วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Attack On Titan Fan fic.: Lessons of love: Lesson 4

Attack On Titan Fan fic.: Lessons of love
Pairing: (LevixEren)
Story By: Trendy Blood
………………………………………………………………………………………………..
Lesson 4:

 
“นายเอาผ้าเช็ดหน้าไปแล้วใช่ไหมเอเลน?” รีไวเอ่ยถามระหว่างคล้องกระติกน้ำลายซุปเปอร์ฮีโร่สีเหลืองให้เอเลนสะพาย
“เรียบร้อยฮับ มีทั้งผ้าเช็ดหน้าแล้วก็ทิชชู่ในกระเป๋าเลยฮะ” เด็กน้อยยกแขนรายงานด้วยเสียงที่ดังระคนตื่นเต้น
รีไวจัดเสื้อปกกะลาสีและผ้าพันคอซึ่งเป็นเครื่องแบบโรงเรียนอนุบาลให้กับเอเลน เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงสวมหมวกกะลาสีที่มีตราสัญลักษณ์หญิงสาวผมหยักศกสวมมงกุฎหันข้างลงบนศีรษะสีน้ำตาลของเด็กชายตัวน้อย เอเลนเอื้อมมือขึ้นเมื่อชายหนุ่มยืนเต็มความสูง มือหนาจูงมือเล็กของเด็กชายตัวน้อยก่อนจะจัดการล็อกประตูห้องพักที่ตอนนี้เป็นบ้านของพวกเขาทั้งสองคน
หลังจากอยู่ด้วยกันมาเกือบสองเดือนในที่สุดเอเลนก็จะได้เริ่มเรียนหนังสือโรงเรียนใหม่ที่พี่สาวของเขาและเอลวินต่างจัดการเป็นธุระให้ โรงเรียนอนุบาลมาเรียเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเครือธุรกิจของตระกูลสมิธ อีกทั้งโรงเรียนในเครือนอกจากจะมีโรงเรียนระดับชั้นอนุบาลมาเรียแล้วยังครอบคลุมไปถึงโรงเรียนระดับประถมศึกษาโรส และโรงเรียนมัธยมศึกษาชินะ ถ้าเอเลนมีผลการเรียนที่ดีพอและสม่ำเสมอจะทำให้สามารถบรรจุเข้าเรียนในระดับชั้นต่างๆได้โดยไม่ต้องสอบเข้าใหม่ให้ยุ่งยาก อีกทั้งโรงเรียนในเครือของตระกูลสมิธ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนประถมโรส หรือ โรงเรียนมัธยมชินะ ล้วนเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและผลการแข่งขันการสอบเข้าในอัตราที่สูงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ เรียกได้ว่าเขาและเจ้าหนูนี่โชคดีที่รู้จักกับคนในทำให้มีสามารถเข้าเรียนชั้นอนุบาลกลางคันได้แบบนี้ ถึงจะใช้เส้นสายแต่เอเลนก็ต้องสอบเข้าอยู่ดีและคะแนนการสอบเข้าของเจ้าหนูนี่ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังเพราะสามารถทำให้ติดอันดับที่ห้าในสิบท็อปคลาสอย่างสบาย และเพราะอย่างนั้นสุดท้ายแล้วเรียกได้ว่าเอเลนสอบเข้าได้ด้วยความสามารถของตัวเอง
โรงเรียนอนุบาลมาเรียอยู่ห่างจากบริษัทของรีไวไปเพียงแค่สองสถานี การเดินทางไปรับเอเลนหลังจากกลับจากบริษัทจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพราะใช้เวลาเดินทางแค่สิบห้าถึงยี่สิบนาทีเท่านั้น เมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจนถึงออกจากสถานี รีไวจึงอุ้มเอเลนแทนการจูงมือเพราะเวลานี้เป็นชั่วโมงเร่งรีบทำให้คนพลุ่งพล่านอยู่ในสถานีจำนวนมาก การอุ้มเอเลนจึงช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น และทำให้เขากับเด็กชายตัวน้อยไม่พลัดหลงกัน เมื่อเดินขึ้นมาจากสถานีที่คนเริ่มเบาบางลงเขาจึงวางเอเลนลงเพื่อจูงมือเล็กนั้นเหมือนเดิม
ออกจากสถานีเพียงแค่ห้านาทีก็จะมองเห็นกำแพงอิฐสีขาวและรั้วไม้ระแนงสีขาวที่กั้นระหว่างสนามหญ้าของโรงเรียนกับถนนทางเดินด้านนอก ประตูรั้วสีไม้เปิดรอรับเหล่านักเรียนชั้นอนุบาลที่ผู้ปกครองพากันมาส่ง คุณครูในชุดเครื่องแบบเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปักตราโรงเรียนและคาดด้วยผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อนต่างออกมารอรับเหล่านักเรียนและผู้ปกครองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีครับ นี่ใช่เอเลนที่เข้ามาใหม่เทอมสองรึเปล่า?” ชายหนุ่มผมสั้นสีทองเข้ามาทักทายกับรีไวก่อนจะก้มลงพูดคุยกับเด็กชายตัวน้อยที่มองหน้าเขาตาไม่กระพริบ
“ก่อนจะถามคนอื่นแนะนำตัวเองด้วยสิครูนานาบะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไว้หนวดและมีผมสีทองหม่นแสกกลางเขกลงบนหัวสีทองของอีกคน
“ขอโทษครับครูไมค์” นานาบะหันไปผงกหัวให้กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดเครื่องแบบเช่นเดียวกับตน ก่อนจะผงกหัวขอโทษชายหนุ่มอีกคนที่เป็นผู้ปกครองของเอเลน
“ผมครูนานาบะรับผิดชอบห้องกระต่าย ส่วนอีกคนคือครูมิเกะรับผิดชอบห้องลูกเจี๊ยบของเอเลนครับ” นานาบะยื่นมือทักทายชายหนุ่ม รีไวจับมือตอบกลับก่อนจะแนะนำตัวเองเช่นกัน
“ผมรีไว คุณเอลวินคงแจ้งรายละเอียดไว้แล้วขอฝากด้วยแล้วกันนะครับ”
นานาบะได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับคนที่เป็นผู้ปกครองของหนุ่มน้อย อย่างที่ได้รับแจ้งมาจากเอลวิน สมิธ ผู้เป็นนาย ว่าผู้ปกครองคนนี้เป็นคนที่พูดน้อยและไม่ค่อยจะอธิบายอะไรจริงๆ
“เอเลนนายต้องเชื่อฟังครูไมค์และครูนานาบะ แล้วตอนเย็นฉันจะมารับ เข้าใจนะเจ้าหนู?”
เด็กชายตัวน้อยผงกหัวตอบรับพร้อมทั้งยิ้มกว้างให้กับรีไว ชายหนุ่มจึงตบเบาๆที่หมวกกะลาสีที่เอเลนสวมใส่ นานาบะมองการกระทำของคนพูดไม่เก่งแล้วต้องแอบกลั้นขำน้อยๆ ถึงจะพูดไม่เก่งกับคนอื่นแต่ดูเหมือนกับเด็กในโอวาทท่าทีของรีไวจะเปลี่ยนไป บางทีเจ้าตัวคงไม่สังเกตเรื่องนี้ของตัวเอง
 
หลังจากฝากฝังเอเลนไว้ที่โรงเรียนอนุบาลเรียบร้อย รีไวจึงเดินทางไปยังบริษัท เมื่อเข้าไปในออฟฟิศเหล่าพนักงานที่คุ้นเคยต่างทำหน้าราวกับเสียดายที่เห็นเขาเพียงแค่คนเดียว เรียกได้ว่าภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์เอเลนเป็นที่ชื่นชอบและสีสันให้กับพนักงานในออฟฟิศได้เป็นอย่างดี เมื่อคุ้นเคยเด็กน้อยจะพยายามวิ่งเข้าหาเหล่าพนักงานคนอื่นๆเพื่อถามไถ่ให้เขาช่วยเหลืองาน และนั่นก็ทำให้เหล่าพนักงานในออฟฟิศต่างเอ็นดูเด็กชายกันมาก ทั้งที่แต่เดิมเอเลนจะค่อนข้างดูตื่นตระหนกกับเหล่าคนแปลกหน้ารอบตัว อีกทั้งจากสิ่งที่เคยได้รับในอดีตทำให้เจ้าหนูเป็นคนไม่กล้าแสดงออกอยู่บ้างและไม่กล้าเรียกร้องเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่เมื่อสภาพแวดล้อมต่างๆที่เปลี่ยนแปลงเหมือนจะช่วยเยียวยาจิตใจของเจ้าหนูนั่นได้บ้าง ทำให้เอเลนนั้นรู้จักที่จะแสดงท่าทางและอารมณ์มากยิ่งขึ้น และมันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจเพราะเขาเองก็เป็นคนที่แสดงอารมณ์ไม่เก่งเช่นกันเพราะการเติบโตในสถานกำพร้าและสิ่งต่างๆที่เขาเจอมาทำให้เขาเองต้องเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร เมื่อมาเจอเอเลนเขาจึงอยากให้เจ้าหนูได้ใช้ชีวิตความเป็นเด็กได้อย่างเต็มที่
 
“เอเลนไปโรงเรียนแล้วจริงๆสินะ เศร้าชะมัด” ฮันซี่เดินเข้ามาทำสีหน้าราวกับเสียของรักไปเมื่อเห็นว่าวันนี้โซฟารับแขกในออฟฟิศไร้ซึ่งวี่แววของเด็กชายตัวน้อย
“หมอนั่นก็มีหน้าที่ของหมอนั่น ส่วนเธอก็ควรทำหน้าที่ของเธอซะยัยเพี้ยน” รีไวโยนพิมพ์เขียวเครื่องยนต์ที่กำลังรอการตรวจสอบให้กับหญิงสาว
“อะไรกัน นายไม่ห่วงเอเลนบ้างเหรอไง?” ฮันซี่ทำท่าทางตัดพ้อเมื่อเห็นอีกคนยังคงง่วนอยู่กับงานบนโต๊ะเหมือนปกติ พิมพ์เขียวถูกวางคืนลงบนโต๊ะชายหนุ่ม สองมือวางทับหน้าเอกสารที่รีไวกำลังอ่านจนชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมามอง วิศวกรสาวที่กำลังตีสีหน้าจริงจัง
“นายคิดดูสิเอเลนน่าห่วงจะตาย ไหนจะต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ ไหนจะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอีก ถ้าเอเลนเป็นแผลจะทำยังไง แล้วเอเลนน่ารักแบบนั้นถ้าโดนแกล้งล่ะ แล้วไหนจะ...”
ป๊าบ!
ก่อนที่ฮันซี่จะได้สาธยายไปมากกว่านี้รีไวจึงจัดการเอาแฟ้มงานฟาดลงบนใบหน้าที่ตีสีหน้าจริงจังบรรยายความวิตกกังวลเกินกว่าเหตุนั้นให้ฟัง
“สงบสติได้รึยังยัยบ้า?” รีไวเอ่ยถามก่อนจะดึงมือเก็บแฟ้มวางไว้บนโต๊ะตามเดิม
“ฉันส่งเอเลนไปโรงเรียนอนุบาลไม่ได้ไปค่ายกักกันที่เอาท์วิช”
“ถึงอย่างนั้นก็น่าห่วงอยู่ดี” ฮันซี่ยังคงแสดงสีหน้าจริงจังด้วยความเป็นห่วง
เห็นอย่างนั้นชายหนุ่มจึงเลิกสนใจคนช่างพล่ามและกลับมาจัดการงานบนโต๊ะของตนเองต่อ และปล่อยให้อีกคนพูดจนเบื่อแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองในที่สุด
รีไวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตนเองที่ตอนนี้บอกว่าใกล้ถึงเวลาพักกลางวันแล้ว ช่วงพักแอบไปดูหมอนั่นบ้างคงไม่เป็นไร ไม่ได้วิตกเพราะคำพูดจากยัยวิศวกรสาวจอมเพี้ยนหรอกนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ตัวติดกับเอเลนตลอดเวลา พอต้องยกกันเพราะหมอนั่นไปโรงเรียนทำให้เขาเองอดห่วงไม่ได้เช่นกัน
 
เมื่อถึงเวลาพักกลางวันชายหนุ่มไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปที่โรงเรียนอนุบาลทันที เมื่อมองผ้านรั้วสีขาวของสนามหญ้าจะเห็นอาคารหลังเล็กที่เป็นห้องเรียนต่างๆของโรงเรียนอนุบาล รูปสติกเกอร์ลายสัตว์ต่างๆถูกแปะไว้หน้าห้อง โดยมีสัญลักษณ์ตามแต่ละห้องไปทั้งรูปลูกเจี๊ยบ กระต่าย แมว หมี ยีราฟ การจำแนกระดับชั้นจำแนกตามสีของผ้าพันคอ อนุบาลหนึ่งสีน้ำเงิน อนุบาลสองสีแดง และอนุบาลสามสีเขียว โชคดีที่ห้องเรียนของเอเลนอยู่ติดกับสนามหญ้าทำให้รีไวสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆผ่านประตูกระจกที่กั้นอยู่ได้
ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่อเห็นว่าเอเลนดูเป็นปกติสุขดี อีกทั้งเหมือนจะได้รู้จักเพื่อนใหม่เช่นกัน เพราะนิสัยที่ชอบยิ้มแย้มอยู่แล้วเลยทำให้เอเลนเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ไม่ยาก เพราะมาช่วงพักกลางวันโรงเรียนอนุบาลจึงเป็นช่วงที่เด็กๆรับประทานอาหารกลางวันเช่นกัน เหล่าเด็กตัวเล็กต่างทานอาหารในถาดของตนอย่างเอร็ดอร่อย เอเลนที่มาอยู่กับเขาได้สักพักทำให้รู้ว่าเจ้าหนูเป็นคนกินง่ายและไม่มีของที่แพ้ เลยทำให้เขาไม่ห่วงเรื่องอาหารการกินที่โรงเรียนของเจ้าหนูเท่าไรนัก เมื่อเห็นว่าเอเลนสามารถทานได้อย่างไม่อิดออดและทานได้จนหมด จะมีที่เห็นแล้วรู้สึกแปลกๆก็คือเด็กชายผมสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาทะเล้นที่นั่งข้างๆเอเลนที่พยายามตักของในจานตัวเองให้กับเจ้าหนู อีกทั้งยังให้นมกล่องในถาดของตัวเองกับเอเลนอีกแบบนั้น ดูยังไงเจ้าเด็กนั่นก็ไม่น่าวางใจเลยสักนิด
“คิดแล้วว่านายต้องแอบมาดูรีไว” เสียงคุ้นเคยเอ่ยทักขึ้น เมื่อรีไวหันกลับก็เห็นเอลวิน ยกมือทักทายอยู่ข้างหลัง
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี้?” รีไวเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
“ฉันก็ห่วงเอเลนเหมือนกัน อีกอย่างพอเอเลนไม่อยู่ในออฟฟิศเงียบเหงาน่าดู” เอลวินยิ้มตอบ สายตาพลางสอดส่องเหล่าเด็กๆที่ตอนนี้ทานอาหารเสร็จแล้วกำลังจัดเตรียมที่นอนสำหรับนอนกลางวันกัน
“ดูเหมือนหมอนั่นจะเข้ากับคนอื่นได้ดี”
เอลวินถูคางไปมาพลางมองเพื่อนสนิทของตน
“นายตัดสินใจถูกแล้วล่ะที่รับเอเลนมาอยู่กับนาย”
รีไวเลิ่กคิ้วมองอีกคนอย่างสงสัย แต่เอลวินเพียงแค่ยิ้มและไม่สนใจสีหน้าที่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย แม้จะรู้อยู่แล้วว่ารีไวแม้เป็นพวกแสดงออกไม่เก่งแต่ก็มีความใส่ใจคนอื่นอยู่ไม่น้อย แต่กับคนที่แสดงออกไม่เก่งแบบนั้นกลับพยายามทำให้เด็กน้อยที่ไม่แสดงอารมณ์พยายามแสดงตัวตนออกมา อีกทั้งยังใส่ใจอย่างออกนอกหน้าแบบนี้ เรียกได้ว่าการอยู่ด้วยกันของทั้งสองคนต่างช่วยกันพัฒนากันและกันก็ได้
 
“เดี๋ยวสิฉันไม่ใช่คนน่าสงสัยสักหน่อย!!
เสียงดังแปดหลอดที่คุ้นหูทำให้ทั้งรีไวและเอลวินต่างมองหาต้นเสียงแล้วต้องกุมขมับ เมื่อภาพที่เห็นคือวิศวกรสาวสุดเพี้ยนกับแว่นตาดำพร้อมทั้งผ้าที่พยายามพันปิดบังหน้าตาตนเองร้องเอะอะโวยวายเมื่อถูก รปภ.ของโรงเรียนอนุบาลจับกุมตัว
“ไม่น่าสงสัยตรงไหนหล่อนมันน่าสงสัยสุดๆเลยล่ะสิไม่ว่า” นานาบะที่ออกมาเพราะเสียงเอะอะยืนกอดอกมองอีกคนด้วยแววตาหาเรื่อง
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันรู้จักกับเอเลน แค่อยากมาดูเพราะเป็นห่วงเฉยๆ” ฮันซี่พยายามแก้ต่างให้ตัวเอง
“ไม่รู้หรอกนะว่าเธอรู้จักเด็กโรงเรียนเราได้ยังไง แต่เธอไม่ใช่ผู้ปกครอง ถ้าไงไว้ไปคุยกันที่โรงพักแล้วกันนะคุณคนโรคจิต”
ก่อนที่ฮันซี่จะโดนลากไปโรงพักจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เอลวินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้าเพื่อไกล่เกลี่ย เมื่อนานาบะเห็นเอลวิน สมิธ ผู้เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารในเครือช่วยยืนยันคนน่าสงสัย ชายหนุ่มผมทองสั้นจึงยอมที่จะให้ รปภ. ปล่อยฮันซี่จากการจับกุม
“ทำตัวสมเป็นยัยโรคจิตจริงๆยัยเพี้ยน” รีไวที่เห็นสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบมองคนที่ชื่อว่าเป็นเพื่อนร่วมงานด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย
“อะไรเล่า ก็ฉันเป็นห่วงเอเลน นี่ก็แค่ตั้งใจว่าจะมาแอบดูเฉยๆไม่ได้ทำตัวลับๆล่อๆสักหน่อย” ฮันซี่โวยวายอย่างหงุดหงิด นี่เธออุตส่าเอาผ้าพันคอปิดบังใบหน้าเพราะหวังว่าจะไม่รบกวนกิจกรรมของเด็กๆแล้วเชียว ไม่คิดเลยว่าจะโดนจับเพราะกลายเป็นคนน่าสงสัยไปซะได้
เริ่มเข้าใจเหตุผลที่ยัยเพี้ยนนี่ไม่มีแฟนมากขึ้นอีกข้อ อยากรู้จริงว่าใครจะทนยัยวิปริตแบบนี้ไหว....
หลังจากหาอะไรทานแล้วกลับไปทำงานช่วงบ่าย ช่วงเย็นรีไวจึงขอตัวรีบออกจากที่ทำงานเพื่อไปรับเอเลนก่อนเวลาเลิกงาน โดยที่ฮันซี่พยายามขอร้องไปด้วย แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อช่วงกลางวันชายหนุ่มจึงจัดการโยนงานเร่งด่วนให้วิศวกรสาวทำก่อนจะรีบหนีออกมาไปรับเด็กชายตัวน้อย
 
เมื่อรีไวเดินทางมาถึงครูไมค์ผู้รับผิดชอบห้องลูกเจี๊ยบที่เอเลนอยู่จึงเรียกให้เอเลนเก็บของใส่กระเป๋า เมื่อเอเลนเดินมาที่หน้าประตูคิ้วคมต้องขมวดมุ่นกับเด็กชายหน้าตาทะเล้นอีกคนที่เดินตามเอเลนออกมาติดๆ คนเดียวกับที่เมื่อตอนกลางวันเขาสังเกตเห็นว่าเจ้าหนูนี่ตามเด็กชายตัวน้อยของเขาไม่ยอมห่าง
“สวัสดีฮะผมแจนเจ้าบ่าวของเอเลนฮะคุณพ่อ”  หลังจากได้ยินเสียงแนะนำตัวหน้าระรื่นคิ้วคมของผู้ปกครองถึงกับกระตุกถี่รัวยิบ ทำไมรู้สึกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่น่ารักเอาเสียเลย น่าจะเรียกว่าไม่น่ารักยิ่งกว่าหลานสาวมิคาสะของเขาเสียอีก
“เปล่านะฮะ ผมไม่เป็นเจ้าสาวของแจน ผมจะเป็นเจ้าสาวของคุณอาต่างหาก” เอเลนรีบวิ่งตรงไปคว้ามือของชายหนุ่ม ใบหน้ากลมมนส่งสายตาเว้าวอนให้เชื่อในคำพูดของตน
“ครูไมค์ คุณได้บอกเจ้าหนูกวนประสาทนี่เกี่ยวกับเอเลนรึเปล่า?” รีไวเลิ่กคิ้วขึ้นถามครูผู้ดูแลรับผิดชอบ
ไมค์เกาผมของตนเองด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างลำบากใจ
“ไม่ได้บอกครับ รู้สึกไม่อยากทำลายความฝันของเด็กน่ะครับ”
“โฮ่ งั้นเหรอ”
รีไวนั่งคุกเข่าลงเพื่อที่จะได้มองหน้าของเด็กๆได้โดยไม่ต้องก้ม ชายหนุ่มจับหัวสีน้ำตาลอ่อนของแจนให้มองหน้าตนเองตรงๆก่อนจะจับให้แน่นขึ้น จนแจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“ฟังนะไอเด็กแก่แดด เอเลนเป็นเด็กผู้ชาย”
“ด...เด็กผู้ชาย...?” แจนทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
รีไวผงกหัวยืนยันก่อนจะตีสีหน้าจริงจังพูดต่อ
“ข้อสอง นายไม่ควรบังคับใครมาเป็นเจ้าสาว นายต้องให้เขาเต็มใจตกลงเอาถ้านายอยากเป็นผู้ชายที่ดี”
“....ฮะ....” แจนที่ไม่เข้าใจในคำพูดของรีไวเท่าไรได้แต่ตอบรับคำด้วยความกลัวรังสีทะมึนที่ชายหนุ่มส่งผ่านมาทางสายตาอย่างไม่ปิดบัง
“และข้อสุดท้าย ฉันไม่ใช่พ่อของเอเลนไอเด็กแก่แดด”
ทันทีที่พูดจบแล้วรีไวปล่อยมือที่จับหัวของแจนไว้ เด็กชายตัวน้อยหน้าทะเล้นผมสีน้ำตาลอ่อนถึงกับร้องไห้ระงม จนนานาบะต้องอุ้มไปปลอบในห้อง นับว่าโชคดีที่ผู้ปกครองของแจนยังไม่มา ไม่อย่างนั้นคิดว่าคงได้มีปัญหาฟ้องร้องกันน่าดู
“เออ.... คุณสอนจริงจังไปรึเปล่าครับคุณรีไว...” ไมค์เกาแก้มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพลางถอนหายใจ
“อย่างน้อยจะได้ไม่ปลูกฝังความคิดผิดๆให้หมอนั่น”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเด็กชายตัวน้อยกระชับกระเป๋าเป้สีแดงของตนขึ้นไหล่แล้ว รีไวจึงจูงมือเอเลนออกจากโรงเรียนอนุบาล
“คุณอาไม่อยากให้เอเลนเป็นเจ้าสาวเหรอฮะ?” เมื่อเดินออกมาได้สักพักเด็กชายตัวน้อยจึงเอ่ยถามขึ้น ใบหน้ากลมมนและนัยน์ตากลมโตสีมรกตจ้องมองเขาเพื่อรอฟังคำตอบ
รีไวเกาท้ายทอยของตัวเอง กับไอเด็กหน้าทะเล้นนั้นเขาแค่อธิบายตามที่ตัวเองคิด พอเป็นคำถามจากเจ้าหนูเอเลนแล้วเค้ากลับรู้สึกคิดหนักที่จะอธิบายให้เจ้าหนูเข้าใจ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเข้าใจครูไมค์กับการกระทำของเขาเมื่อสักครู่บ้างแล้ว
“นายเป็นเด็กผู้ชายไม่ได้อยากเป็นเจ้าบ่าวเหรอไง?” ตัดสินใจถามกลับไปแทน
“ถ้าเอเลนเป็นเจ้าสาวคุณอาจะได้เป็นเจ้าบ่าวไงฮะ” เด็กน้อยตอบด้วยเสียงใยหนักแน่น
แล้วแบบนี้เขาควรจะเริ่มอธิบายจากตรงไหน? ใบหน้าคมจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะส่งยิ้มบางให้กับเด็กน้อย
“ถ้าฉันอยากให้นายเป็นเจ้าสาวฉันจะบอกนายเองดีไหมเอเลน?”
“คุณอาไม่ชอบเอเลนเหรอฮะ?” นัยน์ตาสีมรกตเริ่มคลอเบ้าแต่เจ้าตัวดีก็ยังคงพยายามฝืนกลั้นทำตัวนิ่งเฉย
เมื่อเห็นว่าเอเลนแสดงอารมณ์และท่าทางออกมามากขึ้นเขาก็ดีใจอยู่หรอกนะ แต่พอเป็นแบบนี้แล้วเขาเองก็รู้สึกลำบากใจกับความคิดแปลกๆ และนิสัยอยากรู้อยากเห็น ช่างซักถามของเด็กห้าขวบเหมือนกัน
“เปล่า เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ฉันเกลียดนายหรอกเจ้าหนู” รีไวส่ายหัวช้าๆปฏิเสธ ใบหน้ากลมยังคงจ้องหน้าชายหนุ่มเพื่อรอฟังคำตอบ
“เอาเป็นว่าถ้านายโตขึ้นเป็นผู้ชายที่ดีได้ ฉันจะลองคิดดูว่าจะรับนายเป็นเจ้าสาวดีไหมเจ้าหนู?” ไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมายังไงและเข้าใจที่ครูไมค์บอกแล้วว่าไม่อยากที่จะทำลายความฝันของเด็ก ชายหนุ่มจึงได้แต่หาทางบ่ายเบี่ยง แล้วนั่นก็ทำให้ใบหน้ากลมมนหันมายิ้มกว้างอย่างร่าเริงอีกครั้ง
 
หลังจากแวะทานข้าวเย็นกันเสร็จในที่สุดทั้งเขาและเอเลนก็กลับถึงห้องพัก เด็กน้อยรีบไปล้างมือที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำตามปกติที่รีไวสอนเมื่อกลับถึงห้อง รีไวจัดการรื้อกระเป๋าเป้ของเอเลนเพื่อดูการบ้านที่เด็กน้อยต้องจัดการ ชื่อของเอเลน เยเกอร์ที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเอเลน แอคเคอร์แมน ถูกเขียนลงบนหน้าปกและอุปกรณ์ของใช้ต่างๆของเจ้าตัว เมื่อเอเลนตามมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น รีไวจึงอุ้มเจ้าตัวดีขึ้นนั่งบนตักก่อนจะใช้มือลูบลงบนผมสีน้ำตาลเบาๆ
“นายคิดถึงแม่บ้างรึเปล่าเอเลน?” จงใจถามออกไปแม้จะรู้ดีว่าอาจทำให้เจ้าหนูรู้สึกเจ็บปวด
ใบหน้ากลมมนชะงักชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ
“คิดถึงฮะ”
ในข้าวของเครื่องใช้ของมีรูปของคราร่าผู้เป็นมารดาของเอเลนติดมาด้วย บ่อยครั้งที่รีไวจะเห็นเอเลนเอากรอบรูปแม่ของตนมาตั้งไว้แล้วนั่งจ้องอยุ่อย่างนั้นราวกับต้องการพูดคุยกับแม่ของตน
“ตอนนี้นายเป็นเอเลน แอตเตอร์แมนแล้วรู้สึกยังไงบ้าง?”
“ก็ไม่นี่ฮะ” เอเลนเอียงคอมองคนถามอย่างสงสัย
บางทีคงเป็นคำถามที่ยากไปกับเด็กห้าขวบที่จะให้ตอบว่ารู้สึกอย่างไรกับการเปลี่ยนชื่อและที่อยู่แบบนี้ รีไวอุ้มเอเลนลงจากตักก่อนจะวางลงบนโซฟา ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของตนก่อนจะถือปากกาเมจิกสีดำออกมาแล้วเดินเข้าไปที่ส่วนครัวเพื่อหาอะไรบางอย่าง
แก้วน้ำใบเล็กที่มีที่จับสองข้างของเอเลนถูกหยิบออกมา รีไวเปิดปากกาเมจิกก่อนจะเขียนอะไรบางอย่างลงไปแล้วหันให้เด็กน้อยดู
ตัวหนังสือสีดำคำว่า เอเลน เยเกอร์ ถูกเขียนลงบนแก้วน้ำประตัวของเด็กชายตัวน้อย นัยน์ตาสีมรกตฉายแววเป็นประกายกับชื่อที่อยู่บนแก้วประจำตัว
“ทำแบบนี้นายจะได้รู้สึกเหมือนยังคงอยู่กับแม่นาย คราร่า เยเกอร์ ยังไงล่ะ” เอกสารทางราชการและสิ่งต่างๆรอบตัวของเอเลน นับแต่ตอนนี้ต้องเป็นนามสกุลเดียวกับเขา เพราะคิดว่าไม่อยากให้ตัวตนของคนที่เจ้าหนูนี่รักที่สุดต้องเลือนหายไปการเขียนนามสกุลเดิมของเอเลนไว้ที่ของใช้ส่วนตัวคงทำให้เอเลนรู้สึกว่าราวกับว่าคลาร่ายังคงอยู่ใกล้ๆได้บ้าง
รีไวโยนปากกาเมจิกสีน้ำเงินเข้มให้กับเด็กน้อย ก่อนจะจัดการขนภาชนะ และของใช้ส่วนตัวต่างๆของเอเลนออกมา
“นายอยากเขียนชื่อและนามสกุลของแม่นายบนของพวกนี้รึเปล่า?”
“อยากฮะ เอเลนอยากทำฮะ” เอเลนยกมือโบกไปมาด้วยความกระตือรือร้น นัยน์ตาสีมรกตเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น แม้เจ้าตัวอาจจะไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไรแต่ทำให้เด็กชายตัวน้อยรู้สึกดีใจและมีความสุขได้นับว่าเป็นสิ่งที่เขารู้สึกดีเช่นกัน
ชื่อ เอเลน เยเกอร์ ถูกเขียนลงบนภาชนะต่างๆไม่เว้นแม้กระทั่งผ้าห่มลายซุปเปอร์ฮีโร่สีเหลืองของเจ้าตัว ทั้งที่ตอนแรกรีไวจะสั่งห้ามเพราะเป็นผู้การที่เอาเมจิกไปเขียนมันทำให้คนรักความสะอาดอย่างเขารู้สึกว่าเลอะเทอะ แต่พอเห็นใบหน้าที่มีความสุขของเอเลนเขาจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วส่งยิ้มบางให้กับเด็กชายตัวน้อยที่เขียนชื่อของตัวเองลงบนผ้าห่มด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ จะเรียกว่าเลือกปฏิบัติก็คงไม่ผิดกับการที่เขาเอ็นดูเอเลนขนาดนี้......

TBC.
.............................................................................................................
Talk : เห็นถึงความลำเอียงแบบสุดๆของรีไวไหมคะ ฮาๆ เขียนเองยังรู้สึกว่าเฮียเลือกที่รักมักที่ชังมากค่ะ
เพราะเป็นเอเลนสินะ.................. ขออภัยที่มาช้านะคะ ช่วงนี้ผลุบๆโผล่ไม่ค่อยอยู่กับที่ค่ะ
แต่จะพยายามมาต่อเท่าที่ต่อได้นะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ
สำหรับ Lesson Of Love เดี๋ยวคงมีการรันอายุแบบก้าวกระโดด เพื่อให้พ้นภาวะเสี่ยงคุกนิดนึง (แต่ก็ยังเสี่ยงคุกอยู่ดี) อีกไม่นานเด็กน้อยของเราก็จะโตแล้วล่ะค่ะ อดทนรออีกนิดนะคะ ตอนโตนี่คาดว่าคงทำให้คุณอาแล้วหลายๆคนปวดตับกันน่าดูเลยล่ะค่ะ
รักนักอ่านทุกท่านเช่นเคยนะคะ จุบุจุบุ

2 ความคิดเห็น:

  1. ขนาดตอนเด็ก เอเลนยังมีคนขอเป็นเจ้าสาวเลยนะคะ คุณรีไว รีบๆ ขอเอเลนเร็วๆนะ เดี๋ยวโดนแย่งเจ้าสาวนะจะบอกให้
    ตอนนี้คือ คุณรีไวแสดงจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว >< อ่านไปเขินไปกับการเอาใจใส่ของคุณรีไว แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆของเอเลนก็ตาม คือน่ารักมากกๆ รอให้โตแทบไม่ไหวแล้วค่ะคุณไรท์ ขนาดตอนเด็กยังฟินขนาดนี้ อร๊ายย
    เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ คุณไรท์

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณอีกครั้งและอีกหลายๆครั้งค่ะ คุณอาลำเอียงสุดๆค่ะบอกเลย ฮาๆ

      ลบ