วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Attack On Titan Fanfic.: Lessons of love  Lesson 10

Attack On Titan Fan****fic.:Lessons of love  
Pairing: (LevixEren)  
Story By: Trendy Blood  
**…………………………………………………………………………** 
Lesson 10**:**  


ปึก!! ปึก!! ปึก!! 
เสียงหมัดและลูกเตะดังกระทบกับกระสอบทรายเป็นจังหวะต่อเนื่องนานนับชั่วโมง แต่รีไวยังคงรักษาฟอร์มได้ไม่มีตก ถ้าดูจากแค่รูปร่างและมัดกล้ามเนื้อที่สมส่วน ถึงแม้ในฟิตเนตคลับจะมีผู้คนที่มีร่างกายกำยะและมัดกล้ามเนื้อมากมาย แต่จะหาคนที่กล้ามเนื้อได้รูปและสมส่วนจริงๆนั่นนับว่ามีน้อยนิด และเพราะร่างกายและมัดกล้ามที่ยืดยุ่นและได้รูปแบบนี้ คนภายนอกจึงมองว่าเขาเป็นนักมวยมืออาชีพ มากกว่าหัวหน้าทีมวิศวกรเครื่องยนต์เสียอีก 
“คุณรีไว ผมมารับแล้วฮะ!” เสียงใสตะโกนก้องทันทีที่เปิดประตูกระจกเข้ามาในโซนของยิมมวยด้านในของฟิตเนสคลับ 
ฟึ่บ!! 
ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกเขวี้ยงเข้าใส่ใบหน้ามนที่ยิ้มระรื่นนั่นอย่างแม่นยำ เพียงแต่ก่อนถึงเจ้าของเสียงอีกมือที่ไวไม่แพ้กันก็ปัดมันตกลงไปที่พื้นเสียก่อน 
“ออกกำลังกายหนักขนาดนี้ทั้งที่อายุก็มากแล้ว ระวังความดันจะขึ้นนะคะ... คุณอา” เด็กสาวผมยาวสีดำใบหน้าเฉยชากล่าวทักทายคนมีศักดิ์เป็นอาของเธอ ก่อนจะหยิบผ้าที่ปัดตกพื้นไปเมื่อสักครู่ปาใส่เจ้าของคืน ซึ่งรีไวก็รับได้อย่างแม่นยำ 
“พวกเด็ก ม.ปลาย นี่ว่างกันจริงนะ แล้วก็เอเลน นายควรเรียกฉันว่า คุณอา” ชายหนุ่มกระดกน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่ใส่ใจวัยรุ่นทั้ง 2 คนนัก 
“คุณรีไว ก็ คือคุณรีไวอยู่ดีนี่ฮะ อีกอย่างถึงจะนามสกุลเดียวกันผมก็ไม่ใช่หลานแท้ๆสักหน่อย” ใบหน้ากลมมนยิ้มระรื่นอย่างไม่รู้สึกผิด ก่อนจะใช้ผ้าผืนใหม่ช่วยซับเหงื่อให้อีกฝ่าย 
“ว่าแต่มาทั้งทีพวกนายอยากลองซ้อมดูไหมล่ะ?” รีไวกล่าวเชิญพร้อมทั้งกระโดดขึ้นไปบนเวทีมวย ก่อนจะพยักหน้าเชิญทั้งสองคน 
“...ผม ขอ..ผ่านดีกว่า” เอเลนยิ้มแห้ง เขายังจำได้ว่าตอนรับคำเชิญครั้งล่าสุดทำเขาสะบักสะบอมปวดตัวขนาดไหน 
ตึก ตึก ตึก!! ฟึ่บ!! 
เสียงฝีเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโดดขึ้นเวทีไปตั้งการ์ดพร้อม ไม่รู้ว่ามิคาสะไปเปลี่ยนชุดตอนไหน? แต่ตอนนี้เด็กสาวอยู่ในชุดสปอตครึ่งตัวและกางเกงผ้ายืดเรียบร้อย 
เอเลนได้แต่มองทั้งสองตาปริบๆ... นี่สินะ... ที่เรียกว่า เชื้อไม่ทิ้งแถว และกรรมพันธุ์ที่สืบทอดผ่านทางยีนส์ ทั้งคุณรีไวและมิคาสะ ต่างมีกล้ามเนื้อที่น่าทึ่ง อย่างคุณรีไว เขาไม่แปลกใจ เพราะตั้งแต่จำความได้ ชายหนุ่มก็ฟิตร่างกายเป็นประจำ แต่มิคาสะเนี่ยสิ! เขาจำได้ว่าเริ่มฝึกร่างกายและเริ่มเข้ายิมพร้อมกันกับเขาตอนช่วง ม. ต้น ที่มิคาสะย้ายมาอยู่ด้วยกัน ทั้งที่เริ่มพร้อมกันและกินอะไรเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมร่างกายของเขากับมิคาสะถึงได้ต่างกันขนาดนี้?... และทั้งที่เขาเป็นผู้ชายด้วยแล้ว...คิดแล้วก็สงสารตัวเองชะมัด 
รีไวมองหลานสาวหน้านิ่งที่ตั้งการ์ดพร้อม ก่อนจะตั้งท่าตั้งรับเช่นกัน 
“ไม่มีคำว่าออมมือนะคะ คุณอา” 
“...อย่าร้องไห้แล้วกันเจ้าหลานจอมแก่แดด...” 
เทรนเนอร์ประจำยิมเป็นกรรมการตัดสิน ทุกคนในยิมต่างคุ้นชินกับการปะทะกันของสองอาหลาน อีกทั้งยังชอบเชียร์กันอยู่ข้างสนาม ถึงแม้ทั้งคู่จะฝึกมวยเพื่อฟิตร่างกาย แต่การตอบสนองและทักษะบนเวทีที่ต่างฝ่ายต่างสู้กันน่าก็น่าตื่นเต้น ถึงแม้มิคาสะผู้เป็นหลานจะเสียเปรียบอยู่บ้างในเรื่องสรีระของผู้หญิง แต่ก็มีบ้างที่ทำเอาคุณอาของเจ้าหล่อนถึงกับล้มไม่เป็นท่า 
วันเวลาที่ผ่านไปราวกับกระพริบตา จากเด็กน้อยที่นิ่งเงียบคนนั้นตอนนี้กลับยิ้มร่า หัวเราะอย่างสดใส อีกทั้งยังมีเรื่องให้เขาปวดหัว รวมถึงความกวนของเจ้าตัวที่เพิ่มขึ้น และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เด็กน้อยของเขาจากที่เรียกเขาว่า คุณอา มาตลอด ตอนนี้กลับเรียกชื่อของเขาอย่างคุ้นชิน แรกๆเขาก็แปลกใจไม่น้อย และไม่ได้ใส่ใจนักเพราะคิดว่าเจ้าตัวดีก็คงกลับมาเรียกคุณอา อย่างปกติ แต่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วจนเขาเริ่มคุ้นชินกับมัน แม้จะถามถึงเหตุผล เอเลนก็เพียงแต่หัวเราะและบอกว่า ลืมไปแล้ว เท่านั้น 
 ส่วนเจ้าหลานสาวจอมอวดดีที่ย้ายมาอยู่เพราะพี่สาวเขาอยากให้เข้ามาเรียนในเมืองที่มีความพร้อมในหลายด้านมากกว่า แม้ว่าจะผ่านมาสี่ปีแล้ว หลานสาวของเขายังคงเสมอต้นเสมอปลายในความอวดดีนั่น และดูเหมือนจะชอบแข่งขันกับเขาแทบทุกเรื่อง 
ตอนนี้เรียกได้ว่าบ้านที่เขาซื้อมานั้นได้ใช้อย่างคุ้มค่าแล้วจริงๆ ทั้งคนที่อยู่อาศัย สามคน และเจ้าเยเกอร์ อีกหนึ่งตัว 
“เย็นนี้เป็นแฮมเบริ์ก งั้นเหรอ?”  
เสียงทุ้มต่ำคลอเคลียที่ค้างหูเอ่ยถามเมื่อเห็นชิ้นเนื้อทอดชิ้นใหญ่วางบนจานที่วางผักเคียงไว้ เอเลนเอามือกุมข้างหูด้วยความรู้สึกจั๊กจี้ที่ผมสีดำนั้นละไล้อยู่ที่ใบหู 
“เวรผมทำอาหารก็ต้องเลือกเมนูที่ผมอยากกินสิ” ใบหน้ามนหันมาแยกเขี้ยวใส่ให้คนถาม ท่าทางยียวนนั่นรีไวจึงหยิกที่จมูกเชิดรั้นของเจ้าตัวอย่างหมั่นเขี้ยว 
ตั้งแต่เอเลนเข้าม.ต้น เขาและเอเลนจะผลัดเวรกันทำอาหารเสมอและดูเหมือนเจ้าตัวดีจะชอบการเข้าครัวอยุ่แล้ว ส่วนใหญ่เอเลนจึงเสนอตัวเองทำอาหารแทนที่จะทำงานบ้านอื่นๆ และเพราะอย่างนั้นงานบ้านอื่นกว่า70% จึงเป็นความรับผิดชอบของเขา และเมื่อมีมิคาสะมาอยู่ด้วย การผลัดเวรเรื่องงานบ้านและอาหารก็ง่ายขึ้น ทำให้พวกเขามีเวลาว่างเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้มิคาสะจะเป็นหลานสาวที่ชอบหาเรื่องและไม่ค่อยฟังเขาเท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องการเรียน งานบ้าน และอาหาร เจ้าตัวไม่เคยบ่ายเบี่ยง อีกทั้งยังรับผิดชอบได้ดี 
“แล้วมิคาสะล่ะฮะ?” เอเลนเอ่ยถามเมื่อจัดโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้วแต่ยังขาดสมาชิกร่วมบ้านอีกหนึ่ง 
“เห็นว่าถ้าซิตอัพครบแล้วจะมาน่ะ ให้พวกเราทานก่อนได้เลย” รีไวเทอาหารให้เจ้าเยเกอร์ที่คาบชามตัวเองมาให้พลางลูบเจ้าสุนัขตัวโตอย่างเอ็นดู 
เด็กหนุ่มยิ้มแห้งเมื่อได้ยินว่ามิคาสะตอนนี้ยังคงซิตอัพไม่หยุด พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมร่างกายของเขากับเจ้าหล่อนถึงได้ต่างกันขนาดนี้ รายนั้นดูเหมือนว่างเมื่อไรก็เป็นต้องฟิตร่างกายเสมอ ให้ตายสิผู้หญิงสมัยนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว... หรือว่าเป็นเขาที่ถึกไม่เท่าพวกหล่อนกัน? 
รีไวจัดการเช็ดผมที่เปียกชุ่มจากการอาบน้ำของตัวเองพลางเช็คเมลล์และข่าวต่างๆในสมารท์โฟนเพื่อรอเด็กหนุ่มจัดวางอาหารบนโต๊ะจนเรียบร้อย เมื่อเด็กนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ประจำอีฝั่ง รีไวจึงว่างสมาร์ทโฟนของตัวเองลงและเริ่มรับประทานอาหารดังเช่นทุกวัน 
“ทั้งคุณทั้งมิคาสะต่างมีกล้ามเนื้อที่น่าทึ่งชะมัด... คงเป็นผลกรรมพันธุ์ที่ผมสู้ไม่ได้สินะ...” คิดแล้วขนาดวันนี้ที่มิคาสะและคุณรีไวต่อยมวยกันบนเวทีอย่างดุเดือดนั่นถ้าลองเทียบเป็นเขาคงน๊อคตั้งแต่5 วินาทีแรก 
มือใหญ่ที่อยุ๋ฝั่งตรงข้ามเข้าลูบผมสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มเบา ก่อนจะไล้มาที่แก้มกลมมนแล้วจับดึง 
“อย่าคิดอะไรไม่เข้าท่าน่า ยังไงนายก็เป็นคนในครอบครัวของเรานะเจ้าหนู” 
“ผมไม่ได้น้อยใจอะไรสักหน่อย” เอเลนปัดมือชายหนุ่มออกก่อนจะจัดการทานอาหารในจานอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจที่จะสนทนากับอีกฝ่าย 
ทุกวันก็เป็นเหมือนเช่นเคยทั้งความใจดี และความอบอุ่นของอีกฝ่ายที่มอบให้ อีกทั้งความคุ้นชินที่มีมาตั้งแต่สมัยเด็กจวบจนตอนนี้ มันทั้งเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าเศร้า ถ้าเพียงแต่คำว่าคนในครอบครัวที่ชายหนุ่มเอ่ยถึง กับสิ่งที่เขาต้องการนั่นช่างแตกต่าง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความคิดของเขาเริ่มจะสวนทางกัน ในความใกล้ชิดและคุ้นเคบเช่นเดิมที่มี ตอนนี้เหมือนกับกำแพงสูงใหญ่ที่ยากจะทำลายและก้าวผ่าน 
หลังจากจัดเก็บโต๊ะอาหารเรียบร้อย เอเลนจึงจัดการอาบน้ำแล้วขึ้นไปยังห้องนอนพร้อมเจ้าเยเกอร์ แม้กระทั่งตอนนี้เขายังคงนอนเตียงเดียวกันกับคุณรีไว มีเพียงแต่เตียงที่เปลี่ยนไปเป็นขนาดไซส์ที่ผู้ชายสองคนนอนด้วยกันแล้วไม่อึดอัด เด็กหนุ่มลูบหัวสีน้ำตาลของเจ้าหมาตัวโตที่จ้องมองและกระดิกหางให้ สักพักชายหนุ่มร่วมห้องก็เดินเข้ามาพร้อมทั้งจัดการเก็บแบบแปลนบนโต๊ะทำงานที่ทำค้างไว้ และดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจที่จะทำต่อ  
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เอเลนรู้สึกว่าเขาเอาแต่มองตามหลังคุณรีไวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เวลาชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เขาจะรู้สึกหายใจติดขัดและไม่เป็นตัวของตัวเอง 
“ยังไม่นอนอีกเหรอ?” 
รีไวเดินมานั่งข้างๆ เจ้าเยเกอร์ผละออกจากมือของเอเลนแล้วเอาหัวไปถูกับขาของชายหนุ่มอย่างออดอ้อน เอเลนที่จ้องเจ้าเยเกอร์เขม็งจึงใช้สองแขนกอดรอบลำตัวชายหนุ่มก่อนจะใช้หัวสีน้ำตาลซุกไซร้อย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน คนที่โดนเจ้าหมาตัวโตและคนที่เหมือนลูกหมาตัวโตพากันซุกไซร้จึงยิ้มขำพลางลูบหัวสีน้ำตาลของทั้งเยเกอร์และเอเลนพร้อมกัน 
“จะทำตัวแข่งกับน้องชายนายหรือไงเอเลน?” มือใหญ่จับหัวสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มโยกไปมาอย่างเอ็นดู 
“เปล่าสักหน่อยใครเขาจะทำตัวเด็กๆแบบนั้นกันล่ะ!?” เหมือนโดนอีกฝ่ายรู้ทันใบหน้ากลมมนจึงได้แต่ขึ้นสีระเรื่อ แต่ถึงอย่างนั้นแขนทั้งสองข้างก็ยังคงโอบรอบลำตัวชายหนุ่มไม่ปล่อย 
“ก็ทำตัวแบบนี้ไงล่ะ!” รีไวจับเด็กหนุ่มยกขึ้นก่อนจะแบกเจ้าตัวดีไปโยนลงบนเตียงอย่างง่ายดี พร้อมทั้งใช้ลำตัวบางนั้นต่างหมอนหนอนหนุน 
“คุณรีไวมันหนักนะครับ” ถึงจะบ่นอย่างนั้นแต่เอเลนก็ปล่อยให้ชายหนุ่มใช้ตัวเองต่างหมอน 
“ไหนนายบอกว่าไม่ใช่เด็กไง?” ผู้ใหญ่ชอบแกล้งยอกย้อนพลางหลับตาราวกับจะนอนหลับทั้งอย่างนี้จริงๆ 
“ผมก็ไม่ใช่เด็กสักหน่อย อย่างน้อยตอนนี้ก็สูงกว่าคุณแล้วล่ะนะ” 
เพราะคำถากถางเรื่องส่วนสูงชายหนุ่มจึงใช้สันมือเขกเข้าที่หัวสีน้ำตาลนั่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก 
“ปากดีนักนะเจ้าหนู” 
เพื่อเป็นการลงโทษ รีไวจึงสั่งให้เจ้าตัวดีวิดพื้นแข่งกับเขา และแน่นอนเพียงแค่ 5 นาที เอเลนก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่า ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะใช้มือนั้นขยี้ผมสีน้ำตาลแรงๆอีกครั้ง 
"ขี้โกงชะมัด" เสียงใสกล่าวอย่างตัดพ้อก่อนจะดันตัวเองขึ้นแล้วโถมเข้าใส่มนุษย์กล้ามเนื้อตรงหน้า 
เจ้าเยเกอร์ที่เห็นทั้งสองต่างกอดฟัดกันที่พื้นห้องก็โถมเข้าใส่ร่วมแจม เสียงเห่าที่ดังก้องของเจ้าหมาตัวต่อทำให้กิจกรรมของทั้งสองต้องชะงักก่อนจะจัดการจุ๊ที่ริมฝีปากสื่อให้เจ้าเยเกอร์รู้ว่าตอนนี้เป็นยามวิกาลไม่ควรสงเสียงดัง เจ้าหมาตัวต่อเห็นดังนั้นก็เงียบเสียงลง หางยังคงแกว่งไปมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นกระโจนเข้าอ้อมกอดของเด็กหนุ่มที่รอรับ เอเลนกอดฟัดเจ้าหมาตัวโตก่อนจะเอาหน้าถูกับขนฟูนุ่มนิ่มที่เคล้ากลิ่นหอมของแชมพูอ่อนๆไปมา สักพักก็รับรู้ถีงน้ำหนักที่โถมเข้าใส่พร้อมทั้งกลิ่นของสบู่ที่คุ้นเคย แม้จะพยายามตีหน้าเป็นปกติ และคุ้นชินกับการสัมผัสกันและกันของอีกฝ่ายที่ไม่มีอะไรแอบแฝงมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อโตขึ้นทั้งที่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ทำไมหัวใจของเขากลับเต้นไม่เป็นจังหวะและรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแบบนี้กัน!! 
"นี่เอเลน..."  
เสียงทุ้มข้างหูที่คุ้นชินมาตั้งแต่เยาว์วัยตอนนี้กลับรู้สึกแปลกๆ ทั้งจั๊กจี้และทำให้รู้สึกใจแกว่งยิ่งกว่าเดิม 
"นายผอมเกินไปแล้วเจ้าหนู หรือไขมันมันเกาะเฉพาะตรงนี้กัน?" ไม่ว่าเปล่ารีไวจับแก้มกลมมนของเด็กหนุ่มถูไปมา ทั้งยังจับยิดเล่น พร้อมทั้งหัวเราะขำกับสีหน้าเด็กหนุ่มที่มองมาอย่างเอาเรื่อง 
"นอนได้แล้วเจ้าหนู" 
ก่อนที่จะได้ต่อปากต่อคำกันอย่างเช่นเคย รีไวขยับลุกกลับไปล้มนอนลงบนเตียง ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายจัดการปิดไฟให้เรียบร้อย 
เอเลนก้มหน้าซุกกับหลังของเจ้าเยเกอร์ ใบหน้ามนขึ้นสีระเรื่อ พร้อมกับใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อรู้สึกตัว ความคุ้นชินเดิมๆกลับทำให้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูก  
..........................ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มรู้สึกตัว?......................... 
ตั้งแต่เมื่อไรที่สายตาที่เขาจ้องมองชายหนุ่มผู้ดูแลตนมาเริ่มเปลี่ยนไป หลายครั้งที่ทั้งสบายใจ และอีดอัดผสมปนเป  
อยากให้เขารับรู้ ไม่อยากให้เขารับรู้  
อยากที่จะหัวเราะ อยากที่จะร้องไห้ 
อยากที่จะเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น 
อยากที่จะทำทุกอย่างให้ชัดเจน กลัวสูญเสียจุดยืนของตนเอง 
อยากที่จะครอบครอง กลัวทุกสิ่งที่มีมาพังทลาย 
ถ้าเขาไม่เข้าใจและรับรู้ความรู้สึกนี้ก็คงดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากทิ้งความรู้สึกนี้ไป  
ความรู้สึกทั้งหลายช่างอัดแน่นและปนเป หมุนวนจนเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เขาไม่อาจเป็นเด็กน้อยได้ตลอดกาล จนตอนนี้เขาอายุ 16 แล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา เมื่อโตขึ้นเขาเริ่มเข้าใจและเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้น สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ความรู้สึกที่เขามีให้กับผู้ชายที่ชื่อ รีไว มันแตกต่าง ถึงแม้เขาจะเคยคิดว่ามันคงเป็นเพียงความสนิทชิดเชื้อด้วยว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่เคยหยุดนิ่ง มีมากขึ้นในทุกวัน ขยายใหญ่ขึ้น แต่ยิ่งเปราะบางมากยิ่งขึ้น 
หลายครั้งที่เขาพยายามหาคำตอบให้กับความรู้สึกของตัวเอง และเปรียบเทียบความรู้สึกนี้ ยิ่งค้นหาคำตอบสำหรับเขามันยิ่งชัดเจน ในทางกลับกันหนทางที่จะเดินไปกลับดูเลือนลางยิ่งขึ้น..... 
"แล้วไง?... นายคิดจะปิดชีวิตรักแรกของนาย โดยการปิดปากเงียบและเก็บไว้ไปจนตาย?....ตามด้วยการครองโสดแล้วใช้ชีวิตในอาศรมช่วงบั้นปลาย?..... โหวว นี่มันนิยายน้ำเน่า พล็อตเรื่องรันทดชวนเลี่ยนสุดๆเลยว่ะ เอเลน" เสียงกวนประสาทของแจนดังขึ้นพร้อมทั้งเสียงดูดนมกล่องในมือหลังมื้อเที่ยง 
"ใช่สิ สมองม้าอย่างนายมันคงคิดอะไรลึกซึ้งไม่เป็น?" คนโดนแขวะอดไม่ได้ที่ต้องโต้ตอบ 
ให้ตายสิถึงแม้ว่าเขากับหมอนี่จะสนิทกันมาตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล จนตามมาถึงมัธยมปลายขนาดนี้ เรียกได้ว่า แจนเป็นเพื่อนที่สนิทจนแค่มองตากันก็รู้แล้วว่าคิดอะไร แต่ถึงจะสนิทกันขนาดไหน แต่นี่เป็นเรื่องที่แสนจะยากลำบากในชีวิตเขาเลยนะ แต่เจ้าหมอนี่กลับไม่รู้สึกสงสารเพื่อนสนิทมันมั่งเลย 
"เฮ้ย อย่าทำหน้างั้นน่า เอาน่าเขาบอกกันว่ารักแรกมักไม่สมหวัง ต่อให้นายอกหักก็ใช่ว่าจะไม่เจอสิ่งที่ดีกว่า" ด้วยความที่สนิทกันมาก เพื่อนหน้าม้าก็ไม่วายพูดถากถางใจเขาเช่นเคย 
"พูดยังกับนายเคยอกหัก รักคุด?" นัยน์ตาสีมรกตมองเจ้าเพื่อนตัวดีพลางบุ้ยปากอย่างรำคาญ 
"ก็อกหักจากนายไง นายมันรักแรกของฉัน เข้าใจป่ะ? รักแรกมันแยกยาก แล้วรักนายเป็นคนแรกมันจะแยกก็คงยาก เลยต้องมาเป็นเพื่อนสนิทนายนี่ไง" แจนพูดพลางเก๊กหล่อกระพริบตาใส่คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท  
เอเลนได้แต่นั่งกอดตัวเองอย่างขนลุกกับท่าทางกวนประสาทนั่น แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่ก็เป็นเพื่อนที่รู้ใจของเขาจริงๆนั่นแหละ 
"ฉันล่ะนับถือนายจริงๆเลยว่ะ" ถ้าเป็นเขาคงไม่รู้ว่าจะสามารถทำตัวปกติและยังคงเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่คิดเป็นอย่างอื่นแบบแจนได้ไหม? การที่ทำตัวปกติ ทั้งที่ใจไปแล้วแบบนี้ เป็นเขาเขาคงทำไม่ได้อย่างแจน 
"แต่ตอนนี้ฉันก็มีรักครั้งใหม่แล้วล่ะนะ" ว่าพลางเข้าไปกอดกระชับไหล่เพื่อนสนิท 
"เอเลน แกว่ามิคาสะจะชอบไปสวนสนุกไหมวะ?" แจนโชว์บัตรเข้าสวนสนุกพร้อมเครื่องเล่นทุกอย่างออกมาให้อีกฝ่ายดู 
เอเลนมองตั๋วตรงหน้าพลางถอนหายใจ ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนสนิทที่ทำหน้าระรื่นอย่างมีความหวัง 
"นี่นายยังไม่ตัดใจจากมิคาสะอีกเหรอไง? ก็รู้ว่ายัยนั่นไม่ได้สนใจนาย" อีกอย่างเปลี่ยนเป็นบัตรค่ายมวย หรือโรงยิมตลอดทั้งเดือน ดูจะเป็นอะไรที่ยัยนั่นชอบมากกว่า จะว่าไปแล้วไม่เข้าใจจริงๆว่าผู้หญิงที่กล้ามแน่นเป็นกอริล่าขนาดนั้นน่าสนใจตรงไหน? ถึงมิคาสะจะหน้าตาดีอยู่ก็เถอะ 
"นายจะบอกว่ามิคาสะสนใจนายใช่ไหมล่ะ ชิ นั่นเพราะนายได้เปรียบตรงเป็นเพื่อนสมัยเด็กล่ะเว้ย" สายตาเป็นมิตรของแจนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมองเอเลนด้วยสายตาฟาดฟันศัตรู 
"ถ้าฉันอกหักจากคุณรีไว ก็ไปให้มิคาสะปลอบใจดีไหมนะ ยัยนั่นต้องเห็นใจฉันแน่ๆ" เอเลนทำหน้าน่าสงสารพลางทำตัวไร้เรี่ยวแรงพิงกับพนังอาคารใต้ตึก 
สองมือของแจนตะปบไหล่ทั้งสองของเพื่อนสนิทไว้แน่น ใบหน้าของเด็กหนุ่มยกฝืนยิ้มแม้จะมีรังสีขุ่นเคืองแอบแฝง 
"ไม่ต้องห่วงเอเลนเพื่อนรัก.... นายจะไม่มีวันนั้นรักแรกของนายจะสมหวังแน่นอน ฉันคนนี้แหละจะช่วยนายเอง" 



TBC.
........................................................................................................................
Talk: เด็กโตแล้วค่ะ โตพร้อมใช้งาน(?) อย่างน้อยเฮียก็เสี่ยงคุกน้อยลงล่ะนะคะ ^ ^"""
อย่างที่เคยบอกว่าเรื่องนี้ยากตรงพยายามก้าวข้ามความรู้สึกโดยที่ไม่รู้สึกว่ายัดเยียดเกินไปค่ะ อยากให้ตัวละครพัฒนาและเติบโตไปพร้อมความสัมพันธ์และความรู้สึก ถ้าทุกคนรู้สึกว่าตัวละครมีการเติบโตและความสัมพันธ์ขยับเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติก็จะดีใจมากๆค่ะ หลังจากนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ให้คุณอาปวดหัวแล้ว ดราม่าจะมีไหม...? ไม่รับปากค่ะ ใจคนเขียนนี่บอกยาก อาจจะฟิลอบอุ่นกู๊ดๆ แล้วไปแหกโค้งตอนจบก็ได้นะ อุ๊บส์ >w<

2 ความคิดเห็น: