วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ล่ารักอันตราย2 Chapter 11: Identity


Chapter 11: Identity

 

                ราวกับศีรษะถูกกระแทกแรงๆ แม้จะยังไม่ลืมตาตื่นแต่ความรู้สึกหนักหน่วงจนมึนตึ๊บที่หัวทำให้เปลือกตารู้สึกหนักอึ้ง แม้จะรู้สึกตัวแล้วแต่ความหนึกอึ้งของศรีษะทำให้เอเลนยังคงหลับตาอยู่สักพัก เด็กหนุ่มพยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกด้วยความมึนงง จำได้ว่าเขากำลังจะไปกับคุณรีไวแต่แล้วก็รู้สึกถึงแรงกระชากจากด้านหลัง ก่อนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ๆสติเขาก็ดับวูบลง....

                นี่...เหมือนกับ เขากำลังโดนลักพาตัวไม่ใช่เหรอ!!

                เปลือกตาที่หนักอึ้งลืมตาตื่นด้วยความตระหนก สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานที่ดูแปลกตา ไม่สิไม่น่าใช่เพดานห้องเพราะมันถูกบุด้วยผ้าสีแดงที่มีลวดลายปักรูปแบบที่แปลกตาอย่างงดงาม เอเลนค่อยขยับยันกายลุกช้าๆ อาจเพราะแรงกระแทกบางอย่างทำให้ร่างกายรู้สึกล้าและปวดหน่วงๆ เมื่อเริ่มตั้งสติถึงได้เห็นว่าตอนนี้ตนอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่ตกแต่งแบบตะวันออกอย่างแปลกตา เพดานสีแดงที่เห็นเมื่อสักครู่คือเพดานของเตียงที่ตอนนี้เขานั่งอยู่ ทั้งที่คิดว่าถ้าโดนลักพาตัวคงต้องอยู่ในห้องขังหรือห้องที่อับชื้น แต่ห้องที่เขาอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่าหรูหราจนไม่คิดอยากประเมินราคา เด็กหนุ่มสอดส่องสายตาสำรวจสิ่งต่างๆดูเหมือนตอนนี้จะมีเขาอยู่เพียงแค่คนเดียวในห้อง เสื้อผ้าที่สวมยังคงเป็นชุดเจ้าสาวที่ใช้ในการถ่ายแบบ รวมถึงผมที่ยาวปะลงมา ดูเหมือนว่าสภาพเขานอกจากความรู้สึกปวดเมื่อยและหัวที่ปวดแปลบเป็นพักๆแล้วทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าการที่เขาถูกลักพาตัว ทำไมเขาถึงรู้สึกใจเย็นกว่าที่คิด? จนตัวเขาเองยังรู้สึกแปลกใจตนเอง ถ้าให้เขาเดา ก่อนที่เขาจะความจำเสื่อมบางทีเรื่องแบบนี้ตัวเขาในอดีตคงคุ้นชินอย่างนั้นหรือเปล่า?

                แปล๊บ!

                อาการปวดหัวทำให้เอเลนต้องเอามือขึ้นมากุมขมับ ใบหน้าหวานบิดเบี้ยว เหงื่อเย็นผุดพราย เด็กหนุ่มพยายามสูดหายใจลึกแล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจเพื่อตั้งสติ ระยะหลังมานี้เขาเริ่มปวดศีรษะบ่อยขึ้น และแต่ละครั้งเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อความรู้สึกปวดหนึบเริ่มคลาย เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงทักทายที่ดังลั่นจนเขาแปลกใจ

                “ยะโฮ่วววว อีหนูของรีไวรู้สึกตัวแล้วใช่ไหมจ้ะ!!

                ชายหนุ่มวัยกลางคนในชุดเสื้อสีจัดจ้านลายดอกชบาและหมวกปีกกว้างที่สวมใส่ทำเอาหัวที่เพิ่งหายปวดเมื่อสักครู่เต้นตุบๆอีกครั้ง

                “เป็นอะไรมากไหมสาวน้อย ขอโทษที่เสียมารยาทกับเธอไป” ชายวัยกลางคนในชุดสีจัดจ้าตรงเข้ามาหาเด็กหนุ่มก่อนจะถอดหมวกราวกับขอโทษ

                “อ..เออ..คุณ...?” เอเลนยังคงอึ้งกับบุคคลตรงหน้า กว่าจะเค้นเสียงถามออกมาก็ผ่านไปหลายนาที

                ชายปริศนาในชุดชบาสีจัดเงยหน้ามองเด็กหนุ่มก่อนจะยิ้มกว้างแนะนำตัวเองด้วยเสียงดังเช่นเดิม

                “ฉันเคนนี่ เธออาจแปลกใจแต่ถ้าบอกว่าเป็นพี่ชายของรีไวน่าจะง่ายขึ้น”

                ใบหน้ากลมมนที่มองมาตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจทำให้เคนนี่คอตกจนต้องเอ่ยเสียงแผ่ว

                “หมอนั่นไม่เคยพูดถึงฉันเลยสินะ”

                “ม.. ไม่หรอกครับ ผมเจออุบัติเหตุแล้วความจำเสื่อมน่ะครับเลยทำให้นึกอะไรไม่ออก ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ” ท่าทางผิดหวังของเคนนี่ทำให้เอเลนรู้สึกผิด เด็กหนุ่มจึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัลย์

                เหตุผลที่ได้ฟังทำให้เคนนี่หัวเราะขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจ “หมอนั่นเอาใจยากเธอคงลำบากหน่อยนะ ทั้งที่ฉันพยายามเอาใจหมอนั่นสารพัดแต่ดูเหมือนเจ้านั้นจะไม่ค่อยถูกใจเท่าไร”

                เอเลนมองชายวัยกลางคนที่ทอดถอนหายใจอย่างไม่รู้จะตีสีหน้าเยี่ยงไร เขานึกภาพที่ชายคนนี้บอกว่าพยายามเอาใจคุณรีไวไม่ออกเลย แต่ดูเหมือนไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงแม้จะดูแปลกประหลาดจนเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรก็เถอะ แล้วคนนี้เมื่อสักครู่บอกว่าเป็นพี่ชายของคุณรีไว และพยายามที่อยากจะเอาใจทั้งอย่างนั้นทำไมถึงต้องลักพาตัวเขามาล่ะ?

                “เออ... ขอโทษนะฮะ คือ แล้วคุณพาผมมาที่นี้ทำไมเหรอครับ?” คิดเองคงไม่ได้คำตอบถามไปตรงๆเลยคงง่ายกว่า

                เคนนี่มองหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะตีหน้ามุ่ยอย่างไม่เก็บอารมณ์

                “คิดดูสิหมอนั่นใจร้ายขนาดไหน ทั้งที่กำลังจะแต่งงานแต่ไม่ชวนฉันที่เป็นพี่ชายสายเลือดเดียวกันเพียงคนเดียว แบบนี้มันก็น่าน้อยใจชะมัด ฉันเลยทำลายงานแต่งมันซะแล้วค่อยจัดให้หมอนั่นใหม่ชนิดที่ต้องยิ่งใหญ่อลังกาฬจนเจ้านั่นจะต้องขอบคุณฉันแน่ๆยังไงล่ะ!

                ยิ่งฟังเอเลนยิ่งรู้สึกเหงื่อตก จะว่าไงดีล่ะเขาเองก็จำอะไรไม่ได้ แต่รู้สึกว่าความสัมพันธ์พี่น้องของสองคนนี้มันแปลกเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ และดูเหมือนคนคนนี้จะเข้าใจผิดขนานใหญ่เลยทีเดียว

                “เออ... คุณเคนนี่ครับ ผมไม่ได้จะแต่งงานกับคุณรีไว นี่มันเป็นส่วนหนึ่งของงานทางบริษัทคุณรีไวเท่านั้น”

                เคนนี่มองหน้าเด็กหนุ่มพร้อมกระพริบตาปริบๆ

                “แต่ลูกน้องฉันรายงานมาว่ารีไวจะแต่งงานวันนี้ อีกทั้งจะไปฮันนีมูนกันโดยไม่บอกกล่าวฉันสักคำ”

                เอเลนถอนหายใจก่อนจะหัวเราะแห้งๆใส่

                “เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เพราะผมเป็นผู้ชาย” เด็กหนุ่มพูดพลางถอดวิกผมยาวของตนเองออก

                เคนนี่ที่มองเด็กหนุ่มได้แต่ตกตะลึงตาค้างก่อนจะทรุดตัวลงไปกับพื้นห้องที่มีพรมสีแดงปูรองรับ ชายวัยกลางคนเอี้ยวมองเด็กหนุ่มก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

                “ไม่ใช่งานแต่งจริงๆงั้นเหรอ?”

                “..เออ..ครับ”

                เอเลนยังคงยืนยันตอบกลับตามเดิม ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรเห็นใจหรือสงสารคนตรงหน้านี้รึเปล่า ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าคนคนนี้จะเป็นพี่ชายของคุณรีไวเสียเลย รู้สึกว่านิสัยช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

                “อีกอย่างผมเป็นผู้ชาย คุณรีไวก็เป็นผู้ชายเรื่องแบบนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้หรอกฮะ แหะ แหะ” เอเลนพยายามอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจขึ้นบ้าง

                “ฉันที่ตามเชคเรื่องรอบตัวหมอนั่นแค่เรื่องที่นายเป็นผู้ชายก็ต้องรู้อยู่แล้ว อีกอย่างนี้มันสมัยไหนแล้วเรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องสนใจ”

                คำตอบของเคนนี่ทำให้เด็กหนุ่มมองตาค้าง นี่ตกลงเขากับคุณรีไวมีความสัมพันธ์ในทำนองนั้นจริงๆงั้นเหรอ! อีกทั้งคนที่บอกว่าเป็นพี่ชายยังดูเหมือนยอมรับเรื่องเขาและคุณรีไวได้อย่างง่ายดายแบบนี้

                “เออ... คือผมจำอะไรไม่ได้เลย คุณพอจะเล่าเรื่องผมกับคุณรีไวให้ฟังบ้างได้ไหม?” คงเป็นเรื่องแปลกที่เขาถามคนลักพาตัวเขามาแบบนี้ แต่ถ้าเขาคิดไม่ผิด คุณพี่ชายคนนี้คงไม่ใช่คนเลวร้ายเท่าไร

                เคนนี่ตบลงบนหัวสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มพร้อมทั้งยกยิ้มให้เจ้าตัว

                “ฉันคงบอกอะไรมากไม่ได้เพราะเป็นแค่คนนอก แต่สายตาคนนอกของฉันคิดว่าเจ้านั้นให้ความสำคัญกับนาย บางทีอาจมากกว่าที่นายคิดเสียอีก”

                ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อ ถ้าความทรงจำกลับมาเสียทีคงจะดีเขาจะได้จัดการความรู้สึกที่เต้นระรัวและปวดหนึบที่อกนี้ และอย่างน้อยเขาจะได้ตอบรับจูบและสัมผัสที่คนคนนั้นมอบให้ทุกครั้ง

                “ว่าแต่เธอจะเปลี่ยนชุดเลยไหม?”

เคนนี่เดินไปเปิดประตูอีกฝั่ง เอเลนมองตามเข้าไปยังห้องอีกฝั่งถึงได้เห็นว่าห้องด้านข้างคงเป็นห้องแต่งตัวเพราะมีราวเสื้อผ้า และชั้นรองเท้ารวมถึงอุปกรณ์อื่นๆมากมาย สักพักชายหนุ่มก็เข็นราวเครื่องแต่งกายมากมายมาที่ข้างเตียง เอเลนมองเหล่าเสื้อผ้าหลากสีสันที่รูปทรงแปลกตาพลางรู้สึกกังวลแปลกๆ

“ขอโทษนะฮะ ชุดพวกนี้...คือ?”

“สาหรี่ไงล่ะ ถึงที่นี้ที่จริงแล้วต้องใส่ชุดคลุมตัวมิดก็เถอะนะ แต่มาแถบทะเลทรายตะวันออกกลางทั้งทีฉันก็อยากได้อารมณ์อาหรับราตรีอะไรทำนองนั้นบ้าง”

เอเลนเริ่มรู้สึกหัวหมุนอีกครั้ง เดี๋ยวนะนี่เขาไม่ได้อยู่แค่ที่พักหรูหรา แต่นี้หมายความว่าเขากำลังอยู่ต่างประเทศด้วยงั้นเหรอ?

“ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนของมุมโลก?” เอเลนได้แต่ยกมือถาม หวังว่าเขาคงจะคิดมากไปเอง

“แถบทะเลทรายที่มีชื่อเสียงจนนึกถึงเรื่องอาหรับราตรี ก็ต้องเป็นสาธารณรัฐเอมิเรต ดูไบ สิ”

ชัดเลย คำตอบที่ทำให้รู้สึกหัวหมุนจนแทบจะล้มฟุบไปอีกรอบ เพราะยังไม่เชื่อกับหูตัวเองเด็กหนุ่มในชุดเจ้าสาวจึงตรงไปที่หน้าต่างเพื่อมองทัศนียภาพภายนอก และความจริงที่ว่าที่ที่เขาอยู่เป็นแถบตะวันออกจริงตามที่คาดยิ่งทำให้เอเลนเริ่มหัวหมุนอีกครั้ง ภาพภายนอกอาคารที่มองลงมาเป็นตลาดที่มีผู้คนมากมายแต่งกายด้วยชุดมิดชิดตามศาสนากำลังเดินจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่ และที่ยิ่งเน้นว่าไม่ใช่ตลาดแถวบ้านช่วงงานเทศกาลแน่นอนก็คือตรงนี้เป็นตลาดทองคำที่ขึ้นชื่อของแถบตะวันออกกลาง เมื่อมองลงไปเบื้องล่างทุกที่นั้นเป็นประกายจากแสงกระทบของทองคำจนรู้สึกตาพร่ามัวแบบนี้

“เดี๋ยวนะครับ วิซ่าผมก็ไม่มีแล้วทำไมถึงมาโผล่ที่นี้ได้!!” เอเลนหันไปมองคนที่ลักพาตัวเองด้วยความตื่นตระหนก

เคนนี่ชูหนังสือเล่มเล็กปกสีแดงให้อีกฝ่ายเป็นคำตอบ

“ของแบบนี้แค่ใช้เส้นสาย เงินนิดหน่อย คนรู้จักอีกนิดก็ช่วยได้แล้วล่ะนะ”

เอเลนคว้าสมุดเดินจากมือของเคนนี่ นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองข้อมูลเดินทางในเล่มก่อนจะหันไปมองหน้าคนลักพาตัวที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พาคนที่ไม่ได้สติอออกนอกประเทศทั้งยังทำการขอวิซ่ารวมถึงมีตราประทับเข้าประเทศอีกซีกโลกเรียบร้อยแบบนี้ คนที่ทำได้ขนาดนี้ต้องมีอิทธิพลขนาดไหน แค่คิดก็รู้สึกว่าชีวิตของเขาที่ยังนึกไม่ออกนั้นดูช่างอันตรายและไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว ทำไมตัวเขาถึงรู้สึกว่าชีวิตที่ควรจะเป็นไปในรูปแบบธรรมดาถึงได้พิลึกพิลั่นขนาดนี้ ถ้าตอนนี้มีคนมาตามหาตัวเขาแล้วบอกว่าเขาเป็นเจ้าชายจากประเทศไหนสักประเทศที่สูญหายไปเขาคงเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

“ที่จริงไม่ได้คิดว่าต้องพานายมาไกลขนาดนี้หรอกนะ แต่พอดีฉันมาต้องมาจัดการงานที่นี้ เลยต้องเอาตัวนายมาด้วยกัน” เคนนี่ว่าพลางจัดการเลือกชุดที่ราวแขวนออกมาสามสี่ชุดแล้วทาบกับตัวของเด็กหนุ่ม

“แต่ในเมื่อมาถึงที่นี้ทั้งที นายก็ดื่มดำกับการช็อปปิ้งในตลาดทองคำ หรือการขับรถซุปเปอร์คาร์ซิ่งหนีตำรวจ หรือจะลองขึ้นไปบนถึงที่สูงที่สุดเพื่อชมก้อนเมฆที่รายล้อมอยู่ดี?”

“ผม..ขออยู่ในห้องเฉยๆสักพักดีกว่าครับ” ตลาดทองคำจะให้เขาช็อปปิ้งอะไรล่ะที่นั้นคงไม่มีปลาสดให้เขาเลือกซื้อหรอก อีกอย่างแค่มองลงมาจากชั้นบนนี้ที่คาดว่าคงอยู่ราวๆชั้นที่ 20 กว่าๆ ก็ยังเห็นประกายทองที่สว่างจ้าขนาดนั้น ถ้าไปเดินจริงๆเขาคงดดนประกายแสงทองแผดเผาจนตาต้องบอดแน่ๆ

“อยู่ในห้องเฉยๆก็ดีกับทางฉันด้วย อีกอย่างนายจะได้แต่ตัวแบบนี้ได้” เคนนี่หยิบชุดสาหรี่สีแดงสดทักทอลวดลายด้วยดิ้นทองส่งให้กับเด็กหนุ่ม

เอเลนคลี่ชุดที่ถูกยื่นมาออกดูก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ เพราะชุดนี้อุปกรณ์ถึงจะเยอะแยะมากมายทั้งผ้าคลุมเครื่องประดับ แต่เสื้อที่สั้นจนปิดบังได้แค่ช่วงอกของเขากับกางเกงที่พองๆแบบนี้ ถึงแม้จะอยู่ในประเทศทะเลทราบแต่เขาก็อยุ่ในห้องแอร์ใส่ชุดโชว์ท้องแบบนี้มันน่าจะหนาวอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญหว่านั้น.....

“ผู้ชายที่นี้เขาต้องชุดโชว์หน้าท้องแบบนี้ทุกคนงั้นเหรอครับ?” แต่จากที่มองลงไปในตลาดเมื่อสักครู่ผู้ชายส่วนใหญ่ที่นี้จแต่งตัวด้วยชุดสีขาวแขนยาวและกางเกงขายาว ไม่เห็นมีใครที่ใส่ชุดโชว์แบบนี้สักราย ยิ่งผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่ เพราะที่เขาเห็นคือสิ่งมีชีวิตสีดำที่เดินไปมาแล้วมองเห็นเพียงตาเท่านั้น

“ไม่เสียหน่อย บอกแล้วไงว่าฉันแค่อยากรู้สึกว่าท่องอาหรับราตรี เพราะอย่างนั้นชุดพวกนี้เลยนำเข้ามาเพื่อนายโดยเฉพาะ ที่จริงเรียกว่าชุดหญิงสาวในฮาเร็มของสุลต่านก็ได้ล่ะมั่ง” เคนนี่ยกยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะจัดการเลือกชุดส่งให้เอเลนที่สองชุด

เอเลนมองชุดพวกนี้สลับกับใบหน้าที่ยังคงยิ้มอย่างสนุกสนานกับการเลือกชุดให้เขา.. ถึงยังจำอะไรไม่ได้ก็เถอะ แต่สัญชาตญาณบางอย่างของเขาบอกเขาอย่างชัดเจนเลยว่า คุณเคนนี่และคุณรีไว ทั้งสองคนสมแล้วที่เป็นพี่น้องกันจริงๆ....

ในที่สุดเอเลนจึงต้องจำใจยอมเลือกชุดที่เปิดเผยน้อยที่สุด และส่วนเสื้อยาวที่สุด ชุดอื่นๆที่เขาต้องโชว์หน้าท้องมากกว่าครึ่ง เขาจึงเลือกชุดสีฟ้าน้ำทะเลที่อย่างน้อยความยาวของเสื้อและกางเกงเอวต่ำทำให้เขาเปิดหน้าท้องเพียงแค่สะดือเท่านั้น

“โอ้ ไม่เลว ฉันคิดอยู่แล้วว่านายต้องเหมาะกับชุดสไตล์นี้” เคนนี่ชื่นชมด้วยความถูมิใจพลางจับเด็กหนุ่มหมุนตัวไปมา แล้วจัดการสวมผ้าโปร่งที่ใช้คลุมศรีษะให้

“ถ้าเป็นไปได้ ผมขอชุดที่ธรรมดากว่านี้ได้ไหมครับ”

“ของแบบนั้นน่าเบื่อจะตาย แต่ไว้ฉันว่าจะหาให้ก็แล้วกัน” ถ้าคุณมีเวลาสรรหาชุดสาวในฮาเร็มพวกนี้เป็นกระตั๊ก กับแค่ชุดผู้ชายธรรมดาสัก 1-2 ชุดคงไม่ใช่ปัญหาหรอกมั่งครับ ตกลงนี้เขาโดนลักพาตัวเพราะเรื่องคุณรีไว หรือเพราะคนนี้อยากได้ตุ๊กตาแต่งตัวกันแน่? เอเลนได้แต่บ่นในใจด้วยความรู้สึกปลงกับชายหนุ่ม

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูขัดจังหวะสนทนาของทั้งสอง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุสูทสีดำเปิดประตูเข้ามาก่อนจะโค้งคำนับทักทายเคนนี่ จากท่าทางเด็กหนุ่มเดาได้ว่าคงเป็นลูกน้องของเจ้าตัวไม่ผิดแน่

“ขอโทษนะขอรับ แต่แขกที่ท่านนัดไว้ใกล้จะมาถึงแล้ว”

“เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบตามไป”

ชายร่างสูงในชุดสูทโค้งให้กับทั้งสองก่อนจะปิดประตูจากไป ดูเหมือนที่ว่ามาเจรจาเรื่องงานจะเป็นเรื่องจริงตามที่อ้าง แต่ถึงอย่างนั้นการที่พาเขามาด้วยนี่ก็ดูจะเกินไปหน่อย หรือไม่คงเป็นเขาเองที่ไม่เข้าใจระบบความคิดของคนมีเงินเหล่านี้เอาเสียเลย

“ถ้าฉันจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับมาแล้วกัน” เคนนี่จัดหมวกปีกกว้างที่สวมใส่และกระชับชุดลายชบาสีสดให้เข้าที่ เอเลนที่มองตามตาไม่กระพริบได้แต่คิดว่านี่เจ้าตัวไม่คิดจะเปลี่ยนชุดหน่อยหรืออย่างไร เพราะแขกที่ถึงขนาดต้องบินมาหาที่ดินแดนตะวันออกกลางแบบนี้คงไม่ใช่แขกธรรมดาแน่นอน

“อ้อฉันลืมบอกไป ถ้าเป็นไปได้นายพยามอยุ่ในห้องหรือในโรงแรมนี้จะดีกว่า แต่ถ้าอยากออกไปข้างนอกจริงๆนายควรใส่ฮียาบสีดำออกไป เพราะกฎหมายที่นี้เรื่องเพศที่สามยังคงรุนแรง อย่างดีนายคงถูกส่งกลับประเทศ แต่ถ้าโชคร้ายก็โดนโทษประหารล่ะนะ”

เสียงปิดประตูที่ปิดลงเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเสียงโซ่ตรวนที่ดังกึกก้องเสียงมากกว่า ทั้งที่กฎหมายที่นี้น่ากลัวขนาดนั้นแต่คนนั้นยังให้เขาแต่งกานด้วยชุดอิสตรีที่วายหวิว ไม่เท่ากับว่าเป็นการบอกเป็นนัยว่าเขาไม่สามารถออก/ไปจากที่นี้ได้อย่างนั้นสิ แล้วตกลงที่ไม่เอาชุดผู้ชายมาให้เขาคือที่จริงแล้ววางแผนไว้ และจงใจสินะ...  ถ้าสัญชาตญาณเขาถูกต้อง ทั้งคุณเคนนี่และคุณรีไวเรียกได้ว่าสมแล้วที่มีสายเลือดเดียวกัน........

 

 

 

 

 

 

รถจิ๊ปสำหรับเข้าเมืองตรงจากท่าอากาศยานอาบูดาบี สาธารณรัฐเอมิเรตกำลังวิ่งตรงเข้าสู่เมืองหลวงดูไบ ทะเลทรายที่รายล้อมออกมาจากตัวเมืองทำให้ทัศนียภาพทั้งสองฝั่งนั้นไม่แตกต่างกัน ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่หรือเดินทางมาที่แห่งนี้เป็นประจำ การจะหลงทางกลางทะเลทรายคงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะในเมื่อไม่ว่าจะมองไปยังทิศไหนทัศนียภาพก็เหมือนกันไปหมด

“ครั้งแรกก็กลางทะเล ต่อมาก็เป็นตัวการที่ใกล้ตัว มาตอนนี้ก็มาที่ทะเลทราย ถ้าเรื่องนี้จบลงฉันคงต้องหาบ้านพักที่ดวงจันทร์หมอนั่นจะได้ไม่โดนพาตัวไป มา แบบนี้อีก” รีไวที่อารมร์คุกรุ่นยิ่งกว่าความร้อนของทะเลทรายสบถอย่างหัวเสีย ให้ตายสิเจ้าหนูนั่นขยันและเป็นที่รักในการให้เขามาตมตัวกลับเสียจริง

“อย่างเอเลนต่อให้นายไปมีบ้านที่ดวงจันทร์อาจมีเรื่องมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวหมอนั่นไปก็ได้ แบบนั้นน่าจะรับมือยากกว่าคนบนโลกเดียวกันอีกนะ” ฮันซี่พูดติดตลกพลางตรวจดูสัญญาณจีพีเอส ที่ตรวจจับได้ในแลปทอป

“อย่างน้อยเรื่องคราวนี้นายต้องขอบคุณที่ฉันจัดการใส่สัญญาณGPS ไว้ที่สายรัดถุงน่องในคอลเลคชั่นสุดท้าย” เอลวินเอ่ยพลางใช้แลปทอปอีกเครื่องเชคสัญญาณ GPS เช่นเดียวกับฮันซี่

“เรื่องมันจะง่ายกว่านี้ถ้านายไม่ทำตัวเป็นตาแก่ห่วงลูก ทั้งที่หมอนั่นก็โดนฉันขย้ำอยู่ทุกคืน” คำพูดตรงอย่างไม่ปิดบังทำเอาเอลวินคิ้วกระตุก

“เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เอเลนเป็นลูกของฉัน กับสัตว์ร้ายกาจอย่างนายก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา” เพราะครั้งที่แล้วโดนรีไวลักพาตัวไป และไม่รู้ว่าเจ้ามนุษย์อารมณ์ร้อนนี้คิดจะทำอะไรเขาเลยจัดการติดเครื่อง GPS ป้องกันไว้ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นได้มาตามถึงดินแดนทะเลทรายตะวันออก อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับเคนนี่ที่ต่างฝ่ายต่างปะทะกันอยู่อย่างบ่อยครั้ง

“มีเรื่องที่ฉันแปลกใจ ทั้งที่พวกเรามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเช่นกัน แล้วทำไมนายถึงรู้ว่าเคนนี่เป็นพี่ชายของนาย” ฮันซี่ที่ส่งเครื่องแลปทอปให้ไมค์ติดตามดูต่อหันหลังไปถามคนที่นั่งอยู่ท้ายรถด้วยแววตาคุกรุ่น

“ก่อนที่ฉันจะไปบ้านนั้นแล้วเจอพวกนาย ฉันอยู่ในสลัมกับหมอนั่น แต่วันที่พวกที่เรียกตัวเองว่ามูลนิธิกู้ภัยบ้าๆนั้นบุกมาพวกนั้นก็แยกตัวฉันกับหมอนั่นจากกันเพราะเจอสารเสพย์ติดในกระเป๋าเจ้านั่น” รีไวเล่าอย่างไม่ปิดบัง ที่จริงเขาไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้อยุ่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีใครถามเขาก็เท่านั้น

“แล้วทำไมนายถึงบอกว่าพี่ชายนายคนนั้นเกลียดนาย” เป็นเอลวินที่ถามด้วยความสงสัย

รีไวหันหน้าหนีมองไปยังทิวทัศน์ที่ยังคงมีแต่ทรายเช่นเดิม เอลวินและฮันซี่จึงคิดว่าเจ้าตัวคงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้เท่าไรจึงหันหน้ากลับไปหาแลปท็อป แต่แล้วต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อรีไวเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“หลังจากที่พวกเราถูกลุงนั้นรับเลี้ยง ฉันเจอหมอนั่นอีกครั้งระหว่างที่ไปทำภารกิจแรก เจ้านั้นดูไม่แปลกใจที่เห็นฉันกำลังจับปืนยิงเป้าหมาย ทั้งฉันและหมอนั่นได้แต่มองหน้ากันแล้วเดินจากไป ทั้งที่คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องอะไรกันแต่หลายครั้งในงานที่ฉันรับผิดชอบมักเจอหมอนั่นเสมอ ทั้งการที่ถูกขัดขวางหรือชิงลงมือ ล้วนเป็นฝีมือหมอนั่นทั้งสิ้น”

“แล้วหลังจากนั้นนายเคยได้คุยกับหมอนั่นตรงๆบ้างหรือเปล่า?” ฮันซี่ยกมือถาม หลายครั้งที่ภารกิจมีปัญหาเพราะการก้าวก่ายของเคนนี่ และหลายครั้งที่ดูเหมือนเคนนี่แค่ต้องการลองเชิงพวกเขาเท่านั้น แต่มีหลายจุดที่เธอรู้สึกแปลกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่ที่แน่นอนคือภารกิจที่มักโดนเคนนี่เข้ามาสอดมักเป็นสิ่งที่รีไวรับผิดชอบ เรียกได้ว่าเจาะจงตัว

“เคย............ เจ้านั้นเคยถามฉันว่า ความสุขคืออะไร?”

“แล้วนายตอบไปว่ายังไง?” เอลวินถามขึ้นอีกครั้ง

“....ไม่รู้... หมอนั่นเพียงแค่ยิ้มแล้วบอกว่าถ้ามีความทุกข์ที่แสนสาหัสนายอาจรู้ว่าความสุขคืออะไร” มือหนากำแน่นขึ้นสายตาคมคุกรุ่นด้วยแรงโทสะ

“หมอนั่นอาจต้องการแค่เห็นความทุกข์ของฉันก็ได้....”
 
TBC.
..............................................................................................
 
Talk: เคนนี่โผล่มาแล้วหลังจากมีแค่ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงมาสักหลายตอน เรื่องนี้วางความสัมพันธ์ไว้เป็นพี่น้อง (ตอนแรกอยากให้เป็นพ่อลูกแต่เปลี่ยนใจ) ในเมื่อเป็นพี่น้อง เคนนี่เลยถูกลดอายุจากในมังงะมาหน่อย วางไว้ว่าแก่กว่ารีไวแค่5ปีค่ะ ส่วนเรื่องราวในอดีตของรีไวนี่ขอบอกก่อนอาจไม่ได้เขียนนะคะ(อยู่ที่ความขยันล้วนๆ) บอกก่อนค่ะกลัวคนรอ ที่จริงมีวางไว้แหละค่ะซึ่งอาจเอ่ยถึงแต่ไม่ได้เขียนเป็นเรื่องเป็นราว เอาจริงถึงมันจะเป็นฟิคตามอารมณ์แต่เบื้องหลังของรีไวจากเด็กกำพร้าในสลัมกลายมาเป็นผู้มีอิทธิพลนี่ค่อนข้างมีตื้นลึกหนาบางอยู่พอควร เคยคิดคร่าวๆไว้หลายอย่างค่ะแต่ถ้าเขียนเป็นเรื่องราวเลยนี่งานจะงอกได้ เพราะอย่างนั้นเลยขอแค่กล่าวถึงเป็นน้ำจิ้มพอ แล้วอีกอย่างอยากให้คงความเป็นฟิคเบาสมอง(มากๆ) สบายอารมณ์ นิยมความโม่ยเป็นหลักเช่นเดิม เพราะอย่างนั้นอดีตอันดำมืดเลนขอยัดลงหีบโยนทิ้งในตู้เสื้อผ้า
เรื่องนี้พอมาภาคสองเหมือนอุปสรรคขวากหนามจะมากมายมาก กลายเป็นว่าภาคแรกมุ้งมิ้งกว่าเยอะสุดๆ แต่ถ้าเอเลนความจำกลับมานี่คงกลับมามุ้งมิ้งเช่นเดิม ถ้าสังเกตนิสัยเฮียแม้จะโหดและเอาแต่ใจแต่ที่จริงเป็นคนมุ้งมิ้งกว่าที่คิด และชอบหาอะไรน่ารักๆให้เอเลน คงเพราะคิดว่ามันเหมาะกับลูกหมาน้อยของเราดีหลังๆงานอดิเรกของเฮียรีไว(และคนเขียน) เลยกลายเป็นการแกล้งเอเลนไปโดยปริยาย และส่งอิทธิพลถึงตัวละครอื่นๆด้วย กลายเป็นว่าฟิคเรื่องนี้ลูกหมาน้อยของเราจึงอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหารเลยก็ว่าได้...//ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เอเลนซับน้ำตา
เกือบลืม ต้องขออภัยที่หายไปนานนะคะ เป็นช่วงชีวิตตัวเองเปลี่ยนหลายอย่างค่ะ(แล้วก็+ไปเที่ยวด้วย) อย่างที่บอกไว้เสมอมาค่ะคือจะพยายามอัพเท่าที่ไหว(ทั้งสราร่างและสภาพแวดล้อม) ต้องขอบคุณคนรอและคนติดตามนะคะ ไม่ได้ลืมอัพฟิคแน่นอน(แม้จะมีแอบอู้บ่อยๆ)
เรื่องนี้ก็คงใกล้จะจบภาคแล้วเช่นกันแต่ไม่ต้องห่วงค่ะมันยังมีไหหลายๆใบที่รอการผุด(ขยันทำฟาร์มไหมาก) ขอฝากตัวตามต่อๆไปด้วยนะคะ รักนักอ่านทุกท่านเช่นเดิม ที่เพิ่มเติมคือความอู้ของคนเขียน...(ยืดอกยอมรับมาก)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น