บล็อกนี้เป็นแหล่งรวมนิยายและฟิคชั่นของ Trendy Blood ซึ่งเน้นไปทาง Yaoi หรือ ชายรักชาย ใครไม่ชอบหรือไม่ต้องการรับรู้รบกวนปิดหน้านี้ไปนะคะ
วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557
Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย Chapter 10: Something Change
Fic. [AU]: Attack On Titan (Levi x Eren) ล่ารักอันตราย
Chapter 10: Something Change
การเดินทางมาทำงานที่รีสอร์ทริมทะเลในครั้งแรกนั้นเอเลนต้องเดินทางด้วยรถไฟถึง 5 ชั่วโมง แต่ตอนกลับมีผู้อุปการะที่เจ้าตัวไม่ค่อยอยากได้รับความปรารถนาดีเท่าไร จองตั๋วให้กลับเครื่องบินด้วยกัน การเดินทางที่ใช้เวลามากในคราแรกจึงเหลือเพียง หนึ่งชั่วโมงครึ่ง และตอนนี้เขาก็ควรที่จะกลับไปอยู่หน้าคอมและเริ่มต้นทำงานที่ค้างคาให้เสร็จเพื่อจะได้ส่งให้ผู้ว่าจ้างต่อไป ทั้งที่ควรจะเป็นอย่างนั้น.........
“คุณรีไวนี่คุณพาผมมาที่ไหนเนี่ย!!!” เด็กหนุ่มตะโกนถามอย่างหัวเสียเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง
จากการถูกบังคับให้ขึ้นเครื่องบินและถูกจับโยนใส่รถทันทีที่ถึงสนามบินที่ไม่คุ้นตา เจ้าตัวทั้งพยายามถามและพยายามหนีหาทางกลับ ถึงอย่างนั้นคนอันตรายตรงหน้ายังคงมีท่าทีนิ่งเฉยไม่เป็นเดือดเป็นร้อน และกว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาและชายหนุ่มก็มาถึงบ้านหลังใหญ่หรือจะเรียกได้ว่าคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาห่างไกลจากตัวเมือง
“เข้าไปข้างในกันไอหนู” ไม่คิดจะตอบคำถาม ชายหนุ่มก็เปิดประตูเข้าไปในคฤหาสน์ตรงหน้า
รีไวจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้ารถBMWที่จอดนิ่งแล้วมองเขม่นมายังตน
“นายจะเดินเข้ามาเองหรือให้ฉันอุ้มนายเข้ามาดีเอเลน?” กอดอกพลางพิงประตูถามเด็กหนุ่มที่ตนบังคับมาด้วย
“คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยว่าพาผมมาที่นี้ทำไม?” อย่าบอกเขานะว่าที่เขาบอกไปว่าจะหนีคนตรงหน้านี้ให้ คนอันตรายจึงคิดจะพาเขามากักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ที่นี้ แบบนี้มันชักขำไม่ออกแล้วนะ!
รีไวลูบคางตัวเองพลางยกยิ้มกับสีหน้าและท่าทางหวาดระแวงของร่างโปร่งตรงหน้า ไม่บอกก็พอเดาได้ว่าเจ้าตัวดีคงคิดอะไรพิลึกๆอยู่อย่างแน่นอน
“ฉันแค่ว่างเลยอยากหยุดพักสักวันก่อนกลับไปเจอเรื่องปวดหัว” คำตอบที่ทำให้เอเลนได้แต่หน้าเหวอใส่ พักผ่อนงั้นเหรอ? ทำไมไม่ถามความสมัครใจเขาเสียบ้างแต่จะว่าไปคนคนนี้ก็ไม่เคยถามหรือขอความเห็นอะไรจากเขาอยู่แล้ว มีแต่ชอบบังคับให้ทำอยู่เรื่อย แค่คิดก็รูปสึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“ผมยังไม่ได้บอกคุณฮันเนสเลยนะครับ แล้วงานก็ต้องรีบส่งต่อด้วย”
“ที่นี้มีคอมอยู่นายก็จัดการส่งเมลล์ไปซะ แล้วก็โทรแจ้งผู้ปกครองนายให้เรียบร้อยก็สิ้นเรื่อง” พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนหรือรู้สึกผิดเลยสักนิด
“เดี๋ยวสิคุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
“แต่ก็ทำไปแล้ว”
คำพูดของรีไวได้แต่ทำให้เอเลนเกาหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิดอย่างหาที่ระบาย เอาแต่ใจเกินไปแล้วคนนี้ ทำไมถึงต้องเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขาขนาดนี้กันนะ!!
“อยู่ที่นี้แค่คืนเดียวอย่าเรื่องมากนักเลยไอหนู” นัยน์ตาสีมรกตมองค้อนคนต้นเหตุ การที่เขาถูกมัดมือชกมาแบบนี้ นี่เรียกว่าเรื่องมากงั้นเหรอ แล้วอย่างคุณพี่จะเรียกว่าอะไรดี ตาลุงเอาแต่ใจ?
“ระหว่างอยู่ที่นี้ฉันยอมทำตามกฎสามข้อของนายเพื่อความสบายใจดีไหม?” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งยังคงมีท่าทางต่อต้าน
“คุณต้องทำตามจริงๆนะ” ท่าทางของเด็กหนุ่มเริ่มอ่อนลงกับข้อเสนอที่ชายหนุ่มยื่นให้
“ฉันสัญญา” นัยน์ตาสีหมอกมองกับนัยน์ตาสีมรกตนิ่งเพื่อยืนยันคำของตน
“ผมจะลองเชื่อใจคุณดู ว่าแต่ลูกน้องคุณคนอื่นๆและคุณฮันซี่ล่ะเขาจะตามมากับรถอีกคันงั้นเหรอ?” จำได้ว่าก่อนขึ้นเครื่องบินเขายังโดนหญิงสาวและเหล่าลูกน้องของชายหนุ่มแหย่เล่นอย่างสนุกสนาน แต่ตั้งแต่มาถึงที่สนามบินจนถึงที่คฤหาสน์เขายังไม่เห็นวี่แววของใครสักคนนอกจากชายหนุ่มตรงหน้า แต่คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้เอเลนใจหวิวหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“พวกนั้นกลับไปกันก่อนแล้วน่ะ”
“แบบนี้มันก็ไม่ปลอดภัยน่ะสิ! ถึงผมบอกจะลองเชื่อใจคุณแต่แบบนี้ขอผมกลับบ้านเถอะ!!” เอเลนได้แต่หน้าเหวอ ปกติอยู่ที่คอนโดความปลอดภัยเขาก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นศูนย์ แต่ตอนนี้อยู่ที่คฤหาสน์บนเขาห่างไกลผู้คนไม่เท่ากับว่าความปลอดภัยของเขาติดลบเลยงั้นเหรอ
ท่าทางที่น่ารำคาญของเด็กหนุ่มทำให้รีไวเริ่มหมดอารมณ์ที่จะต่อล้อต่อเถียง ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วลากเข้าบ้านไปด้วยกัน
“แว๊กกก!! ไหนคุณบอกจะไม่แตะต้องผมไง!!” เอเลนได้แต่ดิ้นฝืนแรงดึงกระชากของคนแกร่ง
“ฉันไม่ได้แตะตัวนายแต่กำลังลากคอเสื้อนายอยู่ต่างหาก”
หลังจากนั่งทำใจ หายสติแตกและปลงกับชีวิตของตนเองสักพัก เอเลนจึงได้เริ่มจัดการนำเมมโมรี่การ์ดมาถ่ายโอนข้อมูลลงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในห้องทำงานของคฤหาสน์ เมื่ออัพโหลดข้อมูลแล้วส่งลิงค์ดาวน์โหลดไฟล์ทางเมลเรียบร้อย เด็กหนุ่มจึงโทรแจ้งคุณฮันเนส
[คุณฮันเนสครับผมส่งงานของคุณอัลเรลโต้เข้าเมลล์ให้แล้วนะครับ รบกวนให้ฝ่ายรีทัชจัดการต่อที]
[โอเค ฉันได้รับไฟล์แล้ว ว่าแต่ทำไมนายไม่มาส่งไฟล์เองล่ะเอเลน?]
[อ...เออ คือพอดีผมเห็นว่าระหว่างทางมาที่นี้มีสถานที่น่าสนใจเลยอยากลองแวะไปดูน่ะครับ] พยายามหาข้ออ้างเพื่อให้ผู้มีพระคุณของตนไม่ต้องเป็นห่วง
[ตามสบายเลยไอหนู ถือว่าได้พักผ่อนต่ออีกหน่อยละกัน] เอเลนได้แต่ยิ้มเฟื่อนให้กับโทรศัพท์ก่อนจะกล่าวลาแล้ววางสายโทรศัพท์
เอเลนเอนพิงพนักเก้าอี้ทำงานพลางถอนหายใจ รู้สึกว่าชีวิตของเขาช่วงนี้มีแต่เรื่องให้น่าปวดหัวและก็ตื่นเต้นอยุ่ตลอดเวลา จากได้ไปทำงานกึ่งเที่ยวที่ทะเล วันต่อมาเขาก็ได้มานั่งกร่อยอยู่บนภูเขา เรียกได้ว่าภายในเวลาแค่สี่วัน เขาได้เที่ยวทั้งทะเลและภูเขาอย่างไม่ต้องรอช่วงวันหยุดยาวเลยทีเดียว แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าการมาพักผ่อนนั้นเขาได้เลือกเองหรืออย่างน้อยก็รู้ล่วงหน้าบ้าง
“งานนายเรียบร้อยแล้วใช่ไหมไอหนู?” เสียงถามที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะในคฤหาสน์หลังนี้มีแค่เขาและชายหนุ่มจอมบงการอีกคนก็เท่านั้น
นัยน์ตาสีเขียวใสเหลือบมองเจ้าของที่พักที่เดินเข้ามาก่อนจะมองไปยังเพดานราวกับมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าคนที่กำลังเดินเข้ามา
พลั่ก!
โครม!!
เสียงแรกคือเสียงของเก้าอี้ที่โดยชายหนุ่มเตะกระเด็น ส่วนเสียงที่สองคือเสียงของเด็กหนุ่มที่กลิ้งจากเก้าอี้ที่โดนเตะถลาไปกับพื้น
“อะไรคุณเนี่ย!?” เอเลนยกมือขึ้นลูบศรีษะที่กระแทกกับพื้นของตนเองพลางมองคนทำอย่างหาเรื่อง
“เห็นนายไม่ตอบฉันก็เลยช่วยสะกิดโดยไม่แตะต้องตัวนายไง” ใบหน้าเฉยชาตอบคำถาม
พอบอกไม่ให้แตะตัวเลยเตะเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่แทนเนี่ยนะ! เชื่อเขาเลยจริงๆ เด็กหนุ่มได้แต่นั่งพองลมในแก้มอย่างไม่อาจหาทางตอบโต้ คนคนนี้หาวิธีรับมือยากจริงๆให้ตายเถอะ!
“ว่างแล้ว คุณจะให้ผมทำอะไรเชิญบัญชามาเลย” ในเมื่อเรียกร้องหรือเลือกอะไรไม่ได้ คนคนนี้อยากให้เขาทำอะไรก็ต้องทำตามไปก่อนล่ะนะ
“ออกไปข้างนอกกัน” พูดเสร็จชายหนุ่มก็หันหลังเดินออกไปทันทีไม่รอให้คนที่นั่งลงไปกองกับพื้นได้ลุกขึ้นมาทันตั้งตัว
เอเลนจึงลุกขึ้นเดินตามออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออกมานอกคฤหาสน์ใบหน้ามนยิ่งทำหน้าแปลกใจเพราะเขาเข้าใจว่าคุณรีไวจะเข้าไปในเมือง แต่ชายหนุ่มกลับจูงม้าสีดำและขาวออกมาสองตัวแทน
“ข้างหลังมีคอกอยู่ เจ้าพวกนี้นานๆทีฉันถึงได้มีเวลากลับมาดูแลเอง” รีไวตอบคำถามจากสีหน้าแสดงความสงสัยของเด็กหนุ่ม
เอเลนเดินเข้าไปลูบแผงคอม้าสีขาวที่อยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสีมรกตมีประกายของความตื่นเต้นและชื่นชมกับอาชาสง่างามเบื้องหน้า
“เจ้านั้นคือ เฮรา เป็นม้าสายพันธุ์ พาโซ ฟิโน” รีไวแนะนำอาชาสีขาวสง่างามให้กับเด็กหนุ่ม เฮราเองก็ขานรับการแนะนำชื่อของตน แผงคอสีอ่อนสะบัดไปมาก่อนจะค่อยๆก้มลงเบื้องหน้าให้มือบางของเด็กหนุ่มลูบไล้ได้ถนัดขึ้น
“ส่วนเจ้านี่ชื่อซูส สายพันธุ์อาราเบียน” รีไวจูงม้าอีกตัวเขยิบมาทางเด็กหนุ่ม อาชาสีดำสูงใหญ่กว่าเฮราสะบัดคอเล็กน้อยก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ความองอาจและสง่างามอีกทั้งความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อยิ่งทำให้ซูสอาชาสีดำสง่างามสมเป็นอาชาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอาชายอดนักรบของชาวอาหรับ
นัยน์ตาสีรัตติกาลของซูสจ้องมองที่เด็กหนุ่ม เอเลนเอื้อมมือไปเพื่อจะสัมผัสอาชาสีดำสง่างามเบื้องหน้า
หงับ!
“แว๊ก!! แกกัดฉันทำไมเนี่ยซูส!!” เอเลนรีบชักมือกลับ นัยน์ตาสีมรกตมีน้ำตาคลอจ้องมองอาชาสีดำเบื้องหน้า แต่เจ้าม้าตัวดีกลับเอาหน้ามาคลอเคลียพร้อมทั้งเลียใบหน้ามนของเด็กหนุ่ม
“นี่นายแกล้งฉันรึไงซูส ฉันไม่ยกโทษให้หรอกนะ ฮ่า ฮ่า” เด็กหนุ่มหัวเราะร่าให้กับเจ้าม้าสีดำตัวใหญ่ สองมือลูบไล้ขนมันเงาของซูสก่อนจะเข้าไปโอบกอดสร้างความสนิทสนม
“หัวเราะได้สักทีนะไอหนู” รีไวยกยิ้มกับท่าทางที่กำลังสนุกของเด็กหนุ่ม
เอเลนหันมองคนอันตรายที่กำลังลูบแผงคอเฮราที่อยู่ถัดไป จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขายิ้มและหัวเราะต่อหน้าคนเอาแต่ใจคนนี้ นั่นอาจเป็นเพราะความเริ่มคุ้นชินกับการอยู่ใกล้คนชอบแกล้งคนนี้บ้างแล้ว
“ม้าเวลาเล่นมันจะชอบกัด ซูสคงถูกใจนายเลยทำแบบนั้น” มือหนาตบลงที่อกของม้าสีดำ
“เหมือนคุณน่ะเหรอ ที่บอกว่าถูกใจเลยชอบบังคับแบบนี้?” คิ้วมนเลิกขึ้นถามอย่างสงสัย
ริมฝีปากคมยกยิ้มก่อนตวัดตัวขึ้นบนหลังอาชาสีดำสูงใหญ่ “นายก็ขึ้นเจ้าเฮราแล้วไปเดินเล่นกัน”
“แต่ผมขี่ม้าไม่เป็น” ทันที่พูดจน รีไวก็ดึงตัวร่างโปร่งให้ขึ้นซ้อนบนอานม้าตัวเดียวกันอย่างง่ายดาย
“ไว้คราวหลังถ้ามีเวลาฉันจะสอนนายขี่ม้า ตอนนี้เกาะหลังฉันให้ดีๆล่ะไอหนู” รีไวกระแทกขาเข้ากับลำตัวของซูสเพื่อเป็นสัญญาณให้ออกตัว เมื่ออาชาสีดำเริ่มวิ่งเหยาะๆมาสักพัก ชายหนุ่มจึงสะบัดบังเหียนเพื่อให้ซูสออกตัวเร็วขึ้น เมื่อได้รับสัญญาณอาชาสีดำสายพันธุ์นักรบจึงวิ่งออกตัวทันที เอเลนที่ไม่คุ้นชินกับการขี่ม้าได้แต่โอบกอดเอวหนาแน่นด้วยกลัวว่าจะตกลงไป
อาชาสีดำวิ่งควบไปตามการบังคับของชายหนุ่ม มือแกร่งบังคับกระตุกบังเหียนจนเมื่อใกล้ถึงที่หมาย รีไวจึงกระตุกซูสให้ลดความเร็วลง เมื่อรู้สึกว่าแรงลมที่ปะทะกับใบหน้าอ่อนลง เอเลนจึงเงยหน้าขึ้นมองทิวทัศน์ที่อยู่รอบตัว นัยน์ตาสีมรกตเบิกความด้วยความตกตะลึงกับทิวทัศน์ที่อยู่รอบกาย ริมฝีปากบางยิ้มกว้างกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า
ทุ่งดอกไม้หลากสีสัน นานาพันธุ์ปกคลุมไปทั่วผืนอย่างสุดสายตา สายลมที่พัดผ่านกอบโกยกลีบดอกไม้หลากสีและละอองเกสรพัดปลิว ลำธารขนาดใหญ่ที่ตัดผ่านทุ่งดอกไม้เมื่อสังเกตดีๆจะพบสัตว์เล็กๆอย่างกระต่าย หรือ กระรอกในบริเวณใกล้ๆกับลำธาร
“สุดยอดเลย!”
ห่างไปจากคฤหาสน์ไม่ไกลนัก รีไวผูกม้าสีดำของตนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้กับลำธาร เมื่อหันหลังกลับมามองหาเด็กหนุ่ม ก็พบว่าร่างโปร่งกำลังพยายามหลอกล่อเล่นกับลูกสุนัขจิ้งจอกที่อยู่บริเวณนั้น
“มานี่มา ขอฉันจับตัวแกหน่อยสิเจ้าจิ้งจอกน้อย” ทันทีที่เอื้อมมือไปเจ้าจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดงก็วิ่งหนีหายไปทันที เอเลนร้องอุทานด้วยความเสียดาย
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้กับร่างโปร่งก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับผืนหญ้านุ่ม
“คุณน่าจะบอกก่อนผมจะได้เอากล้องมา” วิวทิวทัศน์ที่ยังสมบูรณ์และหาได้ยากแบบนี้น้อยครั้งนักที่จะได้เห็น เขาจึงอยากเก็บรวบรวมภาพความประทับใจและความสวยงามเบื้องหน้าไว้
“ฉันไม่อนุญาตให้ถ่าย เพราะงั้นเก็บไว้ในความทรงจำของนายก็พอ”
“ของแบบนี้ทำหวงไปได้ ถ้าอยากเก็บไว้นักแล้วพาผมมาทำไม?” เอเลนมองชายหนุ่มที่นอนข้างกายอย่างสงสัย
รีไวเหลือบตามองใบหน้ามนที่มองมาก่อนจะค่อยๆปิดเปลือกตาของตัวเองลง “คิดว่านายน่าจะชอบ”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้เอเลนหน้าขึ้นสี ทั้งแปลกใจและรู้สึกดีอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่ชอบบังคับและเอาแต่ใจ แต่กลับพาเขามาให้ที่ที่ส่วนตัวเพียงเพราะคิดว่าเขาน่าจะชอบ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคนคนนี้ต้องการอะไร หรือคิดอะไรกับเขากันแน่?
“นี่........... คุณคิดยังไงกับผม?” เอเลนมองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาจริงจัง อย่างน้อยถ้าเขารู้ว่าคนคนนี้ต้องการอะไร บางทีเขาคงจัดการกับชีวิตตัวเองได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
รีไวลืมตาขึ้นสบมองกับนัยน์ตาสีมรกตที่จ้องมองมา “ฉันสนใจนายก็แค่นั้น”
“ความสนใจของคุณนี่แปลกๆนะ” คิ้วมนขมวดมุ่นมองคนตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย ก็คิดไว้แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบอีกเช่นเคย
“ทำไมคุณถึงเป็นมาเฟียล่ะ?” ถามอย่างคิดว่ายังไงคนเข้าใจยากคนนี้คงไม่ตอบอยู่แล้ว
“ฉันไม่ใช่มาเฟียสักหน่อย แค่คนที่มีอิทธิพลทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเท่านั้น”
“มันก็คล้ายๆกันนั้นแหละ”
รีไวยกยิ้มอย่างนึกขัน ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะถามหรือสนใจเรื่องของเขา หรือจะพูดให้ถูกอาจพยายามหาข้อมูลแต่ไม่เจอเลยมาถามเขาดูสินะ
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย ก่อนริมฝีปากคมจะค่อยๆเอ่ย “........ตอนเด็กฉันน่าจะคล้ายกับนายที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
เอเลนเขยิบตัวเข้ามาใกล้ชายหนุ่มมากขึ้นเพื่อฟังอย่างตั้งใจ เด็กหนุ่มแอบแปลกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าคนความลับมากมายและอันตรายอย่างคนตรงหน้าจะยอมเล่าเรื่องของตนเองให้ฟัง
“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใช่ว่าจะเป็นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อเด็กยากไร้ แต่บางครั้งมันก็คือนรกสำหรับเด็กในคราบของผู้ใหญ่ใจบุญ นายที่เคยหนีออกจากสถานที่แบบนั้นคงเข้าใจสินะ” ใบหน้าเฉยชายังคงไม่ไหวติงในขณะที่กำลังเล่าเรื่องราวของตนเอง ในขณะเดียวกันเด็กหนุ่มกลับรู้สึกสั่นไหว เพราะเข้าใจดีว่าสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีเบื้องหลังซ่อนอยู่เป็นยังไง
“สถานเลี้ยงเด็กที่นายหนีมาเบื้องหลังคือการรอเหล่าเด็กเข้าสู่วัยเพื่อนำไปขายต่อที่ซ่องหรือเพื่อใช้เด็กเหล่านั้นเป็นวัตถุดิบในการซื้อขายแลกเปลี่ยนอวัยวะของผู้มีอันจะกินทั้งหลาย” ข้อเท็จจริงที่ชายหนุ่มสืบประวัติของเขามา ความหวาดกลัวที่อยู่ในสถานที่ที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว มือบางกำแน่นจิกลงบนพื้นหญ้าจนดินที่อยู่ข้างใต้แทรกเข้าที่ซอกเล็บ
“นายเก่งมากที่หนีออกมาได้และโชคดีมากที่เจอคนใจดีอย่างฮันเนส” คำชื่นชมที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินทำให้มือที่กำแน่นเริ่มคลายลง ใบหน้ามนแอบยิ้มบาง รู้สึกโล่งอกราวกับปมที่ถูกเก็บซ่อนไว้ได้คลายออก ตลอดระยะเวลาหลายปีที่เขาได้อยู่กับคุณฮันเนส เขาไม่เคยที่จะเล่าหรือบอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องของสถานรับเลี้ยงเด็กที่เขาออกมา หลายครั้งที่เขาเกรงว่าจะถูกจับส่งคืนสถานที่นั่น ตัวเขาจึงได้แต่พยายามที่จะเป็นเด็กดีและคอยช่วยเหลือคุณฮันเนส และนับว่าเป็นโชคดีของเด็กที่ยากไร้อย่างเขาที่ได้มาเจอกับคุณฮันเนสจริงๆ
“ส่วนของฉันบ้านนั้นส่งเด็กเพื่อเป็นหนูทดลองยา หรือส่งไปเป็นสุนัขรับใช้ให้กับพวกมีอิทธิพล ทั้งฉัน เอลวิน และฮันซี่ ถูกส่งไปที่เดียวกัน นั่นก็คือไปเป็นสุนัขให้กับผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง จะเรียกว่าโชคดีก็ได้มั่งที่ตาแก่นั้นไม่มีลูกและถูกใจในความสามารถของพวกเราทั้งสามคน พวกฉันเลยเป็นที่ไว้วางใจของผู้นำองค์กร”
“นั่นทำให้คุณต้องเดินทางนี้งั้นเหรอ?”
“ไม่เชิง อันที่จริงต้องบอกว่าเลือกที่จะเดินมาทางนี้ด้วยการตัดสินใจของพวกเราเองทั้งสามคนมากกว่า และพวกขยะเน่าๆ ยังไงมันก็เน่าอยู่วันยันค่ำ พวกคนที่อยากยึดยื้ออำนาจเป็นใหญ่มีอยู่มากมายยิ่งกว่าพวกมดปลวก ตาแก่นั่นนานวันก็ยิ่งหมดสภาพขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นอยู่ขององค์กรจึงยิ่งสั่นคลอน ฉัน เอลวิน และฮันซี่ จึงเลือกที่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก็เท่านั้น”
“คุณก็เลยฆ่าพวกนั้นงั้นสินะ” นัยน์ตาสีมรกตฉายแววหวาดหวั่น ตัวเขาที่โชคดีได้เจอกับคุณฮันเนสจึงได้ใช้ชีวิตคล้ายกับเด็กปกติธรรมดา แต่คนตรงหน้าที่จุดเริ่มต้นไม่ต่างกันกลับเจอเรื่องราวที่น่าตกใจมากมาย
“ นิทานวันนี้จบลงแล้ว ฉันจะให้เวลานายอีกสักพักแล้วเราจะได้กลับกัน” รีไวหันหลังให้กับเด็กหนุ่มก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงอีกครั้ง
“คุณไม่รักหรือเคารพคนที่เขารับคุณมาดูแลเลยงั้นเหรอ?” เอเลนเขยิบเข้าไปใกล้ชายหนุ่มมากขึ้น
เปลือกตาที่ปิดลงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาสีหมอกสบกับนัยน์ตาสีมรกตที่มองมาอย่างอยากรู้คำตอบ
“กับตาแก่นั่นทั้งฉัน เอลวิน และฮันซี่ ต่างให้ความเคารพ ส่วนเรื่องของความรัก.................ในองค์กรแบบนี้มันไม่มีหรอกนะไอหนู จะมีก็แต่คนที่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ คนที่น่าเคารพ และคนที่ต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น”
“แต่ผมไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนะแล้วคุณจะเอาผมมาไว้ใกล้ตัวทำไม?”
“สำหรับนายมันคือความสนใจ ฉันกับนายที่มีจุดเริ่มเหมือนกันแต่ทางเลือกของเส้นทางที่แตกต่างฉันเลยอยากรู้ว่าถ้านายอยู่ใกล้ฉัน ทั้งนายและฉันจะเปลี่ยนไปไหม....”
สายลมพัดผ่านร่างทั้งสอง เอเลนยังคงมองสบกับใบหน้าเฉยชานิ่งงัน ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากริมฝีปากบาง มีเพียงสรรพเสียงรอบกายที่ยังคงดังแว่วมาให้ได้ยิน
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงนิ่งเฉยราวกับทำอะไรไม่ถูก ริมฝีปากคมจึงยกยิ้มขึ้น “นายอย่าเผลอหลงรักฉันล่ะไอหนู”
“ห๊ะ!!! ไม่มีทางครับ!!” คำพูดของชายหนุ่มทำให้เอเลนถึงกับสะดุ้ง “คุณนั่นแหละตามผมขนาดนี้อย่ามาชอบผมล่ะ บอกไว้ก่อนยังไงผมก็ขอผู้หญิงดีกว่า”
“กลับกันได้แล้วไอหนู ดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้ว” รีไวลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีหมอมองท้องฟ้าที่เมฆสีเทาเริ่มก่อตัว
“เดี๋ยวนะขอผมลองจับเจ้าตัวนั้นดูอีกสักรอบ” เอเลนขออนุญาตพลางวิ่งเข้าไปใกล้ลำธารที่จิ้งจอกน้อยวนกลับมาเพื่อดื่มน้ำ
“คราวนี้ฉันต้องจับนายให้ได้เลยเจ้าจิ้งจอก” ร่างโปร่งเขยิบเข้าไปใกล้ลำธารมากขึ้น เอเลนค่อยๆนั่งคุกเข่าลงบนหินก้อนหนึ่งใกล้กับสายน้ำใส มือบางพยายามเอื้อมไปหวังสัมผัสกับขนฟูนุ่มนิ่มสีน้ำตาลแดงที่อยู่เพียงเอื้อมมือ
สัญชาตญาณของสุนัขจิ้งจอกทำให้เจ้าขนฟูตัวน้อยรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เจ้าตัวเล็กจึงรีบวิ่งหลบมือที่เอื้อมมาหนีหายเข้าไปในพงหญ้า แต่เอเลนที่พยายามไล่คว้าจิ้งจอกขนฟูตัวน้อยทำให้ไม่ทันระวังตัว ความลื่นของโขดหินที่เจ้าตัวนั่งคุกเข่าและเอี้ยวตัวหมายจะจับจิ้งจอกน้อยเต็มแรงทำให้เจ้าตัวเสียหลักเซหล่นลงไปในลำธาร
ตูม!
เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นจากลำธารที่ค่อนข้างตื้น แต่เพราะเสียการทรงตัวเลยทำให้ตัวตกลงไปในน้ำทั้งตัว
“นายจะจับสุนัขจิ้งจอกแล้วทำไมเป็นลูกหมาตกน้ำซะเองล่ะไอหนู” รีไวที่ผูกม้าไว้ใกล้ลำธารจูงม้าเดินมาหาร่างโปร่งบางที่กำลังนั่งหน้างออยู่ในน้ำ
ใบหน้ามนขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์แล้วสองมือจึงดึงชายหนุ่มให้ตกลงมาในน้ำเมื่อเดินเข้ามาใกล้
“ฮ่า ฮ่า ทีนี้คุณก็เปียกแล้วเหมือนกัน” ใบหน้ามนหัวเราะขบขันกับสภาพเปียกปอนที่ไม่ต่างกันของอีกคน
“หึกล้าดีนะไอหนู” ไม่ทันที่เอเลนจะได้ระวังตัว รีไวก็เตะเข้าที่ขาของเด็กหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นให้หงายลงไปในน้ำอีกครั้ง
กว่าที่สงครามระหว่างทั้งสองคนจะหยุดลงเสียงของท้องฟ้าที่ส่งเสียงเตือนถึงการมาของพายุฝนที่โหมกระหน่ำและสายลมที่เริ่มทวีความแรงยิ่งขึ้น ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบจัดการพาเจ้าตัวดีกลับคฤหาสน์แล้วเก็บม้าไว้ในคอกก่อนจะตรวจตราความเรียบร้อยเพื่อรับมือกับพายุฝนที่กำลังใกล้เจ้ามา
“ดูเหมือนพายุจะเข้านะ แต่พรุ่งนี้อากาศน่าจะปลอดโปร่ง นายไปอาบน้ำซะปล่อยไว้แบบนั้นเดี๋ยวเป็นหวัด” เมื่อรีไวจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจึงหันไปสั่งร่างโปร่งที่มาช่วยเก็บม้าเข้าคอกที่หลังคฤหาสน์ของตน ก่อนทั้งสองจะแยกย้ายกันไปอาบน้ำ
หลังจากชำระร่างกายที่เลอะคราบดินและกลิ้งเกลือกอยู่ในลำธารเรียบร้อย เด็กหนุ่มจึงเปิดกระเป๋าเป้ของตนเพื่อหาเสื้อมาเปลี่ยน แต่ใบหน้ามนต้องขมวดคิ้วจนเป็นปมเมื่อพบว่าในกระเป๋าเป้ของเขาไม่มีเสื้อผ้าของเขาอยู่เลยจะมีก็แต่ชุดที่ไม่ใช่ของเขาแน่ๆอยู่ในนั้น แบบนี้มันต้องฝีมือหมอนั่นแน่ๆ
คิดดังนั้นร่างโปร่งรีบเดินดุ่มๆไปหาชายหนุ่มที่อยู่ห้องถัดไปทันที ไม่คิดที่จะขออนุญาตเอเลนเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
รีไวที่กำลังกลัดกระดุมเสื้ออยู่จึงเลิกคิ้วมองร่างโปร่งที่พันเฉพาะผ้าเช็ดตัวช่วงล่างเดินเข้ามาในห้อง
“ถึงฉันจะไม่ได้ห้ามให้นายเข้ามาในห้องฉันแต่นายก็ควรเคาะประตูนะไอหนู หรือว่าอยากต่อจากเมื่อวาน?” รีไวกอดอกมองร่างโปร่งที่แผ่นอกเปลือยเปล่ายังคงเต็มไปด้วยรอยตีตราที่เขาเป็นคนทำ
“ถ้าไม่มีปัญหาผมคงไม่เข้ามาห้องนี้หรอกครับ คุณนั้นแหละเอาเสื้อผมไปไว้ไหนแล้วนี่มันอะไรกัน!?” เอเลนพูดอย่างหัวเสียพร้อมโชว์ชุดที่อยู่ในมือให้ดู
รีไวมองชุดที่เด็กหนุ่มถือมาพลางขมวดคิ้ว
“นี่นายติดใจแต่งหญิงตอนงานเต้นรำงั้นเหรอคราวนี้ถึงอยากใส่ชุดนักเรียนปกกะลาสี?”
“คุณนั้นแหละเอาเสื้อผมไปไว้ไหนแล้วทำไมถึงมีของแบบนี้มาอยู่ในกระเป๋า ถ้าไม่ใช่คุณแล้วใครจะทำ!?” ถ้าไม่ใช่คนที่มีรสนิยมแปลกๆอย่างหาคู่ควงงานเต้นรำโดยให้ผู้ชายอย่างเขาไปแต่งหญิง การที่เอาชุดนักเรียนหญิงปกกะลาสีมาใส่ในเป้เขาแล้วเอาชุดอื่นๆไปหมดถ้าไม่ใช่คนนี้แล้วจะมีใครที่จะทำแบบนี้ได้อีก
“ฉันไม่ว่างขนาดจะไปเดินหาชุดนักเรียนมาให้นายใส่หรอกนะ” คำพูดที่ว่าไม่ว่างของคุณผมอบากบอกว่าไม่ค่อยอยากเชื่อเลยครับ เพราะขนาดเมื่อวานคนที่ไม่ว่างยังมีของเล่นแปลกๆมาเล่นกับเขาอย่างนั้นได้
“สายตาแบบนั้นหมายความว่าไง? เราไปดูเป้นายเลยก็แล้วกัน” รีไวเดินนำหน้าเข้าไปยังห้องพักของเด็กหนุ่ม
ชายหนุ่มหยิบแผ่นป้ายรหัสที่นั่งที่ติดกับเป้ขึ้นมาดู “นายคว้าเป้มาผิดใบไอหนู มันคนละที่นั่งกัน”
เอเลนรีบเข้าไปสำรวจเป้ที่คิดว่าเป็นของตนเองอีกครั้ง ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ในเป้และรหัสที่นั่งไม่ใช่ของเขาจริงอย่างที่ชายหนุ่มบอก ร่างโปร่งได้แต่คอตกถอนหายใจกับความเลินเล่อของตัวเอง
“พรุ่งนี้ค่อยไปจัดการที่สนามบิน ในนั้นมีของจำเป็นอะไรของนายรึเปล่า?”
“ก็มีแค่เสื้อผ้าล่ะครับ เพราะอย่างอื่นใส่ไว้ในกระเป๋ากล้องแล้ว” เด็กหนุ่มยื่นมือไปข้างหน้า รีไวมองมือที่ยื่นมาพลางจ้องกลับอย่างสงสัย
“ขอยืมเสื้อผ้าคุณก่อนแบบนี้ผมไม่ใส่หรอกนะ”
“ก็อยากให้นายยืมอยู่หรอกนะ แต่ฉันเอามาแค่ชุดนี้ อีกชุดก็ที่ตากไว้เพราะใครบางคนทำมันเปียก” ได้ยินอย่างนั้นเอเลนแทบจะเอาหัวโขกกับขอบเตียงทันที
“หรือนายจะพันผ้าไว้แบบนั้นฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ” พูดพลางยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์จนเอเลนได้แต่ขนลุกซู่
ตอนนี้เขามีแค่สองตัวเลือก ระหว่างยอมใส่ชุดนักเรียนหญิงปกกะลาสีกับพันผ้าไว้แบบนี้จนกว่าเสื้อจะแห้ง ไม่รู้ว่าตัวเลือกไหนจะทำให้อัตตราเสี่ยงของเขาน้อยกว่ากัน แต่เท่าที่เห็นจากสีหน้าของคนอันตรายตรงหน้าการที่อย่างน้อยเขามีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายไว้น่าจะปลอดภัยกับเขามากกว่า แม้ว่าเสื้อผ้าชุดนั้นจะเป็นชุดนักเรียนหญิงก็เถอะ........
หลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายชายหนุ่มจึงเข้าครัวไปจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นสำหรับตัวเขาเองและเด็กหนุ่ม
“เฮ้ ออกมากินข้าวได้แล้วไอหนู” รีไวตะโกนเรียกร่างโปร่งอยู่หน้าห้องที่ประตูปิดสนิท
“ไม่ครับ วันนี้ผมขอนอนเลยก็แล้วกัน” เอเลนตะโกนออกมาอย่างไม่อยากที่จะออกไปไหน
“อย่าให้ฉันต้องพังประตูเข้าไปลากนายออกมานะเอเลน”
“ไหนคุณบอกจะทำตามกฎไง!” คำพูดว่ากฎทำให้ขาที่กำลังง้างออกเตรียมเตะประตูหยุดชะงัก
“ฉันทำไว้แล้วนายก็ควรออกมากิน มันเสียดายของรู้ไหม” พยายามใจเย็นต่อรอง
“ง...งั้นเก็บไว้ทานตอนเช้าก็ได้”
“งั้นฉันจะเตือนความจำนายอีกครั้ง........... ว่ากฎของฉันคือตัวฉันเอง”
โครม!!
เมื่อการต่อรองไม่ได้ผลรีไวจึงจัดการถีบประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ นัยน์ตาสีหมอกมองก้อนผ้าคลุมที่อยู่บนเตียงโดยเหลือเพียงแค่หน้าของเด็กหนุ่มที่ลอดออกมา
“แว๊ก!! อย่าเข้ามานะ ตาลุงนี่ไม่รักษาสัญญาจริงๆด้วย” เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นว่าประตูไม้ประการเดียวของเขาถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย
รีไวไม่ฟังคำต่อว่าของอีกคน ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้กับเตียงมากขึ้น เอเลนจึงยิ่งกระชับผ้านวมผืนหนาในมือมากยิ่งขึ้นเพื่อปกปิดสภาพน่าอายของตน
“มันจะอะไรหนักหนาเนี่ยไอเด็กนี่!” มือแกร่งยึดยื้อผ้านวมที่ห่อหุ้มเด็กหนุ่มเอาไว้
“ก็คุณไม่ได้ใส่เองก็พูดได้นี่!!! ปล่อยน๊า!!!” เอเลนพยายามดึงผ้านวมที่ห่อคลุมตนไว้อย่างสุดชีวิต
แต่แรงของชายหนุ่มที่มีมากกว่าและเขาก็ไม่เคยสู้ได้เลยสักครั้ง ทำให้ผ้านวมถูกดึงยึดไปจนได้
“โฮ่ ก็ไม่เลวนี่ไอหนู” ใบหน้าเฉยชาเลิกคิ้วขึ้นมองเด็กหนุ่มที่พยายามเอามือกอดตนเองหวังปิดบังสภาพน่าอายของตน ขาเรียวที่อยู่ใต้กระโปรงจีบเกร็งเข้าหากันแน่น ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อ ริมฝีปากบางขบกันแน่น นัยน์ตาสีมรกตมองค้อนชายหนุ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตากับความอาบสภาพของตนเอง
“เอาล่ะทีนี้ฉันก็เห็นแล้วไปทานข้าวกันหรือจะให้ฉันยกมาป้อนนายบนเตียงดีเอเลน?”
“ป...ไปก็ได้” เอเลนรีบตวัดตัวเดินหนีออกจากห้อง
สักวันหนึ่งต้องเอาคืนให้ได้เลย ต้องจับตาลุงนี่มาใส่ไอชุดบ้าๆแบบนี้บ้างให้ได้เลยคอยดู เด็กหนุ่มได้แต่หวีดร้องในใจ ทั้งที่คิดว่าอุตส่าห์รู้สึกดีกับคนชอบแกล้งคนนี้บ้างขึ้นแล้ว แต่ผลสุดท้ายตาลุงนี่ก็ยังคงชอบทำให้เขาเจอแต่อะไรแปลกๆอยู่เรื่อย
ครืน..........ครืน................... ซ่า ซ่า ซ่า ......
เสียงของสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาทำให้รายการข่าวในช่องโทรทัศน์เสียงเบาลงจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งที่เขาคิดว่าหลังจากทานอาหารกับตาลุงชอบแกล้งเสร็จเขาจะได้เผ่นกลับเข้าห้องเลย แต่ยังคงโดนบังคับให้นั่งดูข่าวในห้องนั่งเล่นเป็นเพื่อน เด็กหนุ่มจึงได้แต่หยิบหมอนอิงมากั้นแบ่งเขตระหว่างตัวเขาและคนอันตรายที่กำลังนั่งอยู่อีกมุมของโซฟา แล้วนำหมอนอิงใบใหญ่มากอดปิดบังเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่
เปรี้ยง!!!
เสียงของสายฟ้าที่ฟาดลงมารุนแรงเสียจนโคมไฟบนเพดานเกินการสั่นไหว
“ดูเหมือนพายุจะเข้าหนักจริงๆสินะ”
“ในเมื่อเสียงดังขนาดนี้ฟังข่าวก็ไม่รู้เรื่องแล้วขอผมกลับไปนอนในห้องละกันนะครับ” เอเลนพยายามอ้อนวอนชายหนุ่มให้เขากลับไปอยู่ในห้องเสียที
“จะว่าไปอายุนายก็เป็นนักเรียน ม.ปลายพอดี ไม่คิดอยากใส่ชุดนักเรียนบ้างหรือไง?” ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
“แต่ต้องไม่ใช่ชุดนักเรียนหญิง” ใบหน้ามนมองค้อนกลับ “อีกอย่างผมชอบงานถ่ายภาพถึงไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนักเรียนม.ปลายทั่วไปแต่ผมก็ชอบงานของผม”
เปรี้ยง!!!!
เสียงฟ้าแลบและฟ้าร้องยังคงโหมดังกระหน่ำไม่ขาดสาย สัญญาณช่องทีวีที่กำลังนั่งดูเริ่มติดขัดก่อนจะขึ้นจอฟ้าว่าไม่มีสัญญาณ รีไวจึงกดปิดทีวีที่ไม่ได้ตั้งใจดูตั้งแต่แรกแต่เพราะอยากแกล้งคนที่ทำหน้าเขินอายอยู่ด้านข้างต่างหาก
“ไปนอนกัน ไหนๆก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างมีประกายความหวัง ในที่สุดเขาก็จะได้กลับไปอยู่ในห้องของตัวเองเสียที ร่างโปร่งจึงเตรียมลุกออกจากโซฟา
พรึ่บ!!
ทั้งคฤหาสน์เข้าสู่ความมืดทันที พายุที่โหมกระหน่ำขนาดนี้อีกทั้งบ้านกลางเขาจึงไม่น่าแปลกใจที่ไฟฟ้าจะเกิดขัดข้อง และคฤหาสน์แบบนี้จึงต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองซึ่งปกติจะทำงานอัตโนมัติ แต่เมื่อเห็นว่ายังไม่เห็นวี่แววของเครื่องปั่นไฟทำงาน
“ฉันไปดูเครื่องปั่นไฟก่อน นายพอสายตาชินกับความมืดแล้วค่อยเดินเข้าห้องไปละกัน” ทันทีที่กำลังเดินออกไปชายเสื้อก็ถูกยึดกับบางอย่างไว้ รีไวจึงหันไปมองเพื่อจะแกะชายเสื้อตนเองกับสิ่งที่ยึดไว้ออก คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเพราะสิ่งที่ยึดเขาไว้คือมือของเด็กหนุ่มที่กำชายเสื้อไว้แน่น
“ย.... อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนได้ไหมครับ” ใบหน้ามนมองอย่างเว้าวอน
ชายหนุ่มกลับมานั่งลงที่โซฟาตามเดิม
เปรี้ยง!!
เสียงสายฟ้ายังคงฟาดลงมา และครั้งนี้เสียงใกล้กว่าทุกครั้ง รีไวถูกผลักให้ล้มลงนอนบนโซฟาโดยมีเด็กหนุ่มร่างโปร่งนอนทับอยู่บนตัว ใบหน้ามนหลับตาแน่น ไหล่บางสั่นไหวเล็กน้อย มือยังคงขยำกุมเสื้อของชายหนุ่มไว้แน่น
“ฉันนึกว่านายไม่กลัวฟ้าผ่าซะอีก”
“ป... ปกติก็ไม่เท่าไร ต....ต แต่มืดๆแบบนี้ ม...ไม่ ไม่ไหวจริงๆ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก
“หืม ไหนนายบอกว่าไม่ให้ฉันแตะตัวไงถ้าไม่อนุญาต” รีไวแอบยิ้มเจ้าเล่ห์กับท่าทางหวาดกลัวแกมออดอ้อนที่ไม่เคยเห็นของร่างโปร่งบางที่นอนทับตน
“นี่ผมเป็นฝ่ายแตะคุณเพราะงั้นถือว่าไม่ผิด”
“เอาแต่ใจจริงนะ ถ้างั้นฉันขอไปดูไฟดีกว่า” ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นแต่โดนร่างโปร่งบางกดทับไม่ให้ลุก
“ว่าไงเอเลน?” เอ่ยถามเย้าแหย่ร่างบาง
“...ก..ก็ได้ ....ผม อนุญาต” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างจำใจ
ไม่รอช้ารีไวดึงร่างโปร่งบางขึ้นมา มือแกร่งกดศีรษะของเด็กหนุ่มที่กำลังมองมาอย่างสงสัยลง ริมฝีปากสีระเรื่อทาบทับลงบนปาดคม ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากนุ่มกระหวัดเกี่ยวกับลิ้นบางที่อยู่ภายใน แม้จะพยายามดันออกแต่เมื่อถูกรุกเร้าและความคุ้นเคยทำให้การต่อต้านในครแรกเปลี่ยนเป็นการแลกเปลี่ยนความวาบหวามให้แก่กัน
“อื้อ” เอเลนร้องครางในลำคอเมื่อลิ้นร้อนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโดยง่าย ทั้งยังรุกเข้ามาอย่างร้อนแรงจนร่างโปร่งเผลอจิกเล็บลงบนไหล่หนาที่อยู่ข้างใต้ ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจหยุดการรุกล้ำของลิ้นร้อนที่กระหวัดเกี่ยวพันอยู่ในปาก
รีไวดูดดุนลิ้นบางที่เริ่มหมดแรง ลิ้นหนายังคงโลมเลียไปทั่วโพรงปากหวานและไล้ไปตามไรฟัน เสียงของน้ำลายที่แลกเปลี่ยนและลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดดังแทรกเข้าโสตประสาทแทนเสียงของพายุที่กำลังกระหน่ำ
เสียงชื้อแฉะของน้ำลายและลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดยังคงดำเนินนานอยู่หลายนาที จนกระทั่งลิ้นหนาที่รุกล้ำจะยอมผละออกไปอย่างอ้อยอิ่งที่ไม่ยอมปล่อยลิ้นบางโดยง่ายจนเกิดเส้นสายใยใสยืดยาวเชื่อมทั้งสอง มือหนาปาดเช็ดคราบน้ำลายที่เลอะออกมาจากกลีบปากบาง นัยน์ตาสีมรกตฉ่ำจากแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นเร้าจากจูบที่ร้อนแรง
“ฮ้า ฮ้า.... ฮ้า” มือบางยังคงจิกลงที่ไหล่หนาเพื่อระบายอารมณ์ที่เริ่มขึ้นสูงของตน
รีไวจับหัวของเด็กหนุ่มลงแนบอก
“ถ้านายไม่ชอบเสียงข้างนอกก็ฟังเสียงเต้นของเจ้านี้ไปแทน”
ใบหูแนบลงกับอกของชายหนุ่ม เสียงการเต้นของหัวใจที่ดังเป็นจังหวะทำให้เอเลนรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด
“ข... ขอบคุณ” ร่างโปร่งบางรู้สึกผ่อนคลายลง มือบางวางทาบทับลงบนอกแกร่ง ใบหูยังคงแนบฟังเสียงหัวใจของคนใต้ร่างที่เต้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เสียงของหัวใจที่เต้นนั้นราวกับเสียงของดนตรีที่ขับกล่อมให้รู้สึกสบาย เปลือกตาบางจึงค่อยๆปิดลงก่อนจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา
มือหนาลูบไล้ผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มไปมา เสียงหายใจที่สนม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเจาตัวดีหลับไปแล้ว ริมฝีปากคมยกยิ้มท่ามกลางความมืด ดูเหมือนคืนนี้เขาคงต้องนอนที่โซฟาทั้งสภาพแบบนี้
แต่ก็ไม่เลว.......
“Good night my sweet dog”
ออฟฟิศสำนักงานข่าวใจกลางเมือง มิคาสะพลิกรูปหญิงสาวในชุดราตรีสีดำที่เธอไปเจอเมื่องานเปิดตัวโรงแรมของ เอลวิน สมิธ ไปมา นัยน์ตาสีราตรีจับจ้องที่เลสข้อมือของหญิงสาวอย่างนึกสงสัย เพราะมันช่างคุ้นตาและเหมือนกับที่คนรู้จักของเธอสวมไม่น้อย แม้ในรูปจะเป็นหญิงสาวที่สวยสง่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ใบหน้า และดวงตาสีมรกต ช่างคล้ายกับเด็กหนุ่มที่เธอรู้จักดี
“นี่เธอยังดูรูปแม่คนนี้อยู่อีกเหรอ ทางหัวหน้าก็บอกแล้วนี่ว่ารูปผู้หญิงคนนี้ห้ามเอาลง ดูเหมือนสำนักข่าวอื่นๆก็จะไม่มีใครเอ่ยหรือลงรูปของคนนี้ได้สักคน จะว่าไปก็น่าสงสัยทีเดียวล่ะนะ” แจนวางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะให้กับหญิงสาว ก่อนจะหยิบรูปถ่ายของหญิงปริศนาในคืองานเปิดตัวที่วางอยู่มามกมายบนโต๊ะของมิคาสะขึ้นดู
“ฉันคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นคนที่เรารู้จักก็ได้นะแจน” คำพูดของมิคาสะทำให้แจนเริ่มสนใจ นัยน์ตาสีอ่อนจึงเพ่งมองผู้หญิงในรูปตาม
“ฉันไม่เห็นจะนึกออกเลยว่ายัยนี้เคยเจอที่ไหน?” ไม่ว่าจะยังไงเขาก็นึกไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครที่เขารู้จัก
นัยน์ตาสีราตรีเหล่มองชายหนุ่มที่กำลังพินิจพิเคราะห์รูปถ่ายอย่างสนอกสนใจ บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าคนมีแต่ข้อสันนิษฐานแต่กลับไม่ใช่คนช่างสังเกตอย่าง แจน กิลชูไตน์ มาทำอาชีพนักข่าวได้ยังไง
“เมื่อวันก่อนฉันไปหาเอเลนที่ห้องว่าจะเข้าไปทำความสะอาดให้เสียหน่อย แต่หมอนั่นกลับไม่อยู่”
“ก็ไม่แปลกนี่เห็นว่ามีงานด่วนที่ต้องเดินทางจากคุณฮันเนสไม่ใช่เหรอไง?”
“มันก็ใช่ แต่การเดินทางของหมอนั่นจำเป็นต้องขนทุกอย่างจนเหลือแต่ห้องเปล่างั้นเหรอ?” คำถามของมิคาสะทำให้แจนหันหน้ามองสบตากับหญิงสาว
“หมอนั่นไปอยู่ที่ไหน อย่าบอกนะว่าหนีออกจากบ้าน แล้วหนีไปไหน!!?” ท่าทีกระวนกระวายของแจนทำให้มิคาสะต้องดึงใบหน้าที่กำลังเลิ่กลั่กนั่นให้นิ่งลงฟังที่เธอพูด
“ไม่ได้หนีน่าจะย้ายที่อยู่เพราะจากที่คุยกับเจ้าของห้องเขาบอกว่ามีคนมาขนของให้หมอนั่นไปเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ก่อน”
“2อาทิตย์ก่อน ไม่เห็นหมอนั่นจะบอกเราสักคำว่าย้ายที่อยู่” ตลอดระยะเวลา 2 อาทิตย์ก่อนที่เอเลนจะต้องไปทำงานต่างสถานที่ เขาและมิคาสะก็เจอเด็กหนุ่มอยู่เนืองๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้บอกว่าย้ายที่อยู่
“ฉันว่ามันน่าสงสัย หมอนั่นอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไร.............หรือ ใคร”
“เฮ้ เธอคิดมากไปแล้ว วันๆเอเลนก็อยู่แต่กับคุณฮันเนส พวกในสตูดิโอ ฉัน และก็เธอ จะไปเจอใครกัน”
“นายเห็นผู้หญิงที่มากับคนชื่อรีไวในงานเปิดตัวแล้วคิดว่าไง?”
“จะให้คิดไงก็....เซ็กซ่ดีมั่ง” จากที่โดนหว่านเสน่ห์จนโดนมิคาสะตบหน้าหันก็ต้องยอมรับว่าหญฺงสาวคนนั้นมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย
“แล้วถ้าไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชาย นายคิดว่าเหมือนคนรู้จักนายไหม?”
“ห๊ะ ผู้ชาย!!!?” แจนมองรูปถ่ายในมือพร้อมกับมองหน้ามิคาสะอย่างตกใจ
“แล้วถ้าตัดผมออกเป็นผมสั้น ลบเครื่องสำอาง ตัดไออกมหึมานั่นออกไป นายคิดว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนใคร?”
แจนคว้าปากกาเมจิคที่อยู่บนโต๊ะมาถมผมสีน้ำตาลยาวสลวยในภาพให้เหลือเพียงผมสั้นอย่างผู้ชายทั่วไป แล้วเมื่อเพ่งมองดูอีกครั้งชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วมองหน้าแฟนสาวอย่างแปลกใจ
“อย่าบอกนะว่า.......เธอคิดว่านี่คือเอเลน”
“ฉันไม่คิดว่า แต่ฉันว่าเธอคนนั้นคือเอเลนของเราไม่ผิดแน่” มิคาสะยืนยันข้อสันนิษฐานของชายหนุ่ม
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ แล้วทำไมหมอนั่น ถึงไปยุ่งเกี่ยวกับคนมีอิทธิพลขนาดนี้ได้กัน!?”
“คนที่จะตอบได้คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้น....”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เย้ ในที่สุดตอนต่อก็มาแล้ว สนุกมากค่ะ เอเลนโดนแกล้งตลอด 555 อดีตของหัวหน้าเริ่มเปิดเผยออกมานิดหน่อยแล้ว มิคาสะยังจำเอเลนได้อีก สมแล้วที่เป็นพี่สาวจอมห่วงน้อง หุหุ รออ่านตอนต่อไปค่ะ
ตอบลบป.ล.รอรวมเล่ม Last Memory อยู่อย่างใจจดใจจ่อค่ะ
ป.ล.2 เรารออ่านงานของไรท์อยู่ทุกเรื่องเลยค่ะ โดยเฉพาะ ทะเลทราย(เลือด) กับล่ารักฯ
ถ้าไรท์เปิดเรื่องใหม่มาเราก็ยังตามอ่านต่อไปค่า รวมทั้งเรื่องใหม่(ถ้ามี)ด้วย ^^
จะพยายามไม่ดองนะคะ แหะๆ><""" ขอบคุณที่คอยตามค่ะ เรื่องรวมเล่มจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ >3<
ลบส่วนเรื่องใหม่ตอนนี้กำลังดูอยู่ว่าจะมีเมื่อไรแต่อาจเป็นเรื่องสั้น(มั่ง)ค่ะ
โฮ้ย มิคาสะนี่ฉลาดจริงๆ จับผิดหนูเอเลนได้แล้วว (หรือจะบอกว่าความลับที่ปิดบังไว้กังจะถูกเปิดเผย!!) ชอบเวลาเอเลนออดอ้อนค่ะ น่ารักน่าฟัดที่สุด แต่เวลาดื้อดึงก็น่าจับแกล้งจริงๆ (กัดผ้าเช็ดหน้า อิจฉาตาแก่โรคจิต เอ้ย รีไวล์ ขึ้นมาตงิดๆ) อิจฉาเฮียจังงง ได้แกล้งหนูเอเลนตลอดเลย อยากแกล้งบ้างอะไรบ้าง
ตอบลบเป็นกำลังใจให้นะคะ อยากอ่านตอนต่อเร็วๆ แหะๆ สู้ๆค่ะ
อิจฉาคนแก่ที่ได้แกล้งเด็กเช่นกันค่ะ >/////////<
ลบจะพยายามปั่นนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ >3<
ติดเรื่องนี้มากกกก ฮากระจาย ชอบมุมน่ารัก+ทะลึ่งของรีไวล์จังค่ะ เอเลนก็น่ารักน่าแกล้งงง มาต่อเร็วๆๆนะค่ะ^^
ตอบลบขอบคุณที่ชอบค่ะ ต่อแล้วค่ะ เร็วตามสั่งฮาๆๆ(อาจเร็วแค่ตอนนี้พอดีจะปิดบทไม่ให้ค้างง่ะ)
ลบแหม่ แหม่ นู๋เอเลนของมี๊กลัวความมืดหรอกเหรอค่ะเนี้ย!!
ตอบลบมี๊พึ่งรู้อ่ะฮะฮะอ้อนซะน่าจับกดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ
ให้เก๊าเป็นเฮห์โจวหน่อยไม่ได้มืดๆผสมเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าแบบนี้แหละเค้าเรียกว่าบรรยากาศ
เปนนนจายยย!!!
แล้วไหงกลายเป็นนอนทับกันเฉยๆล่ะค๊าาาา
//ไม่ไดัอย่างใจมี๊เลยจริงๆให้ฟ้าผ่าลงมาอีกเถอะ!!///
ของงี้ต้องค่อยๆตะล่อมค่ะ หุหุ
ลบ