Attack On Titan Fan fic.: Lessons of love
Pairing: (LevixEren)
Story By: Trendy Blood
……………………………………………………………………………
Lesson 7:
ตั้งแต่กลับไปเยี่ยมพี่สาวและได้ของขวัญ หรือที่จริงอาจเรียกได้ว่าของแถมกลับมา จากที่ต้องอยู่คนเดียวในหอพักของพนักงานตอนนี้ก็ได้ขยับขยายเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีสวนขนาดเล็กหน้าบ้าน จากที่เป็นคนที่ทุ่มเทเวลาให้กับงานจนแทบไม่มีเวลานอนกลายเป็นถ้าไม่มีเรื่องด่วนเขาก็ไม่คิดจะทำโอที แล้วจากที่ไม่เคยเข้านอนก่อนเที่ยงคืน ตอนนี้เพียงแค่สี่ทุ่มก็ดึกเกินไป ถึงแม้จะทำอาหารเป็นแต่ไม่คิดใส่ใจและมักฝากท้องตามร้านสะดวกซื้อตอนนี้ในชั้นหนังสือเริ่มมีตำราอาหารและสูตรโภชนาการต่างๆวางไว้ และแน่นอนห้องครัวที่เคยใช้อย่างมากแค่เตาไมโครเวฟหรือหม้อสำหรับอุ่นอาหาร ตอนนี้เขามีกระทั่งเตาอบ เครื่องผสมอาหาร ไปจนถึงอุปกรณ์ทำขนมและเบเกอรี่ต่างๆ วันหยุดพักผ่อนตามเทศกาลหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ถ้าเขาไม่ได้ไปหาพี่สาวก็มักอ่านหนังสือหรือ ดูภาพยนต์ที่อยากดูภายในห้องและบางครั้งอาจมีเดทกับสาวมากหน้าหลายตาที่เป็นฝ่ายเข้าหาซึ่งหลายครั้งที่เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธ ตอนนี้วันหยุดกลายเป็นการวางโปรแกรมการพาเจ้าตัวดีไปเที่ยว หรือสมาชิกสี่ขาไปฉีดยา เดินเล่น ทำอาหาร หรือแม้กระทั่งใช้วันหยุดในการไปประชุมผู้ปกครองของเจ้าตัวดี เพราะอย่างนั้นเมื่อสาวๆทั้งหลายที่เคยเดทด้วยโทรมาตามเขาจึงปฏิเสธไปทุกครั้ง และมันก็ทำให้พวกหล่อนค่อยๆหายไปเอง ซึ่งก็ดีกับการที่เขาไม่ต้องจัดการทนเรื่องน่ารำคาญ อย่างมากก็แค่ฟังเจ้าหล่อนร้องไห้คร่ำครวญ แต่ถึงอย่างนั้นบางครั้งเขาก็เพียงแค่ปล่อยโทรศัพท์วางทิ้งไว้แล้วเลือกที่จะไปทำอย่างอื่นต่อ เช่นงานบ้านที่ทำค้างไว้ หรือไปทำอาหารในครัวกับเอเลน มีบ้างที่ไม่ยอมตัดใจโดยง่ายและยังหวังที่จะเป็นคนที่สามารถคว้าใจคนอย่างเขาได้ เขาไม่เข้าใจผู้หญิงพวกนี้สักเท่าไรทั้งที่ตัวเขาไม่ได้มีอะไรดีกับพวกหล่อนแม้แต่น้อย ออกจะเย็นชาจนเข้าขั้นทำตัวเลวในสายตาผู้หญิงเลยก็ว่าได้ แต่เหล่าหญิงสาวเหล่านั้นยังคงหวังที่จะอยู่เคียงข้างเขา และเขาก็ไม่คิดจะทำอะไรตราบใดที่พวกเธอเหล่านั้นไม่คิดเข้ามาวุ่นวายกับเขามากเกินไป เพราะเขามีกฎสำหรับการคบกันเสมอนั้นคือ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกัน แน่นอนว่ามีหลายคนที่คงคิดไปว่าเมื่อได้นอนกับเขาแล้ว พวกเธอคงมีสิทธิพิเศษ เขาไม่เคยให้ที่อยู่คู่เดท สิ่งที่เขาบอกมีเพียงชื่อและอายุ และเมื่อพวกเธอเหล่านั้นเริ่มเซาซี้หรือหวังรู้ข้อมูลที่มากกว่านั้น แน่นอนทุกอย่างมักจบด้วยการเมินเฉยและตีจากไปเสียดื้อๆ นับว่าโชคดีที่เขายังไม่เจอคนที่เรื่องมากหรือสลัดออกไปจากชีวิตได้ยาก เคยมีบ้างที่ในคู่เดทบางคนสืบเสาะจนตามเขามาถึงบ้านและไม่ยอมรามือง่ายๆ แต่เมื่อเจอการกระทำที่เฉยชาและมองเจ้าหล่อนเป็นเพียงอากาศธาตุ จนยัยคนน่ารำคาญนั้นขู่ว่าจะฆ่าตัวตายในห้อง เขาเลยโยนกุญแจห้องพักนั้นให้พร้อมทั้งทิ้งเบอร์โรงพยาบาลและเบอร์ตำรวจที่ใกล้ที่สุดไว้ให้ก่อนจะเดินออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และนับเป็นโชคดีอีกเช่นเคยที่สุดท้ายเจ้าหล่อนยอมตัดใจ แต่พอเจ้าตัวดีนี่เข้ามาอยู่ด้วยเขาจึงไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องพวกนี้นัก อันที่จริงควรบอกว่าเขาไม่เคยจำใบหน้าคู่เดทของเขาได้ด้วยซ้ำไป ถึงแม้คนที่เคยเดทด้วยนานที่สุดเขาจำได้เพียงแค่ชื่อของเธอคนนั้นเท่านั้น... ไม่คิดเลยว่าผู้ชายที่ไม่มีอะไรดีเลยอย่างเขาจะทำดีกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กน้อยที่เจอกันเพียงแค่ไม่กินวัน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้เรียกได้ว่าตัวเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะทีเดียว เจ้าตัวดีที่มาอยู่กับเขาก็เช่นกัน จากเจ้าเด็กดื้อที่นั่งหลบในสุสาน เจ้าตัวดีที่ได้แต่ยิ้มเพื่อให้คนอื่นสบายใจ ตอนนี้ทั้งยิ้มและหัวเราะได้อย่างสนุกสนาน เจ้าเด็กที่ได้แต่พยักหน้ารับและทำตาม ทุกวันนี้รู้จักที่จะใช้สายตาและคำพูดออดอ้อนให้เขาต้องจนมุมอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่รู้สึกว่าทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเพียงไม่นาน จากเจ้าหนูที่สูงเพียงหน้าขาของเขาตอนนี้ส่วนสูงเพิ่มมาอยู่ส่วนเอวของเขาแล้ว จากเด็กน้อยในชุดโรงเรียนอนุบาล ตอนนี้กลายเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากเด็กเงียบๆเซื่องซึม ตอนนี้เอเลนกลายเป็นหัวโจกในห้อง ทั้งเรื่องเรียน กีฬา และรอยยิ้มบนใบหน้าน่ารักนั่นทำให้ทั้งเพื่อนๆแหละเหล่าอาจารย์ต่างหลงใหลเจ้าตัวดี
“วันนี้เจ้าเด็กกิลชูไตน์ก็มารับนายเหมือนเคยใช่ไหม?” รีไวถามเอเลนที่กำลังเคี้ยวแซนวิซมื้อเช้าบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะเทนมในแก้วส่งให้กับเด็กน้อย แล้วเทใส่แบ่งใส่ชามสำหรับสัตว์เลี้ยงซึ่งเจ้าเยเกอร์ก็กำลังทานอาหารของมันเช่นกัน
“ใช่ฮะ ทั้งที่บอกว่าไม่ต้องมาก็ได้ แต่แจนบอกว่าการมารับผมเป็นหน้าที่ของเขา”
ทั้งที่จากบ้านแจนไปโรงเรียนเลยนั้นใกล้กว่าการที่ต้องอ้อมมารับเอเลนซึ่งไม่ใช่ทางผ่านเสียด้วยซ้ำ เรียกว่าเจ้าเด็กนี่เป็นเพื่อนที่ทุ่มเทหรือเป็นทาสที่ซื่อบื้อดี?
หลังจากเอเลนจัดการเก็บจานเรียบร้อยเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังตรงตามเวลา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่มากดออดคือ แจน กิลชูไตน์ เพื่อนตั้งแต่เข้าอนุบาลและตามมาเรียนด้วยกันจนถึงประถมของเอเลน แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ดูเหมือนเจ้าเด็กน้อยแจนยังคงหวาดระแวงเขา สีหน้าหวั่นๆเมื่อเขาออกไปเปิดประตูต้อนรับเป็นได้เห็นเสียทุกครั้ง
“ส... สวัสดีครับ คุณอา .. เออ.. ผมมารับเอเลน” แจนโค้งทักทายผู้มีศักดิ์เป็นอาของเพื่อน ตั้งแต่ขึ้นประถมเขาก็มารับเอเลนทุกวัน และแน่นอนว่าเจอคุณอาหน้าโหดคนนี้ทุกครั้ง แต่สายตาดุๆที่มองเขาราวกับจับผิดทำให้ไม่กล้ามองตรงๆเสียที
รีไวหัวเราะในลำคอกับท่าทางหวาดระแวงของแจนที่มีต่อเขา ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือโยกเจ้าคนตื่นตระหนกไปมา และมันทำให้คนขี้กลัวเริ่มแข็งเป็นหิน เพราะท่าทางตลกแบบนี้ไงเขาเลยชอบที่จะแกล้งเจ้าเด็กบ้านี่
“แจนขอโทษที่ให้รอ คุณอาทำแซนวิซให้นายด้วยฉันเลยหากระเป๋าอีกใบใส่ให้” เอเลนวิ่งมาใส่รองเท้าก่อนจะยื่นถุงผ้าที่มีกล่องปิ่นโตอีกกล่องให้กับเพื่อน
“ฉ...ฉันไปรอนายที่หน้าบ้านนะ!” ไม่ว่าเปล่า แจนคว้าถุงผ้าที่อีกคนยื่นให้ก่อนจะวิ่งออกไปยืนรอที่หน้าบ้าน ให้คนที่ยังคงง่วนกับการผูกเชือกรองเท้าตามไปทีหลัง
ทั้งที่กลัวเขาขนาดนั้นแต่หมอนี่ก็ยังมารับเอเลนอีกทั้งบางครั้งก็เดินไปส่งถึงออฟฟิศที่ทำงานหลังเลิกเรียน จะว่าเป็นเด็กดีก็คงไม่ผิดนัก แต่ท่าทางแบบนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกอยากเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายชอบแกล้งเจ้าหมอนั่นอยุ่ตลอด
“คุณอาเอเลนไปโรงเรียนก่อนนะฮะ”
เด็กน้อยกนะตุกแขนชายหนุ่ม ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางก่อนจะก้มตัวไปหาเข้าตัวดีที่เข้ามากอดก่อนจะหอมที่แก้มของเขาเพื่อกล่าวลา ทั้งยังหันไปโบกมือให้เจ้าเยเกอร์ที่เดิมตามออกมาส่งถึงหน้าประตู
รีไวมองแผ่นหลังเล็กที่วิ่งไปยังประตูรั้วก่อนจะหันกลับมาโบกมือให้กับเขาและเจ้าเยเกอร์อีกครั้งแล้วเดินไปพร้อมกับเพื่อนที่รออยู่ รีไวก้มมองเจ้าเยเกอร์ที่ตอนนี้เป็นสุนัขโตเต็มวัย ยันซ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่แฝงอยู่ทำให้เจ้าเยเกอร์ตัวค่อนข้างโตอีกทั้งลักษณะยังคงความเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์อยู่มากเรียกว่ายีนส์เด่นแสดงออกมาจนดูเผินๆก็เป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ที่จริงแล้วจะเป็นพันทางก็ตาม เยเกอร์ที่โตเต็มวัยและเอเลนที่โตขึ้นกว่าเดิม ทั้งที่รู้สึกไม่นานแต่เวลาก็ผ่านมาถึง 5 ปีแล้ว
“รีวายยยย เรามาทำโปรเจคหุ่นรบกันเถอ!!” ฮันซี่ตรงดิ่งเข้ามากางพิมพ์เขียวทันทีที่รีไวเปิดประตูเข้ามาในออฟฟิศ
คิ้วคมกระตุกถี่ยิบเมื่อพิมพ์เขียวขนาดใหญ่วางทาบอยู่บนหน้าพร้อมทั้งคนก่อเหตุยังคงพร่ำพรรนณาไม่หยุด
“นี่ๆดูสิตรงนี้นะจะแยกออกมาเป็ขา แล้วทีนี้ก็จะมีกุญแจไขประกอบร่าง และออฟฟิศนี้ก็จะดัดแปลงเป็นศูนย์บัญชาการยังไงล่ะ!!” ฮันซ่ยังคงอธิบายรายละเอียดแปลนงานอย่างตื่นเต้น กว่าเสียงที่ดังหนวกหูของฮันซ่จะหยุดก็เมื่อรีไวจัดการขยำพิมพ์เขียวนั้นยัดเข้าปากคนพูดมาก
“อ..อีไอ..อ่าอั้นอ่ะอำเอ็ด... (รีไวอ่ากว่าฉันจะทำเสร็จทั้งคืนเลยนะ)”
ชายหนุ่มดันคนบ่นเสียงอู้อี้ให้ถอยห่างก่อนแล้วเดินมานั่งโต๊ะทำงานที่ประจำ ให้ตายสิทั้งที่ผ่านมาตั้งหลายปีดูเหมือนบางอย่างก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเคย
“ฉันอุตส่าห์ว่าถ้าทำเจ้านี้รับรองว่าต่อกรกับนาซ่าได้เลยนะ” ฮันซี่ดึงพิมพ์เขียวออกจากปากก่อนจะเอามากางแล้วคร่ำครวญด้วยความเสียดาย
“ประเทศเราคงได้ถูกสหประชาชาติโจมตีก่อนน่ะสิยัยแว่นผี” รู้ดีว่าแบบแผนที่ฮันซี่ทำขึ้นแล้วรวมถึงความสามารถที่มีสิ่งที่ยัยเพี้ยนนั้นคิดแม้จะดูเหนือจินตนาการแต่ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อเกินกว่าที่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นหลายครั้งพิมพ์พวกนั้นเขาเลยจัดการโดยการเผาทิ้งเพื่อตัดปัญหา อยู่ดีๆบริษัทรถยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำเทคโนโลยีในทุกๆด้านจะแปรเปลี่ยนเป็นบริษัททำอาวุธมหาประลัย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงพวกเขาคงโดนหมายหัวแน่นอน
“ทำไมเธอไม่ไปอยู่นาซ่าซะล่ะฮันซี่ แบบนั้นสิ่งที่เธออยากทำคงไม่มีข้อจำกัดและอีกทั้งน่าจะได้รับการสนับสนุนด้วยซ้ำ” ความสามารถของหญิงสาวที่มีเรียกได้ว่าต่อให้มีองค์กรที่ใหญ่กว่านาซ่าก็คงต้องการตัว
ฮันซี่ยัดพิมฑืเขียวลงเครื่องทำลายเอกสารก่อนจะจัดการใส่ลงในเครื่องเผาเอกสารอีกครั้ง
“ฉันไม่อยากเห็นใครตายเพราะสิ่งที่ฉันทำ เป็นวิศวะกรยานยนต์ดีกว่าเยอะ” ใบหน้าขี้เล่นฉีกยิ้มกว้าง
รีไวหยิบพิมพ์เขียวงานขึ้นมาดูโดยที่ไม่พูดสิ่งใดต่อ เทคโนโลยีต่างๆมีทั้งคุณและโทษขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานและจรรยาบรรณของผู้ทำ ตัวเขาและฮันซี่จึงเลือกจุดที่ทำงานได้อย่างสบายใจกับการฟังเสียงเครื่องยนต์และการเพิ่มสมรรถนะและความปลอดภัยของยานยนต์ดีกว่าการฟังเสียงระเบิดและเสียงกรีดร้องที่จะตามหลอกหลอนไปไม่สิ้นสุด
“ถ้านายไม่ชอบพิมพ์เมื่อกี้ ฉันมีพิมพ์งานจรวดติดไอพ่นที่ควันเป็นสายไหมด้วยนะสนใจไหม สนใจไหม?” และเป็นอีกครั้งที่สันแฟ้มของรีไวฟาดลงบนศีรษะที่ยุ่งเหยิงของหญิงสาว
“โอ๊ย อะไรกันทั้งที่นายใจดีกับเอเลนจะตาย ลำเอียงชะมัด” ฮันซี่ลูบหัวตัวเองป้อยๆ พลางตัดพ้อ
“เจ้าหนูนั่นมันน่ารัก ส่วนเธอ...มันเป็นยัยแว่นผีที่ควรกลับไปนั่งทำงานจริงๆจังๆเสียที” นัยน์ตาสีขี้เถ้าหรี่มองด้วยประกายแววตาติดตำหนิ
“จ้าๆ” ฮันซี่ถ่อลากตัวเองลงไปนั่งโต๊ะทำงานที่อยู่ถัดไปจากโต๊ะรีไว หญิงสาวหมุนตัวไปมาอย่างไม่คิดจะมองหน้าจอโปรแกรมแปลน 3D ที่เขียนทิ้งไว้
“พูดถึงเจ้าหนูน้อยเอเลนตอนนี้ 10 ขวบแล้วสินะ โตแล้วน๊าหนุ่มน้อยแก้มยุ้ยของฉัน” นัยน์ตาสีน้ำตาลเคลิ้มฝันเมื่อนึกถึงใบหน้ากลมมนแล้วแก้มนุ่มๆของเด็กน้อยที่ให้เธอได้สัมผัสเป็นประจำ
“เจ้าหนูนั่นยังเป็นเด็กอยู่ดี”
“หืม... ไม่หรอกเด็กสมัยนี้โตเร็วจะตายไป ฉันว่าอีกไม่นานเอเลนก็คงจะเป็นวัยที่เริ่มออกหาสังคม มีเพื่อนเยอะแยะ มีโลกส่วนตัว อีกไม่นานก็คงมีแฟน โอย...รู้สึกตัวเองแก่ชะมัด” ฮันซี่ยังคงไม่สนใจหน้าจองานที่เปิดทิ้งไว้ หญิงสาวหยิบปากกาออกมาเขียนแบบแปลนที่นอกเหนือจากงานลงในสมุดสเก็ตซ์
“เรื่องแฟนของหมอนั่นยังเร็วไป ส่วนเพื่อนเห็นไมค์ว่าตอนนี้เจ้าหนูนั่นแสบน่าดู” รีไวตอบพลางขยับเมาส์ทำงานบนหน้าจอ
ฮันซี่ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะลากเก้าอี้เขยิบไปใกล้รีไวมากยิ่งขึ้น
“นี่นายรู้สึกแบบนั้นหรือหวงเอเลนกันล่ะคุณอา?”
นัยน์ตาสีเถ้าเหลือบมองรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่ายก่อนจะเมินเฉยและกลับไปทำงานอีกครั้ง
“พูดตามที่เห็น” ถึงแม้จะเห็นว่าเจ้าหนูนั่นเริ่มโตแล้ว แต่เรื่องรักใคร่แบบนั้นดูจะห่างไกลสำหรับเจ้าตัว
“ช่างเถอะ ก็เด็กของนายนี่นะ จะว่าไปเอเลนก็เริ่มโตแล้วแบบนี้พวกนายก็แยกห้องกันนอนแล้วล่ะสิ?”
คำถามของฮันซี่ทำให้รีไวยักคิ้วถามอย่างแปลกใจ
“หน้าแบบนั้นแสดงว่าพวกนายยังนอนห้องเดียวกันสินะ ฉันว่าเอเลนโตพอจะนอนคนเดียวได้แล้วนะ”
“อ่า.... ฉันก็ลืมคิดถึงเรื่องนั้นไป” เพราะเคยชินกับการที่นอนเตียงเดียวกันมาตั้งแต่ที่หอพักเก่าจนกระทั่งย้ายมาบ้านใหม่ แม้จะมีห้องเตรียมไว้ให้แล้วแต่ยังคงเป็นห้องเปล่า และเขาคิดว่าหมอนั่นอาจยังไม่อยากแยกไปหรือบางทีอาจเป็นเขาที่คิดไปเองฝ่ายเดียว...
“ถ้าเอเลนยังไม่พูดอะไรบางทีหมอนั่นคงยังไม่อยากแยกห้องล่ะมั่ง หรือไม่อาจเกรงใจเลยไม่บอก” ฮันซี่หันหน้ากลับไปทำงานของตนโดยทิ้งให้เพื่อนร่วมงานที่คิ้วขมวดมุ่นนั้นขมวดยิ่งกว่าเดิมอย่างไม่ใส่ใจ
ที่จริงเขาวางแผนว่าพอเอเลนขึ้นชั้นประถมคงให้แยกห้องนอนแต่นี่เขาก็ปล่อยจนเจ้าตัวขึ้นชั้นประถมปลายแล้ว ถึงจะคิดว่ารอไปจนถึงชั้นมัธยมต้นคงไม่เป็นไร แต่บางทีเจ้าหนูนั่นอาจกำลังเกรงใจเขาและเริ่มอยากมีโลกส่วนตัวขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้
รีไวปิดโปรแกรมงานที่กำลังทำบนหน้าจอก่อนจะเข้าเว็บไซตเพื่อจัดหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ ถึงแม้ว่าห้องจะมีพร้อมแล้วแต่ห้องนั้นเป็นห้องว่างที่ยังไม่มีอะไร ต้องขอบคุณนิสัยรักความสะอาดของเขาถึงแม้ว่าจะเป็นห้องเปล่าที่ไม่ได้ใช้งานแต่เขาก็ยังคงทำความสะอาดสม่ำเสมอ
เมื่อนาฬิกาเดินมาจนถึงช่วงบ่ายสองร่างของเด็กตัวน้อยก็ปรากฏขึ้นตรงตามเวลา เอเลนยิ้มทักทายเหล่าคนที่คุ้นเคยกันในออฟฟิศก่อนจะไปช่วยเพทร่าที่กำลังจัดอาหารว่างในครัวนำมาวางไว้ที่โต๊ะรับแขกกลางออฟฟิศ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่ประจำของเอเลน
“วันนี้คุณเอลวินซื้อเค้กสตรอเบอร์รี่ทิ้งไว้ให้เอเลนด้วยนะจ้ะ” เพทร่าวางขนมเค้กชิ้นโปรดลงตรงหน้าเด็กน้อย เร่องอาหารว่างของเอเลนราวกับเป็นกิจวัตรประจำวันของคนในออฟฟิศถึงแม้รีไวจะไม่ได้ซื้อขนมให้ แต่เอเลนมักได้ขนมจากพนักงานคนอื่นๆ รวมไปถึงกรรมการบริษัท เรียกได้ว่าเด็กน้อยไม่เคยขาดขนมเลยสักครั้งที่มาที่นี้
“ขอบคุณฮะพี่เพทร่า คุณน้าเอลวินไม่อยู่เหรอฮะ?” เอเลนถามพลางจิ้มสตรอเบอร์รี่ชิ้นโตบนหน้าเค้กเข้าปากพลางทำสายตาเป็นประกายกับรสชาตหวานอมเปรี้ยวของสตรอเบอร์รี่ลูกโต
“คุณเอลวินมีประชุมข้างนอกน่ะจ้ะ แล้ววันนี้แจนไม่มาด้วยเหรอ?” เพทร่าถามพลางวางเค้กอีกชิ้นที่หยิบมาด้วยไว้บนโต๊ะ
เด็กน้อยส่ายหน้าไปมาก่อนจะกลืนเค้กที่เคี้ยวอยู่ลงคอ
“แจนบอกว่าจะต้องไปจ่ายตลาดกับคุณแม่ พอมาส่งผมที่หน้าตึกแล้วก็ไปเลย”
เพทร่ายิ้มขำกับท่าทางน่าเอ็นดูของอีกคนที่ไม่อยู่ด้วย ดูเหมือนแจนจะเล่นเป็นองครักษ์พิทักษ์เอเลนอยู่กระมัง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เป็นไปอย่างน่าเอ็นดู เรียกได้ว่าแจนเป็นเพื่อนคนแรกที่เอเลนทะเลาะด้วย ทั้งๆอย่างนั้นกลับสนิทกันมากที่สุด
“เอเลนถ้านายทานของว่างเสร็จแล้วเราจะกลับไปทำการบ้านของนายกันที่บ้านนะเจ้าหนู” รีไวถือกระเป๋าเอกสารมาวางไว้บนโซฟาข้างเด็กน้อยก่อนจะนั่งลงข้างๆดูสมาร์ทโฟนในมือ
“วันนี้คุณอาเลิกงานแล้วเหรอฮะ” เอเลนเอียงคอมองอย่างแปลกใจ เพราะปกติเขาจะทำการบ้านรอจนชายหนุ่มเลิกงานราวๆหกโมงถึงหกโมงครึ่งทุกครั้ง
“ฉันลาตอนบ่าย พอดีสั่งของไปส่งที่บ้านนายน่าจะชอบ”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้เด็กน้อยตาเป็นประกายก่อนจะรีบยัดคเกคำโตเข้าปากจนโดนชายหนุ่มดุเพราะเกรงว่าอาหารจะเข้าไปติดคอเด็กน้อย ทันทีที่เอเลนนำจานล้างและเก็บเข้าที่เรียบร้อย มือเล็กก็ตรงเข้าคว้ามือของชายหนุ่มที่ยื่นมารอทันที
เมื่อกลับถึงบ้านรถบรรทุกขนของขนาดใหญ่ก็มาถึงหน้าบ้าน รีไวจัดการเปิดประตูรั้วและเปิดปรูบ้านให้กับพนักงานขนของ เยเกอร์ที่ออกมาต้อนรับเมื่อเห็นคนแปลกหน้าจึงเห่าขู่ แต่เมื่อรีไวสั่งให้หยุด เยเกอร์จังเงียบแล้วเดินไปข้างเด็กน้อยของมันเพื่อคอยอารักษ์ขา
“เอาขึ้นไปที่ห้องชั้นสองเลย” รีสั่งพนักงานขนของก่อนจะเดินขึ้นไปเปิดประตูห้องว่างจุดหมาย โดยมีเอเลนและเยเกอร์เดินตาม
“ใครจะมาอยู่เหรอฮะ?” เอเลนเอียงคอมองอย่างแปลกใจ
รีไวลูบบนผมสีน้ำตาลของเด็กชายก่อนจะดันหลังให้เจ้าตัวดีหลบหนักงานที่ช่วยกันขนสินค้าขึ้นมายังห้อง ไม่มีเวลาตอบคำถาม ชายหนุ่มจัดแจงให้เหล่าพนักงานจัดวางของตามมุมต่างๆและประกอบตู้เสื้อผ้า และเตียงที่จำเป็นต้องยกชิ้นส่วนในการขนขึ้นมา เมื่อทุกอย่างจัดวางเรียบร้อย รีไวจึงเซ็นรับสินค้าให้กับพนักงาน เมื่อรถขนของขับออกไปจึงถึงคราวที่คนรักความสะอาดอย่างชายหนุ่มจัดแจงนำอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาจากตู้เก็บของ เพราะการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ต่อให้เป็นของใหม่แต่ทั้งฝุ่นจากโกดังเก็บของที่ติดมาและอื่นๆทำให้ต้องทำความสะอาดก่อนที่จะใช้งาน
เอเลนนำผ้าขึ้นมาผูกที่ท้ายทอยก่อนจะเลื่อนขึ้นมาปิดบังจมูกเช่นเดียวกับชายหนุ่ม เพราะเคยชินเด็กน้อยจึงไม่ต้องรอคำสั่ง เอเลนจึงมุ่งตรงไปจัดการเอาผ้าเช็ดฝุ่นจากเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดก่อนจะจัดการแกะพลาสติกที่ห่อหุ้มนั้นออก ห้องนี้แม้จะไม่ได้ใช้งานแต่เขาก็เข้ามาช่วยทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง ห้องทางฝั่งขวาติดกับบันไดซึ่งเล็กกว่าห้องนอนทางฝั่งซ้ายที่เขานอนกับชายหนุ่ม ชิ้นเตียงที่พนักงานประกอบให้จนเสร็จสิ้นเมื่อทำความสะอาดเรียบร้อยรีไวจึงยกที่นอนวางลงไปก่อนจะจัดการแกะพลาสติกที่ติดมาออก เมื่อเตียงประกอบเรียบร้อยเอเลนถึงเพิ่งสังเกตว่าเตียงนอนของห้องนี้เล็กกว่าเตียงที่เขาใช้นอนกับชายหนุ่มมากนัก สำหรับตัวขนาดเขาคงนอนได้สองคน แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่อย่างชายหนุ่มเพียงคนเดียวน่าจะกำลังดี หลังจากจัดการทำความสะอาดจนเป็นที่พอใจก็เลยเวลาทานข้าวมามาก ชายหนุ่มจึงจัดแจงทำอาหารง่ายๆสำหรับวันนี้ วันนี้มื้อเย็นของพวกเขาจึงเป็นข้าวผัดที่ใช้เวลาทำไม่นาน
“คุณอาแล้วใครจะมาอยู่ด้วยเหรอฮะ?” เอเลนถามขึ้นอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้
“ห้องสำหรับนายไงเจาหนู อีกหน่อยนายคงอยากมีห้องส่วนตัว” ว่าพลางเทนมให้เจ้าเยเกอร์ที่คาบชามมาหาเขาถึงหน้าตู้เย็นที่เขากำลังเทน้ำดื่ม
“อ..เอ๋?”
ทันทีที่รีไวยืดตัวขึ้นหลังจากก้มวางชามนมให้เยเกอร์ แรงกระแทกเล็กๆที่ต้นขาทำให้ชายหนุ่มหันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าตัวดีที่เข้ามากอดที่ต้นขาเขา
“...ค..คุณอา...รำคาญเอเลนหรอ?” นัยน์ตาสีมรกตช้อนมอง ใบหน้ากลมมนทำสีหน้าราวกับลูกหมาที่ถูกทิ้งจนชายหนุ่มต้องอุ้มเจ้าตัวดีขึ้นมา
“นายต่างหากที่อีกหน่อยคงจะรำคาญฉันและอยากที่จะมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวนายเอง”
ใบหน้ากลมมนส่ายหน้ารัวๆจนรีไวกลัวว่ากระดูกคอของเอเลนจะเคลื่อน เมื่อนัยน์ตาของเด็กน้อยสบมองมือเล็กโอบลำคอเขาไว้ขยำเสื้อเขาจนแน่น
“ไม่ฮะ เอเลนไม่รำคาญคุณอาแน่นอน ไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ๆ” ใบหน้ากลมมนตีสีหน้าจริงจังก่อนจะประกาศเสียงกร้าว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับแปลกใจจนหัวเราะออกมา
“คุณอา เอเลนจริงจังนะฮะ เอเลนไม่เบื่อคุณอาแน่ๆ คุณอาก็ต้องไม่เบื่อไม่รำคาญเอเลนนะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะจากสีหน้าจริงจังเริ่มเปลี่ยนเป็นออดอ้อนระคนพองลมในแก้มงอนนิดๆที่เหมือนว่าคุณอาจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ฉันเข้าใจเจ้าหนู” ใบหน้าของชายหนุ่มซุกเข้ากับไหล่เล็กของเอเลนก่อนจะโยกไปมาเพื่อปลอบใจเด็กน้อยขี้งอน ก่อนจะเดินพาทั้งเขาและเจ้าเด็กขี้งอนไปนั่งบนโซฟากลางห้องรับแขก
“นายโตแล้วนะเจ้าหนู ถ้าโตแล้วนายอาจอยากทำอะไรคนเดียวโดยไม่มีฉันก็ได้”
“ไม่เอา เอเลนจะไม่โต เอเลนจะอยู่กับคุณอา” ใบหน้ากลมมนพองลมในแก้มอีกครั้ง น้ำใสคลอที่นัยน์ตาสีมรกตที่เจ้าตัวดีพยายามกลืนก้อนสะอื้น เมื่อก่อนอาจยังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เมื่อได้อยุ่ใกล้กันมากขึ้นจากเด็กน้อยตอนนี้ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ความรู้สึกที่เขามีต่อคุณอายังคงไม่เปลี่ยน นับวันจะยิ่งมากขึ้น แต่คงเพราะยังเด็กเลยไม่เข้าใจ ที่รู้มีเพียงคนคนนี้เป็นคนที่เขาอยากรักษาไว้ไม่ให้หายไปไหน อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป
“อีกไม่นานนายก็ต้องโตเจ้าหนู แต่ถ้านายโตแล้วและยังต้องการฉันมันก็น่าดีใจ” มือของรีไวลูบลงบนผมสีน้ำตาลของเอเลนแผ่วเบา ไม่คิดว่าคำพูดของเด็กจะทำให้เขารู้สึกหัวใจพองโตได้ขนาดนี้ ถ้านายยังต้องการฉันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้มันก็คงจะดี แต่ถ้าวันหนึ่งเมื่อนายเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จากที่ได้จูงมือเคียงข้างนาย บางทีฉันอาจเพียงได้แค่เฝ้ามองดูก็เป็นได้
“แล้วห้องนั้นจะทำไง ถ้าตอนนี้นายไม่อยากอยู่อาจต้องรอถึงช่วงมัธยม”
“ไม่ฮะ ยังไงเอเลนก็ไม่อยู่ห้องนั้นจะนอนห้องเดียวกับคุณอา ยกห้องนั้นให้เยเกอร์ก็ได้” เจ้าตัวดียังคงไม่ยอมแพ้ดึงดัน อีกทั้งยังยกห้องให้เจ้าเยเกอร์ที่นั่งมองทั้งสองพร้อมทั้งส่ายหางไปมาอยู่ข้างโซฟา
“ยกให้เยเกอร์แล้วไม่กลัวน้องชายนายเหงาเหรอไง นายจะปล่อยให้เยเกอร์นอนตัวเดียวเหรอ?”
“แต่เอเลนเหงาถ้าต้องแยกห้องไปนอน เยเกอร์ยังเฝ้าบ้านคนเดียวได้เลย ถ้าให้ไปนอนคนเดียวคงไม่เป็นไรหรอฮะ”
คำเถียงข้างๆขูๆของเอเลนยิ่งทำให้ชายหนุ่มที่กำลังพยายามตีขรึมต้องกลั้นขำ ให้ตายสิตั้งแต่เจ้าเด็กนี่มาอยู่ด้วยทำให้นิสัยขี้แกล้งของเขาจะทวีคูณขึ้นทุกวัน ก็เพราะเวลาเจ้าตัวดีทำหน้างอนๆแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกอยากแกล้งชะมัด
“แล้วถ้าอีกหน่อยนายสูงขึ้นกว่านี้แล้วเตียงกว้างไม่พอจะทำยังไง?” แกล้งถามทั้งที่รู้ดีว่าเตียงนอนของเขายังไงผู้ใหญ่สองคนก็นอนได้สบาย
“..ง..งั้น..เอเลนจะเลิกกินนม เอเลนจะได้ไม่โต ไม่สูงด้วย แต่ถ้าเป็นงั้น เอเลนจะยอมลงไปนอนกับพื้นเอง” นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกพลางจ้องชายหนุ่มอย่างมุ่งมั่น ถึงขนาดจะยอมไม่กินนมทั้งที่เป็นของที่เจ้าตัวดีขาดไม่ได้แท้ๆในแต่ละวัน หมอนี่จะน่ารักเกินไปแล้ว
สุดท้ายจากเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ก็หลุดออกมาจนอีกคนที่ทำหน้าตึงเครียดได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงพลางทุบลงไปที่ไหล่ของคนที่ตนเองนั่งตักอยู่
“คุณอาใจร้าย เอเลนจริงจังนะฮะ” สองมือเล็กยังคงทุบลงบนแผ่นอกของชายหนุ่มที่พยายามหายใจลึกเพื่อให้ตัวเองได้หยุดหัวเราะเสียที
มือใหญ่ขยี้ลงบนผมสีน้ำตาลก่อนจะจูบลงไปหนักๆที่แก้มของเจ้าหนูเอเลนด้วยความหมั่นเขี้ยว ทำให้เด็กน้อยได้แต่มองอีกคนอย่างไม่เข้าใจพร้อมทั้งพองลมในแก้ม ถึงแม้จะยังสับสนแต่ที่รู้คือเขาคงโดนผู้ใหญ่คนนี้แกล้งเอาแล้วแน่ๆ
“ถ้านายไม่อยากไปนอนห้องนั้นก็ไม่เป็นไร ฉันไม่คิดบังคับนายหรอกเจ้าหนู แต่ยังไงนายก็ต้องโต”
ก่อนที่เอเลนจะอ้าปากเพื่อเถียงเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะอ้างเรื่องที่เขาโตมาทำให้ต้องแยกไปนอนคนเดียวอีก มือของชายหนุ่มก็หยิกเบาๆลงที่ปลายจมูกของเด็กน้อยที่กำลังจะอ้าปากเถียง
“ถ้านายโตเป็นผู้ชายที่ดีและเติบโตอย่างแข็งแรงจะทำให้ฉันรู้สึกดีนะเจ้าหนู และเมื่อถึงตอนนั้นถ้านายยังอยากอยุ่ข้างฉัน ประตูห้องฉันเปิดต้อนรับนายเสมอ”
เอเลนช้อนมองผู้ใหญ่ขี้แกล้งก่อนจะถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
“คุณอาอยากให้เอเลนโตเหรอ ถ้าเอเลนโตคุณอาจะไม่เบื่อและไม่รำคาญ และไม่ไล่เอเลนออกไปใช่ไหม?”
ใบหน้าของชายหนุ่มคลี่ยิ้มบาง รีไวเอื้อมไปกุมมือเล็กที่วางบนหน้าของเด็กน้อยขึ้นมากุม
“นายต้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่น่าภูมิใจได้แน่นอนเจ้าหนู และถ้าฉันเผลอปล่อยมือจากนาย นายก็วิ่งเข้ามากุมมือฉันไว้เป็นไง”
เอเลนเอียงคอมองอย่างแปลกใจ ดูเหมือนคำพูดเขาคงยากไปสำหรับเด็กประถมแต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหนูก็ยิ้มหัวเราะออกมา
“ที่ยิ้มมานั่นเข้าใจความหมายรึเปล่าเอเลน?”
เจ้าตัวดีพยักหน้ารับก่อนที่จะแปลความหมายที่ทำให้เขาถึงกับต้องกลั้นหัวเราะอีกครั้ง
“ถ้าคุณอาไล่เอเลน เอเลนจะพังประตูเข้าไปกับเยเกอร์ และตามตื้อจนคุณอาต้องยอมให้เอเลนอยู่ด้วยฮะ”
ดูเหมือนเอเลนจะกลัวว่าเขาจะทิ้งให้เจ้าตัวนอนที่ห้องใหม่ที่เพิ่งขนของมาเสร็จจริงๆ หลังจากอาบน้ำแล้วเอเลนจึงพาเยเกอร์รีบขึ้นไปทำการบ้านบนห้องแทนที่จะนั่งทำในห้องรับแขกเช่นทุกครั้ง ทำให้คนขี้แกล้งรู้สึกผิดนิดๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกดีที่เจ้าหนูเอเลนให้ความสำคัญกับเขาอย่างมากมาย
ทันทีที่ตัดสินใจจะขึ้นไปบนห้องเร็วกว่าปกติ สมาร์ทโฟนของเขาก็มีสายโทรเข้าจากเสียงเรียกเข้าที่ตั้งไว้พิเศษทำให้รู้ว่าคนที่โทรมาคือพี่สาวของเขาแม้จะไม่หยิบขึ้นมามอง
[รีไว เอเลนเป็นอย่างไรบ้าง?] หญิงสาวทักทายเสียงใสทันทีที่รี่ไวรับโทรศัพท์
[เหมือนเดิมแต่ดูเหมือนจะรู้จักงอนผมบ้างแล้ว] ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงใบหน้ากลมมนที่พองลมในแก้ม
[ไม่คิดว่านายจะเป็นคนขี้แกล้งแบบนี้ ดูเหมือนนิสัยนายจะเปลี่ยนไปนะ] เสียงหัวเราะขำขันของผู้เป็นพี่ดังออกมาจนรีไวต้องยื่นโทรศัพท์ออกไปให้ห่างจากหู
ถึงพี่เขาและคนรอบข้างจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เขาเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าตั้งแต่เอเลนมาอยู่กับเขาจนตอนนี้ 5 ปีแล้วหลายๆอย่างเปลี่ยนไปมาก แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติจนเขาไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ คนรอบข้างก็ด้วยเช่นกัน จะมีก็แต่เรื่องของผู้หญิงของเขาที่อาจมีให้มารำคาญเป็นบางครั้ง
[ว่าแต่พี่มีธุระสำคัญรึเปล่า ผมกำลังจะไปสอนการบ้านให้เอเลน] ขี้เกียจรอฟังพี่สาวพูดเรื่องไร้สาระ เขาเลยคิดจะตัดบท
[จริงสิ ฉันกำลังวางแผนว่ามัธยมอยากให้มิคาสะได้ไปเรียนในเมือง เมื่อถึงตอนนั้นคงต้องรบกวนนายด้วยนะรีไว] คำบอกเล่ากึ่งคำสั่งแกมบังคับทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธ ถึงจะปฏิเสธเจ้าพี่สาวของเขาก็ต้องหาทางยัดเยียดมาให้เขาอยู่ดี
[แล้วยัยตัวแสบนั่นจะยอมมาง่ายๆงั้นเหรอ?] มิคาสะนั่นอยู่กับครอบครัวมาตลอดๆ แล้วอยู่ๆจะให้มาอยู่กับอาที่เรียกว่าเป็นคนที่ยัยนั่นเหมือนไม่ถูกชะตาด้วยเท่าไรแบบนี้จะยอมมาแน่งั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามาแค่อาทิตย์แรกเขาต้องพายัยนั่นกลับไปหาพี่สาวเขาแล้วหรอกนะ
[ไม่ต้องห่วงจ้ะ ที่จริงเป็นคอขอของมิคาสะด้วย เธอบอกว่าพอขึ้นมัธยมอยากไปเรียนที่เดียวกับเอเลนเพื่อที่จะได้ปกป้องเอเลนได้ น่ารักใช่ไหม เหมือนเจ้าชายไปปกป้องเจ้าหญิงเลยนะ] พี่สาวยังคงพูดชมลูกสาวคนเก่งของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ แต่บางอย่างทำให้รีไวรู้สึกอยากแย้งนิดๆ
[ถ้าจำไม่ผิด มิคาสะเป็นหลานสาวไม่ใช่เหรอ แล้วเอเลนก็เป็นเด็กผู้ชาย] กว่าที่จะได้แย้งอะไรเสียงหัวเราะของพี่สาวที่ดังมาอีกระลอกทำให้เขาได้แต่เงียบปาก
[มิคาสะกับเอเลนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วนายรู้ไหมว่าแทนที่มิคาสะอยากเล่นบทเจ้าหญิง กลับยัดเยียดให้เอเลนตลอดเลย แล้วเธอก็ไปเป็นเจ้าชายไม่ก็อัศวินอะไรทำนองนั้น สงสัยจินตนาการตั้งแต่นั้นเลยทำให้มิคาสะอยากปกป้องเจ้าหญิงของเขาล่ะมั่ง น่ารักใช่ไหมล่ะลูกสาวของพี่น่ะ]
รีไวได้แต่เกาท้ายทอยตัวเอง คุณพี่ก็เข้าใจว่ามิคาสะเป็นลูกสาวอยู่แต่ทำไมมันถึงได้สลับบทกันแปลกๆอย่างนั้นแหละ? ถึงเขาจะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ดูแปลกแยกเท่าไรกับบทบาทที่มิคาสะสวมกับเอเลนที่สมัยเด็กล่ะนะ กว่าที่พี่เขาจะยอมวางสายเอเลนก็ทำการบ้านเสร็จแล้วเข้านอนไปก่อนแล้ว ชายหนุ่มมองห้องที่เพิ่งตกแต่งเสร็จวันนี้ก่อนจะส่ายศรีษะไปมา ดูเหมือนต่อให้เอเลนไม่คิดจะใช้ห้องนี้ อีกไม่นานคงมีคนมาใช้แทน
TBC.
........................................................................................................
Talk: ในที่สุดเด็กน้อยเอเลนของอิชุ้นก็โตขึ้นมาอีกหน่อย จากเด็กน้อยขี้แยตอนนี้เข้มแข็งขึ้นอีกระดับ ถ้าเขียนแล้วทุกคนรู้สึกว่าตัวละครค่อยๆพัฒนาไปด้วยกันจะยินดีมากค่ะ เพราะเรื่องนี้ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ความนึกคิดและนิสัยของตัวละครไปทีล่ะนิด ซึ่งมันอาจจะยืดเยื้อ เพราะตอนก่อนที่จะไปรักกันอยากว่าความสัมพันธ์ให้เห็นค่ะ ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ก้ำกึ่งระหว่างความรักแบบบริสุทธิ์(ความรักแบบ พ่อ แม่) และความรักแบบฉันท์ชู้สาว ตรงนี้คนเขียนพยายามเขยิบไปให้แบบเมื่อถึงตอนที่ทั้งสองคนรู้ใจตัวเองแล้วอยากให้เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้นมันเลยขยับไปอย่างเอื่อยนิดๆ หวังว่าจะไม่เบื่อกันซะก่อนนะคะ เพราะเรื่องนี้จุดยอกเลยคือการสร้างความสัมพันธ์ที่มันเริ่มมาจากเป็นคุณอา กับ คุณหลาน แถมยังเป็นคุณอาที่เป็นเหมือนพ่อเพราะเลี้ยงมาอีกด้วย การจะข้ามไปเป็นความรักในอีกรูปแบบนึงทำให้ตรงนี้ค่อนข้างยากและท้าทายมากค่ะ ไม่อยากให้รู้สึกว่าทำไมจากที่เลี้ยงดูมาถึงสับเปลี่ยนไปเป็นคนรักได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเอาจริงถ้ายึดถือตามหลักความเป็นจริงมันจะมีเรื่องของความรู้สึกผู้มีพระคุณ และความผูกพันธ์เป็นสายใยที่ตัดไม่ขาด แต่อยากให้รู้สึกว่าสำหรับตัวรีไวและเอเลนแล้ว ถ้าไม่ใช่อีกฝ่ายคงไม่รู้สึกแบบนี้ เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้เลยความสัมพันธ์ไม่วูบหวาม แต่จะพัฒนาไปอย่างช้าๆ แต่ไปวูบ แล้วเม้งๆอีกทีก็ตอนนู๋เอเลนโตกว่านี้แหละค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ และถ้าทุกคนรู้สึกว่าตัวละครมีการพัฒนาและเติบโตไปด้วยกันจะยินดีมากเลยค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
Trendy Blood (ถึงจะช้าแต่เค้าก็(พยายาม) อัพนะ)
ชอบความที่ไม่รีบเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ค่ะ ดูมีเรื่องราวความเป็นมา ค่อยๆพัฒนาทีละนิด ไม่รีบโตรีบรักกันเกินไป ค่อยๆเป็นค่อยๆไปคือดีงาม 555555555 ติดตามต่อไปค่าาา :D
ตอบลบปล. สิงมาซักพักใหญ่ๆกะแอบเข้ามาส่องบ่อยๆว่าจะอัพเมื่อไหร่แต่ไม่อยากทวง กลัวเสียความรู้สึก ไหนๆก็อัพแล้วขอเม้นบ้าง 555555555
ปล2.อยากแกล้งเอเลนบ้างงงงงงงงง ฟกดดสดวห้ฟ้ฟสว
ชอบความที่ไม่รีบเร่งพัฒนาความสัมพันธ์ค่ะ ดูมีเรื่องราวความเป็นมา ค่อยๆพัฒนาทีละนิด ไม่รีบโตรีบรักกันเกินไป ค่อยๆเป็นค่อยๆไปคือดีงาม 555555555 ติดตามต่อไปค่าาา :D
ตอบลบปล. สิงมาซักพักใหญ่ๆกะแอบเข้ามาส่องบ่อยๆว่าจะอัพเมื่อไหร่แต่ไม่อยากทวง กลัวเสียความรู้สึก ไหนๆก็อัพแล้วขอเม้นบ้าง 555555555
ปล2.อยากแกล้งเอเลนบ้างงงงงงงงง ฟกดดสดวห้ฟ้ฟสว
ขอบคุณที่เผยตัวตนและคอมเมนต์นะคะ อร๊ายยย เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปแอบกลัวคนอ่านจะเบื่อ แต่ถ้าทุกคนรู้สึกเติบโตไปเ้วยกันคือดีใจมากๆเลยค่ะ รู้สึกบรรลุเป้าหมาย //ขอบคุณมากนะคะ งือออ
ลบสู้ๆ จะรออ่านตลอด ขอช่วยต่อล่ารักด้วยจะดีมากคร่าาาา >///<
ตอบลบเพิ่งได้มาตอบ จะพยายามปั่นค่า ขอบคุณที่ติดตามนะคะ♡
ลบอ่าาาเพิ่งมาติดตามอ่านค่ะ(ชอบมากกกทุกฟิคเลย)เรื่องนี้โดนใจมากค่ะรอดูเอเลนโตนะค่ะ(ขอncสักดอกจะดีมาก555)น่ารักที่สุดรอตอนต่อไปนะค่ะ>.,<
ตอบลบอร๊ายย ขอบคุณมากๆค่ะ รอบ่มทีละนิดค่ะ เด็กใกล้โตใกล้ได้ใช้งาน(?)แล้วค่ะ ////
ลบอ่านอยู่นะคะ
ตอบลบสู้ๆ พยายามต่อไป😗😙😚😘
อ่านอยู่นะคะ
ตอบลบสู้ๆ พยายามต่อไป😗😙😚😘
ขอบคุณนะคะ จะรีบมาต่อค่ะ❤❤❤
ลบ