพื่อสำรวจทุกซอกทุกมุม
“เป็นอย่างไรบ้าง คุณฮันจิคงถูกใจใช่ไหมขอรับ?”
ชายปริศนารีบเข้ามานำเสนอ เด็กน้อยได้แต่มองเหล่าผู้ใหญ่ที่อยู่รายล้อมไปมาอย่างไม่เข้าใจ

ฮันจิพ่นควันสีขาวออกจากปาก ก่อนจะมองเหล่าชายที่แต่งตัวอย่างน่าสงสัยด้วยแววตารู้สึกสมเพชกับท่าทางกระหายเงินของคนเหล่านั้น แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสถานที่แห่งนี้ ที่ซึ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
“รีบร้อนจริงนะพวกนาย”
ฮันจิล้วงเข้าไปในชายเสื้อกิโมโนแขนกว้างของตน ถุงใส่เงินถูกตรวจสอบจำนวนอีกครั้งก่อนจะโยนให้เหล่าสุนัขจรที่หิวกระหาย
ชายปริศนาเมื่อได้รับถุงเงินแล้วเปิดดูต่างพอใจกับเงินจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ชายปริศนาทั้งสองรีบเก็บถุงเงินเข้าในสาบเสื้อกิโมโนของตน ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่รีรอ
“เดี๋ยว!” เด็กน้อยเอ่ยท้วงเมื่อเห็นว่าชายทั้งสองที่พาตนมากำลังจะทิ้งตนไป
ชายคนหนึ่งหันกลับมาปรายตามองยังนัยน์ตามรกตกลมโตที่ยังคงจ้องมองเขาด้วยแววตาที่สั่นระริก
“ถือซะว่าเป็นความใจดีของข้าละกันไอหนู”
เกวียนเล่มเดิมเร่งรีบจากไปเช่นเดียวกับที่เขาถูกพรากมาอย่างไม่อาจหวนกลับ เด็กน้อยทำได้เพียงมองดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจขัดขืน มือเล็กกำแน่นอย่างเจ็บใจและโกรธแค้น
“เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้รึไงเอเลน?”
ชายหนุ่มวางมือลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กน้อย ภาพของเด็กน้อยที่ได้แต่มองเกวียนที่มาส่งตนเอง ณ ที่นี้จากไปอย่างไม่เข้าใจนักเป็นสิ่งที่เขาเห็นจนชินตา เพราะเกิดและเติบโตมาจากที่นี้ ในดินแดนที่ถูกตัดขาดและรายล้อมไปด้วยกำแพงสีแดงแห่งนี้ ไม่ได้คิดจะใจดีดด้วยหรอกนะเพราะยังไงเด็กเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เขาซื้อมา ประเมินราคามาด้วยเงินที่จ่ายไป ไม่เคยสนใจว่าเหล่าเด็กพวกนี้จะเนใครมาจากไหน สิ่งที่โลกในกำแพงนี้สอนเขามีเพียงว่าเด็กเหล่านี้จะสามารถสร้ายรายได้ให้เขาได้เท่าไร มีประโยชน์ต่อเขาหรือไม่ ด้วยประสบการณ์มองปราดเดียวก็เข้าใจดีว่า เอเลน เด็กใหม่ที่ได้มาคราวนี้เรียกได้ว่าเป็นของหายาก และพิเศษจนเงินที่เขาจ่ายไปอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ แต่นั้นก็ถือว่าเป็นกำไรของเขาเพียงขอให้เด็กนี้ไม่คิดสั้นจนเขาเสียผลประโยชน์เสียก่อน
ควันสีขาวถูกพ่นออกจากปากของชายหนุ่มอีกครั้ง นัยน์ตาสีเปลือกไม้มองเด็กชายตัวน้อยผ่านแว่นหนาก่อนจะยกยิ้มพอใจ แววตาที่ดูงุงงงในคราแรกตอนนี้ฉายประกายแววขุ่นแค้น โกรธเคือง มิใช่สิ้นหวัง เพียงเท่านี้เขาก็มั่นใจได้แล้วว่าเงินที่เสียไปคงไม่ไร้ประโยชน์
“ข้าคิดว่าเจ้าคงพอเข้าใจอะไรบ้างแล้วสินะเอเลน”
เด็กหนุ่มหันกลับมามองหน้าชายซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของสำนักแห่งนี้ ขอบตาของเอเลนยังคงแดงก่ำ และยิ่งแดงกว่าเดิมด้วยประกายตาที่วาวโรจน์อย่างแค้นเคือง
“สายตาไม่เลวเจ้าหนู ถ้าจะแค้นก็จงแค้น ถ้านั้นจะทำให้เจ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ที่นี้คือที่ไหนงั้นเหรอ แล้วท่าน?”
ใบหน้าขี้เล่นของชายหนุ่มยิ้มกริ่ม เขาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวให้กับเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเรียกได้ว่านับแต่นี้จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเขา
“ข้าชื่อโซเอะ ฮันจิ เจ้าหนู”
ชายหกนุ่มยกยิ้มขึ้น แววตาสีเปลือกไม้จากขี้เล่นพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังแม้ว่าริมฝีปากยังคงยกยิ้มอยู่ก็ตามที
“ขอต้อนรับสู่โยชิวาระเอเลน สถานที่ซึ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก”
เด็กชายตัวน้อยมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ ไม่แปลกสำหรับเด็กอายุเพียงแปดปี อีกทั้งดูเหมือนจะถูกเลี้ยงมาในตระกูลที่ดีไม่น้อยจากเสื้อผ้าที่สวมใส่
“ไม่ต้องกังวลไป อีกไม่นานเจ้าจะเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเช่นไรเด็กน้อย สถานที่ที่ซึ่งผู้ที่เข้ามาจะถูกลบตัวตนออกจากโลกภายนอก”
สถานที่ซึ่งเป็นฝันยามค่ำคืนของคนนอกกำแพง แต่อาจเป็นฝันร้ายสำหรับผู้ที่อยู่ข้างใน

 ...................................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น