วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

Fic. [AU]: Attack On Titan: ล่ารักอันตราย (Part II) Chapter 9: My S.D.



Fic. [AU]: Attack On Titan: ล่ารักอันตราย (Part II)

Pairing: (Levi x Eren)

……………………………………………………………………………………..

Chapter 9: My S.D.

          "นี่ๆลูกพี่ไปชิงตัวซือเจ้มาเลยมะ?"

            คำถามของอิซาเบลทำให้ฟาร์ลันถึงกับสำลักน้ำชาที่ดื่มอยู่

            "ความคิดนั้นก็อยู่ในหัวฉันเหมือนกัน" รีไวตอบรับอย่างไม่คัดค้าน

            "นี่นายจะทำแบบนั้นจริงๆเหรอ?" ฟาร์ลันที่มองสีหน้าเพื่อนที่ตอบหน้าตายอย่างไม่เปลี่ยนแปลงขณะดูข้อมูลที่หน้าจอแลปท็อป ถ้าจะชิงตัวตั้งแต่ต้นจะให้พวกเขาช่วยสืบหาแล้วช่วยจัดการจัดฉากอลังการนั้นทำไมกัน?

            "ก็แค่คิด ฉันรู้ดีว่าตอนนี้ยังทำแบบนั้นไม่ได้" เอเลนตอนนี้ทั้งความจำเสื่อม อีกทั้งเคนนี่น่าจะเริ่มรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาบ้างแล้ว ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นอยูกับเอลวินที่มีการรัดกุมแน่นหนาน่าจะปลอดถัยกว่าอยู่กับเขา

            "ลูกพี่ดูเป็นห่วงซือเจ้มากเลยนะเนี่ย" อิซาเบลผิวปาก ไม่คิดเลยว่าผู้ชายหน้าโหดที่อยู่ๆก็โผล่มาสั่งการอีกทั้งเจ้ากี้เจ้าการโดยเฉพาะเรื่องรักษาความสะอาดจะคิดห่วงคนอื่น

            "ว่าแต่ทำไมเธอถึงเรียกเอเลนว่าซือเจ้ล่ะ?" ฟาร์ลันแปลกใจกับสรรพนามที่เด็กสาวเรียก

            อิซาเบลขมวดคิ้วมองฟาร์ลันอย่างไม่อยากเชื่อว่าคนฉลาดแบบฟาร์ลันจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด

            "นี่นายแกล้งโง่ใช่ไหมเนี่ย ก็ซือเจ้เป็นคู่ขาของลูกพี่ เป็นแฟนลูกพี่เรียกซือเจ้ก็ถูกแล้ว" คำอธิบายของอิซาเบลทำฟาร์ลันสำลักน้ำชาอีกรอบจนต้องเอาทิชชู่ขึ้นมาซับน้ำชาที่เลอะโต๊ะรับแขกในห้อง

            "จะว่าไปสมกับที่ลูกพี่เลือกเลย ถ้าไม่บอกว่าเป็นผู้ชายนี่ไม่คิดเลยนะ ออกจะสวยขนาดนั้น" อิซาเบลส่งสายตาทอเป็นประกายอย่างชื่นชม ภาพของหญิงสาวนัยน์ตาสีเขียวผมยาวที่สวนสาธารณะเธอยังจำได้ติดตา

            "เออ รีไว นายจะไม่แก้ความเข้าใจผิดของยัยนี่หน่อยเหรอ?" ฟาร์ลันกระซิบพลันส่งสายตาให้อีกคนช่วยอธิบาย

            "ที่ยัยนั่นเข้าใจก็ไม่ผิดนักหรอก คู่ขาน่ะใช่ แต่ยังไม่ใช่แฟนหรอกนะ"

            มือที่เช็ดกาแฟต้องลื่นถไลจนหัวกระแทกกับขอบโต๊ะ เดี๋ยวนะนี่เขากำลังไม่เข้าใจอะไรคนเดียวอยู่รึเปล่า?

            "ขอฉันทำความเข้าใจนิดนะ ตอนแรกนายบอกว่าเด็กที่อยู่ด้วยกันของนายหายไป ฉันเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเด็กรับใช้งานบ้านของนาย นี่นายรวมถึง..." ฟาร์ลันมองหน้าอีกคนที่สายตายังจับจ้องกับแลปท๊อปบนตัก

            "ตกลง รับใช้บนเตียงด้วยงั้นเหรอ?" รู้สึกกระดากปากที่ถาม แต่ต่อมอยากรู้มันทำงานแปลกๆ

            "อืม"

            คำตอบสั้นๆที่ไม่สะทกสะท้านทำเอาฟาร์ลันถึงกับกุมขมับแล้วหน้าถอดสี ตั้งแต่รู้จักหมอนี่มาจำได้ว่าเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องเป็นเสือผู้หญิงตัวร้าย แต่กับผู้ชายเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือการสืบข่าวของเขาจะตกหล่นไป? เอาเข้าจริงแค่หมอนี่บอกว่าให้ตามหาเด็กผู้ชายที่อยู่ด้วยกันก็แปบกใจพอดูแล้ว คนอย่างหมอนี่เปิดใจถึงขนาดให้มาอยู่ด้วยก็แปลกมากๆ เพราะคอนโดของรีไวทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นยิ่งกว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ แค่จะนอนค้างเพราะเรื่องงานก็ยากแล้ว ขนาดเขากับอิซาเบลที่ช่วยงานหมอนี่ตอนนี้ต้องมาอยู่ในอพาร์ทเมนต์นี้ แต่เด็กที่ชื่อเอเลนกลับได้เข้าไปอยู่ในห้องถัดจากรีไว ตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอยากมีเด็กรับใช้ส่วนตัวเพื่อจะได้ช่วยเรื่องทำความสะอาด แต่ไม่คิดเลยว่าจะลามไปถึงเรื่องบนเตียง แล้วทั้งที่คิดว่าที่เลือกผู้ชายเพราะคงตัดรำคาญเรื่องสาวๆ แต่กับผู้ชายหมอนี่ก็ไม่เว้น จะเรียกว่าน่าปวดหัวหรือน่ากลัวดีเนี่ย?

            ฟาร์ลันเหลือบตามองชายหนุ่มที่ยังคงจ้องหน้าจออยู่เช่นเดิม รอยยิ้มขำน้อยๆของชายหนุ่มผมสีอ่อนผุดขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นถอนหายใจ

            บางทีไอเจ้าเสือร้ายตัวนั้นอาจจะค่อยๆโดนกุดเขี้ยวเล็บไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำยังห่วงเอาจะเป็นจะตาย ไม่บอกก็รู้ว่าที่ตอนนี้สายตายังไม่ละออกจากหน้าจอแลปท็อปน่ะก็เพราะกำลังสังเกตการณ์เจ้าเด็กนั่นจากกล้องวงจรปิดที่เขาจัดการเชื่อมต่อเข้าไปในระบบของบ้าน เอลวิน สมิธ ได้อย่างแน่นอน

            "ว่าแต่แล้วนายจะเอาไงต่อรีไว?"

            ชายหนุ่มละออกจากหน้าจอแลปทอปก็จะยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้ารู้สึกสนุก

            "ละครฉากต่อไปใกล้จะเริ่มแล้ว"

 

 

 

            "อเล็กซ์ เอ๊ยเอเลน ฟังป๊ะป๋าก่อนนะจ้ะเด็กดี" ชายวัยกลางคนผู้มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงปประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และกิจการต่างๆหลายแห่งกำลังพยายามทำหน้าออดอ้อนเจ้าลูกสุนัขตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังงอนแก้มป่องไม่ยอมสบตากับเขา

            "คุณไมค์ก็อีกคน ทั้งที่ผมอุตส่าห์เชื่อใจแท้ๆ" นัยน์ตาสีมรกตมองค้อนชายหนุ่มผมทองที่มีที่ท่าไม่ต่างกันกับอีกคน เรียกได้ว่าชายวัยกลางคนสองคนกำลังพยายามทำตัวออดอ้อนเจ้าเด็กขี้งอนที่ตอนนี้รู้แล้วว่าชื่อจริงๆของตัวเองคือ เอเลน

            "เอเลนที่ป๊ะป๋าทำไปมันมีเหตุผลนะ เด็กดีช่วยฟังก่อนนะ" เอลวินดึงแขนเสื้อไมค์ตัวต้นเหตุให้ช่วยอธิบายให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นบ้าง

            "เออ ที่จริงทั้งหมดเพราะฉันเป็นต้นเหตุเองแหละ ขอโทษนะเอเลน" ไมค์ยกมือขอโทษเด็กหนุ่มเป็นการใหญ่ แต่คนที่โดนหลอกยังคงไม่หันไปมองหน้าทั้งสองที่พยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้

            "แล้วทำไมคุณต้องยัดเยียดชื่ออเล็กซ์ให้ผมด้วย ถ้ารู้ว่ามันไม่ใช่ตั้งแต่แรก พวกคุณต้องการอะไรกันแน่?" เอเลนที่ตอนนี้ยอมหันหน้ามามองทั้งสองเขม็งมองหวังเค้นคำตอบให้ได้

            เอลวินถอนหายใจก่อนจะเกาคางพลางสบสายตากับไมค์เป็นเชิงขความช่วยเหลือ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ก็คงต้องยอมเล่าอะไรให้เจ้าตัวฟังบ้าง

            "คือ ที่จริงตอนแรกที่นายต้องไปใช้ชื่ออเล็กซ์ฉันก็สับสนอยู่หรอกนะ" เอลวินส่งสายตาตำหนิให้กับไมค์ตัวต้นเหตุ ก่อนจะพยายามอธิบายต่อ

            "แต่ตอนนี้การเปลี่ยนชื่อของนายจะปลอดภัยกับตัวนายเองมากกว่า ถ้ามีคนรู้ว่านายคือเอเลน ฉันเกรงว่าเออ จะเรียกว่าไงดีล่ะ ศัตรูของทางเราจะมาทำร้ายนายเอาน่ะสิ" เอลวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะช้อนตามองเว้าวอนเด็กหนุ่ม ไม่รู้ว่าทำไมคนอย่างเขาถึงยอมมาทำตัวอ้อนเจ้าลูกหมาแบบนี้ด้วยกันนะ

            "ฉันคงบอกได้แค่นี้คือ... ป๊ะป๋าไม่อยากให้เอเลนคิดมากทั้งที่ความจำยังไม่กลับมาด้วย"

            เอเลนมองหน้าทั้งสองที่ตอนนี้สีหน้า แววตา และท่าทางสำนึกผิด ใบหน้ามนหันมองทั้งคู่สลับไปมาก่อนจะถอนหายใจ

            "อาร์มินเองก็บอกว่าพวกคุณทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องผมเหมือนกัน เอาเถอะจนกว่าความทรงจำผมจะกลับมาผมก็ยังคงเชื่อใจพวกคุณ" เอเลนยังคงเขม่นมองนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่ตอนนี้พยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้เขา

            "แต่พวกคุณไม่มีอะไรโกหกผมอีกแล้วใช่ไหม? แล้วเรื่องที่คุณเป็นพ่อบุญธรรมของผมนี่เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?" นัยน์ตาที่แข็งกร้าวของเอเลนแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนและกังวล ความทรงจำที่สูญเสียทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง ทั้งที่คิดว่ามีที่ยึดเหนี่ยว แต่ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงทำให้เขาเริ่มสับสน

            เอลวินวางมือลงบนผมสีน้ำตาลของเด็ฏหนุ่มก่อนจะจ้องมองแววตาสับสนของเอเลนที่มองตรงมา

            "มีแค่เรื่องนี้ที่ฉันอยากให้นายเชื่อใจเอเลน พวกเราไม่คิดร้ายกับนายจริงๆ แล้วเรื่องลูกบุญธรรม ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้นายยอมรับ"

            สองมือของเอลวินจับมือขอเด็กหนุ่มมาทาบทับที่ใบหน้าของตนเอง ใบหน้าสุขุมส่งยิ้มบางเบาอ่อนโยนให้กับเด็กหนุ่ม

            "เอเลนจะยอมเชื่อใจป๊ะป๋าคนนี้ได้บ้างไหม? แล้วจะยอมยกโทษให้ได้รึเปล่า?" ชายวัยกลางคนพยายามส่งเสียงออดอ้อนเจ้าตัวดีที่ยังคงทำหน้างอใส่เขา

            เอเลนชะงักกับท่าทางของเอลวินชั่วครู่ ทั้งที่แต่แรกเขารู้สึกไม่คุ้นชินกับการเรียกคนคนนี้ว่าคุณพ่อ แต่พอมาแทนตัวเองว่าป๊ะป๋าแบบนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าคนนี้ใส่ใจเขาเหมือนลูกจริงๆ

            "ถ.... ถ้า ป๊ะป๋า บอกว่าให้เชื่อใจ ผมก็จะเชื่อใจดูอีกครั้ง" ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อ ทั้งที่ไม่คุ้นชินกับการเรียกคนนี้ว่าพ่อแต่พอเป็นคำว่าป๊ะป๋าเขากับรู้สึกอยากลองเรียกดูบ้าง

            ถึงแม้คนที่เรียกจะรู้สึกอายและกระดากปากเล็กนน้อยแต่ตอนนี้คนถูกเลี้ยงกำลังหัวใจเต้นโครมคราม ใบหน้าสุขุมขึ้นสีระเรื่อราวกับเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลพราวระยับราวกับต้องกระทบแสง

            "....... เอเลน... ช่วยเรียกใหม่อีกรอบได้ไหม?" สองมือของเอลวินกอบกุมกระชับมือของเด็กหนุ่มอย่างวิงวอน

            เอเลนก้มหน้างุด ใบหน้าที่ขึ้นสียิ่งสุกปลั่งขึ้นก่อนจะพยายามอ้าปากให้เอ่ยสิ่งที่อีกฝ่ายต้อง

            "ป.... ป๊ะป๋า"

            "เก่งมากเด็กดีของป๋า!!!"

            เพียงเท่านั้นชายวัยหลางคนที่ตอนนี้จิตใจราวกับฤดูใบไม้ผลิโผล่เข้ากอดภูติตัวน้อยด้วยความดีใจ ใบหน้าที่มักมีสีหน้านิ่งแล้วยิ้มน้อยๆตอนนี้ยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันครบทุกซี่ เอเลนได้แต่ก้มหน้างุดซุกกับไหล่ของคนที่ตนเรียกว่าป๊ะป๋า ทั้งรู้สึกอายและหัวใจเต้นแรงด้วยความดีใจระคนอบอุ่นอย่างที่รู้สึกโหยหา

            "ในที่สุดเธอก็ยอมเรียกฉันคำนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจเป็นพ่อของนายฉันก็รอคำนี้มาตลอด" เอลวินหัวเราะร่าก่อนจะเข้าไปจับเจ้าลูกตัวดีหอมแก้มทั้งซ้ายขวา ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากมนของเจ้าตัว

            "นายก็ยกโทษให้ฉันด้วยใช่ไหมเอเลน?" ไมค์ที่รอจังหวะอยู่นานเอ่ยถามขึ้นบ้าง

            เอเลนที่ยังคงก้มหน้างุดได้แต่พยักหน้า ตอนนี้เขารู้สึกคำพูดถูกกลืนหายเข้าไปในท้อง จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ ตอนนี้เขาก็รุ็สึกดีกับการที่ในที่สุดก็ยอมรับครอบครัวแปลกๆแบบนี้ได้ล่ะมั่ง ถ้าความทรงจำกลับมาแล้วเขาก็หวังว่าความสุขตอนนี้คงไม่หายไป

            "ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไร แต่ก็คงต้องขอบใจรีไวล่ะนะที่ทำให้ฉันได้บอกความจริงกับนายได้ในที่สุด" เอลวินตบลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู

            จริงสิ รีไว ผู้ชายคนนั้น คนที่ทำให้รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในห้วงความคิดและในอกข้างซ้ายจนจุกแน่น

            "คุณรีไว คนนั้นผมจะได้เจอเขาอีกไหม?"

            เอลวินหรี่ตามองอย่างรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้อุตส่าห์ได้รับการยอมรับเป็นป๊ะป๋าแล้ว ถ้าจะเป็นคุณฑ่อหหวงลูกทันที เกรงว่าเจ้าลูกตัวดีที่เพิ่งยอมรับเขามาหมาดๆจะเปลี่ยนใจงอนเขาอีกระรอบ แต่ถึงยังไงไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องพาเอเลนไปเจอรีไวอยุ่ดี ด้วยแผนการทางการตลาดที่รีไวบีบบังคับ และการเปิดตัวที่สวนสาธารณะแบบนั้นจะให้บริษัทอยู่เฉยคงทำไม่ได้

            "อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะได้ทำงานร่วมกัน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ตอนนี้ดูสภาพแขนกับขาของนายที่เพิ่งถอดเฝือกออกดีกว่า"

            คิดแล้วยังเจ็บใจอยู่ลึกๆ ทั้งที่เอเลนเพิ่งถอดเฝือกได้มานานแต่โดนรีไวจับอุ้มพาดบ่าแล้วกระโดดผาดโผนขนาดนั้น ถ้าเอเลนกระดูกเคลื่อนอีกรอบจะทำไง เพราะความใจร้อนบุ่มบ่ามของหมอนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่เขาไม่ยอมบอกเรื่องเอเลนให้เจ้านั่นรู้ตั้งแต่แรกด้วยล่ะนะ

            ปากที่อยากเอ่ยถามถึงคนชื่อรีไวนั่นอีกครั้งปิดลง ลางสังหรณ์ของเอเลนรู้สึกว่าเรื่องของผู้ชายที่ดูอันตรายแบบนั้นเขาควรหาคำตอบด้วยตัวเอง เป็นความรู้สึกพิเศษที่อยากค้นหาด้วยตัวเอง ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับคนอื่นๆที่เขาพบเจอตอนนี้ ถ้าความทรงจำยังคงอยู่ เขากับคนคนนั้นมีความสัมพันธ์แบบหนกัน? เรื่องนี้เขาอยากพิสูจน์ให้แน่ใจด้วยตัวเอง.....

 

           

            ห้องสตูดิโออาคารสำนักงานของบริษัทเสรีภาพกำลังถูกเหล่าผู้ชำนาญการตกแต่งแปลงโฉมสตูดิโอถ่ายรูปธรรมดาให้เป็นฉากบัลลังค์สีดำทมิฬที่มีหนามแหลมและหัวกะโหลกหลายล้อม ใต้ฐานเป็นแท่งคริสตัลสีนิลและสีแดงจำนวนมากวางเรียงราย

            “คอนเซปต์เอลวินแฟนซีขึ้นเยอะ แต่ฉันสนับสนุนเต็มที่เลย!” ฮันซี่ตาเป็นประกาย เสียงหญิงสาวดังก้องทั่วสตูดิโอภาพถ่ายในการจัดสรรฉากประดับตกแต่งต่างๆให้เป็นระเบียบ

            เพราะคอนเซปต์ Fell Love Fell Desire Make Blind เป็นคอนเซปต์ค่อนข้างใหญ่ตีความได้หลากหลาย แล้วอีกทั้งตัวแบบเมนหลักทั้งสองคนของคอนเซปนี้ยังจะต้องเก็บเป็นความลับที่สุด ดังนั้นการโปรโมทเป็นแนวแฟนตาซีเพ้อฝันที่ดูจับจ้องไม่ได้จะยิ่งทำให้ขับเสน่ห์ของคอนเซปต์และเป็นข้ออ้างเรื่องของนางแบบและนายแบบที่ไม่อาจเผยตัวตนได้อีก

            “คุณฮันซี่เดี๋ยวผมช่วยคุมตรงนี้ต่อเอง คุณลองไปตรวจคอสตูมของแบบทั้งสองคนก่อนเข้าฉากดีกว่านะครับ” อาร์มินเข้ามารับช่วงต่อ เรื่องคอนเซปต์และรูปแบบงานเป็นผลงานของฮันซี่ การให้หญิงสาวไปจัดการตรวจสอบความเรียบร้อยทั้งหมดก่อนเข้าฉากจะได้ทำให้งานออกมาเรียบร้อยที่สุด

            ฮัน๊ซ่พยักหน้ารับก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่ายเป็นการบอกว่า ฝากด้วย หญิงสาววิ่งไปยังห้องแต่งตัวของนายแบบคนแรก เมื่อเปิดประตูเข้าไปฮันซี่ยิ่งส่งสายตาเป็นประกายวาววับอย่างถูกใจกับท่าทางเย็นชาและรังสีอาฆาตที่ปล่อยออกมาของคนที่กำลังแต่งตัว

            “รีไวนายเหมาะมาก อารมณ์นี้เลยจ้าวแห่งนรกลูซิเฟอร์!!” ฮันซี่ตรงดิ่งเข้าไปสำรวจคอสตูมชุดหนังของเพื่อนอย่างสนุกสนาน

            รีไวตอนนี้ถูกจับแต่งชุดคอสตูมโค๊ทหนังผ่าอกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นลอนกำยำน่าลูบไล้ ปีค้างคาวสีดำขอบแดงขนาดใหญ่ถูกติดกลางหลังของชายหนุ่ม เครื่องประดับสีเงินและทับทิมสีแดงประดับลงบนชายหนุ่มให้สมกับเป็นจ้าวแห่งปีศาจทั้งมวล

            “ยัยวิปริตเลือกคอนเซปธรรมดากว่านี้ไม่เป็นรึไง?” คนถกจับใส่ชุดกระตุกหัวคิ้วถี่ๆด้วยความไม่สบอารมณ์ ไอชุดบ้านี้ทั้งร้อนทั้งหนัก อีกทั้งหน้ายังไงก็ต้องใช้ผ้าพันแผลปิดอยู่แล้วไม่รู้ทำไมถึงต้องให้เขาใส่คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสีตาเป็นสีแดงด้วยกัน

            “ไว้นายเห็นเอเลนก่อนเถอะ แล้วจะขอบคุณฉัน” ฮันซี่ไม่สะทกสะท้านกับอาการหงุดหงิดของอีกฝ่าย ตอนนี้หมอนี่หงุดหงิดแบบนี้เธอยังรู้สึกเข้าใกล้ง่ายกว่าตอนที่เจ้าหมอนี่ไม่รู้ชะตากรรมของเอเลนล่ะนะ

            “จะว่าไปเรื่องของเอเลน ตอนนี้นายมีว่าที่พ่อตาที่เฮี๊ยบสุดๆแล้วสินะ ฮุ ฮุ” ฮันซี่ปิดปากหัวเราะด้วยใบหน้าล้อเลียน

            “ไอเจ้าคิ้วหนานั่นอยู่ๆก็ส่งข้อความมาบอกว่า ฉันไม่ยอมยกลูกที่น่ารักให้นายหรอก” แล้วตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะตอบกลับเจ้าหมอนั่นก็ส่งเรื่องเกี่ยวกับการสมานกระดูก ข้อควรระวัง ระยะเวลาการพักฟื้นมาให้เต็มหน้าจอ จากที่ตั้งใจแค่จะส่งข้อความกลับเลยเป็นโทรไปหาเจ้านั่น จากน้ำเสียงที่ดูเป็นตาลุงวัยสี่สิบที่มีความสุข นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกคันไม้คันมืออยากเฉือนไอเจ้าหัวทองจอมฉวยโอกาสที่เอเลนความจำเสื่อมทิ้งจริงๆ

            หลังจากได้หยอกล้อจนพอใจฮันซี่ก็เดินไปอีกฝั่งที่เอเลนกำลังแต่งตัวอยู่เช่นกัน เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอผู้ปกครองจอมฉวยโอกาสที่คอยคุมลูกคนใหม่ป้ายแดงอยู่ในห้อง

            “ทำไมต้องให้เจ้าหนูของฉันใส่แบบนี้ไปให้หมอนั่นดูด้วยนะ!” เสียงเอลวินบ่นระงมราวกับหมีกินผึ้ง คนที่อยู่ในห้องมาสักพักเริ่มถอนหายใจแล้วให้คุณพ่อมือใหม่ได้แต่บ่นอย่างหัวเสียง ถึงจะบ่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นงานที่มีผลพลอยได้ต่อธุรกิจ เอลวินจึงได้แต่มองให้ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป

            “เอเลนชุดนี้เหมาะกับนายมาก!” ฮันซี่สำรวจเครื่องแต่งกายของเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเช่นเดิม

            “เออ... คุณฮันซี่ครับ ไอนี้มันจำเป็นจริงเหรอ?” เอเลนชี้ที่หน้าอกของตัวเองที่ตอนนี้มีหน้าอกปลอมขนาดคัพซีแปะอยู่ จะว่าก็ว่าเถอะ เขารู้สึกเหมือนจะเคยเจอสถานการณ์แปลกๆแบบนี้มาก่อน

            “ดีนะที่ฉันหล่อแบบไว้เยอะจากคีรั้งที่แล้ว ผ่าบนผ่าล่างขนาดนี้หน้าอกคัพซีนี่เหมาะที่สุดแล้ว”

            ไอความรู้สึก เดจาวู นี่คืออะไร? เอเลนได้แต่มองหน้าอกปลอมคัพซีที่เด้งดึ๋งไปมาของตัวเองสลับกับมองหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้มีสีหน้าสนุกสนาน

            “ของนายเพราะเปิดตัวว่าเป็นนางแบบล่ะนะ เลยต้องแปลงโฉมแบบนี้ แต่อันที่จริงฉันว่านายเองก็คงชินแล้วล่ะเพราะไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย”

            คำอธิบายของฮันซี่ไม่ได้ช่วยให้เอเลนรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย แต่ยิ่งเพิ่มความรู้สึกสงสัยแปลกๆให้อีกต่างหาก ตกลงเอเลนที่คนเหล่านี้รู้จักมีงานอดิเรกชอบแต่งหญิงงั้นเหรอ? ไม่ๆๆๆ ต้องไม่ใช่แน่ๆ อะไรบางอย่างของเขาบอกว่าไม่น่าจะเป็นจากความชอบส่วนตัวของเขาแน่นอน แล้วทำไมถึงต้องเคยชินกับการแต่งหญิงล่ะ หรือเพราะต้องมาเป็นนางแบบให้กับคุณเอลวินอยู่บ่อยครั้ง? แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณเอลวินถึงได้คัดค้านจนเหล่าผู้ช่วยต้องอธิบายและนั่งกล่อยนานหลายชั่วโมง? ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ตกลงว่านี่เป็นรสนิยมของเขาจริงๆเหรอ? แต่ไอความรู้สึกปะล้ำปะเหลื่อแบบนี้จะอธิบายว่ายังไงดีล่ะ?

            “เอาล่ะฉันอธิบายคอนเซปให้รีไวฟังแล้ว เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เธอฟังด้วยนะเอเลน” ฮันซี่ค่อยๆทาอายแชโดว์ลงบนเปลือกตาของเด็กหนุ่ม ต่อให้มีคนช่วยแต่งมาบ้างแล้ว แต่เพราะยังไม่ถูกใจผลสุดท้ายเธอจึงจัดการขอเก็บรายละเอียดงานของเด็กหนุ่มเอง

            “เราจะแบ่งการถ่ายทำออกเป็นเซตนะ จะเป็นภาพเดี่ยวแล้วก็ภาพคู่ แน่นอนว่าภาพของเอเลนทั้งหมดจะถ่ายเฉพาะด้านหลังไม่ให้เห็นหน้าเช่นเดิมกับครั้งก่อน คราวนี้มีความเป็นแฟนตาซีขึ้นคือลูซิเฟอร์ที่โดนนางฟ้าล่อลวง สินค้าที่จะออกมาเพี่มเติมในคอลเลคชั่นีน้เป็นน้ำหอม เราจึงเน้นไปที่ความเป็นมนต์สะกดของเสน่ห์ที่ได้เพียงกลิ่นก็หลงใหลจนจอมวายร้ายยังยอมสยบ”

            ฮันซ่ทุบอกตัวเองด้วยความภูมิใจกับคอนเซปต์ที่เธอเป็นตัวตั้งตัวตีในการคิดขึ้นมา

            “ปกติมันน่าจะเป็นปีศาจที่ล่อลวงไม่ใช่เหรอครับ?” เอเลนถามด้วยความแปลกใจกับคอนเซปต์ ในหนังสือหรือพวกคัมภีร์ที่เขาอ่านส่วนใหญ่ต้องเป็นฝ่ายปีศาจที่ล่อลวงสิ

            ฮันซี่จิ๊ปากพร้อมทั้งแกว่งนิ้วไปมา

            “นั่นล่ะประเด็น เสน่ห์ที่แม้แต่คนที่คอยหลอกลวงคนอื่นยังยอมสยบแล้วสุดท้ายก็โดนล่อลวงซะเองยังไงล่ะ”

            เอเลนพยักหน้ารับเข้าใจ  เสน่ห์ที่แม้แต่ยังล่อลวงปีศาจได้รู้สึกเป็นคอนเซปต์ที่เซ็กซี่จนทำให้รู้สึกว่าตัวเขาช่างไม่เหมาะเอาเสียเลย...

            เหมือนคนที่กำลังช่วยแต่งหน้าให้จะรู้ เมื่อลงริมฝีปากสีสดเรียบร้อยหญิงสาวจึงวางมือลงบนไหล่ของเด็กหนุ่ม

            “ไม่ต้องห่วงคอนเซปต์นี้เหมาะกับนายที่สุดแล้ว ก็เพราะนายทำให้ซาตานถึงกับหัวปั่นไม่รู้ตัวได้ยังไงล่ะ”

เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของหญิงสาวดังลั่นทันทีที่พูดจบ เอเลนได้แต่มองคนตรงหน้าตาปริบๆอย่างแปลกใจ แต่ในเมื่อเชื่อมั่นเขาขนาดนี้เขาก็หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่จะว่าไปชักเริ่มรู้สึกแปลกๆว่าทำไมเวลาจะได้เจอกับคุณรีไวทีไรเขาถึงต้องเจอในสภาพของเด็กสาวทุกทีสิน่า

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเหล่าช่างภาพและเจ้าหน้าที่ต่างเตรียมตัวตามจุดต่างๆที่ได้รับมอบหมาย รีไวที่แต่งตัวเสร็จก่อนจึงได้แต่นั่งปล่อยรังสีทมึนอยู่ในสตูดิโอ และมันยิ่งทำให้สตูดิโอที่ตอนนี้แปลงฉากเป็นบัลลังค์ของจอมซาตานยิ่งดูน่าขนลุกยิ่งขึ้น

“ไอเจ้าพวกนั้นท้องเสียรึไง!?”” คนที่เริ่มจะหมดความอดทนเริ่มบ่นรำคาญ อาร์มินที่คอยช่วยสั่งงานในสตูดิโอได้แต่ชำเลืองมองแล้วยิ้มขำ

“มาแล้วๆ”

เสียงแปดหลอดของฮันซี่ดังออกมาจากหลังฉาก คนที่ความอดทนกำลังถึงขีดสุดจึงลุกพรวดเตรียมอ้าปากตำหนิคนชักช้า แต่เมื่อเห็นร่างที่อยู่ด้านหลังคำพูดและอารมณ์หงุดหงิดพลันถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ

เอเลนถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นนางฟ้านงเยาว์ ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางล้อมรอบด้วยผมสีน้ำตาลยาวสยาย ที่ศีรษะมีช่อดอกไม้และเทียร่าคริสตัลประดับ ชุดสีขาวแนบตัวที่ราวหลุดออกมาจากภาพวาดเทพีเทพกรีก แผ่นหลังมีปีกสีขาวพิสุทธิ์สวมใส่ จอมซาตานที่นั่งรออยู่นานได้แต่ตะลึงงัน จนเอลวินที่มองจึงเดินเอาตัวมาบังวิสัยทัศน์

“นายถ่ายภาพเดี่ยวไปบ้างแล้วใช่ไหม ต่อไปเป็นฉากของเอเลน ถ้าไม่ใช่ภาพคู่รักษาระยะห่างไว้บ้างเป็นไง?” เอลวิน สมิธ คุณพ่อป้ายแดงเขม่นมองชายหนุ่ม วางมาดกีดกันอย่างเห็นได้ชัด

“ไอเจ้าหัววิกแกจะอินกับบทเป็นพ่อของหมอนั่นเกินไปรึเปล่า?” รีไวเขม่นมองกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ไอตาลุงวัยสี่สิบนี่นึกคึกอะไรที่อยู่ๆก็มาเล่นบทพ่อหวงลูกขนาดนี้

“ในเมื่อเอเลนยอมรับแล้วนายจะว่าอะไรก็ว่าไป นี่ฉันยังไม่ยกโทษเรื่องนายพาเอเลนไปกระโดดตีลังกาแบบนั้นอยุ่นะ”

“ฉันก็ยังไม่ยกโทษเรื่องที่นายปิดบังว่าเอเลนอยู่กับนายเหมือนกัน”

ผู้ใหญ่ทั้งสองในสตูดิโอต่างส่งสายตาไม่ยอมแพ้ให้แก่กัน ฮันซี่ และอาร์มิน  จึงเริ่มต้นสั่งงานคนอื่นๆเพื่อให้งานได้เริ่มเสียที ถ้ามัวแต่ใส่ใจไอพวกหวงก้างทั้งคู่แบบนั้นวันนี้คงไม่ต้องทำงานกันพอดี

เอเลนเดินเข้าฉากไป แม้จะดูเก้ๆกังๆอยู่บ้านแต่เด็กหนุ่มก็ทำได้ดี แล้วเมื่อเริ่มคุ้นชินกับการเป็นแบบขึ้นบ้างดูเหมือนเจ้าตัวก็สนุกกับการถ่ายรูปไม่น้อย

“เป็นไงผลงานของฉันชอบไหม?” ฮันซี่เดินมาพิงพนังด้านหลังมองการถ่ายแบบของเด็กหนุ่ม โดยรีไวนั่งแสตนบายรอ

“......”

เสียงพึมพำของรีไวที่จ้องไปยังเอเลนตาไม่กระพริบ ยิ่งทำให้ฮันซี่โน้มตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มมากขึ้นเพื่อจับใจความ

“....น่าฟัดชะมัดอีหนูเอ๊ย...”

ฮันซี่ไถลตัวลงไปกับพื้นทันทีที่ได้ยินประโยคพึมพำของรีไว ให้ตายสิหมอนี่จะรู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไปขนาดไหน........ จอมซาตานที่ถูกเปลี่ยนแปลงเพราะหลงเสน่ห์ไปอย่างไม่รู้ตัวนี่เหมาะกับนายจริงๆรีไว..... ฮันซ่ได้แต่คิดในใจแล้วพยายามกลั้นขำ

เมื่อถึงฉากที่ทั้งสองต้องถ่ายด้วยกัน เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายฮันซี่จึงจัดการลากคุณพ่อมือใหม่ป้ายแดงออกนอกสตูดิโอ โดยมีไมค์ที่รออยู่ข้างนอกเป็นคนช่วยดึงออกไป

รีไวนั่งบนบัลลังค์ที่ถูกจัดไว้ เอเลนยืนอยู่ด้านหลังโน้มตัวลงมากอดชายหนุ่ม ช่างภาพจึงเริ่มรัวชัตเตอร์เมื่อเห็นว่าแบบทั้งสองพร้อมแล้ว

กลิ่นหอมจางๆจากตัวเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้เพียงแค่ปลายจมูกทำให้รีไวเริ่มรู้สึกเคลิ้ม มือที่ตั้งใจไว้ว่าจะวางไว้เฉยๆจึงเพลอยกไปจับใบหน้ามนที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก เอเลนหันมองชายหนุ่มตามแรงดันของฝ่ามือที่อีกฝ่ายบังคับให้หันเข้าหา นัยน์ตาสองสีที่สอดประสานทำให้เอเลนรู้สึกใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ...

อีกแล้วพอสบมองตาของคนคนนี้ทีไรทำไมถึงรู้สึกแปลกๆกัน ทั้งอยากวิ่งหนีไปจากตรงนี้ แต่ก็อยากเข้าไปใกล้ให้มากขึ้นเช่นกัน

“ดูเหมือนฉันจะความอดทนต่ำอย่างที่เจ้าพวกนั้นว่า” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างหูยิ่งทำให้เอเลนรู้สึกตัวร้อนผ่าว ใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อยิ่งสุกปลั่งอย่างไม่รู้สาเหตุ

รีไวจับใบหน้าของเด็กหนุ่มให้โน้มเข้าหาตนมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มสั่นระริก

ผลั๊วะ!!

“ยังไงฉันก็ไม่ไว้ใจ ขออยู่ดูในนี้แล้วกัน!

ประตูสตูดิโอเปิดออ กพร้อมเอลวินที่เข้ามาด้วยความเป็นห่วง แล้วเมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่ใบหน้าของเอเลนอยู่ห่างจากรีไวไม่ถึงหนึ่งเซ็นติเมตร ทำให้คนหวงลูกรีบตรงดิ่งเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน ไมค์ที่วิ่งตามมาในสตูดิโอจึงต้องช่วยกันยื้อทั้งสามให้ออกห่างจากกัน แล้วกว่าที่การถ่ายทำจะเสร็จก็กินเวลาไปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้....

บางทีการที่คนอย่าง เอลวิน สมิธ ไม่แต่งงานแล้วมีลูกเป็นของตัวเองคงเป็นการดีแล้วกับการที่ดูจะเป็นห่วงและหวงเกินกว่าเหตุของเจ้าตัว...

 

ทันทีที่การถ่ายทำสิ้นสุดเอเลนถูกจับเปลี่ยนชุดแล้วโดนผู้ปกครองจอมหวงพาไปที่ลานจอนรถโดยไม่มีการร่ำลาทันที

“คุณเอลวิน แบบนี้มันจะไม่เสียมารยาทเหรอครับ?” เอเลนร้องท้วงเมื่อถูกดึงดันพาออกมากจากสตูดิโอโดยไม่มีการกล่าวลา

“ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าพวกนั้นไม่ถือหรอก แต่นายกำลังไม่พอใจเหรอ?” เอลวินเอ่ยถามกลับเสียงอ่อย

เอเลนขมวดคิ้วไม่เข้าใจจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยเพิ่มเติม

“ก็นายเรียกฉันว่า คุณเอลวิน ไม่เรียกว่าป๊ะป๋า ฉันทำให้นายไม่พอใจอะไรรึเปล่า?”

นอกจากจะหวงและห่วงลูกป้ายแดงของเขาแล้ว เอลวินยังมีอาการขี้เห่ออย่างน่าตกใจ เอเลนจึงได้แต่ทำตาปริบๆก่อนจะหัวเราะออกมา

“โธ่ เปล่าเลยครับ ผมแค่ไม่สะดวกที่จะเรียกแบบนั้นกลางที่สาธารณะ แต่ถ้าอยู่ที่บ้านคงไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มใจอ่อนกับท่าทีของพ่อบุญธรรม แม้จะยังไม่ชินแต่เขาก็เริ่มคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เลว ถึงจะเสียดายที่ยังไม่ได้คุยหรือถามอะไรกับคนชื่อ รีไว แต่เขาก็ไม่อยากทำลายความปรารถนาดีของคนเอาใจใส่เขาแบบนี้

“ถ้างั้นฉันจะรีบพานายกลับบ้านเลยเอเลน” เอลวินยิ่งได้รู้สาเหตุยิ่งกุลีกุจรหากุญแจรถยนต์ ใครจะว่ายังไงเขาก็ไม่สนหรอก แต่ชายวัยสี่สิบกว่าอย่างเขาที่เพิ่งเคยมีลูกเป็นครั้งแรกแบบนี้เขาก็อยากตักตวงความสุขนี้ไว้ให้มากที่สุดล่ะนะ

บรื๊น บรื๊น!

เสียงของเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่วลานจอดรถ เสียงเครื่องยนต์ที่เริ่มดังชัดขึ้นทำให้เอลวิน เอเลน และไมค์หันไปมอง เพียงชั่วพริบตาเดียว บิ๊คไบค์สีแดงสดก็พุ่งทยานเข้ามาใกล้พวกเขาก่อนที่ชายผู้ซึ่งสวมหมวกกันน๊อคสีดำจะคว้าตัวเอเลนไปอย่างรวดเร็ว

เอลวิน และไมค์ต่างงุนงงไปชั่วครู่ เมื่อได้สติจึงรีบเรียกรปภ. จับผู้ต้องส่งสัย ทันทีที่สายด่วนต่อตรงเข้ากับระบบรปภ. เสียงคลื่อนแทรกก็ดังขึ้น

“เฮ้ เอลวินนายได้ยินใช่ไหม?” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เอลวินและไมค์ต่างหยุดชะงักอีกครั้ง

“ฉันขอขโมยตัวเอเลนไปก่อน แต่สัญญาว่าจะพาไปส่งบ้านอย่างแน่นอนนะเจ้าพ่อหอมหวงเอ๊ย!” เมื่อพูดจบสัญญาณวิทยุตัดทันทีไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้กลับ

“รีไว นายคิดว่ามอไซค์มันจะเร็วกว่ารถยนต์รึไง!” ดีที่วันนี้เขาเลือกเอีรถแลมโบกีนี่ย์มาใช้ มาลองดูกันหน่อยว่าใครจะเร็วกว่ากัน

“คุณพ่อจอมหวงฉันแนะนำว่าอย่าขับไอเจ้านั่นไปดีกว่านะ” อิซาเบลที่ซ่อนตัวอยู่เดินออกมาพร้อมกับฟาร์ลันที่ในมือมีสายไฟอยู่หลายเส้น

“พอดีพวกเราเพิ่งตัดสายเบรก สตร์ท เกียร์ของพวกนายน่ำ ถ้ายังไงก็ไม่ขับคงจะดีกว่า”

ฟาร์ลันโชว์สายไฟต่างๆที่อยู่ในมือให้ชายหนุ่มผมทองดู ไมค์ได้แต่เกาผมของตน ส่วนเอลวินเรียกว่าแทบจะวิญญาณหลุดออกจากร่าง....

“ให้ซือเจ้เขาปรับความเข้าใจกับลูกพี่บ้าง รู้ไหมว่าวันหนึ่งลูกก็ต้องโบยบินด้วยปีกของตัวเอง” อิซาเบลทำท่าปลอบใจตบลงบนบ่าใหญ่ของเอลวิน

หมอนั่น... รีไว นี่นายกำลังแก้เผ็ดฉันอยู่ใช่ไหม!!!!

 

เอเลนที่ยังคงงงงวยพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว ชายปริศนาที่ลักพาตัวเองมาคนนี้ตกลงใช่คนที่เขากำลังคิดรึเปล่า?

เหมือนอีกฝ่ายจะรู้สิ่งที่เขาคิด กระจกกั้นจึงเปิดออกเผยให้เห็บใบหน้าคมคายของชายหนุ่ม นัยน์ตาสีขี้เถ้าเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์จับจ้องไปที่ถนน ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเหลือบมองมาที่เขาอยู่เป็นระยะ เพราะอยู่ๆก็ถูกอุ้มขึ้นมอเตอร์ไซค์ แทนที่เขาจะเป็นคนซ้อนท้ายอยู่ด้านหลัง ตอนนี้กลายเป็นว่าเขานั่งอยู่ด้านหน้าโดยมีชายหนุ่มคร่อมขับมอเตอร์ไซค์อยู่ด้านหลัง

“อ... เออเรากำลังไปที่ไหนกันงั้นเหรอครับ?” ไม่รู้ว่าเพราะเสียงลมรึเปล่าเลยทำให้อีกฝ่ายไม่ได้ยินจึงไม่ตอบเขา แต่ว่าอยู่ใกล้กันขนาดนี้จะไม่ได้ยินที่เขาถามเลยหรือไง? แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสนใจตอบเขา เอเลนจึงนั่งอยู่เฉยๆแล้วให้อีกคนนำพาไปอย่างที่ต้องการ

 

กระแสลมลดความเร็วลงก่อนจะจอดลงที่อาคารสีขาวที่เหมือนถูกปล่อยทิ้งร้างมานาน ทางเข้ามามีรั้วสีน้ำเงินที่ตอนนี้ผุพังจนมีสนิมและหญ้ารกขึ้นรายล้อม อาคารสีขาวสองชั้นมีรอยแตกร้าว สนามหญ้าที่ไม่ได้รับการดูแลมีหญ้าขึ้นรกรุงรัง หน้าต่างบางบานเปิดทิ้งไว้ บางบานก็เหลือเพียงแค่กรอบ

“เออ... คุณรีไว คุณจะมาทดสอบความกล้าเหรอ?” เอเลนเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ตอนนี้เรียกว่าเป็นหัวค่ำแล้ว แสงไฟมีส่องให้เห็นบ้างจากริมถนน ถ้ามาตอนกลางวันคงไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ดูยังไงนี่ก็บ้านผีสิงชัดๆ

คนถูกถามไม่ตอบเพียงแต่เดินนำไปทางประตูทางเข้า

“เดี๋ยว คุณจะเข้าไปในนี้จริงๆเหรอ!

เมื่อบิดประตูดูเหมือนภายในจะล๊อค

“คงเข้าไปไม่ได้แล้วงั้นเรากลับกันเถอะครับ”

ก่อนที่จะได้หายใจอย่างทั่วท้องเสียงโครมก็ดังขึ้น พร้อมทั้งประตูที่เปิดออกโดยที่สลักกลอนพังทลาย พร้อมทั้งฝ่าเท้าของชายหนุ่มเป็นตราประทับบนบานประตู

เออ คุณรีไว ทำไมคุณดูคุ้นชินกับการทลายประตูขนาดนี้ เคยไปทลายประตูที่ไหนเป็นประจำรึเปล่าครับเนี่ย!?

“อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวสิ!” เอเลนรีบวิ่งตามเข้าไปติดๆ ต่อให้เขาไม่อยากเข้าไอบ้านผีสิงนี่ก็เถอะ แต่ถูกทิ้งไว้ข้างนอกคนเดียวแบบนี้เขาก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน

สมาร์ทโฟนเปิดเข้าสู่โหมดไฟฉาย รีไวกวาดสายตามองล้อมก่อนจะถือวิสาสะรื้อลิ้นชักต่างๆออกมาจนกระทั่งพบเทียนไข ชายหนุ่มจึงจัดการจุดเทียนไขวางไว้ตามที่ต่างๆเพื่อให้ความสว่างไสว ก่อนจะมองหาที่ที่สามารถนั่งได้ จนไปสะดุดกับเปียโนสีขาวหลังใหญ่ที่ถูกผ้าคลุมไว้อย่างดี คงมีแต่เจ้านี่ที่ฝุ่นน้อยที่สุดแล้ว ชายหนุ่มดึงผ้าคลุมเปียโนฝุ่นหนาออก ที่นั่งและเปียโนยังคงดูดีอยู่ไม่น้อย เมื่อลองกดลงบนคีย์บอร์ดเสียงเมโลดี้ยังคงกังวานใส

“เออ ตกลงคุณมาที่นี้ทำไมเหรอ?” เอเลนลองถามอีกครั้ง ถึงแม้จะคิดไว้แล้วว่าคนลักพาตัวเขามาคนนี้จะไม่ยอมตอบ

“นาย.... เห็นที่นี้แล้วนึกอะไรออกบ้างไหม?” แทนที่จะได้รับคำตอบ อีกฝ่ายกลับถามเขากลับมา

เอเลนมองสำรวจรอบๆบ้านอีกครั้ง จากคำพูดของชายหนุ่มเดาได้ว่าเขาน่าจะเคยอยู่ที่นี้มาก่อน แต่ทำไมถึงได้ไม่รู้สึกคิดถึงหรือผูกพันเอาเสียเลย ใบหน้าหวานจึงหันสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะส่ายหน้าช้าๆปฏิเสธ

“คิดไว้อยู่แล้วว่านายคงนึกไม่ออก แต่เอาเถอะ” รีไวจับผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มเบาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้หน้าเปียโน

“สถานที่นี้คงไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสำหรับนายเท่าไร....” นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องลึกไปยังนัยน์ตาสีมรกตของอีกฝ่ายราวกับกำลังค้นหาคำตอบ แต่อยู่ๆรีไวก็ถอนหายใจเสียอย่างนั้น

“นายเคยเป็นเด็กกำพร้าของที่นี้ แต่สถานที่นี้ไม่ใช้สรวงสวรรค์ของเด็กๆ นายโชคดีที่ได้เจอกับคนดีรับนายไปดูแล และเป็นโชคดีของเด็กคนอื่นๆที่หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของที่นี้ก็ถูกเปิดโปงแล้วจับกุม”

เอเลนรู้สึกประหลาดใจกับคนที่ไม่พูดมาตลอดทาง ตอนนี้กลับพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเขามากมาย

“ขอโทษด้วย คุณอุตส่าห์พามาแต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย” เด็กหนุ่มก้มหน้าสำนึกผิด

“เปล่าหรอก ฉันก็แค่อยากหาเวลาอยู่กับนายตามลำพัง โดยเฉพาะเอานายออกมาจากไอเจ้าขี้เห่อจอมหวงนั่นด้วย” ไม่คิดเลยว่าต้องมาทำอะไรยุ่งยากขนาดนี้

“เออ ผมสงสัย คุณกับผมมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?” กับคนอื่นๆที่เขาพบเจอไม่มีใครที่เขารู้สึกติดใจเท่าผู้ชายคนนี้ ความรู้สึกที่หลากหลายทำให้อยากรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นยังไงกัน?

“แล้วนายคิดว่ายังไงเจ้าหนู?”

“ผมจะไปรู้ได้ไงในเมื่อผมจำอะไรไม่ได้!” ใบหน้ามนมองค้อน ถ้าเขารู้เขาจะถามทำไม ตกลงคนนี้อยากช่วยเขาหรือตั้งใจกวนประสาทเขากันแน่ ทั้งเรื่องจูบนั่นอีกตกลงเป็นการล้อเล่นงั้นเหรอ?

“ต่อให้นายจำได้มันก็อาจยังไม่มีคำตอบ”

เอเลนขมวดคิ้วจนเป็นปม นี่ความสัมพันธ์ของเขากับไอคนกวนประสาทนี่มันลึกลับซับซ้อนขนาดนั้นเลยเหรอ?

“แล้วตอนนี้นายรู้สึกยังไงล่ะเอเลน?”

เด็กหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะกรอกตาครุ่นคิด เริ่มคิดแล้วสิว่าตกลงคนความจำเสื่อมเป็นเขาหรือไอหมอนี่กันแน่ เอาแต่ถามคำถามเขาอยู่ได้

“ถ้าให้ตอบตอนนี้คุณมันเป็นคนที่กวนประสาทชะมัด”

คำตอบของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายจนเอเลนต้องหันไปดู ชายหนุ่มที่ทำหน้าเฉยชามาตลอดกำลังหัวเราะกับคำพูดของเขาทำไมกัน?

“ฮ่า ฮ่า นายนี่น่าสนใจชะมัด ต่อให้จำอะไรไม่ได้ก็ยังคงเป็นนายอยู่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะนะ” ชายหนุ่มลูบคีย์บอร์ดเปียโนไปมาก่อนจะหันไปสบตากับเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“ถ้าจะให้บอก นายเป็น My S.D. ของฉันล่ะนะ”

แล้วตกลงไป S.D ของคุณพี่คืออะไรล่ะครับ? เอเลนที่ได้แต่กร่นดาอยู่ในใจไม่กล้าเปิดปากถามออกไป เหมือนอะไรบางอย่างจะบอกว่าต่อให้ถามไปเขาก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี เด็กหนุ่มเลยถามเรื่องที่นอกเหนือจากตัวเขา

“แล้วคุณน่ะ เล่นเปียโนเป็นเหรอ เห็นสนใจเจ้านี้ตั้งแต่เข้ามา” เห็นลูบๆคลำๆ อีกทั้งยังลองดีดคีย์บอร์ดตั้งหลายครั้ง

“เมื่อก่อนสมัยที่อยู่บ้านเด็กกำพร้าเหมือนนายฉันเคยเล่นอยู่ แต่ไม่ได้เล่นนายแล้วล่ะนะ” รีไววางมือทาบลงบนคีย์บอร์ดราวกับจะลองดีดดู

“นายอยากลองฟังไหมล่ะเจ้าหนู พิเศษเพื่อนายเลย”

เอเลนพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เปียโนสีขาวหลังใหญ่มากขึ้น

นิ้วเรียวของชายหนุ่มกดลงบนคีย์จังหวะเมโลดี้เสียงใสค่อยๆออกมาเป็นทำนองเสนาะหู แม้จะเก้ๆกังและไม่ได้พริ้มเหมือนมืออาชีพ แต่คนที่ห่างหายไปนานแล้วนับว่าเล่นได้ดี

เมโลดี้ทักทอเป็นทำนองเพลงคลอเบาๆช้าๆที่เขารู้สึกคุ้นหูเหมือนน่าจะเคยได้ยินมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

“อิซาเบลบอกว่าเพลงนี้กำลังเป็นที่นิยม ฉันว่ามันก็เหมาะกับตอนนี้ดี”

ท่วงทำนองเพลงที่เนิบนาบหยุดลง ก่อนดนตรีจะกังวานใสและหนักขึ้น เอเลนที่ฟังจึงเข้าใจว่าเป็นท่อนฮุค แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจคือเสียงเพลงที่ร้องคลอออกมาแม้จะเบาจนเสียงเปียโนกลบ แต่เพราะทั้งอาคารนั้นเงียบสนิทจึงได้ยินอย่างชัดจน

เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน
และยังไม่รู้สุดท้ายจะไปสิ้นสุดที่ไหน
ที่ได้พบเธออีกครั้ง ก็ยังไม่รู้เลย

ไม่รู้เธอว่ายังรออยู่ไหม
รู้แค่เพียงว่าใจยังรอแต่เธอตรงนี้
แม้เวลาในความเป็นจริง จะผ่านเป็นปี
แต่ใจมันหยุดที่เดิม
เมื่อเธอคือวันเวลาที่หาย
และอะไรๆ มันดูว่างเปล่าเหลือเกิน
กลับมาได้ไหม กลับมาได้ไหม
กลับมาเป็น My S.D. ให้กับฉัน” (เพลงเวลาที่หายไป -1011)

ไม่รู้ว่าตอนนี้เสียงเปียโนยังดังอยุ่ไหม เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าเสียงหัวใจดังก้องในโสตประสารทเสียจนเขากลัวมันจะหลุดออกมา แล้วตัวเขาที่ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาสีขี้เถ้าที่ตอนนี้หยุดร้องเพลงไปแล้วแต่จ้องมองมาที่เขา อีกทั้งเหงื่อที่ไหลซึมและความรู้สึกอุณหภูมิร่างกายที่ขึ้นสูงนี่ เขากำลังจะเป็นไข้งั้นเหรอ!!?

“ฉันอุตส่าห์ร้องให้นายฟัง แล้วนายก้มหน้าแบบนั้นได้ฟังรึเปล่าเจ้าหนู” คนถามสาวเท้าเข้ามาใกล้ คนที่ก้มหน้าจึงก้าวถอยหลังตามจังหวะคนที่ก้าวเข้ามา

เมื่อเห็นท่าทางก้มหน้าไม่พูดไม่จา อีกทั้งพอเดินก้าวเข้าไปหาเจ้าตัวก็พยายามถอยหลังก้าวหนีเขาแบบนี้ คนความอดทนต่ำกับบางเรื่องจึงเร่งฝีเท้าแล้วคว้าเจ้าตัวดีที่ได้แต่ก้มหน้าให้เงยสบมองตาตัวเอง แต่เมื่อเจ้าตัวดีไม่ยอมเงยหน้ามองเขาดีๆ ชายหนุ่มจึงใช้กำลังบังคับใบหน้ามนให้ขึ้นสบตาเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อและแววตาที่ทำเหมือนกับจะร้องไห้น้อยนั่นทำให้เขารู้สึกแปลกๆกับอกซ้ายไม่ต่างกัน

“โฮ่ ปฏิกิริยาไม่เลวนี่เจ้าหนู”

ตอนแรกมีมารผจญแต่ตอนนี้เขาที่อยู่กับเอเลนสองต่อสองถ้าจะฉวยโอกาสนี้ไว้ก็คงไม่แปลก คิดแบบนั้นชายหนุ่มจึงดันหลังคอของอีกฝ่ายให้โน้มเข้าหาตัวเองมากขึ้น เมื่อรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายริมฝีปากช่างเอาแต่ใจจึงขยับเข้าหากลีบปากนุ่มของอีกฝ่าย

ผัวะ!!

กำปั้นหลุนๆชกเข้าที่หน้าท้องของรีไว แน่นอนว่าไม่มีมือที่สามเพราะตอนนี้มีกันแค่สองคน เพราะงั้นอีกฝ่ายเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...

“นี่นายทำอะไรของนายเจ้าหนู?” เพราะฝึกร่างกายมาดีแม้จะโดนกำปั้นของเจ้าเด็กนี่เขาก็ยังคงยืนอยู่ได้อย่างสบาย

“ข... ขอโทษ ครับ มันไปเอง!!

“นี่นายจำอะไรไม่ได้หรือว่าแกล้งความจำเสื่อมอยุ่รึไง?”

“ผมจำไม่ได้จริงๆ แต่อยู่ๆร่างกายของผมมันก็เป็นไปอย่างนั้นเอง” ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อแก้ตัวเป็นพัลวัน ทั้งที่เขาคิดว่ากำลังจะโดนชายหนุ่มจูบแน่ๆ แต่ต้องเรียกว่าด้วยสัญชาตญานล่ะมั่งอยุ่ๆเขาก็ชกเขาไปที่ท้องของอีกฝ่าย

“ตอนปกตินายไม่เคยชกฉันอย่างนี้เลยนะเจ้าหนูอ แบบนี้คงต้องลงโทษกันหน่อยแล้ว” ไม่ว่าเปล่าริมฝีปากของอีกฝ่ายพยายามจู่โจมเข้าหาเด็กหนุ่มทัน

ผลั่ก!

สองมือของเอเลนยันคางชายหนุ่มให้งายเงิบ ใบหน้าหวานยังคงขึ้นสีระเรื่อพร้อมใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

“แว๊ก!! ขฮโทษครับ ขอโทษ มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติอ่ะ” เอเลนกล่าวขอโทษอีกครั้งพลางเข้าไปดูชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง

เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ แต่อยู่ๆร่างกายมันก็ดันคุณรีไวออกไปเอง แล้วไอหัวใจที่เต้นโครมครามนี่เมื่อไหร่จะหยุดสียที แล้วไหนจะความรู้สึกร้อนผ่าวจนเหมือนตัวเองเป็นไข้รุมๆนี่อีกล่ะ

“พ... ก็ ....เ.....พ..เพราะคุณรีไวเล่นร้องเพลงบ้าๆแบบนั้นน่ะแหละ แบบนี้จะเรียกยังไงดีล่ะ ผมเขินจนรู้สึกตัวจะแตกอยู่แล้ว!!

เด็กหนุ่มรีบเอามือปิดปากตัวเอง เมื่อกี้คือความในใจของเขางั้นเหรอ นี่เขากำลังเขินอยู่สินะ แว๊กกก พอรู้อย่างนี้แล้วเหมือนตัวจะระเบิดให้ได้เลย!!

“นาย เขินสินะ” ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“เพื่อช่วยให้นายเลิกเขิน ฉันจะจูบนายจนกว่านายจะชินเลยเจ้าหนู”

รีไวประกาศกร้าว เอเลนที่ได้ฟังคำประกาศนั้นได้แต่มองด้วยใบหน้าที่น้ำตาคลอนิดๆ แล้วเกมไล่ล่าจับเจ้าตัวดีมาจูบในบ้างร้างก็เริ่ม ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่พาเจ้าลูกหมานี่มาที่บ้านร้างเพราะทั้งแจกัน กรอบรูป หนังสือ ที่อยู๋รอบๆถูกนำมาขว้างปาเป็นอาวุธทั้งสิ้น ให้ตายสิพอหมอนี่ความจำเสื่อมแล้วดูเหมือนจะทำให้กล้าต่อกรกับเขาถึงขนาดทำร้ายร่างกายเขาแบบนี้เลยสินะ หรือเพราะว่าเขาไปทำให้หมอนี่เขินจนเผลอไปกดสวิตฉุกเฉินในตัวหมอนี่เข้าแล้วรึเปล่า? กว่าที่เสียงตึงตังจะจบลงเล่นเอาทั้งสองเหนื่อยหอม รีไวที่ทั้งตัวมีรอยแผลทั้งฟกช้ำจากสิ่งของที่ขว้างมา รอบข่วนและรอยฟันที่จับเจ้าตัวดีไว้ได้ ส่วนเอเลนได้ริมฝีปากที่บวมช้ำเพราะอีกฝ่ายรุกเร้าจูบเขาตั้งไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ลิ้นร้อนที่เกี่ยวกระหวัดเข้ามาราวกับจะแย่งลมหายใจไปจากเขา แล้วไหนจะรอยฟันที่ขบเขาที่ริมฝีปากล่างบอกว่าเป็นการเอาคืนนั้นอีก ความรู้สึกและสัญชาตญาณของเขาคงถูกจริงๆคนคนนี้เป็นคนอันตราย ทั้งที่รู้ว่าอันตรายแล้วควรจะต้องถอยหนี แต่ทำไมสุดท้ายแล้วเขาจึงเดินเข้าหามาแบบนี้กัน!!

หลังจากที่ริมฝีปากที่ระดมจูบเจ้าตัวดีนานหลายชั่วโมงผละออก ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายที่พยายามหอบเอาอากาศหายใจเข้าปอด นิ้วเรียวเช็ดคราบน้ำลายที่เปรอะเลอะอีกฝ่าย ให้ตายเถอะ เขาสาบานได้เลยถ้าหมอนี่ไม่ความจำเสื่อมล่ะก็เขาคงจับเจ้าตัวเอาลงบนหลังเปียโนแล้วจับขาที่ทั้งเตะแล้วถีบเขานั้นแยกออกจากกันแล้วแน่ๆ.... เอเลนถ้านายความจำกลับมาเมื่อไหร่ ฉันสัญญาว่าจะคิดทบดอกเบี้ยให้นายไม่กล้าความจำเสื่อมอีกครั้งเลยคอยดู

 

 TBC.
...........................................................................................
Talk: ต่อแล้วค่ะ ให้ยาวแบบสะใจกันไปเลย ตอนแรกว่าจะตัดเป็นสองตอน แต่อัพทีเดียวเลยละกันค่ะกลัวขไม่มีเวลาอัพตอนต่อ ขอโทษที่ดอง ขอโทษที่นาน แก้ตัวด้วยตอนต่อยาวๆตอนนี้นะคะ
ปล. อย่าเอาสาระเช่นเคย
ขอแปะเพลงที่เป็น Ref. สำหรับตอนนี้ค่ะ คือไปเที่ยวแล้วรถตู้เปิดเพลงงนี้พอฟังแล้วรู้สึกมันใช่ มันโดน เลยเอามาใส่เลยค่ะ(เป็นฟิคตามอารมณ์ล้วนๆ)
 

4 ความคิดเห็น:

  1. น่าฟัดจังงงอีหนูเอ๊ยย
    อร๊ายยยย ฟินประโยคนี้อ่ะะะ
    รีบต่อนะคะะะะ พลีสสสส

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มันเป็นความรู้สึกของเฮียที่ไม่คิดจะปิดบังค่ะ ฮาๆ

      ลบ
  2. ชอบมากๆเลยคะ!!!><!มาต่อไวๆนะค้าาาเป็นกำลังใจให้จร้าา^^

    ตอบลบ