วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Special Last Memory + ล่ารักอันตราย : Parallel world 2


Special Last Memory + ล่ารักอันตราย : Parallel world 2(END)

Pairing : Levi x Eren

****หมายเหตุ**** ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักใดใดทั้งสิ้นนะคะ เขียนขึ้นสนองความเวิ่นของตัวเองค่ะ แหะๆ><”””

……………………………………………………………………………………………………..



            คิ้วคมกระตุกถี่ยิบกับการถูกจ้องมองจากเหล่าคนที่หน้าคาเขาเองนั้นก็คุ้นเคยดี เพียงแต่ต่างกันที่คนเหล่านั้นอยู่อีกโลกหนึ่งกับเขา

            “ถ้าเธอไม่บอกว่าเป็นการทดลองของคุณฮันซี่ฉันเองก็ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆนะจ๊ะ” เพทร่าตาลุกวาวกับคนที่เป็นพิมพ์เดียวกันกับหัวหน้ารีไวหน่วยปราบปรามที่เธอรู้จัก

            “หัวหน้าแกงค์มาเฟีย ผู้นำองค์กรมืด ให้ตายสิต่างกันอย่างกับขาวและดำเลย!” แจนจ้องเขม็งมองอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นและฟังมาว่าจะเป็นเรื่องจริง

            “อย่าปากดีไอหน้าม้า ฉันเป็นแค่ผู้นำองค์กรและนักธุรกิจเท่านั้น” นัยน์ตาสีขี้เถ้าหรี่ตามองเด็กหนุ่มร่างสูงอย่างไม่สบอารมณ์

            “คุณนี่ต่อให้จะมาจากอีกมิติแต่ก็ปากร้ายเหมือนเดิมเลยนะ” แจนถึงกับมองอีกคนอย่างหัวเสีย ให้ตายสิไม่ว่าจะมิติไหน หรืออยู่ในฐานะอะไร คนคนนี้ก็ยังเป็น คุณรีไวที่แสนปากร้ายได้อยู่เหมือนเดิม

            “ไม่ว่าจะโลกนี้ โลกที่แล้ว หรือโลกคู่ขนาน คุณนี่ไม่มีพัฒนาการเรื่องส่วนสูงเอาซะเลยนะคะ” มิคาสะมองชายหนุ่มด้วยแววตาละเหี่ยใจ โลกนี้ช่างโหดร้ายที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่ยอมเพิ่มส่วนสูงให้คนแก่ตัวเตี้ยแบบนี้สักทีสินะ

            “โฮ่ เธอสองคนนี้ปากดีสมเป็นแฟนกันเลยนะยัยพี่สาวจอมจุ้นของเอเลนและพี่ชายเฮงซวยของเอเลน”

            สถานะที่รีไวอันตรายเอ่ยขึ้นถึงกับทำให้มิคาสะขนลุกซู่ แจนหน้าไม่มีสีเลือด และอาร์มินที่ถึงแม้จะยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตรแต่กลับปล่อยรังสีบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจนแจนไม่กล้าที่จะหันไปสบตา

            “ไอเตี้ยเมื่อกี้นายว่า ใครเป็นแฟนกับใครนะ?” มิคาสะเอ่ยถามช้าๆทีละคำอย่างไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง

            นัยน์ตาสีขี้เถ้าหรี่มองอย่างแฝงความรู้สึกสนุก ดูเหมือนในมิตินี้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้จะต่างจากโลกที่เขาอยู่มากสินะ

            “เธอกับนายหน้าม้านั้นไง เห็นว่ากำลังจะแต่งงานกันแล้ววางแผนครอบครัวเรียบร้อยแล้วด้วย”

ทันทีที่พูดจบมิคาสะกระชากคอเสื้อของแจนที่ดูเหมือนวิญญาณจะหลุดลอยไปไกลแล้วลากไปหลังร้าน โดยมีอาร์มินและเพทร่าที่มองส่งด้วยสายตาสงสารเด็กหนุ่มร่างสูงอย่างไม่อาจเข้าไปช่วยได้ เมื่อทั้งคู่หายไปหลังร้านมีเสียงตึงตังอยู่สักพักก่อนที่มิคาสะจะลากแจนกลับมาด้วยร่างที่ราวกับไร้วิญญาณ แล้วปล่อยเด็กหนุ่มร่างสูงให้นั่งเป็นซากอยู่ที่มุมในสุดของเคานท์เตอร์ร้าน

“อ...เออ แล้วผมที่โลกนั้นเป็นยังไงเหรอครับ?” อาร์มินชี้ถามถึงตนเองในอีกมิติหนึ่งที่ดูน่าสนใจไม่น้อย

รีไวยกชาขึ้นดื่มก่อนจะมองอย่างพิจารณาเด็กหนุ่มผมทองที่อยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด

“นายในโลกของฉัน........... เป็นไอเด็กหัวเห็ดที่น่าจับไปถ่วงทะเลที่สุด”

ราวกับมีหินก้อนใหญ่ที่สลักคำว่าเด็กหัวเห็ดตกใส่หัวอาร์มิน อัลเลตโต ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดและเรียบร้อยเพียงแต่อย่าไปปลุกด้านมืดของเจ้าตัวออกมาเท่านั้น

“แต่นายในโลกนี้เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว” รีไวมองเหล่าคนที่ใบหน้าคุ้นตาทีละคน ก่อนจะสะดุดกับภาพถ่ายที่ตั้งอยู่ในมุมส่วนตัวของเคานท์เตอร์เก็บเงิน ซึ่งเป็นรูปถ่ายคู่วันแต่งงานของเพทร่ากับออลโอ

“พวกนายเองเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะนะ” แม้จะเหมือนแต่ก็แตกต่างกับโลกของเขาที่ต่างมือต้องเปื้อนเลือดและเหยียบย่ำความรู้สึกของใครต่อใครมากมาย ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรจึงได้แต่เดินต่อไปในเส้นทางที่ได้เลือกไว้อย่างไม่อาจหันหลังกลับ

กริ๊ง

เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก เอเลนซึ่งถูกวานให้ออกไปซื้อของกลับมาพร้อมกับวัตถุดิบมากมายเต็มสองมือ

“ซื้อของมาตามรายการครบแล้วครับพี่เพทร่าผมเอาไปไว้ในครัวเลยนะครับ” ทันทีที่เดินเข้ามาถุงของในมือก็ถูกแย่งไป ใบหน้ามนมองตามแผ่นหลังของคนที่แย่งของจากตนเองไปพลางยกยิ้ม

“ครัวนี่ห้องด้านหลังเคานท์เตอร์สินะ” ชายหนุ่มขนวัตถุดิบเดินไปตรงยังห้องที่คาดว่าจะเป็นห้องครัวโดยมีเด็กหนุ่มร่างโปร่งอีกคนถือของที่เหลืออยู่อีกเล็กน้อยตามหลังไปไม่ห่างกัน

“อ่ะค่ะ ฝากด้วยนะคะ” เพทร่ามองทั้งสองคนไปมาก่อนจะหันไปสบตา อาร์มิน แจน และมิคาสะ ที่ต่างก็มองอย่างเข้าใจโดยไม่ต้องพูดคำใดออกมา

ดูเหมือนไม่ว่าจะโลกไหนๆคนหน้าตายเฉยชาคนนั้นจะแพ้ทางเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ชื่อว่า เอเลน สินะ....

 

“พี่เพทร่าครับวันนี้ผมขอโดดนะ จะพาคุณรีไวไปชมเมืองรอบๆน่ะครับ” หลังจากเก็บของเข้าที่เรียบร้อยโดยมีชายหนุ่มเป็นผู้ช่วยเอเลนจึงขออนุญาตเพทร่าเจ้าของร้าน

“ได้สิจ๊ะ ขอบคุณที่ไปซื้อของแล้วก็แวะพาหัวหน้าอีกคนมาที่นี้นะจ๊ะ” เพทราโบกมือลา

หลังทั้งคู่ออกไปไม่นานเสียงกระดิ่งที่แขวนที่ประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งเป็นการบอกว่ามีแขกเข้ามาในร้าน

“เอเลนมาที่นี้รึเปล่า?” เสียงคุ้นเคยตะโกนถามพลางเดินเข้ามาในร้านพร้อมร่างของเด็กหนุ่มสูงโปร่งอีกคนที่กำลังพองลมในแก้ม

“เอ๊ะ? เมื่อกี้เอเลนก็ไปกับหัวห...... อ๋อ เออ นี่คือหัวหน้ารีไวแห่งกองปราบปรามใช่ไหมคะ?” เพทร่าเอียงคอถามเพื่อความแน่ใจ

“แสดงว่าหมอนั่นมาที่นี้สินะ” รีไวเกาหัวอย่างอารมณ์เสีย “หมอนั่นลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องทดลองฮันซี่ติดต่อไม่ได้เลยให้ตายสิ!

“เห็นว่าจะพาเที่ยวรอบเมืองเดี๋ยวก็คงกลับมาล่ะค่ะหัวหน้า”

“ปล่อยเอเลนอยู่กับหมอนั่นมันไม่น่าไว้ใจน่ะสิ!

เพทร่าเอียงคอมองชายหนุ่มอย่างสงสัย หัวหน้ารีไวอีกมิติถึงจะมีรังสีอันตรายรอบๆตัวแต่เป็นคนน่ากลัวขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?

“แต่คนนั้นก็เป็นหัวหน้านี่คะไม่น่าจะเป็นอะไร?”

“ถึงจะเป็นฉันก็ไม่ใช่ฉันเข้าใจไหม? ยิ่งเจ้าหนูนี่เล่าวีรกรรมหมอนั่นให้ฟังแต่ละอย่างยิ่งปล่อยให้อยู่ด้วยกันไม่ได้!

เพทราหันไปมองเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีมรกตอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่ม ใบหน้ามนที่พองแก้มอย่างไม่สบอารมณ์ แม้จะเหมือนกันแต่เอเลนคนนี้ดูท่าจะหัวรั้นเอาการ

“เป็นอย่างนี้คงต้องลองสุ่มหาดูล่ะนะ ไปกันเถอะเอเลน”

“อ... ครับ”

 

โครกกกก!

 

ทันทีที่หันหลังเตรียมก้าวออกจากร้านเสียงประท้วงของท้องเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น ใบหน้ามนหน้าขึ้นสีด้วยความอายเหล่าคนในร้านที่ต่างจ้องมองมายังจุดเดียวกัน

“เออ.....เสียงเมื่อกี้......” ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคเสียงหัวเราะของแจนก็ดังขัดจังหวะแทรกขึ้นมา

“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอเลน นายนี่มันปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลย ฮ่า ฮ่า”

โป๊ก!

ขวดน้ำพลาสติกถูกขว้างไปโดนหัวคนหัวเราะไม่หยุดเข้าอย่างจัง แจนกุมใบหน้าตัวเองด้วยความเจ็บ

“เป็นม้าที่ส่งเสียวหนวกหูชะมัดเลยนะแจน”

“แกนี่ไม่ว่าจะโลกไหนก็กวนประสาทชะมัด”

ก่อนที่ทั้งสองจะกระโจนใส่กันรีไวจึงยื่นเมนูอาหารส่งให้กับเด็กหนุ่มร่างโปร่งเสียก่อน

“จะกินอะไรก็สั่งซะเอเลน”

“เอ๊ะ แต่คุณกำลังรีบไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวไว้ผมค่อยหาอะไรทานหลังจากเจอเอเลนอีกคนแล้วก็ได้”

รีไววางมือลงบนผมสีน้ำตาลก่อนจะขยี้ไปมาเบาๆ

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะเจ้าหนู เพราะชอบฝืนแบบนี้นายเลยผอมแค่นี้น่ะสิเอเลน”

ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อก่อนก้มมองดูรายการอาหารที่อยู่ในมือ ถึงแม้จะเหมือนกันแต่บรรยากาศและการกระทำของคนคนนี้ช่างแตกต่างจนเขาไม่คุ้นชินเอาเสียเลย!

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

“ว่าแต่คุณรีไวอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่าครับ?” เอเลนถามอีกฝ่ายหลังจากเดินออกมาจากร้านเพทร่าได้สักพักอย่างไร้จุดหมาย

“เอาที่นายอยากไป”

“แต่แบบนั้นก็เท่ากับว่าผมไปเที่ยวเองน่ะสิครับ” แล้วแบบนี้เขาควรพาคนคนนี้ไปที่ไหนดีล่ะ

“นายอยากพาฉันไปไหนก็ที่นั้นแหละเจ้าหนู” หันมาบอกหน้านิ่งโดยไม่คิดถึงคนที่อาสาพามาเลยว่าการที่ให้ตัวเขาเลือกเองนั้นเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ยากที่สุดแล้ว

“ไปเดินเล่นที่นั้นก็ได้”

ระหว่างที่กำลังคิดไม่ตกกับการพาคนอันตรายไปที่ไหน คนต้นเหตุก็ชี้ไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเส้นถนน

เมื่อตัดสินใจแล้วคนสูงน้อยกว่าก็เดินนำหน้าเข้าไปโดยไม่รอให้อีกคนตอบตกลง จนเอเลนต้องรีบเดินไล่ตามหลังไปติดๆ

เนื่องจากยังอยู่ช่วงเวลาทำงานของคนปกติและไม่ใช่ช่วงวันหยุด สวนสาธารณะจึงมีผู้มาใช้อย่างบางตา ส่วนมากจะเป็นนักเรียนและนักศึกษาที่แวะข้างทางระหว่างกลับบ้านอยู่บ้างประปราย ชายหนุ่มเลือกม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังทอดเงาบังแดดยามบ่ายอย่างร่มรื่นย์ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง

กระป๋องเครื่องดื่มเย็นถูกส่งให้ทันทีที่รีไวนั่งลงบนม้านั่งในสวนสาธารณะ นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองคนที่ยื่นส่งมาให้ เด็กหนุ่มจึงส่งยิ้มตอบกลับพร้อมทั้งเขย่าเครื่องดื่มในมือให้อีกคนรับไป

“คุณมีอะไรจะถามผมรึเปล่าครับ?” เอเลนนั่งลงข้างๆกับชายหนุ่มพร้อมเปิดกระป๋องเครื่องดื่มของตน

“ทำไมนายคิดงั้นอย่างนั้นล่ะไอหนู?” ใบหน้าคมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

“ก็ดูเหมือนที่จริงคุณไม่ได้สนใจที่จะเดินเที่ยวรอบเมืองเลยนี่ครับ”ตั้งแต่ออกมาจากอาคารวิจัยของคุณฮันซี่ หรือแวะไปที่ร้านของพี่เพทร่า ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ได้สนใจถึงบรรยากาศรอบๆที่เดินผ่านมาเสียเลย

“ตอนแรกก็คิดว่าอยากดูรอบๆอยู่ล่ะนะ แต่เท่าที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ฉันอยู่เท่าไร”

“งั้นเหรอครับ” คงเพราะเป็นโลกคู่ขนานนอกจากคนที่เหมือนกันแล้ว เมืองคงไม่ต่างกันด้วยสินะ

ใบหน้ามนเงบหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกิ่งก้านและใบไม้ที่แตกแขนง ลมที่พัดเอื่อยๆยามบ่ายทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ท้องฟ้าวันนี้แม้จะปลอดโปร่งแต่แดดก็ไม่ร้อนแรงจนทำให้แสบตาหรือร้อนอบอ้าว บรรยากาศสบายๆแบบนี้ถ้าได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นกับคุณรีไวก็คงดีสินะ

 

“กำลังนึกถึงรีไวอีกคนอยู่รึไง?”

เอเลนหันมองสบกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย แม้จะเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่คนที่เขาคุ้นเคย

“รู้ด้วยเหรอครับ” ยกยิ้มอย่างเขินอาย นี่เขาแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองใบหน้ามนนิ่ง เอเลนเอียงคอมองอีกคนที่จ้องตนอย่างไม่กระพริบตา

“ให้ความสำคัญมากเลยงั้นเหรอ?”

“ครับ?”

“กับรีไวคนนั้นน่ะ”

ใบหน้ามนคลี่ยิ้มบาง เสียงใสเอ่ยตอบกลับอย่างหนักแน่น

“สำคัญสิครับ เพราะเขาคือส่วนหนึ่ง ไม่สิ เพราะเขาเรียกได้ว่าเป็นชีวิตของผมเลยล่ะ”

รีไวมองใบหน้ายิ้มอบอุ่นนั้นอย่างแปลกใจ สำคัญราวกับชีวิตของตนเอง ความรู้สึกแบบนั้นเขาไม่รู้จักและคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่พอคนตรงหน้านี้พูดมันราวกับเป็นเรื่องที่เขาสามารถสัมผัสได้อย่างแปลกประหลาด ทั้งที่อยากบอกแล้วถามออกไป แต่ใบหน้าและน้ำเสียงของคนตรงหน้าทำให้คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายเข้าลงคอ

“งั้นเหรอ.......” ตอบได้เพียงเท่านั้นก่อนที่ยกดื่มเครื่องดื่มในมือของตน

“แต่พอเห็นคุณแล้วทำให้ผมมั่นใจได้อย่างนึงนะครับ” นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองเด็กหนุ่มด้านข้าง

“ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง หรือไม่ว่าจะที่ไหน ผมกับคุณรีไวจะต้องได้เจอกันอย่างแน่นอน”

คำพูดที่เชื่อมั่นและรอยยิ้มที่สดใสที่ถูกส่งมาทำให้เกิดความรู้สึกประหลาด ไม่เคยคิดที่จะเชื่อเรื่องของความรักหรือความผูกพัน สิ่งที่เชื่อถือได้มีเพียงแค่อำนาจและตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าเขาลองเชื่อเรื่องอย่างนั้นดูจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาในตอนนี้บ้างรึเปล่า........

“ฉันก็รู้สึกดีที่ได้เจอนาย ไม่ว่าจะเป็นนายที่อยู่ตรงหน้าหรือตัวนายที่อยู่ในโลกของฉันน่ะนะ เอเลน” มือแกร่งลูบไล้ใบหน้ามนของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีมรกตที่จ้องมองมาบางทีตัวเขาเองก็คงหลงใหลนัยน์ตาคู่นี้ของหมอนี่ไม่ว่าจะเมื่อไรสินะ....

สัญชาตญาณของชายหนุ่มกระตุ้นเร้า รีไวผลักเอเลนให้ออกห่างจากตัวทันที!!

 

โครม!!      

 

ถังขยะกลางสวนสาธารณะถูกโยนใส่ระหว่างกลางของคนทั้งสองจนถึงขยะอลูมิเนียมเจ้ากรรมอัดเละคาลำต้นไม้ที่อยู่หลังม้านั่งของทั้งคู่

“โฮ่ย ดูเหมือนนายจะไม่น่าไว้ใจตามที่เอเลนบอกจริงด้วยสินะ” รังสีทะมึนแผ่ซ่านจากชายหนุ่มผู้ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งกองปราบปราม

 

“คุณรีไว!!” เอเลนหันไปมองทางต้นเสียงผู้เป็นคนขว้างถังขยะเข้ามาพลางเหงื่อตก ดูเหมือนว่ารังสีที่ส่งออกมาของชายหนุ่มสุดแกร่งตรงหน้าจะทำให้เขารู้สึกยะเยือกไปถึงไขสันหลังเลยทีเดียว

“ดูเหมือนถ้าฉันมาช้ากว่านี้อีกนิดนายคิดจะทำอะไรงั้นเหรอ?” รีไวกระชากคอเสื้ออีกคนขึ้นมาอย่างหัวเสีย

“ถ้านายอยากรู้ก็ให้ฉันอยู่กับเจ้าหนูนั่นอีกสักพักเป็นไง?” รีไวอันตรายมองหน้าอีกคนอย่างท้าทาย

“แกนี่มัน!!

เอเลนที่อยู่ตรงกลางระหว่างรีไวทั้งสองพยายามเข้ามาแทรกกลางเพื่อไกล่เกลี่ย

“เออ คุณรีไวใจเย็นก่อนนะครับ ผมกับคุณรีไวไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“ตกลงนายกับหมอนี่ไม่ได้เป็นอะไรกันงั้นเหรอ?” รีไวอันตรายยังคงแหย่หาเรื่องอย่างสนุก

ใบหน้ามนขึ้นสีแปร๊ด อาการกระอักอ่วนตอบไม่ถูก

“ม... ไม่ใช่ครับ คือ ผมก็เป็น.... กับ คุณรีไว แต่ก็ไม่ใช่กับคุณรีไว.....”

“ตกลงว่าไงล่ะเอเลนนายเป็นหรือไม่เป็นอะไรกับฉันกันแน่?” รีไวคนอันตรายยังคงถามกลับอย่างนึกสนุก ไม่ว่าจะเป็นหมอนี่ในรูปแบบไหน ปฏิกิริยาก็ยังคงน่าแกล้งไม่เปลี่ยน

“นายตอบมาให้ชัดเจนสิเอเลน” ดูเหมือนความอยากแกล้งเด็กหนุ่มตรงหน้าจะส่งไปยังรีไวอีกคนเช่นกัน

“อ.... เออ คือ โอ๊ยยย พอแล้ว แบบนี้งงชะมัดเลย งั้นเอาแบบนี้ ผมเรียกคุณรีไวว่าหัวหน้า แล้วคุณรีไวจากอีกมิติว่าคุณรีไวแล้วกันนะครับจะได้ไม่ต้องสับสน” ว่าพลางชี้นิ้วแบ่งแยกทั้งสองคนออกจากกัน

“แล้วทำไมนายต้องเรียกฉันว่าหัวหน้าด้วยล่ะเอเลน” ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ใช่หัวหน้าของหมอนี้เสียหน่อย

“ยังไงคุณก็เคยเป็นหัวหน้าผมนะครับ อีกอย่างผมกับคุณรีไวคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรหรือทำอะไรกันทั้งนั้นนะครับ”  นัยน์ตาสีมรกตสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าอย่างเว้าวอน แก้มสีใสเริ่มสุกปลั่ง “ย.... ยังไงสำหรับผมหัวหน้า  ก.... ก็  คือ คนที่ผมชอบ...”

มือแกร่งละออกจากคอเสื้อของคนน่าโมโหก่อนจะคว้าไหล่บางที่น่าหลงใหลตรงหน้าแทน

“แค่ชอบงั้นเหรอเอเลน...?” ถามเย้าแหย่ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ แต่ท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้อยากแกล้งไม่น้อย

“ม.... ไม่เห็นต้องถามเลยนี่ครับ” คิ้วมนขมวดมุ่น ทั้งที่รู้อยู่แท้

“เฮ้ถ้าพวกนายจะสร้างวิมานกันสองคนก็ช่วยเกรงใจเยาวชนที่อยู่ตรงนี้หน่อยนะ” รีไวคนอันตรายชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีมรกตอีกคนที่หน้าขึ้นสีระเรื่อมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

ถึงรู้ว่าจะไม่ใช่ตัวเขาเองเสียทีเดียวแต่พอมาเห็นตัวเองสวีทกับคนที่เขาแสนเหนื่อยใจเวลาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกพิลึกอย่างบอกไม่ถูก

“เอ๊ะ! นี่เอเลนก็หลุดมานี้ด้วยงั้นเหรอครับ?” เอเลนรีบตรงดิ่งเข้าไปหาคนที่เหมือนตนเองอย่างตื่นเต้น

“ไม่น่าเชื่อเลยเหมือนกำลังมองตัวเองตอนอยู่ ม.ปลาย เลย” เอเลนเข้าไปทั้งจับ ทั้งลูบคลำตัวเองอีกคนอย่างสนุก

“ฉันไม่ใช่ตุ๊กตานะจะจับมากไปแล้ว!

“อ่ะ ขอโทษนะ คือตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ” เอเลยผละมือออกจากเด็กหนุ่ม ก่อนจะส่งยิ้มขอโทษให้

“ยัยสี่ตานั่นสะเพร่าจงนายติดร่างแหมาอีกคนสินะเจ้าลูกหมา” มือแกร่งขยี้ลงบนผมสีน้ำตาลที่คุ้นเคย พอมาอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนจะเริ่มเข้าใจที่ยัยสี่ตาจอมเพี้ยนนั้นบอกไว้บ้างแล้ว ถึงจะเหมือนแต่ก็แตกต่างกัน

“ทั้งหมดก็เพราะคุณนั่นแหละ ตาแก่โรคจิต!” และก็เพราะปากแบบนี้นี่แหละเลยทำให้เขาอยากอบรมนักต่อนัก มือที่ขยี้ผมสีน้ำตาลจึงเปลี่ยนมาดึงปากเจ้าลูกหมาช่างพูดแทน

“คุณรีไวอย่างแกล้งเอเลนแบบนั้นสิครับ!!” เด็กหนุ่มพยายามช่วยดึงมือของอีกคนที่หยิกแก้มเอเลนปากดีออก

กว่าที่มือหนาที่ราวกับคีมหนีบนั้นจะยอมปล่อยออก เอเลนปากดีก็แก้มยืดไปตามกัน

“ตอนนี้มีผมสองคนเวลาเรียกคงจะสับสนอยู่ถ้าไงเราหาวิธีเรียกแยกกันไหมครับ หัวหน้า และก็คุณรีไว”

รีไวทั้งสองมองเด็กหนุ่มสลับกันไปมาก่อนจะหันมาสบตากันเองอย่างไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าไรนัก

“หัวหน้าว่ายังไงครับ?”

“ตามที่นายว่านั้นแหละเอเลน”

“แล้วคุณรีไวล่ะครับ?” หันไปถามอีกคนที่ยังคงทำหน้าบอกบุญไม่รับเช่นเดิม

“แล้วแต่นายเลย”

“งั้นเป็นอันตกลงนะครับ งั้นเราจะเรียกเอเลนคนนี้ว่ายังไงดี?” เอเลนมองอีกคนอย่างครุ่นคิด ถึงแม้จะปากเสียไปบ้างแต่ก็เป็นตัวเขานี่นะ

“เจ้าลูกหมาเป็นไง” รีไวคนอันตรายเสนอ

“ห๊ะ! ผมไม่ใช่หมานะครับ เคยบอกแล้วไงว่าถ้าอยากเลี้ยงก็ไปหาซื้อมาเลี้ยงซะสิ” เอเลนมองคู่กัดของตนอย่างหัวเสีย

“เพราะนายชอบทำแบบนี้ถึงโดนเด็กมันเกลียดขี้หน้าเอาสินะ” ใบหน้าที่เหมือนกันมองอีกคนอย่างรู้สึกสมน้ำหน้า

“อย่าว่าคุณรีไวเลยครับ หัวหน้าเองเจอผมครั้งแรกยังบอกว่าเป็นหมาเลย” แถมเป็นหมาพันธุ์เล็กอย่างปอมเปอเรเนียนเสียด้วย

“โฮ่ ดูเหมือนนายเองก็มีประวัติไม่ต่างกันนะ” รีไวคนอันตรายมองอีกคนพลางยกยิ้ม

ต้องเรียกว่าแม้จะอยู่ในสถานที่ต่างกันยังไงคุณรีไวก็คือคุณรีไวอยู่ดีสินะ โดยเฉพาะเรื่องที่เห็นเขาเป็นเหมือนหมาเนี่ย

“ถ้างั้นเรียกเอเลน กับเจ้าหนู ไปละกันยังไงหมอนั่นก็เด็กกว่า” หัวหน้ารีไวยื่นเสนอ

“แต่แบบนั้นจะดีเหรอครับ?” เอเลนมองอีกคนที่หน้าเหมือนตนเอง

“แบบนั้นก็ได้” ใบหน้ามนตอบรับอย่างไม่อิดออด ยังไงซะส่วนมากคนหน้าตายนี้ก็ชอบเรียกเขาว่าไอหนู หรือ เจ้าหนูอยู่แล้วจึงไม่แปลกอะไร

“งั้นเจ้าหนูเอเลน รู้สึกเหมือนมีน้องชายเลยแฮะ” เอเลนลูบผมสีน้ำตาลที่เหมือนกับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือส่วนสูง เพียงแต่ว่าคนตรงหน้าเด็กกว่าอย่างเอ็นดู ตัวเขาที่เป็นลูกคนเดียวแม้จะโตมาพร้อมกับมิคาสะที่ทำราวกับเป็นพี่สาวการที่มีน้องชายแบบไม่คาดคิดอย่างนี้ก็ทำให้รู้สึกดีไม่น้อย

rrrrRRRRRRR

เสียงโทรศัพท์ที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ทุกคนหันไปสนใจที่หัวหน้ารีไว เมื่อเห็นถึงชื่อคนที่โทรเข้ามาเขาหวังว่าเรื่องแปลกๆนี้คงได้ถึงเวลาจบลงเสียที่

 [ว่าไงยัยสี่ตาเครื่องซ่อมเสร็จพร้อมส่งเจ้าพวกนี้กลับแล้วใช่ไหม?]

[ดูเหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ ฉันเลยจะโทรมาบอกว่าฝากพวกเขาไว้กับนายก่อนพรุ่งนี้ทุกยอ่างน่าจะเรียบร้อย]

“เฮ้ยเดี๋ยวแกว่าอะไรนะ!!?” ยังไม่ทันถามรายละเอียดปลายสายก็กดวางทันที หัวหน้ารีไวมองหน้าจอโทรศัพท์ที่วางไปพลางคิ้วกระตุกถี่ยิบ

“คุณฮันซี่ว่ายังไงเหรอครับ?”

หัวหน้ารีไวถอนหายใจก่อนจะหันไปสบตากับใบหน้ามนและเหล่าคนอื่นๆที่รอฟังคำตอบ

“คืนนี้พวกนายคงต้องอยู่ที่นี้ก่อน พรุ่งนี้เครื่องเฮงซวยนั่นถึงจะเสร็จ”

“ให้มันได้อย่างนี้สิน่ารำคาญชะมัด” รีไวคนอันตรายสบถอย่างหัวเสีย

“งั้นพวกเขาก็ต้องพักที่คอนโดของหัวหน้าก่อนสินะครับ”

“ทำไมต้องเป็นคอนโดฉันด้วยล่ะเอเลน!?” ที่พักอื่นมีตั้งเยอะแยะจะให้พวกนี้ไปนอนโรงแรมเอาก็ได้แล้วทำไมเขาต้องพาคนน่าโมโหเข้าบ้านด้วย ถ้าแค่เจ้าหนูเอเลนเขาคงไม่บ่นอะไรหรอก

“ผมจะได้ขอค้างเป็นกรณีพิเศษด้วยไงครับ โอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆนะ” นัยน์ตาสีมรกตทอประกายอย่างตื่นเต้น การที่ได้เจอกับตัวเองจากอีกมิติ อีกทั้งคุณรีไว สองคนที่เหมือนแต่ก็ต่างกัน เรื่องแบบนี้เขาจะพลาดได้ไงล่ะ

“ถ้านายว่าอย่างนั้นก็ตามใจ” หัวหน้ารีไวถอนหายใจอย่างจำยอม ถ้าไม่ติดว่าเอเลนจะขอที่บ้านเจ้าตัวมาค้างกับเขาเป็นกรณีพิเศษเขาคงจะถีบส่งรีไวอีกคนแล้วพากลับไปแค่เจ้าหนูเอเลนคนเดียวแล้วล่ะนะ

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องเขม็งใบหน้ามนของเด็กหนุ่มที่กำลังเกิดอาหารกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะคอนโดของหัวหน้ารีไวมีห้องพักแยกกันอยู่ 2 ห้อง ซึ่งเป็นเตียงคู่ทุกห้อง ถึงแม้เขาจะเคยได้พักเพราะสถานการณ์พาไปอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเขาและหัวหน้ารีไวความรู้สึกยังคลุมเครือจึงนอนแยกห้องกัน ด้วยสถานะตอนนี้ที่เปลี่ยนไปและความช่วยเหลือจากมิคาสะที่ทำให้เขาสามารถขอที่บ้านมาค้างคืนที่ห้องของแฟนหนุ่มได้เป็นกรณีพิเศษอย่างนี้ถ้าเป็นปกติแล้วเขาก็คงที่อยากจะนอนบนที่นอนเดียวกันกับคนรักอยู่หรอกนะ......

“ให้พวกมันไปนอนโรงแรมซะฉันจ่ายเอง” คิ้วคมขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหนล่ะครับ” ใบหน้ามนยิ้มเฝื่อนกับข้อเสนอของชายหนุ่มตรงหน้า

“ถ้างั้นนายก็มานอนกับฉันแล้วปล่อยไอพวกนั้นนอนกันไปอีกห้อง”

“ไม่มีทางถ้านอนกับตาลุงนี่ผมก็ไม่ปลอดภัยน่ะสิ!” คนอายุน้อยที่สุดเอ่ยขัด

“อย่าบ่นมากเจ้าหนูเอเลนยังไงก็ไม่ถึงกับตายหรอกน่า!!” หัวหน้ารีไวพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจังราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

“พอเลยครับทั้งสองคน ถ้างั้นให้ผมไปนอนกับคุณรีไวแล้วหัวหน้านอนกับเจ้าหนูนี่ไปดีไหม?”

“ไม่มีทางใครจะยอมให้นายไปนอนกับคนแบบนั้นกันเอเลน!

เอเลนมองสบตาสีขี้เถ้าที่ฉายแววจริงจังพร้อมทั้งหงุดหงิดอย่างละเหี่ยใจ ไม่คิดเลยว่าคนอายุก็ไม่น้อยแล้วอย่างหัวหน้ารีไวจะมาแย่งห้องนอนเป็นเด็กๆแบบนี้กับเขา แต่....ก็เข้าอยู่หรอกนะเพราะกฏที่พ่อของเขาเป็นคนเสนอทำให้ตั้งแต่คบกันมาเขายังไม่เคยได้ไปค้างอ้างแรมหรือค้างคืนที่ไหนกับชายหนุ่มสองต่อสองเสียที

“ถ้างั้นหัวหน้ากับคุณรีไวก็นอนด้วยกันไปน่ะถูกแล้ว ส่วนผมกับเจ้าหนูเอเลนก็นอนอีกห้องเป็นอันลงตัวนะครับ” ถอนหายใจพลางขอให้เรื่องที่เถียงกันมาราวชั่วโมงกว่านี่จบสิ้นเสียที

ใบหน้าคมมองหน้าคนรักของตัวเองสลับกับใบหน้าของอีกคนที่เหมือนกับตนเองพลางกลืนคำพูดลงไปในคอ ถ้าให้เอเลนของเขาไปนอนกับคนท่าทางอันตรายแบบนี้สู้เขายอมนอนเฝ้าตัวอันตรายอย่างหมอนี่อาจจะดีกว่าก็ได้

ท่าทางจำใจและเสียดายของชายหนุ่มเห็นแล้วอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ถ้าเลือกได้เขาก็อยากนอนกับคนรักของตัวเองอยู่หรอกนะ แต่เจ้าหนูเอเลนที่ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณรีไวที่ท่าทางอันตรายจะไม่ยอมแม้แต่อยากจะเฉียดเข้าใกล้กัน ตั้งแต่เจอกันที่สวนสาธารณะระยะห่างที่เจ้าหนูสร้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็ทำให้รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของตัวเขาและคุณรีไวในอีกโลกนึงคงไม่น่าดูชมเท่าไร

 

“ถ้าตกลงกันได้แล้วผมขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ ที่นี้มีห้องน้ำสองห้องอีกห้องคุณรีไวก็ใช้ได้เลย เรื่องความสะอาดไม่ต้องห่วง” ส่วนใหญ่คอนโดนี้เจ้าของห้องเป็นคนทำอยู่แล้วความสะอาดเลยเรียกได้ว่าเกิดมาตรฐาน นานๆครั้งเขาถึงจะได้ช่วยเก็บหรือจัดของบ้างเล็กน้อยก็เท่านั้น

“นี่ชุดของนาย” ถึงแม้จะไม่เต็มใจต้อนรับนักแต่หัวหน้ารีไวก็โยนชุดและผ้าเช็ดตัวสำหรับแขกให้

“อ่า ขอบใจ” รีไวคนอันตรายมองชุดที่รับมาในมือ ก็ต้องยอมรับว่าทั้งรูปแบบของคอนโด ทั้งรสนิยมของเขาและของรีไวอีกคนนั่นแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน จะเรียกว่าสมกับเป็นคนคนเดียวกันก็ว่าได้ เว้นเสียแต่.....

นัยน์ต่าสีขี้เถ้าเหลือบมองเจ้าหนูเอเลนที่นั่งอยู่บนโซฟา ทันที่ที่นัยน์ตาสีมรกตสบกับตาของเขาก็เบือนหน้าหนี ความสัมพันธ์ที่แตกต่างของตัวเขาในโลกนี้ช่างให้ความรู้สึกประหลาดและน่าสนใจ ทั้งที่เหมือนกันแต่สายสัมพันธ์นั้นช่างแตกต่าง......

 

หลังจากที่ทั้งคู่หายเข้าไปในห้องน้ำต่างห้องกัน หัวหน้ารีไวจึงกลับมาให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มอายุน้อยที่สุด

ชายหนุ่มนั่งลงที่ด้านข้างของโซฟาตัวยาวไม่ห่างจากเด็กหนุ่มมากนัก ใบหน้ามนเงยหน้ามองคนที่เข้ามานั่งด้านข้างสักพักก่อนจะก้มไปมองที่พื้นดังเดิม

“เฮ้ นายคิดอะไรอยู่รีไงเจ้าหนู?” เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ที่จริงมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาหรอกนะ แต่เพราะเจ้าหนูนี่ก็คือเอเลน เขาก็เลยปล่อยไว้เฉยๆไม่ได้

นัยน์ตาสีมรกตเงยมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายอีกครั้ง “อ....เออ แค่รู้สึกแปลกน่ะครับที่เห็นตัวเองกับคนนั้นมีความสัมพันธ์กัน....เออ...แบบ...”

“คนรัก?” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ

“ครับ....” ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อกับคำพูดที่หนักแน่นของชายหนุ่ม

“ไม่เห็นแปลกแค่คนสองคนที่มีความรู้สึกและความผูกพันกัน ฉันกับเอเลนเรียกว่าโชคชะตาก็ได้ล่ะมั่ง”

“โชคชะตา?” ไม่คิดว่าคนที่ดูราวกับไม่สนอะไรจะเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้อย่าง โชคชะตา นัยน์ตาสีมรกตจึงจ้องมองอย่างแปลกใจ

“ใช่ฉันกับหมอนั่นเจอกันก็เพราะโชคชะตา.....” ใบหน้าคมยกยิ้มบางเมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาอย่างเหลือเชื่อ สายสัมพันธ์และโชคชะตาที่ผูกพันกันนานนับพันปี “บางทีนายกับหมอนั่นเองก็อาจจะผูกพักกันด้วยโชคชะตาก็เป็นได้”

“ไม่มีทางครับ เรียกว่าช่วงดวงซวยพาหาเรื่องมากกว่า ตาแก่นั่นชอบทำแต่เรื่องน่าโมโห แถมยังอันตรายและลามก เป็นได้แต่ตาลุงโรคจิตเท่านั้นแหละ” ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เห็นข้อดีของตาลุงนั่นเลยสักนิด มีแต่ทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวายไม่เป็นสุขอยู่ทุกวัน

“หิม หมอนั่นใช้กำลังข่มขื่นนายรึไง?” ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของรีไวและเอเลนอีกโลกหนึ่งทำให้เขานึกย้อนไปถึงเรื่องราวของตนเองในอดีต อดีตที่ตัวเขาเป็นทหารหัวหน้าทีมสำรวจ อดีตที่เขาเคยทำร้ายนัยน์ตาสีมรกตนี้หลายต่อหลายครั้ง

“ม..ไม่ครับ!!” ใบหน้ามนขึ้นสีสุกปลั่ง ถึงแม้คนคนนั้นจะชอบแกล้งแต่ก็ไม่เคยที่จะใช้กำลังบังคับเขาให้ทำตามอารมณ์เลยสักครั้ง

คำตอบที่ได้ยินทำให้รีไวแอบยกยิ้มขำ ดูเหมือนว่ารีไสในอีกมิติจะดีกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แม้จะน่าโมโหหรือมีรังสีอันตรายอยู่รอบตัวแต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเคยทำกับเอเลนในอดีตต้องนับว่าหมอนี่เป็นคนดีพอควร

“ถ้างั้น นายสมยอม?”

“ห๊ะ! ผมกับหมอนั่นไม่เคยทำอะไรกันสักหน่อย!” เสียงใสโวยลั่น ตัวเขายังไม่เคยโดนตาลุงลามกนั้นลามปามหรอกนะ เรียกได้ว่ายังอยู่รอดปลอดภัยเก็ว่าได้

“ไม่เคยเลยจริงๆงั้นเหรอ?” เลิ่กคิ้วถามอย่างแปลกใจ

“ก.....ก็.....” ใบหน้าหวานสะบัดหน้าหนีก้มลงมองพื้นอย่างนึกอาย

“ก็?” คนเป็นผู้ใหญ่กว่ายังคงไล่ต้อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ก... ก็แค่จูบครับ ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น!” แค่นั้นก็มากพอแล้วกับการที่ต้องเปลืองตัวให้ตาลุงลามกนั่นจูบอยู่ทุกวัน

“โฮ่ หมอนั่นดีกว่าที่คิดไว้จริงๆแฮะ” มือหนาลูบคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด รู้สึกผิดคาดกับคำตอบของเด็กหนุ่ม

“ไม่เห็นจะดีเลย ตาลุงนั่นน่ะทั้งชอบแกล้งแล้วก็ชอบบังคับ”

“หืม....งั้นเหรอ....”

แขนแกร่งดึงร่างโปร่งบางที่อยู่ถัดไปเข้ามาใกล้ก่อนจะผลักล้มลงไปบนโซฟายาว ใบหน้ามนมองการกระทำของคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ด้วยสัญชาตญาณมือเรียวจึงพยายามดันไหล่หนาออก แต่กลับถูกแขนแข็งแรงนั้นจับรวบไว้แล้วกดลงกับโซฟาอีกครั้ง ก่อนที่ร่างที่ไม่สูงแต่กำยำนั่นจะคร่อมเขาไว้

“เออ....ห....หัวหน้ารีไว?” มองใบหน้าคมที่จ้องมองมาอย่างไม่แสดงอารมณ์ด้วยความแปลกใจ

“ไงขยับได้รึเปล่าล่ะเจ้าหนู?”

“อ. เอ๊ะ?” สองแขนที่ถูกกดทับจึงลองพยายามขยับไปมาแต่ไม่เป็นผล แขนกำยำที่กดลงมาไม่ไหวติงเลยสักนิด

“ขยับไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ฉันกับหมอนั่นแรงไม่ต่างกัน ถ้าหมอนั่นชอบบังคับนายหรือเป็นตาแก่โรคจิตจริงคงไม่ยอมปล่อยนายไว้แล้วจบแค่จูบทุกครั้งหรอกจริงไหม?”

คำพูดของชายหนุ่มราวกับลมที่พัดผ่านหมอกควันในอก ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อยากคิดและไม่อยากยอมรับถูกทำให้กระจ่างขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัยหรอกนะว่าทำไมคนชอบแกล้งคนนั้นถึงไม่จัดการเขาให้รู้แล้วรู้รอดไป หรือแค่อยากแหย่เพราะนึกสนุก หรือที่จริงมันมีอะไรที่มากกว่าความรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเขากันแน่.......

“ทำหน้าแบบนั้นดูเหมือนที่จริงนายเองก็รู้อยู่สินะ”

“ผ...ผม........ไม่รู้สิครับ...” ใบหน้ามนเบือนหน้าหนีคนที่จ้องมองมา ไม่รู้และไม่เข้าใจ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทั้งที่ปากทั้งบ่นทั้งว่าคนคนนั้นตลอดเวลาแต่กลับไม่เคยคิดเกลียด

หัวหน้ารีไวยกยิ้มบาง ทั้งที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนจะเป็นคู่กัดกัน แต่พอเห็นอย่างนี้แล้วเขาคงบอกได้เพียงแต่ทั้งสองคนอาจต้องใช้เวลา

 

“เจ้าหนูเอเลนฉันอาบน้ำเสร็จแล้วเดี๋ยวนาย.....ห...หัวหน้า?” ร่างโปร่งบางที่เดินออกมาจากห้องน้ำถึงกับหยุดชะงักค้างมองภาพล่อแหลมที่อยู่ตรงหน้า

คนที่เป็นเป้าสายตาเริ่มหน้าไม่มีสีเลือดกับร่างโปร่งบางที่มองมากับท่าทางที่เขากำลังจับเด็กหนุ่มอีกคนกดลงบนโซฟา

“หน้าแบบนั้นหัวหน้าสินะครับ ไม่คิดเลยว่าที่จริงแล้วคุณมันเป็นพวกชอบเด็กสินะ จะว่าไปตอนนั้นผมเองก็อายุแค่สิบห้าเอง” ใบหน้าหวานส่งยิ้มที่ชวนน่าขนลุกให้กับชายหนุ่มที่ตอนนี้เริ่มหายใจติดขัดไม่ทั่วท้อง

“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะเอเลน” พยายามแก้ไขความเข้าใจผิด เอเลนในโหมดที่เขาไม่เคยสัมผัสแบบนี้เขาควรจะรับมือยังไงดีล่ะ?

“งั้นมันอะไรล่ะครับ ตอนนี้ผมเห็น ตาลุงโรคจิต คนหนึ่งกำลังจะทำมิดีมิร้ายกับเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างคุ้นเคยด้วยสินะ” นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองลงต่ำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

พอได้ยินเอเลนของตนเองเรียกว่า ตาลุงโรคจิต ความรู้สึกที่ราวกับโดนมีดเสียบปักหลังนี่แทบจะทำให้เขากระอักเลือดออกมาได้เลยทีเดียว

แขนหนาจึงรีบละออกจากร่างบางที่ยังคงมองทั้งคู่อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงดิ่งไปพยายามอธิบายแกมง้อเด็กหนุ่มคนรักที่ดูเหมือนจะงอนแก้มป่องหนีหายเข้าไปในห้องนอนของเขาเสียแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” รีไวที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเช็ดผมด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเล็กพลางมองคนที่เหมือนตนเองวิ่งหน้าตั้งไปยังอีกห้องอย่างแปลกใจ

“เออ....ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน......” เด็กน้อยเอเลนทำตาปริบๆกับสิ่งที่เกิด

.

.

.

.

.

เตียงขนาดใหญ่ชายหนุ่มหน้าเหมือนกันสองคนต่างนอนหันหลังให้กันคนละมุม แม้ทุกอย่างจะเงียบสงบและถึงเวลาเข้านอนประจำของเขาแล้วแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนยังคงไม่มีใครข่มตาหลับได้ลง

“เฮ้ยไอตำรวจหน้าตายนอนไม่หลับหรือไง?” ฟังจากเสียงหายใจที่ยังไม่คงที่ก็รับรู้ได้ว่าอีกคนยังคงตื่นอยู่

“อาชญากรอย่างนายนอนไม่หลับเพราะถึงเวลาก่อเรื่องรีไง?” ว่าพลางยกตัวขึ้นพิงกับเบาะหัวเตียงพลางเหลือบมองอีกคนเช่นกัน

“แปลกดีนะตัวฉันอีกคนเป็นหัวหน้ากองปราบปราม ตรงกันข้ามสุดขั้วน่าดู”

“ทางเลือกที่ไม่มีวันหวนกลับ นายเข้าใจดีอยู่แล้ว” ไม่รู้ว่าตัวตนในต่างโลกนั้นเจอกับอะไร แต่ตัวเขาที่เลือกแล้วจะไม่เสียใจกับการกระทำของตัวเอง

“นั่นสินะ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรมีแต่ต้องเดินต่อไปเท่านั้น” ไม่ว่าสิ่งที่ทำจะผิดหรือถูกแต่เมื่อเลือกแล้วมีแต่ต้องไปจนถึงที่สุด

ชายหนุ่มมองหน้าอีกคนที่เหมือนกับตนเองไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ความคิด หรือการกระทำ สิ่งที่คนตรงหน้าตัดสินใจหรือเลือกตัวเขาเองอาจเข้าใจดียิ่งกว่าใครก็เป็นได้

“ฉันอยากเตือนนายไว้อย่างหนึ่ง”

คนอันตรายสบตามองอีกคนเพื่อรอฟัง

“ถ้านายไม่จริงจังหรือเข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่านี้นายจะเสียสิ่งที่สำคัญกับนายไปนะไอคนเฮงซวย” ว่าพลางยกยิ้มราวกับได้ด่าตัวเองในอดีตที่เคยละเลยจนสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป

“ฉันไม่รู้ว่านายพูดถึงอะไร แต่จะจำไว้แล้วกัน......ขอบใจที่เตือน” ขาแกร่งก้าวลงจากเตียงพร้อมทั้งเปิดประตูเตรียมออกจากห้อง

“ไหนๆก็นอนไม่หลับฉันขอยึดห้องรับแขกนายชั่วคราวละกันนะคุณตำรวจ” คำพูดเหน็บแนมที่ราวกับประชดตัวเอง ถึงกระนั่นอีกคนก็ไม่ได้ถือสาหาความ

.

.

.

“นอนไม่หลับงั้นเหรอเจ้าหนู?”  เอเลนเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกคนยังคงผลิกตัวไปมาพักใหญ่

“ขอโทษนะทำให้ตื่นเหรอ?” คิ้วมนขมวดมุ่นอย่างสำนึกผิด

ใบหน้าหวานยิ้มบางพลางยกมือลูบผมสีน้ำตาลไปมาแผ่วเบา

“ไม่หรอกฉันเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มมองอีกคนที่หน้าเหมือนตนเอง ใบหน้าที่เหมือนกันจึงเอียงคอมองเป็นเชิงถาม

“ชอบเขาเหรอคุณ เออ...... หมายถึงหัวหน้ารีไว?”

“อ.... เออ.... เรียกว่าไงดีล่ะ คือ.......” เอเลนตะกุกตะกัก แต่ใบหน้าใสซื่อที่มองมาอย่างตั้งใจทำให้เขายกยิ้มอย่างเอ็นดู “มันมากกว่าชอบน่ะจะเรียกว่ารักก็คงไม่ผิด เขาเป็นคนที่สำคัญกับฉันน่ะ”

“งั้นเหรอ” ใบหน้ามนก้มลงมุดเข้าไปในผ้าห่มของตนเอง

“นายเองก็มีคุณรีไวอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

“อย่าเอาไปเหมารวมกับคนแบบนั้นนะ!

“ทำไมล่ะ ฉันว่าดูเขาก็ให้ความสำคัญกับนายนี่” เอเลนดึงผ้าห่มของอีกคนออกเพื่อให้หันมาคุย

“ชอบแกล้งน่ะสิไม่ว่า” ใบหน้ามนพองลมในแก้มเมื่อนึกสิ่งที่คนอันตรายชอบแกล้งเขา ถ้าให้ความสำคัญมันน่าจะเหมือนกับที่หัวหน้ารีไวทำกับเอเลนตรงหน้าเขาแบบนี้สิภึงจะเรียกว่าให้ความสำคัญ สำหรับเขาดูยังไงก็ของเล่นมากกว่า

“ไม่นะ เวลาที่คุณรีไวมองนายถึงสายตาเขาจะนิ่งๆแต่สีหน้าเขาดูอบอุ่นทุกครั้งที่มองนะ แล้วก็เขารู้ว่านายไม่ชอบที่จะให้เขาจับเท่าไรก็เหมือนจะไม่ค่อยแตะนายถ้าไม่จำเป็นนะ”

คนอายุน้อยกว่ามองใบหน้าอีกคนที่ส่งยิ้มมาอย่างมั่นใจก็จะเบนหลบ นั่นคือการให้ความสำคัญในรูปแบบของคนคนนั่นงั้นเหรอ? ไม่เห็นจะเข้าใจเลยกับคนที่ดีแต่ชอบแกล้งแล้วบังคับให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ตลอด แต่ถึงจะบังคับแต่กลับไม่เคยที่จะทำร้ายเขาสักครั้ง เว้นแต่ครั้งแรกที่เจอกันน่ะนะ แค่คิดก็รู้สึกจุกถึงแรกของท่อนขาที่ฟาดลงมาแล้ว

“จะไปไหนน่ะเจ้าหนู?” เอเลนเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกคนเตรียมเดินออกไปจากห้อง

“ไปห้องน้ำเดี๋ยวมา”

เสียงประตูปิดลงพร้อมร่างโปร่งที่เดินออกไป

 

เสียงของประตูห้องที่ดังขึ้นทำให้รีไวละออกจากหนังสือที่เขาถือวิสาสะหยิบขึ้นมาอ่านค่าเวลามองตามต้นเสียง ใบหน้ามนที่เห็นไฟห้องรับแขกยังคงเปิดอยู่จึงได้สบตากับชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา

“ยังไม่นอนอีกหรือไงเจ้าหนูเอเลน?”

“คุณเองก็ทำอะไรอยู่ยังไม่นอนอีกเหรอ?” ว่าพลางเดินเข้าไปใกล้

“ฉันนอนไม่หลับน่ะ นายอยากมานั่งเป็นเพื่อนฉันไหมล่ะเอเลน?” พูดพลางเขยิบตัวไปชิดพนักแขนโซฟาเพื่อเว้นที่ให้อีกคนมากขึ้น

เมื่อถูกชวนร่างกายก็เดินไปนั่งตามคำชวนอย่างอัตโนมัติ ร่างโปร่งบางเบือนสายตามองไปยังพื้นพรมของห้องด้วยเกรงว่าจะสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่จ้องมองมา

“ทำไมสงบจังล่ะเจ้าหนู กังวลเหรอไง? พรุ่งนี้เช้ายัยเพี้ยนนั่นคงส่งฉันกับนายกลับได้แล้วล่ะนะ” ถึงจะเพี้ยนหรือบ้าๆบอ แต่ความอัจฉริยะที่มีก็ทำให้น่าไว้วางใจได้อยู่ระดับหนึ่ง

ใบหน้าหวานมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ “แยกออกด้วยเหรอครับ?”

คิ้วคมเลิ่กขึ้นอย่างแปลกใจเช่นกัน “มีแต่นายสองคนล่ะมั่งที่แยกไม่ออก ทั้งฉันและไอตำรวจนั้นแยกนายสองคนออกอยู่แล้วต่อให้นั่งเฉยๆก็ตาม”

ใบหน้าหวานขึ้นสีสุกปลั่ง ทั้งที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนราวกับส่องกระจก แต่คนตรงหน้ากลับแยกตัวเขาทั้งสองคนออกได้อย่างไม่น่าเชื่อ แบบนี้มันประหลาดไปรึเปล่า? หรือว่าเป็นเพราะคนคนนี้ให้ความสำคัญกับเขาจริงๆอย่างที่ทั้งเอเลนและรีไวอีกคนบอกไว้กัน

มือหนาลูบไล้ผมสีน้ำตาลที่ยังคงมองหน้าเขานิ่งค้าง ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยมือแกร่งที่ลูบไล้จึงหยุดชะงักลง

“โทษทีนายยังไม่ได้อนุญาตให้แตะตัวนี่นะ” รีไวชักมือของตนกลับไป

เอเลนมองคนด้านข้างอย่างสับสน ทั้งไม่เข้าใจทั้งแปลกใจ บางทีพอมาเห็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างของตนเองในโลกนี้คงทำให้ตัวเขาเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ แต่ถึงกระนั่นกลับอยากรู้คำตอบความรู้สึกที่ผิดเพี้ยนออกไปนี้

“ที่นี่ไม่ใช่คอนโดของคุณสักหน่อย เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกครับ” เอเลนเขยิบเข้าไปใกล้ชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น ผมสีน้ำตาลก้มวางลงบนไหล่แกร่ง อกซ้ายเต้นระรัวอย่างแปลกประหลาด ใบหน้าที่ขึ้นสีเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวอย่างไม่รู้สาเหตุ

มือหนาจึงลูบไล้ผมสีน้ำตาลไปมาแผ่วเบาอีกครั้ง

“นี่เอเลน.....” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อคนข้างตัวแผ่วเบา แต่เพราะความเงียบจึงทำให้ได้ยินเสียงเรียกนั่นอย่างชัดเจน

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองสบตากับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่ไม่สามารถอ่านได้ว่ากำลังคิดอะไรซึ่งจ้องมายังตนออก

“นาย........ เกลียด ฉันรึเปล่า?”

คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนตรงหน้าทำให้เอเลนชะงักไปชั่วครู่ ใบหน้ามนครุ่นคิดถึงสิ่งที่ถูกถาม เขาเกลียดคนคนนี้รึเปล่างั้นเหรอ?......

 

 

 

“ผม...... ไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้ชอบคุณ”

 

ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้เกลียด แต่ก็ไม่ได้ชอบงั้นเหรอ.............. เข้าใจยากจริงๆนะ

“แค่นี้ก็พอ....”

“คุณน่ะชอบแกล้ง ไม่ว่าจะทำอะไรก็คอยแต่หาเรื่องปวดหัวและเรื่องลำบากมาให้เสมอเลย” นึกถึงสิ่งที่คนคนนี้ทำไว้แล้วจะให้เขาชอบคงไม่ได้หรอกนะ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้เกลียด.....

“งั้นเหรอ”

“แล้วคุณล่ะ ทั้งที่ผมไม่ได้มีประโยชน์อะไรทำไมถึงได้อยากยุ่งกับผมนักนะ?”

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่จ้องตอบมาอย่างรอฟังคำตอบ

นั่นสินะ....ทำไมเขาถึงไม่ปล่อยมือจากเจ้าหนูนี่ไปสักที.........

“ไม่รู้”

“คุณนี่มัน!

“แต่......เวลาฉันอยู่กับนายฉันรู้สึกสงบ ถึงนายจะไม่ชอบแต่ฉันชอบที่จะได้สัมผัสนายแบบนี้”

เป็นอีกครั้งที่อกข้างซ้านรูปสึกสั่นระรัว หัวใจที่เต้นเร็วจนผิดจังหวะนี้กำลังร้องบอกอะไรเขาอยู่รึเปล่า?

“ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจที่คุณจะสัมผัสแบบนี้”

“งั้นเหรอ” มือแกร่งยังคงลูบไล้ผมสีน้ำตาลไปมา เจ้าหนูที่เป็นคู่กัดของเขาวันนี้ช่างดูว่าง่ายและน่าเอ็นดู ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบเจอ จะว่าอะไรดีล่ะ.....อบอุ่นล่ะมั่ง.........

“นี่เจ้าหนู นายกับฉันมาลองหาคำตอบไปด้วยกันไหม?” มือแกร่งเอื้อมไปจับมอบางขึ้นมาทาบ นิ้วมือที่ต่างขนาดสอดประสานเข้าด้วยกัน

“คำตอบของความรู้สึกและความสัมพันธ์แปลกๆแบบนี้ บางทีถ้านายยังอยู่กับฉันแบบนี้สักวันเราคงจะรู้คำตอบ”

นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องสบกับนัยน์ตาสีมรกตกลมโตที่จ้องมาอย่างแปลกใจ ใบหน้าเฉยชานิ่งงันรอฟังคำตอบของอีกคนอย่างใจเย็น

“เออ.....ผม” เอเลนมองใบหน้าเฉยชาอย่างแปลกใจ นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่สะท้อนภาพของเขานั่นช่างน่าหลงใหลอย่างประหลาด

“งั้นเราลองมาหาคำตอบกันดูนะครับคุณรีไว” ใบหน้ามนยิ้มบาง

กว่าจะรู้สึกตัวบรรยากาศรอบข้างที่พาไปทำให้หน้าของทั้งสองขยับเข้ามาใกล้ชิดกันอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากคมสัมผัสกับกลีบปากนุ่มอย่างแผ่วเบา กลีบปากบางเผยอออกตอบรับลิ้นร้อนที่รุกล้ำเข้ามาอย่างเต็มใจ ลมหายใจค่อยๆหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างช้าๆ

ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดเรียกว่าอะไร มันอาจจะเป็นความรัก หรือเป็นเพียงแค่ความต้องการที่เพียงตอบสนองให้แก่กัน แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกันบางทีคำตอบอาจจะชัดเจนในสักวัน..........

 

เอเลนและรีไวที่ออกจากห้องมาตามเหล่าคนที่หายไปนานต่างมองคนสองคนที่นอนอยู่บนโซฟาอย่างแปลกใจ เจ้าหนูเอเลนที่นอนทับบนตัวรีไวคนอันตรายอย่างไม่อิดออด แล้วอีกคนที่ประคองร่างบางนั้นไว้กับตัวเพราะกลัวตกลงไปอย่างแนบแน่น

ดูเหมือนว่าบางทีสองคนนี้ที่ไม่ประสาเรื่องของความรักอาจต้องใช้เวลาไปอีกสักพัก ทั้งที่การกระทำและความรู้สึกของทั้งสองดูเหมือนจะชัดเจน คงจะเหลือเพียงแต่รอให้ทั้งสองคนรู้ใจตนเองเท่านั้น.....

 

“ดูเหมือนห้องจะว่างแล้วนะแบบนี้นายก็ไปนอนกับฉันได้แล้วใช่ไหมเอเลน?” ใบหน้าคมยกยิ้มบางให้กับเด็กหนุ่มเป็นการเชิญชวน

เอเลยมองคนอายุมากกว่าพลางหัวเราะขำ “คิดอะไรลามกอยู่หรือไงครับ? ผมยังไม่หายโกรธคุณเลยนะ”

มือแกร่งจับมือบางขึ้นมาจุมพิตลงบนหลังมือแผ่วเบา นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองไปยังใบหน้ามนที่ขึ้นสีระเรื่อ “งั้นให้ฉันง้อนายทั้งคืนเลยละกัน”

“แต่แบบนี้เท่ากับผิดสัญญากับคุณพ่อนะครับคุณรีไว” เด็กหนุ่มหยอกล้อคนอายุมากกว่า สัญญาที่ให้ไว้กับพ่อของเขาคือห้ามมีอะไรกันจนกว่าตัวเขาจะเรียนจบแพทย์

“รู้แล้วล่ะน่า แค่นอนกอดนายเฉยๆทั้งคืนเจ้าพ่อบ้านั่นคงไม่ถือว่าผิดกฎหรอก” ว่าพลางดึงตัวร่างโปร่งบางเดินไปยังห้องนอนของตนเองโดยที่เจ้าตัวดีก็เดินตามอย่างเต็มใจ

 

เสียงประตูห้องนอนปิดลงอย่างแผ่วเบาพร้อมเหล่าคนที่ได้นอนกอดคนสำคัญของตนอย่างอบอุ่น

 

 

 

“นายน่าจะอยู่ต่ออีกนิดช่วยฉันทำการทดลองนะรีไวมาเฟีย” ฮันซี่บ่นอย่างเสียดายขณะเขียนโปรแกรมเตรียมเปิดเครื่องส่งทั้งสองคนกลับไปในโลกที่แท้จริง

“แค่นี้ก็วุ่นวายมากพอแล้วยัยวิปริตเลิกเพ้อเจ้อแล้วจัดการสักที” ใบหน้าคมเอ่ยอย่างรำคาญ

“จ้าๆ ขอเวลาอุ่นเครื่องอีกสิบนาทีนายจะได้กลับแล้ว”

“ว่าแต่เอเลนนายสองคนจะไปยืนตรงนั้นทำไมเดี๋ยวก็ได้เข้าไปโลกนั้นหรอก” หัวหน้ารีไวดึงร่างโปร่งบางที่เข้าไปยืนขนาบรีวไวคนอันตรายกับเจ้าหนูเอเลนที่อยู่หน้าตู้ขนาดใหญ่เตรียมรอส่งกลับออกมา

ใบหน้ามนยกยิ้นขึ้นอย่างขี้เล่นพลางหัวเราะอย่างดีใจ “อย่างที่เจ้าหนูเอเลนบอกเลย คุณแยกพวกเราออกด้วย”

“เอ๊ะ รีไวนายแยกเอเลนของโลกนี้กับทางนั้นออกด้วยเหรอ ดูยังไงน่ะบอกหน่อยสิ” ฮันซี่เข้ามาถามด้วยความตื่นเต้น เพราะถ้าเป็นคู่แฝดดยังมีจุดที่พอจะแยกออกได้ แต่นี้เรียกได้ว่าคือคนคนเดียวกันแล้วทำไมถึงยังแยกออกอีกล่ะ?

รีไวทั้งคุ่ต่างมองใบหน้าของเอเลนแต่ละคนสลับกันไปมาพลางยกยิ้ม

“ถึงเหมือนแต่ก็ไม่ใช่ยังไงล่ะ”

“เอ๋!! แล้วมันยังไงล่ะไม่เห็นจะเข้าใจเลย แต่ทำไมฉันรู้สึกเลี่ยนยังไงก็ไม่รู้สิ” ฮันซี่ทำหน้าหยีในคำตอบของรีไวทั้งสอง เธอที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะหลายแขนงกับบางเรื่องก็รู้สึกยากเกินกว่าที่เธอจะหาคำตอบได้

[เฮ้ ฮันซี่ทางนี้ฉันพร้อมแล้วนะเริ่มได้เลย] ฮันซี่จากโลกต่างมิติคอนเฟริ์มระบบเครื่องเตรียมดำเนินการ

“โอเคงั้นพวกนายก็เตรียมเข้าไปในเครื่องได้เลยนะ” ฮันซี่หันไปสั่งคนทั้งสองให้เตรียมตัวกลับสู่โลกของตนเอง

“ดูเหมือนต้องไปแล้วสินะเจ้าหนูเอเลน ไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีกนะ”

“ขอโทษที่รบกวนนายหลายๆอย่างนะ”

ใบหน้าหวานต่างยิ้มให้แก่กันก่อนจะจับมือลากันอย่างแนบแน่น

 

“กลับไปก็ทำตัวให้ดีขึ้นบ้างล่ะไออาชญากรข้ามโลก”

“ขอบใจสำหรับความหวังดี”

ใบหน้าคมต่างมองพลางยกยิ้ม บางทีการมาเจอกันแบบนี้ก็ไม่เลวร้ายนักหรอกนะ เพราะราวกับได้ตอกย้ำถึงสิ่งสำคัญที่อยู่ข้างกายไม่ให้หลุดมือไปไหน

 

แสงสีขาวพุ่งสว่างไปทั่วห้องก่อนจะค่อยๆจางหายไปพร้อมการกลับไปยังโลกของคู่ที่จากมา กลับไปทำและแสดงบทบาทหน้าที่ของตนจนถึงที่สุดของปลายทาง

 

“เรื่องวุ่นๆจบลงสักที” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทุกอย่างดูเหมือนเรียบร้อยดี

“ดีจังเลยนะครับ อยากรู้เหมือนกับว่ารีไวและเอเลนโลกนั้นจะเป็นยังไงต่อ ถ้าได้เจอกันอีกก็ดีสินะ”

มือแกร่งขยี้ลงบนผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มพลางยิ้มเจ้าเล่ห์

“อย่ามัวแต่ห่วงเจ้าบ้าพวกนั้นเลย ห่วงฉันดีกว่าเอเลนนายรีบเรียนให้จบสักที”

“นี่อยากทำเรื่องลามกกับผมขนาดนั้นเลยเหรอไงครับ?” เด็กหนุ่มยกยิ้มยียวนหยอกล้อชายหนุ่ม จะว่าไปคนอย่างหัวหน้ารีไวอดทนมาได้ขนาดนี้ก็พิสูจน์ว่าเขาให้ความสำคัญต่อคำสัญญามากทีเดียว

มือแกร่งดันท้ายทอยของเด็กหนุ่มเข้าหา หน้าผากมนจรดกับหน้าผากของชายหนุ่ม นัยน์ตาสีขี้จ้องมองนัยน์ตาสีมรกตอย่างจริงจังจนเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกหน้าร้อนผ่าว

“ฉันอยากอยู่กับนายเร็วๆต่างหากล่ะเจ้าหนู”

ใบหน้าหวานยิ้มระรื่นอย่างไม่อาจหุบ ไม่ว่าจะเมื่อไรหรือที่ไหนผู้ชายคนนี้ทำให้อกข้างซายและจิตใจของเขาสั่นไหวได้อย่างไม่รู้จักเบื่อเอาเสียเลย............
Final.
....................................................................................................................................

Talk : จบแล้วค่ะ คือพยายามให้จบ ในตอนที่ 2 เพื่อไม่ให้เกิดความเวิ่นของตัวเองแหะๆ
อาจดูรวบรัดไปหน่อยขอโทษนะคะ คือมันเป็นตอนพิเศษไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักน่ะค่ะ สนองนี๊ดจริงจัง
แล้วเอเลนและรีไวในล่ารักก็โชว์ความเฮี้ยนตามมาถึงในฟิคนี้ ด้วยที่ว่าแม้จะเป็นตอนพิเศษรวมกับ Last Memory ไอคู่นี้มันก็จูบกันทุกตอนสิน่า................................ สุดยอดตาแก่โม่ยจริงๆค่ะ(โดนเตะ)
เอาเป็นว่าเจอกันในตอนพิเศษตอนหน้า(ที่ควรไปเขียนสักที) ของ LAst Memory ที่จะลงรวมกับเรื่องหลักนะคะ เป็นคู่แจนมิน หรือ มินแจน นี่ต้องดูกันต่อไป......


ฝากเพจค่ะhttps://www.facebook.com/beru89club?ref_type=bookmark

6 ความคิดเห็น:

  1. หัวหน้ากับคุณรีไวล์
    กับความแตกต่างที่เหมือน
    หนูเอเลนน่ารักก
    อยากกอดรัดฟัดเหวี่ยงเลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รักเอเลนเหมือนกันค่ะ >/////////////////<

      ลบ
  2. คู่รักนี่หวานไม่เกรงใจคู่กัดเลยนะครับ อย่างก่ะคู่ข้าวใหม่ปลามัน ฟฟฟฟ
    มโนสามีภรรยาลอยมาในหัวเลยที่เดียว หัวหน้าเป็นแฟมิลี่แมนมากครับ เอเลนก็คุณภรรยาแสนอ่อนโยน <3

    ส่วนคู่กัด.......ไม้เบื่อไม่เมากันต่อไปละกันนะ แต่คิดว่ามาเจอแบบนี้ เห็นแบบนี้ ความสัมพันธ์ของทางคู่กัดคงจะพัฒนาขึ้นอีกนิดล่ะนะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ถึงความสัมพันธ์จะพัฒนาก็ไร้ผลกับเนื้อเรื่องหลักน่ะสิคะ TTwTT
      แต่เรื่องหลักก็พัฒนาไปทีล่ะนิดแบบหอยทากเป็นตะคริวอ่ะนะ

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ8 สิงหาคม 2557 เวลา 16:48

    เอเลนนี่ไม่ว่าที่ไหน รึเมื่อไหร่ก็น่ารักน่าแกล้ง แอบแสบเล็กๆ สมเป็น "เคะ" ที่ดีของหัวหน้ารีไว จริงๆเลยนะค่ะ หึหึ น่า(ลัก)กลับมากอดนอนที่บ้านเจงๆ //โดนรีไวทั้งสองกระทืบยับ ดับอนาถคากองเลือด

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เอเลนน่าแกล้งจริงๆค่ะ เป็นเคะที่ปลุกความเอสในตัวได้ดีมากๆเลยค่ะ =w=b

      ลบ