หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Attack On Titan Fan fic.: Lessons of love : Lesson 14

 

Attack On Titan Fan fic.: Lessons of love 

Pairing: (LevixEren) 

Story By: Trendy Blood 

…………………………………………………………………………

 

Lesson 14: 

 

ฮันซี่มองซากปากกาและดินสอที่ถูกบีบหักเละในถังขนะข้างโต๊ะของวิศวะกรหนุ่มรีไว เธอมองใบหน้าของชายหนุ่มที่ดูไม่สู้ดีนักราวกับมีหมอกสีเทาลอยละล่องอยู่ริอบศีรษะของชายหนุ่ม

“นาย....ท้องผูกเหรอ?”

โป๊ก!

เสียงแฟ้มเอกสารถูกโยนเข้าใส่ฮันซี่ แม้จะรุ้อยู่แล้วจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้แต่เธอก็ไม่เคยหลบของที่รีไวเขวี้ยงมาได้สักทีสิน่า

“สิบวัน...”

ฮันซี่ลูบหัวตัวเองพลางกระพริบตามองชายหนุ่มที่ยังมีสีหน้าคุกรุ่น

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องเขม็ง “สิบวันแล้วที่เอเลนหลบหน้า”

“เหหหห...” ฮันซี่ขึ้นเสียงสูง รอยยิ้มนึกสนุกปนเจ้าเล่ห์ฉายชัดบนหน้าหญิงสาว “นายไปทำไรให้เด็กน้อยคนนั้นโกรธล่ะ ปกติเอเลนไม่เคยโกรธนายเกิน 2 ชั่วโมง คราวนี้แสดงว่าเรื่องใหญ่จริงๆสินะ”

ฮันซี่เห็นสายตาคมกริบที่จ้องมาก็ไม่สะท้าน ในที่สุดก็มีวันที่รีไวจนมุม แล้วเธอผู้ซ฿งเป็นเพื่อนที่แสนดีจะยอมให้โอกาสแบบนี้หลุดรอดไปได้ยังไง ก็ต้องของเสียบดาบซ้ำเติมในฐานะเพื่อนเสียหน่อย

“เดาได้เลยว่าเด็กน้อยโกรธขนาดนี้ ความผิดต้องมาจากนาย” มีดที่มองไม่เห็นปักฉึกลงบนอกรีไวพร้อมคำว่าความผิดติดตัว

“คนแก่เจ้าอารมณ์อย่างนาย ไปทำร้ายหัวใจบอบบางของเอเลนเสียได้” มีดอีกเล่มถูกถูกปักลงมา

“ทั้งแก่ทั้งเอาแต่ใจ ถ้าเอเลนจะเบื่อนายก็สมควร” ฉึก

“เอเลนที่น่าสงสารหัวใจดวงน้อยๆต้องมีใครสักคนเยียวยา” ฉึก!

“ไม่ได้การล่ะ ฉันไปปลอบเจ้าหนูน้อยของฉันดีกว่า” 

ทันทีที่ฮันซี่หันหลังเตรียมออกจากบริษัท มือแกร่งของขายหนุ่มก็คว้าเจ้าหล่อนไว้ แรงบีบที่หัวไหล่และสายตาที่เหมือนจะมีแสงพุ่งออกมาทำให้ฮันซี่เหงื่อท่วมเต็มหลัง

“ยัยวิปริตอย่างเธออย่าคิดทำเจ้าหนูของฉันแปดเปื้อนเชียว”

เอลวิน สมิธ กระพริบตาปริบๆมองภาพฮันซ่วิศวกรสาวอัจฉริยะของบริษัทถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาบนเก้าอี้ อีกทั้งยังมีเหมือนตุ้มเหล็กถ่วงไว้ที่ขาด้วยแต่เจ้าตัวยังมีความพยายามในการใช้ปากคาบปากกาเขียนแบบทำงานต่อไป

ชายหนุ่มผมทองหันมองอีกด้านก็พบว่าหัวหน้าวิศวกรของเขาปล่อยรังสีไม่น่าเข้าใกล้แผ่กระจายทั่วออฟฟิศ กระถางต้นไม้ที่ได้รับอิทธิพลเริ่มเหี่ยวเฉาจนใกล้จะตายอยู่รอมร่อ

“เออ รีไว เดี๋ญวไปหาฉันที่ห้องหน่อย จะคุยเรื่องการสั่งซ้ออะไหล่ของลูกค้า VIP

รีไวก้าวเท้าตามหลังเอลวินเข้าไปในห้องด้วยกันทันที เอลวินนั่งลงที่นั่งประจำตำแหน่งพร้อมทั้งผายมือเชิญชายหนุ่มให้นั่งฝั่งตรงข้าม

“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของนายหรอกนะ” เอลวินถอนหายใจมองอีกฝ่ายที่อารมณ์ไม่คงที่นัก

“เจ้าหนูนั่นหลบหน้าฉัน” ไม่ต้องรอให้เอลวินเอ่ยถาม รีไวก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง ดูเหมือนว่าเรื่องเอเลนจะรบกวนจิตใจของชายหนุ่มอยู่มาก

เอลวินเคาะมือลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ถึงเขาจะไม่อยากยุ่งแต่รีไวก็เป็นเพื่อนของเขาอีกทั้งเรื่องแบบนี้นอกจากเขาแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าคงไม่รู้จะไปพูดกับใคร เขาจึงรอฟังอย่างใจเย็น

รีไวเงยหน้าสบตากับเอลวิน ความหงุดหงิดหลายวันมานี้ทำเขาเริ่มร้อนรนแล้ว

“สิบวันแล้วนะเอลวิน ที่ฉันไม่เห็นหน้า หรือได้คุยกับเจ้านั่นเลย ข้อความที่ปกติส่งมาทุกวันตอนนี้ถ้าฉันไม่ส่งไปหาหมอนั่นก่อน เจ้านั่นก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายติดต่อ ดูว่าฉันจะใจดีกับหมอนั่นมากไปแล้ว”

“นายอึดอัด?” เอลวินเอ่ยถาม

“ใครว่าฉันอึดอัด แต่มันน่าหงุดหงิดชะมัด ตอนนี้ฉันอยากไปลากเจ้าเด็กนั่นจับมัดบนเก้าอี้และหันหน้าเข้าคุบกันชะมัด”

โอเค นายไม่ได้อึดอัด แต่นายเก็บกด

เอลวินเอามือกุมศีรศะของตัวเอง เขารู้สึกปวดหัวนิดๆเสียแล้ว “นายคิดยังไงกับเอเลน?”

“คิดยังไง? เจ้าเด็กนั่นก็เป็นหลานของฉันไง” รีไวเอาแขนท้าวโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม สำหรับเอเลนแล้วเขาก็เป็นคุณอา อีกทั้งเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก การที่อีกฝ่ายทำเป็นเมินเขาแบบนี้เริ่มทำให้เขาโมโหแล้ว

“ถ้าเป็นคุณอาแล้วนายจะหงุดหงิดทำไม เด็กวัยรุ่นก็ต้องมีโลกส่วนตัวบ้าง” เอลวินสมิธหรี่ตาลงมองอีกฝ่าย ๐และอีกอย่างนายก็รู้ดีว่าเอเลนเมินนายเพราะอะไร ให้เวลาเขาหน่อย”

“สิบวันแล้วนะ เจ้าหมอนั่นควรคิดอะไรบ้างได้แล้ว ถ้ายังคิดไม่ตกก็มาเผชิญกันซึ่งๆหน้าเลยสิ! อย่างน้อยก็ควรพูดกับเขาสักคำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ลองพยายามลองเข้าหาเอเลน แต่เจ้าเด็กนั่นเป็นต้องเอามิคาสะมาบังหน้า หรือเป็นข้ออ้างต่างๆ และหลายสาวตัวดีของเขาก็ร่วมมือกับเจ้าหนูนั่นอย่างดีเสียด้วย

“ให้หมอนั่นเผชิญหน้ากับนายในฐานะไหนล่ะ หลาน หรือคนที่แอบรักนาย?”

คำถามของเอลวินทำให้คำพูดของชายหนุ่มผมสีรัตติกาลถูกกลืนหายไปในลำคอ ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าความรู้สคกของเอเลนตอนนี้กับเขาค่อนข้างเปราะบางเช่นกัน

“ฉันถามนายอีกครั้ง นายคิดยังไงกับเอเลน?”

ให้เขาคิดยังไง? หมอนั่นเป็นเด็กที่เขาเลี้ยงมาก็ย่อมต้องเป็นหลานของเขา แต่คำพูดไม่ทันหลุดออกจากปาก เสียงของเอลวินก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ตัดว่าเขาเป็นหลานของนายทิ้งไป ยังไงก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่แล้ว”

“แต่ฉันเลี้ยงหมอนั่นมาตั้งแต่ 5 ขวบ” ในเมื่อเขาเลี้ยงมาเองตลอดสิบปี มันควรเป็นความสัมพันธ์แบบครอบครัว

“พี่สาวก็เลี้ยงนายมา ถามจริงว่าตอนพี่สาวนายแต่งงานนายรู้สึกยังไง?” เอลวินเอียงคอมองชายหนุ่ม

“ก็ต้องยินดีด้วยอยู่แล้วสิที่จะมีคนดูแลพี่สาวฉันน่ะ” อีกทั้งพี่เขยของเขาก็เป็นคนที่ดีผู้หนึ่ง ดังนั้นนการแต่งงานของทั้งสองคนจึงเป็นเรื่องที่เขายินดีด้วยจากใจจริง

แล้วถ้าพี่สาวของนายเกิดชอบนายขึ้นมาในฐานะผู้ชายล่ะ?”

“อย่าพูดอะไรน่าขนลุกแบบนั่นน่า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย”

เอลวินคิดใคร่ครวญสักครู่ก่อนจะหาคำถามที่คิดว่าช่วยให้คนตรงหน้ามีสติขึ้นมาบ้าง

“ตอนที่นายแยกออกมาอยุ่คนเดียวก็ไม่รู้สึกอะไรสินะ ถ้างั้นวันหนึ่งเอเลนต้องการแยกออกไปอยู๋คนเดียวนายจะทำยังไง?”

รีไวนิ่งเงียบ เรื่องนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อน เพราะแต่ไหนแต่ไร เอเลนก็มักจะอยู่กับเขาเสมอ แม้กระทั่งแยกห้องนอนเจ้าเด็กนั่นยังไม่ยอม เรื่องที่วันหนึ่งเจ้าหนูนั่นจะแยกออกไปอยู่คนเดียวแบบนี้เขาจึงไม่เคยคิด

“ถ้าวันหนึ่งหมอนั่นมีแฟน แล้วต้องการไปอยู่กับแฟนนายจะห้ามเขาได้เหรอไง? ในเมื่อนายก็เป็นเพียงแค่คุณอา”

เป็นอย่างที่เอลวินกล่าว ถ้าวันหนึ่งเอเลนมีแฟนเจ้าเด็กนั่นย่อมอยากอยู่กัยคนที่ตัวเองรักมากกว่าเขาซึ่งเป็นคุณอา การที่จะมีคนมาแบ่งความรักจากเอเลนไปจากเขา อีกทั้งยังเอาตัวเจ้าหนูของเขาไปอยู่ด้วย แล้วตัวเขากลับต้องมาอยู่คนเดียวในบ้านหลังนั้น  หรือต่อให้เอเลนไม่ไปแล้วแฟนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาอยู่ด้วย แต่การที่เขาซึ่งผู้ได้รับความรักอย่างเปี่ยมล้นจากเด็กหนุ่มมาตลอด จะต้องแบ่งหารกับคนอื่น เขาทนได้เหรอ์ จะแบ่งได้จริงๆเหรอ?ต่อให้เป็นหลานสาวที่มีสายเลือดเดียวกันกับเขาอย่างมิคาสะ เขาจะตัดใจได้เหรอ? แค่ตอนนี้เขาเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันก็รู้สึกไม่พอใจอยู่นิดๆ ทั้งที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เอเลนมักต้องเป็นฝ่ายเกาะเขาไม่ใช่หลานสาวของเขา

รีไวนึกถึงคำพูดของมิคาสะ ถ้าเอเลนและมิคาสะลงเอยกันจริงๆ บ้านหลังนั้นก็อาจจะยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ตัวเขาที่ต้องมองคู่รักพวกนั้น ถึงตอนนั้นเขาจะยังจำเป็นสำหรับเอเลนอยู่อีกหรือ?

ทั้งที่คิดว่าจะปล่อยให้เอเลนได้เลือก และใช้ชีวิตได้เต็มที่ แต่เขากลับพบว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนจิตใจคับแคบคนหนึ่งทีเดียว

“ถ้านายปล่อยเอเลนไม่ได้จริงอย่างที่นายพูด นายก็ควรเลิกหาข้ออ้างให้ตัวเองได้แล้ว”

รีไวขมวดคิ้วมุ่น หาข้ออ้างให้ตัวเอง? เขาแค่ต้องการให้สิทธิ์ในการเลือกและใช้ชีวิตอย่างอิสระกับเอเลน เพียงเพราะว่าเด็กหนุ่มอายุยังน้อย สิ่งที่ต้องเจอยังคงมีออะไรอีกมาก และ....อาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่....การเปลี่ยนแปลงนั่นสำหรับเขาแล้ว แท้จริง.... เขาจะรับมันได้จริงๆงั้นเหรอ?

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอลวินเลิ่กคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม “ฉันจะไปพบแขก VIP สักหน่อย”

เอลวินถอนหายใจพลางเกาหัวของตัวเอง ดูเหมือนว่าที่เขาอุตส่าห์พูดไปจะไม่ช่วยให้อีกฝ่ายคิดตก ที่เหลือคงต้องรอแต่ระยะเวลา และหวังว่าทุกอย่าจะดีขึ้น

“งั้นขอฝากด้วยล่ะ”

เสียงประตูห้องปิดลงพร้อมกับร่างของรีไวที่เดินออกไป

 

“วันนี้พวกเราไม่ได้เป็นเวรทำความสะอาด เลิกเรียนแล้วจะไปไหนกันต่อไหม?” แจนถามขึ้นเมื่อเสียงกริ่งเลิกเรียนดังบอกสัญญาน

มิคาสะเก็บหนังสือและอุปกรณ์การเรียนเข้ากระเป๋า สมาร์ทโฟนที่ตั้งระบบสั่นไว้มีข้อความเด้งเข้า ด้วยนั่งริมหน้าต่างเด็กสาวจึงมองเห็นเหล่านักเรียนคนอื่นเริ่มทยอยเดินออกจากห้อง ใบหน้านิ่งเฉยมองประตูโรงเรียนครู่หนึ่ง

“ฉันอยากไปยิม นายสนใจไหม?” มิคาสะถามแจนที่กำลังมองมาและสบตาเธอพอดี เด็กหนุ่มพยักหน้ารัวๆ แน่นอนว่ามิคาสะเอ่ยปากทั้งทีมีหรือเขาจะปฏิเสธ

“ถ้าพวกนายไปยิม งั้นฉันขอกลับบ้านก่อน” ยิมที่มิคาสะไปย่อมหมายถึงยิมที่คุณรีไวไปด้วยเช่นกัน เขาไม่อยากเจออีกฝ่ายโดยเฉพาะมนที่สาธารณะที่ยากจะหลบเลี่ยง การกลับบ้านและไปเก็บตัวในห้องทำให้เขาใจสงบมากกว่า

เด็กสาวพยักหน้ารับทั้งยังดึงกึ่งลากแจนให้ออกไปจากห้องพร้อมกันทิ้งให้เอเลนที่ยังคงเก็บของไม่เสร็จไว้ด้านหลัง

 

“กลับบ้านกัเอเลน”

เสียงคุ้นเคยที่ทักขึ้นทำให้เอเลนสะดุ้งโหยง เด็กหนุ่มมองตามต้นเสียงพบคุณรีไวยืนรอเขาที่หน้าประตูโรงเรียน จะหลบตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาเบี่ยงหลบสยตาไม่รู้ว่าควรเผชิฐฆน้ากับชายหนุ่มอย่างไร

“ฉันเคยมารับนายตั้งแต่สมัยประถม ตอนนี้นายโตแล้วไม่อยากให้ฉันมารับหรือไง?” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก และเขาก็ไมสบอารมณ์กับท่าทางเหินห่างเช่นนั้น

“เปล่าครับ ผมแค่แปลกใจเท่านั้น” เอเลนพยยามยกยิ้ม เป็นเวลาสิบวันแล้วที่เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับคุณรีไว เภพราะตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าควรจะจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง พอคิดว่าพยายามจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มทุกครั้งกลับทำให้เขารู้สึก กลัว ขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีจะขยับตัวเขาจึงเป็นฝ่ายจูงมือผอมบางนั่นแล้วเดินนำ คราแรกเอเลนขัดขืน แต่รีไวยิ่งเพิ่มแรงกระชับข้อมือของเด็กหนุ่ม สุดท้ายเขาจึงต้องจำยอมเดินตาม ความเงียบเข้าปกคลุมมีเพียงเสียงของฝีเท้าที่เดินตามกันมา บรรยากาศอึดอัดแบบนี้แนมาสิบวันแล้ว ทั้งที่เขาอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่เอเลนร็ดีว่า ตัวเขาไม่อาจถอยหลังได้อีกแล้ว จนกระทั่งกลับมาถึงบ้านเจ้าเบเกอร์ออกมากระดิกหางต้อนรับทั้งสอง รีไวลูบหัวเจ้าสุนัขขนสีน้ำตาลทักทาย

“เดี๋ยว... ผมจะไปทำอาหาร” เขายังไม่อยากเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม จึงคิดจะปลีกตัวไปทำสิ่งอื่น

รีไวบังคับจูงมือเด็กหนุ่มไปนั่งลงบนโซฟา เอเลนไม่อาจขีนแรงอีกฝ่ายได้จึงจำต้องยอมเดินตามและนั่งลงที่โซฟาในห้องนั่งเล่น คุณรีไวเองก็นั่งลงด้านข้างเขา ชายหนุ่มจับจ้องมองจนเขารู้สึกอึดอัด

“เออ...” ผ่านไปสักพักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่คงพูดสิ่งใด เขาจึงจะลุกเพื่อปลีกตัวไปทำอาหารอีกครั้ง

ข้อมือถูกดึงอีกครั้งเอเลนเอนหงายลงไปนั่งที่โซฟา ตามมาด้วยข้อมือของชายหนุ่มที่กั้นทางไว้ใม่ให้เขาลุกหนี เป็นครั้งแรกในรอบสิบวันที่เขาเผชิญฆน้ากับชายหนุ่มอย่างใกล้ชิด เอเลนรู้สึกหายใจติดขัด ใบหน้ามนเบือนหนี แต่ถูกรีไวใช้มือจับคางมนนั่นกันหลับมาสบตากับตัวเอง สถานการณ์ที่โดนควบคุมไปไหนไม่ได้แบบนี้ทำให้เอเลนรู้สึกอึดอัด แต่สิ่งที่เริ่มรู้สึกคือ เขาเริ่มโกรธชายหนุ่มตรงหน้านี้บ้างแล้ว

“คุณรีไว ถ้าไม่มีอะไรจะพูดผมขอ อุ๊บส์!” ปากที่กำลังเจรจาถูกทาบทับด้วยริมฝีปากของชายหนุ่ม นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

“หลับตาและอ้าปาก” ฟันของชายหนุ่มขบลงเบาๆที่กลีบปากล่างของเอเลน

เอเลนที่ยังคงตกตะลึงถูกชายหนุ่มบดขยี้ริมฝีปากอีกครั้ง รีไวกดคางของเด็กหนุ่ม ลิ้นของชายหนุ่มไล่เปิดทางกลีบปากสีระเรื่อของคนที่อยู่ใต้ร่าง ลิ้นของเด็ฏหนุ่มต่อต้านด้วยความตกใจ แต่ถูกผู้ใหญ่ที่ช่ำชองเกี่ยวกระหวัดจนได้ยินเสียงชื้นแฉะดังอยู่ภายใน ท่าทางที่ไม่รู้ประสาทำให้ชายหนุ่มพอใจยิ่งนัก เขาจึงยิ่งรุกเด็กหนุ่มจนกดตัวให้นอนลงกับโซฟา เอเลนหลับตาตามสัญชาตญานรองรับลิ้นที่สอดแทรกของชายหนุ่ม บรรเลงจูบดูดดื่มหอมหวานอย่างที่ไม่เคยสัมผัส เมื่อริมฝีปากที่ทาบทับมานั่นผละออก เด็กหนุ่มจึงได้สูดหายใจเข้าลึก ทั้งยังสั่นหอบน้อยๆ

“ดูเหมือนนายไม่รังเกียจใช่ไหมเอเลน?”

เมื่อได้สติ เอเลนมองคนตรงหน้าอย่างเข้าใจ นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริก “คุณ... สงสารผมเหรอ?”

รีไวลูบไล้ใบหน้าเด็กหนุ่มใตล่างอย่างอ่อนโยน มาตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้สึกว่าเด็กน้อยเอเลนของเขาคนนั้นโตแล้ว “เปล่าเลย”

นัยน์ตาสีมรกตหลุบต่ำลง รอยยิ้มบนใบหน้าเหนเก “ถ้างั้น คุณคงสมเพชผม”

รีไวปาดเช็ดหยดน้ำตาที่ขอบตาของเด็กหนุ่ม เขาถอนหายใจ ดูเหมือนตัวเขาเองก็รับรู้บางสิ่งในใจของตนเองบ้างแล้ว “ไม่เช่นกัน และฉันไม่เคยโกหกนาย”  รีไวแตะริมฝีปากที่สั่นระริกนั่นเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มพูดต่อ “กลับกัน ฉันอยากได้ความสงสารจากนาย”

เอเลนกระพริบตาปริบๆไม่เข้าใจ เขา... ทำไมต้องสงสารคุณรีไวกัน?

“ฉันอายุมากกว่านายตั้ง 20 ปี อีกหน่อยก็คงไม่น่ามองแล้วกับนายที่ยังเด็ก จะต้องไปเจอผู้คนมากมายจะมาสนใจคุณอาแก่ๆแบบฉันเหรอไง?”

“ไม่มีทาง สำหรับผมคุณคือคนที่ดูดีที่สุดในโลก” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังของเด็กหนุ่มทำให้รีไวยกยิ้ม

“แต่ฉันก็น่าสงสารอยู่ดี เพราะอีกหน่อยถ้านายเจอคนที่ดีกว่าฉัน ทั้งยังหนุ่มกว่าถึงตอนนั้นฉันคงเป็นคนแก่ที่โดดเดี่ยวมาก เอเลนถึงตอนนั้นนายจะสงสารฉันไหม?”

เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นโผเข้ากอดชายหนุ่มตรงหน้า เสียงใยยั่นเครือแต่ยังคงหนักแน่นกระจ่างชัด “ไม่มีใครในโลกนี้ดีกว่าคุณแน่นอน ต่อให้ดีกว่า แต่ถ้าไม่ใช่คุณรีไวผมก็ไม่สนใจหรอก! เพราะงั้นมันไม่ใช่ความสงสารแต่...ผมรักคุณ”

รีไวลูกผมสีน้ำตาลของเด็กนุ่ม ความชื้นที่หัวไหล่ทำให้รู้ว่าเด็กน้อยของเขาร้องไห้ออกมาแล้ว และมันช่างน่าแปลกประหลาดเพราะตัวเขาเองรู้สึกได้ว่ามีลมสายหนึ่งพัดในร่างกาย ทั้งทำให้อุ่นวาบจนขอบตาร้อนผ่าวนิดๆ “ฉันอยากให้อิสระกับนายในการเลือก”

“ผมเลือกแล้ว นี่เป็นการเลือกของผม”

“เมื่อนายโตกว่านี้ก็จะเจอคนอีกมากมาย”

“แต่คนพวกนั้นก็ไม่ใช่คุณรีไว”

“ฉันไม่อยากเป็นตรวนที่ฉุดรั้งนายไว้นายอาจจะแค่สับสนเพราะยังเด็ก”

คราวนี้เป็นเอเลนที่ผลักอีกฝ่ายนอนลง เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นใบหน้ามนมีหยาดน้ำตาพรั่งพรู

“ผมไม่เคยสับสน ตอนนี้ผมก็ยังสติดีอยู่ คุณรีไวต่อให้คุณไม่ฉุดรั้งผมไว้ แต่ผมเองก็จะรั้งคุณไว้ไม่ยอมให้ใครเอาคุณไปจากผม ไม่ให้คุณแต่งงาน ไม่ยกคุณให้ใครทั้งนั้น คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ผมไม่ได้สงสารคุณ แต่ผมรักคุณ เข้าใจเสียทีสิรีไว!

รีไวยกมือปาดน้ำตาของเด็กหนุ่ม เขายกยิ้มพลางถอนหายใจ

...ยอมแพ้แล้ว...

....เขายอมแพ้ต่อหัวใจตนเอง และเด็กหนุ่มแล้ว เพราะตัวเขาเองยอมรับว่าไม่อาจปล่อยเด็กน้อยแสนดีของเขาคนนี้ไปให้ใครอื่นได้เช่นกัน

ครืดดดด...

เสียงสมาร์ทโฟนสั่น รีไวมองชื่อคนที่โทรเข้ามาว่าเป็นเอลวินก่อนกดสายรับ

[รีไวตอนนี้นายอยู่ไหน ไหนบอกว่าไปหาแขกVIPไง]

[ใช่ ฉันบอกมาหาแขก VIP แต่เป็นแขกของฉันไม่ใช่ของนาย]

[เดี๋ยว นี่นาย แขก ไหน เฮ้...]

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบรีไวกดตัดสายทั้งยังปิดเครื่องโทรศํพท์ของตัวเอง เอเลนมองชายหนุ่มตาปริบๆ

“จะไม่มีปัญหาเหรอครับ?”

ชายหนุ่มจับแก้มกลมนุ่มของเอเลยทั้งช่วยเช็กคราบน้ำตาที่ยังชื้นบนแก้ม “ไม่หรอก ยังไงอะไหล่ที่แขกคนนั้นต้องการมีแค่ฮันซี่เท่านั้นที่ทำได้ เพราะงั้นนายไม่ต้องห่วง”

เอเลนพยักหน้ารับเข้าใจ สักพักรู้สึกว่าโลกหมุน ตอนนี้ตัวเขาถูกพลิกลงมานอนที่โซฟาแทนโดยมีชายหนุ่มคร่อมทับร่าง

“เอาล่ะกลับมาที่เรื่องของเรา” รีไวมองเด็กหนุ่มที่อยุ๋ใต้ร่าง รอยยิ้มบนใบหน้าชายกนุ่มกดลึกขึ้น “ฉันเคยสอนนายใช่ไหมว่าต้องรู้จักรับผิดชอบผลที่ตามมาจากการเลือกของตนเองจนถึงที่สุด”

เอเลนพยักหน้าหนักแน่น ใบหน้ากลมมนมีรอยยิ้มสดใสประดับ

“ฉันไม่เคยคบใครจริงจัง ขนาดเจสสิก้าฉันยังคิดแค่ว่าเธอก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง”

“คุณจะไปเป็นชู้กับภรรยาคนอื่นไม่ได้นะครับ” เอเลนบุ้ยปาก จนตอนนี้เขายังจำผู้หญฺงที่ชื่อเจสสิห้าที่เคยพบสมัยก่อนได้ เพราะเป็นคนที่คุณฮันซ่เคยบอกว่าคุณรีไวชอบพอที่สุด แต่โชคดีว่าเธอคนนั้นแต่งงานไปแล้ว

รีไวกลั้นขำพลางหยิกแก้มที่พองลมของเด็กหนุ่ม “ที่ฉันจะบอกก็คือ ฉันน่าจะเป็นคนขี้หวง และหึงโหดมาก นายจะรับไหวรึเปล่าเอเลน?”

ใบหน้าเด็กหนุ่มขึ้นสีระเรื่อ รอยยิ้มกว้างฉายชัดบนใบหน้าเด็กหนุ่มพร้อมทั้งการพยักหน้ารับด้วยความปลื้มปิติ จากนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิม แต่ที่ยังคงเหมือนเดิมก็คือไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาและคุณรีไวยังคงอยู่ด้วยกันเสมอ

 

มิคาสะยกน้ำขึ้นดื่ม พลางใช้เท้าสะกิดแจนที่วิญญานหลุดออกจากร่างไปแล้วคาเวทีมวย เด็กสาวเทน้ำลงบนหัวของเด็กหนุ่ม แจนลุกขั้นนั่งสะบัดหัวของตัวเอง น้เย็นทำให้เขาสติดีขึ้นบ้างก่อนจะรับขวดน้ำที่มิคาสะยื่นให้ สภาพของเขาตอนนี้เรียกได้ว่าสะบัดสะบอมจะแทบไม่อยากกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ ถึงจะรู้ว่ามิคาสะเป็นพวกแรงดีไม่มีตก แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะโหดได้ขนาดนี้ ทั้งที่เขาก็เป็นพวกออกกำลังกายเช่นกันแท้ๆ

“เอเลนบอกว่านายมีตั๋วสวนสนุกอยากให้ฉัน”

คำถามของมิคาสะช่วยดึงวิญญานที่หลุดลอยไปแล้วของแจนกลับเข้าร่าง เขาหันมองเด็กสาวรีบพยักหน้ากระตือรือร้น “อาทิตย์นี้ฉันว่างพอดี”

“ได้เลย ฉันจะไปรับ” แจนรีบตอบรับทันควัน แบบนี้เรียกว่าโอกาสมาถึงแล้วสินะ!

“ไม่ต้อง เจอกันที่สถานีดีกว่าสัก 9 โมง?” ถ้าให้แจนมารับเด็กหนุ่มต้องเดินอ้อมกลับมาอีกทาง การที่ไปเจอที่สถานีเลยย่อมสะดวกกว่า

“ได้ ได้เลย!” แจนตาเป็นประกาย ภายในใจหลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ บุญฏุศลอันยิ่งใหญ่ที่คอยสนับสนุนความรักของเพื่อนอย่างเอเลนตอนนี้เริ่มเห็นผลแล้ว

มิคาสะก้มมองเด็กหนุ่มที่ทอสายตาเป็นประกายแม้สีหน้าของเธอยังคงจะนิ่งเฉย แต่มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางเบา “ฉันเพิ่งซื้อดัมเบลมาใหม่ตอนนี้เงินอาจไม่ค่อยมีเท่าไหร่”

“เธออยากซื้อ อยากกิน อยากไปไหน อยากทำอะไรฉันออกให้เอง” วิญญานพ่อบุญทุ่มเข้าสิงทันทีขอเพียงมิคาสะยอมไปต่อให้ต้องทุบกระปุกที่หวังจะไปซ้อเครื่องเกมส์ออกใหม่เขาก็ยินยอม

“อืม งั้เจอกัน” มิคาสะพยักหน้ารับตอบตกลง เธอหยิบสมาร์ทโฟนที่วางทิ้งไว้มาเปิดอ่านข้อความ ใบหน้าสวยคมคิ้วกระตุก

 

[ยัยหลานสาวตัวดีต่อให้เป็นเธอก็อย่าหวังเรื่องเอเลน]

 

มิคาสะมองข้อความในสมาร์ทโฟนของตัวเอง อา.... ดูว่าเธอควรรีบกลับได้แล้ว การให้สองคนนั้นมีช่วงเวลาแห่งความสุขที่ราบรื่นเกินไปแบบนี้เธอชักเริ่มไม่ชอบใจเท่าไหร่แล้ว...


TBC.

...........................................................

Talk: มาอัพแล้วค่ะ 2 ตอนเลย

ขอยืนยันว่าที่จริงเรื่องนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนแค่ 5 ตอนจบ แต่เขียนไปเขียนมาความน่ารักของหนูน้อยเอเลนทำให้มันขยายขึ้นมาอีก 10 ตอนค่ะฮาๆ 

จากที่บอกขออภัยค่ะช่วงนี้ติดนิยายจีน เลยมัวปต่ไปปั่นนิยาย ออริฯของตัวเองแทนกว่าจะตบตีให้กลับมาเขียนได้นานพอดู+งานยุ่งแบบวินาศมาก ถึงเพิ่งมาได้เคลียร์ไหค่ะ

และไหนี้ก็จะจบแล้วเช่นกัน แอบเสียดายนิดๆแต่ถ้าดองต่อน่าจะไม่ดีเหมือนกันฮา จริงเรื่องนี้ตั้งใจแต่แรกว่าขายความน่ารักของเด็กน้อยค่ะ เรื่องดราม่าเรื่องไม่ได้ขยี้ เน้นอ่านสบายๆ ก็หวังว่าทุกคนที่อุตส่าติดตามกันมาหลายปี จะได้รับความบันเทิงและความน่ารักของทั้งสองคนนะคะ

รักนักอ่านเสมอค่ะ


2 ความคิดเห็น:

  1. เรารอทุกเรื่องเลยนะคะ ไหนๆก็กลับมาแล้วอย่าลืมต่อบันทึกของฟาโรห์ด้วยนร้าาาา

    ตอบลบ