วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ล่ารักอันตราย (Part II) Chapter 1: Blind

Fic. [AU]: Attack On Titan: ล่ารักอันตราย (Part II)
Pairing: (Levi x Eren)
……………………………………………………………………………………..
Chapter 1: Blind

 
                สำนักงานใหญ่ใจกลางเมืองที่อยู่ห่างจากสตูดิโอของฮันเนสไปเพียงแค่ฝั่งฝากถนนสองบล็อก เอเลนขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อลิฟต์พาเขามาถึงชั้นที่ 58 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร ร่างโปร่งก้าวออกจากลิฟต์ก่อนจะเดินตามพนักงานที่ทำหน้าที่นำทางเข้าไปในห้องตามที่โดนบังคับเรียกมา ห้องของคณะกรรมการผู้บริหารระดับสูง
                ห้องทำงานที่โอ่อ่าประกอบไปด้วยวัสดุเนื้อดีและเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ที่ที่เอเลนรู้สึกได้ว่าไม่เหมาะกับเขาเท่าไร ถ้าไม่โดนเรียกมาแกมบังคับเขาไม่เคยคิดที่จะเข้ามาเหยียบย่างที่นี้หรอกนะ เมื่อหนักงานที่นำทางเด็กหนุ่มส่งเขาที่หน้าประตูห้องเรียบร้อย พนักงานคนนั้นก็กล่าวลาเขาทันทีและหลับไปทำหน้าที่ของตนตามเดิม ใบหน้าหวานมองเหล่าผู้บริหารที่อยุ่ในห้องแต่ละคนอย่างสงสัย ไม่ได้สงสัยเพราะว่าไม่รู้จักหรอกนะ เพราะแต่ละคนเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มผมทองที่หน้าตาดูเป็นมิตรและรอยยิ้มอบอุ่นแบบนั้นแต่ที่จริงเป็นจอมวางแผนกำลังขมวดคิ้วมุ่นกับการคุยโทรศัพท์และเอกสารที่อยู่ในมือ หญิงสาวที่หน้าตาขี้เล่นสวมแว่นตาหนากับผมที่มัดไม่เคยเป็นทรงอยู่เสมอที่กำลังโบกมือทักทายเขาก่อนจะกลับไปสนกับกองแฟ้มที่อยุ่บนโต๊ะ ส่วนอีกคนคนที่เขาต้องเจอหน้าแทบทุกวัน ทั้งที่มีเพียงแค่เวลาทำงานที่เขาอุตส่าห์โล่งใจว่าจะไม่ต้องเจอกันแท้ๆกับชายหนุ่มที่ส่วนสูงไม่ได้มาตรฐานแต่แข็งแกร่งและเอาแต่ใจยิ่งกว่าใครที่เขาเคยเจอซึ่งกำลังง่วนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์แลปทอป จะแปลกใจก็ตรงที่ในห้องผู้บริหารนี้เขายังพบเจอกับเด็กหนุ่มผมทองอีกคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี้ได้ เด็กหนุ่มทิ่อายุรุ่นราวไม่ต่างจากเขาแต่มีกลิ่นอันตรายไม่ต่างจากสามคนที่อยู่ในห้องกัน จะเรียกว่าเป็นการรวมตัวของเหล่ากลุ่มคนที่เขาไม่คิดอยากจะเจอที่สุดเลยก็ว่าได้ และอีกอย่างการเรียกเขามาแบบนี้คงไม่ใช่ว่าจะจัดปาร์ตี้กันแน่นอน ที่มั่นใจได้เลยก็คือคงไม่ใช่เรื่องดีและเรื่องสนุกสำหรับเขา
                เอเลนถอนหายใจก่อจะยกมือเกาผมสีน้ำตาลของตนอย่างนึกรำคาญ
                “เฮ้อ เอาล่ะพวกคุณจะเรียกผมทำไมไม่ทราบ?” เอเลนเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเมื่อเห็นว่าพอเขาเข้ามาในห้องแต่ละคนที่ง่วนอยุ่กับงานไม่ค่อยมีทีท่าสนใจเขาเท่าไร ทั้งที่เป็นคนบังคับเรียกเขามาเองแท้ๆ
                “ขอโทษนะช่วยนั่งรอที่โซฟาสักสิบนาทีนะเอเลน” เอลวินละออกจากโทรศัพท์มือถือบอกกล่าวกับร่างโปร่งก่อนจะกลับไปจัดการกับบทสนทนาที่ค่างอยู่ในสาย
                เอเลนจึงได้แต่เดินไปนั่งที่โซฟารับแขกกลางห้องซึ่งมีอาร์มินนั่งจิบชาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้ามนมองอีกคนด้วยความหวาดระแวงขณะค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา จนอาร์มินได้แต่กลั้นขำในใจ
                “คุณเอเลนไม่ต้องระแวงผมขนาดนั้นก็ได้ครับ” ใบหน้าหวานของเด็กหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรเหมือนเคย รอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจเท่าไรนัก
                “คุณคงสงสัยว่าทำไมผมมาอยู่ที่นี้สินะครับ ก่อนอื่นผมต้องขอโทษคุณจริงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วหวังว่าคุณคงยกโทษให้ผมนะครับ” อาร์มินก้มหัวขอโทษก่อนจะยกยิ้มบางอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง
                เอาจริงเรืองทึ่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนเขาไม่ได้ติดใจอะไรแล้วหรอกนะ เพราะจากเท่าที่ตาแก่ลามกนั่นสรุปให้ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเสียมากกว่า ที่น่าหงุดหงิดคือเป็นความเข้าใจผิดที่เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเวียแต่ดันโดนลูกหลงไปแบบเต็มๆน่ะสิ หลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็ไม่ได้รับการติดต่อจากอาร์มินอีกเลย เลยคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วแต่ตอนนี้เจ้าตัวก่อเรื่องกลับมานั่งอยุ่ในอาคารของอดีตศัตรูของตัวเองแบบนี้นี่ล่ะที่เขาไม่เข้าใจ
                เหมือนรู้ทันสิ่งที่เอเลนคิดอาร์มินจึงย้ายที่นั่งจากฝั่งตรงข้ามมานั่งใกล้กับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแทน ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มประดับเฉกเช่นเดิม
                “ผมมาอยู่ที่นี้เพราะว่าตอนนี้ทางบริษัทอัลเลโต้เข้าร่วมหุ้นกับเครือโรงแรมของคุณเอลวิน ผมเลยกลายเป็นผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งของเครือโรงแรมน่ะครับ แต่คุณเอลวินอยากให้ผมช่วยจัดการดูแลธุรกิจด้านอื่นด้วย ผมเลยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ”
                เอเลนพยักหน้ารับเข้าใจ อย่างที่เขาว่ากันว่าโลกของธุรกิจไม่มีมิตรที่ถาวรและศัตรูที่จีรังล่ะนะ การที่อาร์มินมาเป็นที่ปรึกษาแบบนี้ยิ่งยืนยันคำกล่าวนั้นได้เป็นอย่างดี
                “แต่นายมันก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดีเจ้าหัวเห็ด” รีไวลงมานั่งยังโซฟาขนาบข้างเอเลน มือหยาบกระชับแขนของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลให้เข้ามาใกล้ตนเองมากขึ้น
                เอเลนที่ถูกกระตุกเอนตัวไปตามแรงจนแผ่นหลังชนกับอกแกร่งที่รองรับ ร่างโปร่งพยายามยันตัวเพื่อจะนั่งดีๆ แต่มือที่ราวกับคีบหนีบนั้นก็ยังคงกุมแขนเขาไว้ทำให้เขาขยับตัวไม่ง่ายนัก จะอะไรกันนักหนาตาลุงนี่อยู่ๆก็มานั่งเบียดเขาอีกทั้งยังดึงเขาเข้าไปเบียดแบบนี้ ถ้าจะดึงดันขนาดนี้จะอุ้มเขาขึ้นไปนั่งบนตักเลยไหมเนี่ย!? นัยน์ตาสีมรกตดื้อดึงขมวดคิ้วมุ่นมองคนอายุมากกว่า
                “หวงจังเลยนะครับ ระวังนะครับถ้าเลี้ยงดูผิดวิธีจากที่จะเชื่อง สักวันอาจหนีหายไปก็ได้” อาร์มินกลับไปนั่งที่ของตัวเองฝั่งตรงข้ามแต่โดยดี มือบางยกแก้วชาขึ้นมาจิบใบหน้าหวานยังคงยิ้มให้ทั้งสอง
                “พวกคุณเลิกเอาผมเป็นตัวกลางเรื่องแปลกๆได้แล้ว” เอเลนสะบัดแขนจากชายหนุ่มก่อนจะเขยิบออกห่างเพื่อให้ได้นั่งสบายๆ “ว่าแต่ตกลงเรียกผมมาทำไมกัน?”
                “ฉันให้รีไวเรียกนายมาเองน่ะ” เอลวินที่วางสายจากบทสนทนาเรื่องงานที่ยาวนานเดินมาหาเด็กหนุ่ม
                ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมสีทองนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับอาร์มิน ใบหน้าของผู้ใหญ่ที่ดูอบอุ่นยิ้มบางให้กับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล
                “แล้วตกลงจำให้ผมทำอะไรครับคุณเอลวิน ถึงได้ต้องให้ผมลางานมาครึ่งวันแบบนี้?” เอเลนสบถอย่างไม่พอใจ คนพวกนี้คิดว่าเขาว่างมากนักรึไง ถึงอยากจะเรียกให้มาเมื่อไรก็ได้ ถึงงานของเขาจะเป็นแค่ช่างภาพ แต่เขาก็งานยุ่งไม่ต่างกันหรอกนะ
                “ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา แต่ฉันมีเรื่องรบกวนให้นายช่วย” เอลวินกางแฟ้มงานที่ถือติดมาให้เอเลนดู
                ใบหน้ามนมองเอกสารในแฟ้มก่อนจะอ่านรายละเอียดคร่าวๆผ่านๆตา
                “ไม่คิดว่าพวกคุณจะสนใจจับตลาดพวกเครื่องสำอางและน้ำหอมด้วย” เอเลนมองภาพและคอนเซปของแบรนด์เครื่องสำอางค์ที่มีสัญลักษณ์เป็นปีกสีขาวและดำไขว้กัน
                “นี่คือเรื่องที่ฉันจะรบกวนนายหน่อยน่ะเอเลน”
                “จะให้ผมเป็นช่างภาพงั้นเหรอครับ ที่จริงคุณติดต่อผ่านทางคุณฮันเนสแล้วระบุตัวผมโดยตรงเลยก็ได้”
                เอลวินส่ายหัวไปมาเป็นการปฏิเสธ และนั่นยิ่งทำให้เอเลนมองอย่างไม่เข้าใจ ไม่ได้ให้เขามาถ่ายภาพแล้วจะให้เขามาทำอะไรกันแน่?
                “ที่ฉันอยากให้นายช่วยคือมาเป็นแบบให้กับการเปิดตัวน้ำหอมตัวใหม่นี่”
                เด็กหนุ่มชะงักชั่วครู่ก่อนจะเรียบเรียงความคิด ไม่ได้ให้มาเป็นช่างภาพแต่ให้มาเป็นแบบ หมายความว่าให้เขามาถ่ายแบบให้แบบนั้นสินะ คนคนนี้คิดอะไรกันแน่จะให้เอาเด็กปอนๆอย่างเขามาเป็นนายแบบกับน้ำหอมระดับนี้เนี่ยนะ!
                “ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ แค่คอนเซปของคุณผมก็ไม่ผ่านแล้ว”
                Feel Love Feel Desire Make Blind คอนเซปเซ็กซี่ขนาดนี้จะให้เขาเป็นแบบเนี่ยนะ คนเขาคงจะยอมซื้อกันหรอก อีกอย่างเรื่องอะไรที่เขาจะต้องไปเป็นแบบด้วย เขาชอบที่จะทำงานเบื้องหลังมากกว่า
                “นายดูถูกตัวเองไปนะเอเลน” นัยน์ตาสีท้องฟ้าของคนอายุมากกว่าจับจ้องที่ใบหน้าหวานก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
                “นายคิดว่าการที่ฉันมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่ว่าฟลุ๊กหรอกนะ สายตาของฉันมองอะไรไม่เคยพลาด สำหรับฉันมันต้องเป็นนายเท่านั้น”
                “ถึงคุณจะบอกอย่างนั้นผมก็ทำไม่ได้อยู่ดี ผมไม่คิดจะเอาหน้าของตัวเองไปอยุ่บนพวกนิตยสาร โปสเตอร์หรืออะไรแบบนั้นหรอกนะครับ”
                “ไม่ต้องห่วงฉันขอสัญญาว่าโฆษณาชุดนี้จะไม่เห็นหน้าของนาย”
                “อย่างนั้นยิ่งแล้วใหญ่เลย ถ้าไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าแบบนี้จะเป็นใครก็ได้นี่ครับ” เอเลนถอนหายใจ ไม่เข้าใจเลยว่าในเมื่อไม่ต้องเห็นหน้าแล้วทำไมจะต้องเจาะจงเป็นเขากัน?
                “นายเป็นช่างภาพคงเข้าใจความรู้สึกเวลามองผ่านเลนส์ดีใช่ไหม ความแตกต่างของความรู้สึกในภาพที่สื่อออกมา แม้จะไม่เห็นหน้าแต่อารมณ์ที่คนคนนนั้นแสดงออกมามันแตกต่างกัน”
                เด็กหนุ่มชะงักกับคำพูดโน้มน้าว ตัวเขาเข้าใจดีถึงสิ่งที่เอลวินต้องการจะสื่อ แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่อารมณ์ที่แบบสื่อออกมานั้นแตกต่างกัน ตรงจุดนี้เขาที่เป็นช่างภาพมานานนั้นย่อมเข้าใจดี
                “ตอนเซปแบบนี้เป็นผู้ชายที่หันหลังให้น่าจะเป็นผู้ชายที่มีหุ่นเซ็กซี่หรือมีกล้ามเนื้อจะเหมาะกว่านะครับ” เอเลนยังคงดึงดันที่จะไม่ร่วมเป็นแบบ อีกอย่างผู้ชายร่างบางแบบเขามันจะมีอะไรน่าเร้าใจกัน
                “ฉันไม่ได้ให้เธอรับบทเป็นผู้ชายหรอกนะ” เอลวินยกยิ้มขำ แต่คนฟังอย่างเอเลนรู้สึกไม่สนุกตามด้วย
                “นี่คุณคิดจะให้ผมหันหลังในฐานะนางแบบไม่ใช่นายแบบสินะ” คนพวกนี้มันอะไรกันทำไมถึงชอบดูเขาแต่งหญิงนัก ตอนแรกคิดว่าจะเป็นแค่คุณรีไวเท่านั้น แต่นี่คงเป็นเหมือนกันยกแกงค์เลยสินะ
                “เข้าใจได้เร็วดีนี่นา ฉันอยากให้เธอช่วยเป็นนางแบบยืนหันหลังถ่ายให้กับโฆษณาตัวนี้จะได้ไหม?”
                “ไม่ครับ! พวกคุณนี่รสนิยมแย่ชะมัด ถ้าอยากได้แบบนั้นหานางแบบดังสักคนมาถ่ายหรือให้คุณฮันซี่ถ่ายก็ได้นี่ครับ!?” ไม่จำเป็นต้องเป็นเขาเลยไม่ใช่รึไง ยิ่งต้องเป็นบทบาทผู้หญิงด้วยแล้ว ตกลงว่าคนพวกนี้รสนิยมห่วยทั้งหมดเลยสินะ
                “ฉันบอกแล้วไงว่าต้องเป็นเธอเท่านั้น” เอลวินยืนกราน
                “ขอปฏิเสธครับ!” เอเลนดึงดันเสียงแข็ง
                ชายหนุ่มผมทองถอนหายใจ ก่อนจะหยิบแฟ้มอีกเล่มมาเปิดให้กับเด็กหนุ่มดู แฟ้มสีดำถูกเปิดออกพร้อมรายละเอียดของบัญชีรายจ่ายต่างๆที่เป็นตัวเลขสูงลิ่วเกิดแปดหลัก เอเลนมองอีกคนพลางเหงื่อตก
                “ไม่ได้อยากว่าเธอหรอกนะเอเลน แต่รายจ่ายทั้งหมดนั้นเป็นช่วงที่เราช่วยเหลือเธอจากเรือของอาร์มิน แล้วค่าความเสียกายที่เกิดขึ้นทั้งหมด” เอลวินตีสีหน้าจริงจังพลางนับนิ้วค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นคร่าวๆให้เด็กหนุ่มฟัง
                “แต่ต้นเหตุมันก็มาจากพวกคุณไม่ใช่รึไง ผมควรได้รับเงินค่าทำขวัญด้วยซ้ำ” ไอพวกนี้คิดจะมาขู่เขาสินะ รู้ทั้งรู้ว่าเด็กปอนๆแบบเขาไม่มีทางจ่ายทั้งหมดนี้ได้อยู่แล้ว และอีกอย่างไม่ใช่ความผิดของเขาที่จะต้องมารับผิดชอบสักหน่อย
                “ก็จริงที่ทางเรามีส่วนผิดทำให้เธอเดือดร้อน แต่เธอที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเวียเราจะปล่อยไปก็ได้ แต่เพราะรีไวเราเลยต้องตามไปจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น”
                “ถ้าอย่างนั้นคุณรีไวก็ควรรับผิดชอบสิครับ!” เอเลนมองค้อนอีกคนที่ถูกพาดพึงซึ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังนั่งจิบชาแล้วทำหูทวนลมอยู่ข้างๆเขา
                “สำหรับรีไวทางเราจัดการเก็บค่าเสียหายโดยตัดจากรายได้ของหมอนั่นอยู่แล้ว เพียงแต่ฉันคิดว่าเด็กดีอย่างเธอคงไม่คิดจะปัดความรับผิดชอบทั้งหมดใช่ไหม เพราะถ้าเธอไม่วู่วามเรื่องมันคงไม่เลยเถิดจริงไหม?” นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองใบหน้าหวานราวกับกำลังไล่ต้อน ยิ่งทำให้เอเลนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
                “ฉันก็อยากให้เธอทำด้วยความสมัครใจนะเอเลน”
                “ถ้าผมปฏิเสธล่ะ?” นัยน์ตาสีมรกตมองเอลวินแข็งกร้าว
                เอลวินถอนหายใจก่อนจะเกาท้ายทอยตัวเองพลางมองเด็กหนุ่มอย่างนึกเสียดาย “ฉันคงต้องส่งเอกสารไปให้ผู้ปกครองของเธอ” นัยน์ตาสีฟ้าเหลือมองใบหน้ามนอีกครั้ง “คนใจดีแบบนั้นคงยอมขายสตูดิโอเพื่อมาช่วยเหลือเธอ”
                นั่นไง! ว่าแล้ว!! เอเลนเอามือก่ายหน้าผากของตัวเอง ตกลงไอความเอาแต่ใจนี้เป็นกันทั้งหมดเลยสินะคนพวกนี้ ทั้งขมขู่อยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เหตุการณ์แบบนี้มันเดจาวูชัดๆ เอเลนค้อนสายตามองตัวปัญหาแต่แรกเริ่มที่ตอนนี้ยังคงนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ก็คิดอยู่ว่าคุณรีไวคงไม่คิดช่วยเขาหรอก ยิ่งกว่านั้นพนันได้เลยว่าไอตาแก่บ้านี่กำลังรู้สึกสนุกอยู่แน่ๆ แล้วแบบนี้ตัวเขาจะทำอะไรได้ ก็ทำได้แต่ต้องตามหมากที่คนเหล่านี้วางไว้ก็เท่านั้น
                ใบหน้ามนกันฟันกรอด ก่อนจะสบถอย่างหัวเสีย “ก็ได้ หึ!
            “จะชุดซีทรู ชุดชั้นใน สายรัดถุงน่อง จะอะไรก็เอามาเลยไอพวกตาแก่ลามกเอ๊ย!!!
                เอลวิน และรีไว ต่างยกยิ้มขันกับใบหน้าหวานที่พองลมในแก้มนั่น เอาจริงๆเอลวินก็ขู่ไปแค่นั้นแต่รู้ดีว่ายังไงคนอย่างเอเลนก็ต้องยอมเอาตัวเข้าแลกเองอยู่แล้ว เพราะเขาน่ะมองคนไม่เคยพลาด
                “ฉันดีใจที่นายยินยอมทำขนาดนั้นเอเลน” เอลวินยื่นมือให้อีกฝ่ายจับ
                เอเลนจับมืออีกฝ่ายตอบอย่างไม่เต็มใจนัก ใบหน้าหวานยังคงมองชายหนุ่มด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
                “ดีใจด้วยว่ามันไม่ใช่ชุดอย่างที่นายเสนอมาหรอกนะเอเลน”
                ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันได้โล่งอกว่าจะไม่ใช่ชุดสัปดนที่ตาแก่ลามกข้างตัวชอบให้เขาใส่ แต่แล้วต้องรู้สึกหน้ามืดกับคำพูดต่อมาของชายหนุ่มผมทอง
                “คอลเลคชั่นนี้เธอต้องเปลือย...”
                เอลวินเดินเตรียมกลับไปทำงานจากการที่ทำให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลรู้สึกราวกับตอนนี้วิญญาณหลุดออกจากร่างนั่งอย่างหมดแรงอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มผมทองแตะลงบนไหล่ของรีไวก่อนจะก้มลงกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคน
                “เราต้องถ่ายภาพเปลือย นายก็ไม่ควรทิ้งรอยไว้นะรีไว”
                ใบหน้าเฉยชายกยิ้มมุมปาก “ยังไงโปรแกรมตกแต่งภาพพวกนั้นก็จัดการได้อยู่ดีไม่ใช่รึไง”
                เอลวินได้แต่ส่ายหัวไปมา ก็ได้แต่หวังว่าเอเลนจะยอมให้ถ่ายทำแต่โดยดี แม้จะสงสารเด็กหนุ่มที่โดนคนเอาแต่ใจแบบนี้สนใจ แต่เขาเองก็ว่ารีไวได้ไม่เต็มปากหรอกนะ เพราะตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเป็นหนึ่งในตัวปัญหาที่ทำให้เอเลนปวดหัวไม่ต่างกัน....
 
 
 
                เครื่องสำอางถูกชโลมลงบนผิวผ่องของเด็กหนุ่ม ใบหน้าหวานนั่งนิ่งมองตัวเองในกระจกอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจะต้องมาแต่งหญิงแบบนี้ แต่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแค่ถ่ายด้านหลังถึงต้องจับเขาแต่งหน้าด้วย ไหนจะอายแชโดวสีแดงที่ขีดจรงปลายหางตาไม่ได้จำเป็นเลยสักหน่อยในเมื่อไม่ได้มองเห็นหน้า แล้วไหนจะลิปสีแดงสดที่ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกเหนอะที่ปากชะมัด แล้วเพราะเป็นการถ่ายที่ต้องเปลือยตัวเขาจึงโดนจับลงแป้งและรองพื้นทั้งตัว โดยเฉพาะการลบร่องรอยที่ไม่พึงประสงค์ออกบนร่างกายเขา ตาแก่บ้านั้นรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เขาต้องถ่ายรูปแบบนี้ยังทำตำหนิไว้ทั่วตัวเขา แค่ในบริเวณที่เขาเห็นได้ก็นับไม่ถ้วน แล้วไหนจะในส่วนที่เขาไม่เห็นอีกล่ะ? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมช่างแต่งหน้าถึงต้องใช้เวลาในการจัดการเขามากมายขนาดนี้ ตัวเขาที่ต้องถูกเห็นร่องรอยแบบนั้นตอนนี้แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หรือไปในที่ที่ไม่มีใครหาเจอเสียจริง!! แต่อย่างน้อยต้องขอบคุณที่ว่าคุณเอลวินคงคิดถึงข้อนี้ คนที่มาจับเขาแต่งหน้าแต่งตัวจึงเป็นคุณฮันซี่ที่คุ้นเคยกันดี
                “รีไวนะรีไว ทั้งที่รู้อยู่แท้ๆเล่นเอาเหนื่อยเลยกว่าจะปิดหมด” ฮันซี่ยกแขนขึ้นซับเหงื่อ เมื่อจัดการกลบคอนซีเลอร์จุดสุดท้ายลงบนผิวของเด็กหนุ่มที่ได้แต่นั่งเกร็งด้วยความอายจนแดงไปทั้งตัว
                “เอาน่ามั่นใจได้ฉันกลบรอยให้นายหมดแล้ว” ว่าพลางตบลงบนแผ่นหลังของเด็กหนุ่มเบาๆ
                “พวกคุณนี่น่าโมโหชะมัด!” เอเลนบ่นอุบอิบขณะที่ฮันซี่จัดการแปรงวิกผมยาวสีน้ำตาลเพื่อจะนำมาสวมให้เด็กหนุ่ม
                “แต่ดูนายกับรีไวก็ไปด้วยกันได้ดีนี่” ฮันซ่จัดการสวมวิกผมลงบนหัวสีน้ำตาลของเอเลนก่อนจะจัดการใช้กิ๊ฟติดผมยึกวิกกับผมจริงของเอเลน
                “ไม่ครับ หมอนั่นก็แค่สนุกที่จะทำให้ผมอายและเดือดร้อนมากกว่า”
                ฮันซ่ผิวปากกับคำติเตียนที่ได้ยิน “ฉันก็ไม่รู้ว่านายสองคนตอนนี้เป็นไงหรอกนะ แต่ฉันบอกได้อย่าง” ฮันซี่จัดการพ่นเสปร์ยให้กับวิกผมก่อนจะจัดทรงวิกผมยาวให้เรียบลื่น
                “รีไวทั้งหวงและห่วงนายนะเอเลน”
                ใบหน้ามนที่ได้ยินอย่างนั้นได้แต่หน้าขึ้นสีระเรื่อ ก่อนจะหันหน้าหนีอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของหญิงสาว
               
                การถ่ายทำมีเพียงแค่โซฟาสีแดงที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องพร้อมด้วยผ้าสีขาวที่จัดวางพาดโดยมีขนนกสีดำรายล้อม เอเลนถูกสั่งให้นั่งรอบนโซฟาในชุดคลุมอาบน้ำ ทั้งที่เข้าใจว่าเมื่อเขาแต่งตัวเสร็จจะเริ่มถ่ายได้เลยแต่ช่างกล้องแจ้งเขาว่าต้องรออีกรายเสียก่อน ทั้งที่เขาเข้าใจว่าการถ่ายทำจะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นแล้วต้องมาถ่ายคู่กัยคนอื่นในสภาพนี้ตัวเขาที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพด้านนี้มีแต่รู้สึกเกร็งมากขึ้นไปอีก ไม่นานนักร่างของอีกคนก็ตามมานั่งบนโซฟาข้างๆเขา เมื่อเอเลนเงยหน้ามองดูใบหน้าหวานต้องอ้าปากเหวอ ใบหน้าที่ถูกปิดบังไปด้วยผ้าพันแผลรายล้อมด้วยผมสีดำรัตติกาล ท่อนบนที่เปลือยเปล่าทำให้รูปร่างสมชายที่มีมัดกล้ามเนื้อแน่นอย่างน่าอิจฉา และส่วนสูงที่ไม่ได้มาตรฐาน ต่อให้ปิดหน้าไว้แบบนี้ไม่บอกก็รู้ว่าคนที่ต้องถ่ายคู่กับเขาเป็นใคร
                “ค....คุณรีไว!!” เอเลนร้องเสียงหลง
                “โฮ่ เก่งนี่เจ้าหนู” รีไวแหวกผ้าพันแผลที่ปิดบังช่วงตาออกเพื่อมองดูเด็กหนุ่มที่ตอนนี้จ้องมองเขาด้วยความงุนงง
                เมื่อนายแบบทั้งสองพร้อม ช่างกล้อมและเหล่าสต๊าฟต่างเริ่มประจำที่เตรียมดำเนินงาน
                “คุณไม่เห็นบอกผมเลยว่าผมต้องถ่ายรูปคู่กับคุณ”
                “นายคิดว่าฉันจะให้คนอื่นสัมผัสนายในสภาพนี้รึไงเจ้าหนู?”
                ก่อนที่จะได้พูดอะไรมากกว่านั้น เสียงของช่างกล้องก็ตะโกนสั่งนายแบบทั้งสอง
                “ช่วยแนบชิดกันหน่อยครับ แล้วก็นางแบบขึ้นไปนั่งบนตักด้วยครับ เสื้อคลุมที่ใส่ไว้ก็ช่วยปลดออกด้วย”
                เอเลนที่มัวแต่เหวอเมื่อได้ยินคำสั่ง จึงถูกแขนแข็งแรงของอีกคนกระตุกเข้าหาก่อนจะจัดการช้อนตัวเขาขึ้นมานั่งบนตักแกร่งอย่างง่ายดาย
                “กล้องเดินแล้ว นายที่เป็นช่างภาพเข้าใจดีสินะว่าต้องทำอะไร?” ใบหน้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยผ้าพันแผลยกยิ้มเจ้าเล่ห์ เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่ทอประกายอย่างซุกซน
                แม้จะไม่อยากแต่ในเมื่อรับปากมาแล้วเด็กหนุ่มจึงได้แต่จำใจขึ้นนั่งคร่อมบนตักแกร่ง สองมือบางเกาะไหล่หนาตรงหน้า มือหยาบของรีไวจึงจัดการกระตุกปมที่ผ้าคาดเอวออก ก่อนจะค่อยๆแหวกเสื้อคลุมให้กว้างขึ้นจนเห็นแผ่นหลังขาวเนียนที่มีเส้นผมสีน้ำตาลปกคลุม
                เมื่อเสื้อคลุมเริ่มถูกแหวกออกใบหน้าหวานได้แต่ขึ้นสีสุกปลั่ง มือบางยิ่งบีบลงบนไหล่แกร่งด้วยความอาย ทั้งที่คิดว่าจะต้องถ่ายภาพเดี่ยวให้มันจบๆไปไวไว พอกลายมาถ่ายภาพคู่แบบนี้ตัวเขาที่ไม่ได้เต็มใจจึงได้แต่หน้าขึ้นสีระเรื่ออย่างบอกไม่ถูก ทั้งอายทั้งโกรธคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าที่ไม่ยอมบอกเขาก่อน
                รีไวดันท้ายถอยของเด็กหนุ่มให้ก้มลงมาใกล้กับใบหน้าของเขา ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ข้างใบหู
                “ไม่ต้องห่วงไม่มีใครเห็นหน้านายหรอกเจ้าหนู นึกถึงตอนที่ฉันสัมผัสนายเป็นไง?”
                “คุณนี่ลามกสุดๆ”
                “ฉันแค่จะช่วยให้งานมันเสร็จไวขึ้นต่างหาก”
                รีไวจับหน้าของเด็กหนุ่มให้หันเข้าหาเขาก่อนจะประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงสด ลิ้นร้อนโลมเลียหยอกล้อกับกลีบปากนุ่มก่อนจะผละออก มือหยาบลูบไล้ไปตามกระดูกสันหลังของเด็กหนุ่มที่ได้แต่ตัวสั่ระริกกับสิ่งที่อีกคนกระทำ รีไวเกลี่ยผมสีน้ำตาลที่ปกคลุมแผ่นหลังเนียนออก มืออีกข้างกระชับสะโพกของเด็กหนุ่มที่นั่งคร่อมอยู่บนตักก่อนจะบีบเค้นคลึงเบาๆ นัยน์ตาสีขี้เถ้าฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างไม่ปิดบัง ใบหน้ามนที่ได้แต่ค้อนมองทำอะไรไม่ถูกเพราะต่อกน้าคนมากมายขนาดนี้ตาแก่บ้านี่ยังกล้าทำอะไรแบบนี้ได้ ถ้าไม่ติดว่าถ้าเขาเผลอทำอะไรต่อต้านออกไป ตาแก่นี่จะยิ่งแกล้งเขาล่ะก็ เขาคงจะทำไปแล้ว แต่เพราะอยุ่ด้วยกันทุกวันเขาจึงรู้ดีว่าเวลาแบบนี้ถ้าทำตามที่รีไวต้องการ ชายหนุ่มจะไม่ทำอะไรเกินเลย เขาจึงได้แต่ทนและสงบปากสงบคำไว้ มีเพียงสายตาที่ได้แต่ค้อนชายหนุ่มอยุ่เป็นระยะ นับว่าโชคดีที่การถ่ายทำนี้เห็นแต่แผ่นหลังของเขาจึงไม่มีใครได้เห็นว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่
 
                “คอลเลคชั่นนี่ผมว่าต้องไปได้ดีกว่าที่คุณคิดไว้แน่ๆคุณเอลวิน” อาร์มินที่ยืนดูการถ่ายทำมองช่างกล้องที่กดชัตเตอร์ระรัวภาพอย่างไม่หยุดมือ อีกทั้งเหล่าผู้ช่วยช่างกล้อมที่ต่างมองสองคนที่เป็นจุดเด่นนั้นพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ดูเหมือนทั้งสองคนกำลังปล่อยฟีโรโมนเข้าหากันจนคนรอบข้างเองก็รู้สึกได้
                “ฉันว่ามันน่าจะทำรายได้ได้ตามที่ฉันคาดไว้มากกว่า” เอลวินยกยิ้ม
                “คาดเดาไว้ เหมือนที่ที่จริงแล้วคุณอยากให้คุณรีไวมาถ่ายสินะครับ ถึงได้ล่อหลอกคุณเอเลนแบบนั้น”
                เอลวินเลิ่กคิ้วขึ้นข้างนึงเมื่อเห็นว่าอีกคนรู้ทันสิ่งที่เขาคิด ใช่ เป้าหมายของเขาไม่ใช่เอเลน เพราะคนที่เขาอยากได้มาถ่ายจริงๆคือหุ้นส่วนเขารีไวต่างหาก เพราะคอนเซปนี้เขารู้สึกได้ว่าไม่มีใครเหมาะสมเกินหมอนั่น แต่ถ้าบอกเจ้าตัวโดยตรงหมอนั่นคงไม่ยอมแน่ แม้จะปิดบังใบหน้าไว้ไม่ให้ใครเห็น หมอนั่นก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ แต่พอบอกให้เอเลนมาถ่ายทำ รีไวกลับเสนอตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปาก และเพราะคอนเซป Feel Love Feel Desire Make Blind ทำให้รีไวเองก็ต้องพันหน้าปิดบังไว้ บวกกับการตกแต่งภาพอีกเล็กน้อยก่อนลงโฆษณาก็เรียบร้อย อย่างที่รู้เขาเป็นคนที่อ่านคนออก ชอบที่จะมองคนให้ทะลุ และชอบที่จะวางแผนให้ทุกอย่างเป็นไปตามต้องการ และรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่
                “คุณเอลวินเองก็เป็นคนเก่งและฉลาด แต่บางทีระวังความคิดของคุณไว้บ้างก็ดีนะครับ” อาร์มินโค้งเพื่อกล่าวลาก่อนจะเตรียมเดินออกจากห้อง
                “Feel Love Make Blind และ Feel Desire Make Blind คอนเซปนี้คงไม่ใช่มาจากความสนใจหรือปรารถนาบางอย่างจนหน้ามืดตามัวหรอกนะครับ”
                เสียงประตูสตูดิโอปิดลงพร้อมอาร์มินที่เดินจากไป นัยน์ตาสีท้องฟ้าจ้องมองบานประตูก่อนจะกลับไปสนใจการถ่ายทำที่อยู่เบื้องหน้า ร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มและใบหน้าหวานที่ถูกแต่งแต้มอย่างเย้ายวนชวนน่าหลงใหล กับชายหนุ่มอีกคนที่ดุดันแข็งกร้าวและกล้าแกร่ง ช่างเป็นสิ่งที่ลงตัวตามที่เขาต้องการ เมื่อเริ่มรู้สึกบางทีเราคงมัวเมาและตาอาจพร่ามัวอย่างไม่รู้ตัวไปแล้วก็ได้
TBC.
.....................................................................................................
Talk:
ถือเป็นภาคสองไปค่ะ ภาคแรกพาทอาร์มินจบแล้ว(มั่ง) เดี๋ยวอาจมีคลื่นใต้น้ำโผล่มาแทนฮาๆ
ตอนแรกว่าจะเปิดเป็นหัวข้อนิยายใหม่ แต่คิดว่ามันก็เหมืนอต่อๆกันแต่เป็นพาทๆ(ตามใจคนเขียน) เลยเอามาต่อกันเลยน่ะค่ะ
พาทนี้มีที่อยุ่ในใจอยู่ค่ะ แต่จะเป็นไปตามที่อยากเขียนไหมต้องรอดูต่อไป แล้วก็จะพยายามค่อยๆกระชับความสัมพันธ์รีไวและเอเลนขึ้นทีล่ะนิดค่ะ ที่แน่นอน เฮียก็ยังคงดำรวตำแหน่งตาแก่โม่ยเสมอต้นเสมอปลาย คราวนี้มาพร้อมขบวนการทีมโม่ยก็ได้นะคะฮาๆรักนักอ่านทุกท่านค่ะ ช่วงนี้หายเป็นพักๆเพราะเดินทาง(อีกแล้ว) น่ะค่ะ ><
แต่จะพยายามอัพเรื่อยๆเช่นเคยนะคะ จุ๊บๆ

2 ความคิดเห็น:

  1. ฉากที่ถ่ายแบบคือ ฟินสุดติ่งเลยค่ะ ให้ความรู้สึกแบบ เซ็กซี่มากๆเลยค่ะ อ่านแล้วอยากจะแดดิ้นเลยค่ะ คุณไรท์
    แหม คุณรีไวนี่ก็ แสดงออกอย่างชัดเจน มีจุดยืนที่แข็งแรงมากค่ะ แอบเชียร์เอลวินกับอาร์มินเล็กน้อย ดูเป็นคู่กัดกันดี?
    เป็นกำลังใจให้นะคะ คุณไรท์ รอคุณไรท์เสมอ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่รอนะคะ ขอโทษที่ช้าค่ะ มัวแต่เดินทางงงง งืออออ ฉากถ่ายแบบความโม่ยคนเขียนล้วนๆเลยค่ะ ><"""

      ลบ