Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 23
Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last
Memory
Chapter 23
ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตาถูกจัดสรรปันส่วนแบ่งเป็นโซนต่างๆ
มีทั้งส่วนของห้องรับแขก ห้องครัว ห้องพักผู้ป่วย และห้องน้ำ ซึ่งก็คือห้องพักผู้ป่วยVIP
ของโรงพยาบาลที่ตำรวจกองปราบปรามหนุ่มผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้เข้ามาพักรักษาตัวเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
มือแกร่งพลิกหน้ากระดาษหนังสือที่ขอยืมจากฮันซี่ไปมา
หนังสือเกี่ยวกับเรื่องเล่าและตำนานที่เขาไม่เคยสนใจ
หนังสือเกี่ยวกับไททันและกำแพงแห่งชีวิตฉบับสมบูรณ์
รีไวพลิกอ่านข้อมูลเกี่ยวกับบทสรุปของเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ซ้ำไปซ้ำมา
ถ้ายัยสี่ตานั้นรู้ว่าตัวเขาและเอเลนคือคนเดียวกับที่อยู่ในตำนานนี้
ยัยนั่นคงจะตื่นเต้นและนั่งสอบปากคำถึงรายละเอียดอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับคนคลั่งไคล้เรื่องไททันแบบยัยนั้น
ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันก็ยังคงเหมือนเดิม
คนทรยศงั้นเหรอ......
แต่รายละเอียดที่ไม่ได้ลงไว้แล้วหายไปอย่างไม่ถูกกล่าวถึง ไม่ว่าจะค้นหาจากหนังสือกี่สิบเล่มที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหมดนี้คงเป็นเพราะฝีมือของหมอนั้นสินะ ที่พยายามทำให้เรื่องราวที่เอิกเกริกขนาดนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทั้งที่ฉันไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นวีรบุรุษหรือคนหักหลัง แต่นายก็ยังอุตส่าห์ทำให้เรื่องทุกอย่างหายไปสินะ.....เอลวิน
ใบหน้าเฉยชายกยิ้มอย่างนึกขำถึงสิ่งที่สหายของตนทำในอดีต
บทบาทสุดท้ายที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ที่เคยถูกเรียกว่าเป็นวีรบุรุษ
กลับกลายเป็นคนทรยศในพริบตา แต่รายละเอียดของเรื่องราวกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และยิ่งทำให้ราวกับว่า หัวหน้าทหารรีไว เป็นแค่ตำนานที่ไม่อาจยืนยันได้จริง
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองไปยังเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่เดินถือถ้วยกาแฟออกมาจากส่วนของห้องครัว
ความรู้สึกโหยหาที่เด่นชัด และความปรารถนาที่ฝังลึก
คือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ามิใช่สิ่งอื่นใด
“รับกาแฟหน่อยไหมครับ?”
เอเลนถามพลางรินกาแฟใส่แก้วยื่นให้ชายหนุ่มที่นั่งมองอยู่บนเตียง
“นายจำเรื่องราวทั้งหมดได้ยังไงเอเลน?”
รับกาแฟพลางมองเด็กหนุ่มอย่างสงสัย
เอเลนกลับไปที่กระเป๋าสะพายสัมภาระของตน
พร้อมทั้งหยิบบันทึกปกดำให้กับชายหนุ่ม
“จำได้ไหมครับ?”
ใบหน้ามนอมยิ้ม “เรียกว่าโชคชะตาก็ได้ล่ะมั่ง”
นัยน์ตาสีมรกตมองที่บันทึกก่อนจะสบกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าอีกครั้ง
มือแกร่งพลิกบันทึกปกดำไปมา
รอยประทับที่หลังบันทึกทำให้รู้ว่าที่มาของบันทึกเล่มนี้มาจากหอสมุดของเมือง
รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าเฉยชา
“ฉันเป็นคนให้มันกับนาย”
รีไวยื่นบันทึกปกดำคืนเด็กหนุ่ม “แต่นี่คงเป็นฉบับคัดลอกจากของเดิม”
บันทึกที่ผ่านเวลานานนับหลายพันปีคงยากแก่การคงสภาพไว้ได้ดังเดิม
“เอ๊ะ งั้นเหรอครับ!?” เอเลนสำรวจบันทึกในมือไปมา เขาเพิ่งรู้สึกว่าบันทึกปกดำเล่มนี้ดูค่อนข้างสมบูรณ์อยู่มากเมื่อเทียบกับอายุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“นายเอาของออกมาจากห้องสมุดของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาตมันผิดกฎนะเจ้าหนู”
ว่าพลางยกกาแฟขึ้นจิบอย่างนึกขันกับสายตาเลิ่กลั่กที่เด็กหนุ่มมองมา
“ต... แต่มัน
เป็นบันทึกของผม......เออ.... อย่างน้อยก็เคยเป็นของผมนะครับ”
เขาก็น่าจะมีสิทธิ์ครอบครองสิ
อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องที่เขาแอบนำบันทึกออกมาจะแดงล่ะนะ
“ว่าแต่ทำไมคุณถึงโดนหาว่าเป็นคนทรยศล่ะครับ?”
เอเลนเอียงคอถามชายหนุ่มอย่างสงสัย
คำถามของเด็กหนุ่มทำให้รีไวถึงกับเกือบสำลักกาแฟที่กำลังดื่ม
นัยน์ตาสีขี้เถ้าเหลือบมองร่างโปร่งข้างเตียงก่อนจะเบนสายตาไปยังวิวนอกหน้าต่างราวกับมีสิ่งน่าสนใจอยู่ข้างนอกนั้น
เมื่อนึกถึงการกระทำในอดีตของตนก็อดที่จะรู้สึกอายไม่ได้
ไม่คิดว่าตนเองจะกล้าทำเรื่องบ้าๆแบบนั้นลงไป แล้วเรื่องอย่างนั้นใครจะไปเล่าให้หมอนี่ฟังกันล่ะ
ปล่อยให้เป็นปริศนาแบบนี้ต่อไปดีแล้ว
“หืม?”
เอเลนยิ่งเอียงคออย่างสงสัย ร่างบางจึงเขยิบไปใกล้ชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น
“หลังจากที่ผมตายไปแล้วเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ? ในบันทึกก็ไม่ระบุไว้เลย แม้แต่ชื่อของหัวหน้าเองก็กลายเป็นตำนานที่ยากจะยืนยันไปได้อีก?”
มือแกร่งดันหลังคอเด็กหนุ่มให้ก้มลงมาใกล้ขึ้นจนหน้าผากของทั้งคู่แนบชิดกัน
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องลึกไปยังนัยน์ตาสีมรกตคู่งามตรงหน้า
“รู้แค่ว่าอย่าหายไปจากฉันอีกก็พอเอเลน”
มือแกร่งโอบกระชับเด็กหนุ่มร่างบางเข้าแนบอก
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างกายของมนุษย์จะอบอุ่นถึงเพียงนี้
ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ ลมหายใจอุ่นที่รดต้นคอ
เสียงของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะจนประสานเป็นหนึ่งเดียว
ทุกสัมผัสที่ยืนยันว่าร่างตรงหน้านี้มีชีวิตช่างแสนอบอุ่นและล่ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
ก๊อก
ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้เอเลนผละออกจากชายหนุ่มอย่างเร็ว
ชายวัยกลางคนที่คุ้นเคยผู้เป็นเจ้าของไข้เข้ามาตรวจตามเวลา
นัยน์ตาสีอ่อนมองเอกสารรายงานในมือพลางเดินเข้าห้องมาแล้วต้องแปลกใจกับใบหน้าขึ้นสีของลูกชาย
“ลูกไม่สบายเหรอเอเลน?”
ถามพลางยื่นมือมาแตะที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม
“ป....เปล่าครับ
ห้องคงร้อนไปหน่อย แหะๆ” ตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่พยายามยิ้มปิดบังความอาย
“งั้นเหรอ”
ยกยิ้มขึ้นมองลูกชายของตนอย่างรู้ทัน
จนเอเลนต้องเดินหนีไปนั่งที่โซฟาในส่วนของห้องรับแขกแทนด้วยอาการวางตัวไม่ถูก
หลังจากเด็กหนุ่มเดินออกไป
คริชาจึงกลับมาให้ความสนใจในหน้าที่ของตน ผลจากการตรวจเป็นไปด้วยดี
อีกทั้งร่างกายของชายหนุ่มฟื้นฟูได้ค่อนข้างเร็วจึงไม่มีอะไรที่น่าห่วง
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี
พรุ่งนี้คุณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะครับคุณรีไว”
รีไวพยักหน้ารับรู้
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไรพรุ่งนี้ผมอยากคุยกับคุณได้ไหมครับ?”
รีไวมองใบหน้าของแพทย์เจ้าของไข้ตนอย่างเข้าใจ
หลังจากฟื้นได้ไม่นานเขาก็รู้ว่าแพทย์ที่ทำการรักษาคือพ่อของเอเลน
จากคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มก็ทำให้เข้าใจว่าตอนนี้สถานะของเขาและเอเลนโดนเปิดเผยแล้ว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเป็นผู้ปกครองของเด็กหนุ่มจะอยากคุยกับเขา
และตัวเขาเองก็ไม่คิดจะปิดบังความสัมพันธ์
“ยินดีครับคุณคริชา”
รถสปอตสีดำมันเงาเลี้ยวเข้าสู่รั้วสีขาวของบ้านเยเกอร์
ชายหนุ่มไม่สูงแต่แข็งแกร่งที่สุดของหน่วยปราบปรามเปิดประตูลงจากรถ โดยมีเด็กหนุ่มร่างโปร่งบางในชุดลำลองวิ่งออกมารับหลังจากปิดประตู้รั้วบ้านของตนเรียบร้อย
“ค.....คุณรีไว
ดูแปลกตาจัง”
มือเรียวเกาแก้มตัวเองอย่างนึกเขินเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มอย่างไม่คุ้นตา
แม้จะเคยเจอคนตรงหน้าในชุดเครื่องแบบที่ใส่อยู่เป็นประจำ หรือในชุดไปรเวทอยู่บ่อยครั้ง
แต่พอมาเจอเจ้าตัวในชุดสูทอย่างเป็นทางการ ก็ต้องใจเต้นกับมาดหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า
“มาพบว่าที่พ่อตาทั้งทีก็ต้องสร้างความประทับใจจริงไหม?”
ใบหน้าคมยกยิ้ม “ฉันวานเพทร่าทำคุกกี้มาฝากพ่อกับแม่นาย หวังว่าคงจะชอบกันนะ”
มือแกร่งยกถุงบรรจุกล่องขนมขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงามให้กับเด็กหนุ่มดู
“ชอบแน่นอนครับ
ขนมของร้านพี่เพทร่าอร่อยอยู่แล้ว” ใบหน้ามนยิ้มตอบอย่างระรื่น
เอเลนนำทางรีไวเข้าไปยังบ้านของตน
มือเรียวที่กำลังคว้าลูกบิดเพื่อเปิดประตุเข้าไปในบ้านสั่นเล็กน้อยจนชายหนุ่มสังเกตเห็น
มือแกร่งจึงเลื่อนมาจับยังมือที่กำลังสั่นไหว เอเลนหันไปมองคนข้างกาย
นัยน์ตาสีมรกตเจือด้วยความกังวล ชายหนุ่มลูบผมสีน้ำตาลนุ่มไปมาพร้อมยกยิ้มบาง
แม้ไม่มีคำพูดใดเอยออกมา แต่นัยน์ตาสีขี้เถ้าที่จ้องมองตรงมาอย่างปลอบโยนราวกับบอกว่าไม่เป็นอะไร
และขอให้เชื่อมั่นในตัวของชายหนุ่ม
เพียงเท่านั้นก็ทำให้มือที่สั่นเทาหยุดลงพร้อมกับใบหน้ามนที่หันมายิ้มสดใสส่งตอบ
ในห้องรับแขก คริชา
และ คราร่า ต่างนั่งคอยผู้มาเยือนอยู่ก่อนแล้ว เอเลนแนะนำชายหนุ่มให้กับบิดาและมารดาของตัวเองอย่างเป็นทางการ
รีไวโค้งเคารพทั้งสอง เมื่อถูกเชิญให้นั่ง
ชายหนุ่มจึงนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับทั้งคู่ ซึ่งมีโต๊ะรับแขกกั้นตรงกลาง
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องสบกับนัยน์ตาของทั้งคู่ที่มองมาอย่างไม่ไหวติง
ทั้งสามคนยังคงมองสบตากันแน่นิ่ง ราวกับดูท่าทีของกันและกัน
จนเอเลนรู้สึกกดดันกับบรรยากาศในห้องรับแขกที่เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
“เออ”
หวังจะคลายบรรยากาศที่กดดันลง แต่คราร่าเอ่ยแทรกขึ้นก่อน
“เอเลนขึ้นไปบนห้องก่อนนะลูก”
“เอ๊ะ แต่ว่า”
“ไม่เป็นไรเอเลนทำตามที่แม่นายบอกเถอะ”
ใบหน้าคมหันมากำชับร่างโปร่งอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงได้แต่กลืนคำพูดลงคอก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตนเองที่อยู่ชั้นสอง
ด้วยความกังวล
เอเลนจึงแสร้างเป็นเปิดและปิดประตูราวกับว่าเจ้าตัวเข้าห้องไปแล้ว
แต่เด็กหนุ่มยังคอยแอบลอบสังเกตการณ์จากอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงซึ่งเป็นจุดลับสายตาเมื่อมองขึ้นมาจากชั้นล่าง
หลังจากเสียงประตูชั้นสองปิดลง
คราร่าจึงกลับมาให้ความสนใจกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“คุณรีไวเรื่องของคุณกับเอเลน....”
คำพูดถูกกลืนหาย สองมือเรียวผสานกัน
แม้จะทำใจไว้แล้วแต่เมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์จริง ความรู้สึกที่สับสนยังคงหน่วงในใจของผู้เป็นมารดา
“ผมกับเอเลนเราคบกันจริงครับ”
รีไวตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำและแน่วแน่
คิ้วของคราร่าขมวดเข้าหากัน
แม้จะรู้ดีอยู่แล้วแต่พอมาได้ยินอย่างชัดเจนในอกก็ถูกบีบรัดไปด้วยความกังวล
“มันไม่แปลกเหรอคะ?”
นัยน์ตาสีน้ำตาลไหวระริกสบกับนัยน์ตาของชายหนุ่ม ความกังวลสะท้อนเด่นชัดในนัยน์ตาผู้เป็นมารดาของเด็กหนุ่ม
ถึงกระนั้นรีไวก็ยังคงมองสบตากับนัยน์ตานั้นอย่างเถรตรง
“เพราะนั้นคือเอเลน
ต่อให้จะเป็นหญิงหรือชาย แต่ถ้าไม่ใช่เอเลนก็ไม่มีความหมาย”
คนเพียงคนเดียวที่ทำให้หวั่นไหว คนเพียงคนเดียวที่ไม่ว่าเมื่อไรส่วนลึกของวิญญาณก็ยังคงร่ำร้องหา
คราร่ามองชายหนุ่มตรงหน้า
ความรู้สึกแน่วแน่และสายตาที่จ้องมองมาอย่างไม่ไหวติงทำให้เธอรู้สึกเชื่อมั่นในคำพูด
หญิงวัยกลางคนหันไปสบตากับสามีของตน
คริชาเองก็มองกลับมาพลางยกยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับภรรยา
มือหนาบีบลงบนที่มือบางของคนรักอย่างนุ่มนวล
“ความสัมพันธ์ของคุณกับเอเลนจะทำให้หน้าที่การงานของคุณมีปัญหารึเปล่า?”
คริชาเอ่ยถาม จากประวัติคนไข้ที่เขาได้ดูมา
ทำให้คริชารู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคมอย่างไร
ถึงแม้ปัจจุบันจะเปิดกว้างต่อความสัมพันธ์ไม่เกี่ยงเพศเพิ่มมากขึ้น แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เปิดเผยสาธารณะได้ทุกสังคม
“ถ้าทำให้เอเลนต้องเดือดร้อน
ผมก็ยินดีที่จะลาออก” ไม่ใช่เกรงว่าตนเองต้องเดือดร้อนเมื่อความสัมพันธ์ถูกเปิดเผย
แต่กลับเป็นความห่วงในสถานะของเด็กหนุ่ม
คำตอบของรีไวทำให้คราร่าและคริชาต่างเริ่มรู้สึกผ่อนคลายลง
สิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่สัมผัสได้จากชายหนุ่มคือความห่วงและความเอาใจใส่ที่มีให้ต่อบุตรชายของตน
อีกทั้งความเชื่อมั่นที่ส่งมาทำให้ทั้งคู่รู้สึกอยากที่จะเชื่อใจคนตรงหน้า
“ถ้าเราไม่ยอมรับ
คุณจะทำยังไงคุณรีไว?” ถามหยั่งเชิงอยากรู้ในความคิดของชายหนุ่มเบื้องหน้า
“อ่า...... ถ้าให้ตอบตรงๆ
คงจะพาหมอนั่นหนีไปด้วยกัน แต่ถ้าทำแบบนั้น เอเลนคงเสียใจที่หลังแน่
ผลสุดท้ายก็จะพยายามทำให้พวกคุณยอมรับให้ได้อยู่ดี” รีไวตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย
นัยน์ตาสีขี้เถ้ามองทั้งคู่อย่างตรงไปตรงมา
คำตอบของชายหนุ่มทำให้คราร่าแอบหลุดขำ
ส่วนคริชาเองก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อนไม่ต่างกัน
ไม่คิดว่าการมีลูกชายจะเกิดเหตุการณ์ผู้ชายพาลูกชายตัวเองหนีออกจากบ้านได้
ใบหน้าหวานของผู้เป็นมารดายิ้มอ่อนโยน คำพูดของรีไวทำให้เธอคิดอะไรได้บางอย่าง
มือเรียวกุมมือสามีของตนพลางเอ่ยถาม
“ถ้าฉันเป็นผู้ชายคุณจะทำยังไงคะคริชา?”
คริชาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย
นัยน์ตาสีอ่อนเหม่อมองเพดานอย่างครุ่นคิดก่อนหันมาสบตาภรรยาตนพลางยิ้มบาง
“ก็คงจะไล่ตามตื้อจนคุณตอบตกลงคบกับผมอยู่ดี”
คำตอบของคริชาทำให้คราร่าหน้าขึ้นสีระเรื่อราวกับความรู้สึกของเด็กสาวแรกรุ่นกลับมาอีกครั้ง
“แล้วคุณล่ะ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคุณจะยอมคบกับผมรึเปล่า?”
ใบหน้าขรึมมองภรรยาอย่างลุ้นคำตอบ
“คุณคงเป็นผู้หญิงที่ฉันมองว่าบ้าระห่ำ
แล้วก็น่ารำคาญน่าดู” มือเรียวยกมือหยาบของผู้เป็นสามีขึ้นมากอบกุมแนบอก
“แต่เพราะอย่างนั้นมันเลยทำให้ฉันรักคุณ”
นัยน์ตาของสามีและภรรยาต่างประสานกัน
ความรู้สึกราวกับเพิ่งตกหลุมรักกลับคืนมาอีกครั้ง
ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัว เสียงอันคุ้นเคยก็ดังมาขัดจังหวะ
“งั้นแบบนี้พ่อกับแม่ก็ยอมรับแล้วใช่ไหมครับ!!” เอเลนวิ่งลงมาจากชั้นบน
นัยน์ตาสีมรกตทอเป็นประกายอย่างเต็มไปด้วยความหวัง
“แอบฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันมันเสียมารยาทรู้ไหมเอเลน”
มือเรียวของผู้เป็นมารดาหยิกลงบนหูของเด็กหนุ่มอย่างหมั่นเขี้ยว
“โอ๊ยๆ
ก็ผมเป็นห่วงนี่นา” ร่างโปร่งลูบใบหูของตนที่โดนหยิกจนขึ้นรอยแดง
คริชาเข้ามาโอบไหล่ภรรยาของตน
คนทั้งคู่ต่างจ้องมองกันก่อนจะหันไปยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เราไม่อยากให้ลูกชายต้องหนีออกจากบ้านหรอกนะจ๊ะ”
คำตอบของคราร่าทำให้เด็กหนุ่มหัวใจพองโต
แขนเรียวเข้าโอบกอดพ่อและแม่ของตนเองแน่น
“แต่มีเงื่อนไขนะเอเลน”
คิ้วมนขมวดมุ่น นัยน์ตาสีมรกตมองหน้าผู้เป็นบิดาอย่างสงสัย
“ห้ามไปค้างกับคุณรีไว
และห้ามมีอะไรกันจนกว่าจะเรียนจบเข้าใจไหม?”
เงื่อนไขของคริชาทำให้เอเลนและคราร่าต่างหน้าขึ้นสี
“ด.....เดี๋ยวสิ ครับ
แบบ นั้น มัน!!” ใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อพยายามเถียง
แต่ไหล่บางถูกมือแกร่งจับไว้
“ผมยอมรับเงื่อนไขนั้น”
มือแกร่งบีบลงบนไหล่บางเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร
“อย่าคิดว่าจะปิดสายตาแพทย์อย่างผมได้นะครับคุณรีไว”
คริชายกยิ้มขึ้นอย่างรู้ทันในความคิดของชายหนุ่มตรงหน้า
และเหมือนจะเดาถูกเมื่อรีไวสบถออกมาเบาๆ
“ร้ายใช่เล่นนะครับ
คุณ..........พ่อ” นัยน์ตาสีขี้เถ้าหรี่มองชายหนุ่มอายุห่างกันไม่มาก
แต่มีศักดิ์เป็นว่าที่พ่อตาในอนาคตของตน
“ก็เผื่อว่าในอนาคตลูกชายผมเปลี่ยนใจ
จะได้ยังไม่มีอะไรเสียหายไงล่ะครับ”
ตีหน้าขรึมพลางขยับแว่นมองชายหนุ่มอย่างจริงจัง
ข้อตกลงระหว่างคนทั้งสองยิ่งทำให้เอเลนและคราร่าต่างตีสีหน้าไม่ถูก
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่ได้แต่ทำตัวเลิ่กลั่กกับการตกลงระหว่างคนรักกับบิดาของตนเอง
แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มและถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อทุกอย่างดูราวกับว่ากำลังจะผ่านไปได้ด้วยดี และเป็นอีกวันที่น่าจดจำ
อีกทั้งมื้อเย็นบ้านเยเกอร์ดูจะคึกคักมากขึ้นเป็นพิเศษ
เมื่อมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นและดูเหมือนว่าต่อจากนี้ชายหนุ่มร่างเล็กแต่แข็งแกร่งจะกลายเป็นสมาชิกประจำของบ้านเยเกอร์อีกหนึ่งคน
“ห้องนายเรียบร้อยกว่าที่คิดนะไอหนู”
นัยน์ตาสีขี้เถ้ากวาดมองทั่วของของเด็กหนุ่มร่างโปร่ง พลางสะดุดกับสมุดบันทึกที่เปิดวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
“ถ้าทำตัวซกมกมีหวังถูกคุณอัดเละสิครับ”
ว่าพลางเก็บหนังสือเตรียมแพทย์ที่วางไว้บนเตียงเข้าที่
นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าคุณรีไวกำลังอ่านบันทึกอย่างสนใจ
เด็กหนุ่มจึงรีบแย่งบันทึกในมือของคนตรง
“อันนี้อ่านไม่ได้ครับ!!!” ใบหน้ามนขึ้นสีสุกปลั่ง
เพราะบันทึกที่ชายหนุ่มอ่าน คือบันทึกที่เขาเขียนความรู้สึกและเรื่องราวตั้งแต่ที่ได้พบกับคนตรงหน้านี้น่ะสิ
“โฮ่
ไม่คิดว่านายจะหลงฉันขนาดนี้นะเจ้าหนู” ริมฝีปากคมยกยิ้ม
ยิ่งทำให้เอเลนรู้สึกอุณหภูมิในกายขึ้นสูง
“ว.... ว่าแต่ คุณเถอะ
ไม่คิดจะบอกรักผมเลยหรือไง?” มือเรียวรีบเก็บบันทึกลงลิ้นชักของโต๊ะข้างหัวเตียง
“ฉันให้เพทร่าทำขนมมาให้นายโดยเฉพาะเลยลองชิมดูหน่อยไหม”
รีไวแกะกล่องขนมกล่องเล็กที่แยกไว้ต่างหากขึ้นมา
“นี่คุณจงใจเบี่ยงประเด็นใช่ไหมครับ?”
เอเลนมองชายหนุ่มพลางอมลมในแก้มอย่างนึกงอน ตั้งแต่คุณรีไวฟื้นขึ้นมา
แล้วจำเรื่องราวในอดีตได้จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ยินคำบอกรักจากคนตรงหน้าเลยสักครั้ง
ต้องบอกว่าตั้งแต่ในอดีตจนถึงตอนนี้คนคนนี้ก็ยังไม่เคยบอกรักเขาเสียที
ร่างเล็กแต่แข็งแกร่งเขยิบขึ้นมานั่งบนเตียงที่เด็กหนุ่มนั่งงอนตนอยู่
“ฉันว่านายน่าจะชอบนะ”
รีไวยืนกล่องสีทองใบเล็กที่บรรจุขนมไว้ให้กับเด็กหนุ่ม
“อะไรล่ะครับเนี่ย?”
ใบหน้ามนมองขนมเค้กสีขาวชิ้นเล็กในกล่องอย่างสงสัย
“เค้กจากดอกเอลเดอร์”
นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกกับชื่อของเค้กสีขาวที่อยู่ในกล่องตรงหน้า
“จ...จำได้ด้วยเหรอครับ”
มือเรียวยกขึ้นขึ้นปิดปากของตน ความรู้สึกอบอุ่นฉาบไปทั่วอกข้างซ้าย
“ชอบรึเปล่าเอเลน?”
มือแกร่งลูบบนผมสีน้ำตาลอย่างอ่อนโยน
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ
ใบหน้าหวานส่งยิ้มอบอุ่นให้กับชายหนุ่ม
“ลองทานสิเจ้าหนู”
เอเลนรับช้อนจากชายหนุ่ม มือเรียวตักเค้กเนื้อนุ่มฉ่ำน้ำหวานจากดอกเอลเดอร์เข้าปาก
กึก!
ฟันของเอเลนขบเข้ากับวัตถุแข็งบางอย่าง
เด็กหนุ่มจึงคายสิ่งแปลกปลอมในเค้กเนื้อหวานออกมา
นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกกับสิ่งที่อยู่ในมือของตน
อกซ้ายเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาข้างนอก ลมหายใจเหมือนจะหยุดนิ่ง
กับวัตถุสีขาวที่มีอัญมณีสีเขียวประดับเบื้องหน้า
“แล้วรักรึเปล่า?” มือแกร่งหยิบแหวนในมือของร่างบางขึ้นมาสวมใส่ยังนิ้วนางข้างซ้ายของเด็กหนุ่ม
สองมือต่างสอดประสานกันอย่างแนบแน่นจนไร้ซึ่งช่องว่าง
“ไม่เห็นต้องถามนี่ครับ”
ใบหน้ามนซุกลงกับไหล่แกร่งเบื้องหน้า
นัยน์ตาสีมรกตคลอไปด้วยม่านน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ
“ฟังนะไอหนู” มือแกร่งลูบไล้ผมสีน้ำตาลไปมา
ริมฝีปากคมขยับแนบชิดกับใบหูบาง
“ฉันรักนาย”
คำบอกรักที่ในที่สุดก็ได้พูดออกไป
“ฉันรักนาย”
คำบอกรักที่ร่างกายที่อบอุ่นได้รับรู้
“ฉันรักนาย” คำบอกรักที่มีสัมผัสที่อบอุ่นในอ้อมกอดตอบสนอง
“ฉันรักนาย”
ความรู้สึกที่ยาวนานและผ่านช่วงเวลานานนับพันปี
รีไวค่อยๆดันตัวร่างโปร่งบางตรงหน้าออก
สองมือแกร่งประคองใบหน้ามนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาตรงหน้า
หน้าผากของชายหนุ่มบรรจบกับหน้าผากลาดมนของเด็กหนุ่มร่างโปร่ง
นัยน์ตาสีขี้เถ้าจ้องมองไปยังนัยน์ตาสีมรกต
ริมฝีปากคมค่อยๆขยับเอ่ยถ้อยคำอย่างช้าๆและชัดเจน
“รีไว
รัก เอเลน”
สองแขนเรียวโอบคนตรงหน้าอย่างแนบแน่นราวกับจะจมหายเข้าไปในร่างแกร่งตรงหน้า
ใบหน้ามนซุกลงบนบ่าแกร่งหยาดน้ำตาพร่างพราวลงบนไหล่หนา
เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีขี้เถ้าที่แสนเฉยชาที่มีน้ำตาแห่งความสุขและปลื้มปิติเอ่อล้นไม่ต่างกัน
สิ่งที่ติดค้างไว้นานนับหลายพันปีในที่สุดก็ได้ทำให้คนในอ้อมกอดได้รับรู้
ความรู้สึกอบอุ่นและความสุขเอ่อล้นออกจากนัยน์ตาต่างสีที่ตอนนี้รู้สึกได้อย่างเดียวกัน
ริมฝีปากคมค่อยๆเคลื่อนทับลงบนกลีบปากบางสีระเรื่ออย่างแนบแน่นอบอุ่น
แขนแกร่งกอดกระชับร่างโปร่งเข้ากับอกราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป
ราวกับถูกเติมเต็ม ราวกับค้นหาสิ่งหายไปจนเจอ
สิ่งสำคัญที่มีค่าที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาแทนที่ คนที่สำคัญ บุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง
เส้นทางที่แสนยาว คดเคี้ยวแล้วตัดกันอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้บรรจบกัน
ห่างไปไม่มากนัก
หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีราตรีมองบ้านสีขาวหลังคาสีแดงอิฐข้างบ้านของตน
รอยยิ้มบางฉายบนใบหน้าคมอย่างยากที่จะได้เห็น
ความรู้สึกยินดีและความสุขทำให้อกข้างซ้ายของเธออบอุ่น
ข้อความผ่านโปรแกรมสนทนาในโทรศัพท์กับเอเลนทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
แม้จะแอบคิดว่าอยากให้คุณพ่อคริชาและคุณแม่คราร่ากีดกันคนสูงน้อยมากกว่านี้
แต่เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ยาวนานในความสัมพันธ์ของทั้งคู่
เรื่องราวที่แสนโหดร้ายในอดีตกาล บางที....
แบบนี้คงจะดีแล้ว การที่ทั้งสองเปิดใจยอมรับชายหนุ่มคนนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
อาจจะเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ต่างมอบให้กัน ถึงสายสัมพันธ์ที่แม้จะมองไม่เห็นแต่สามารถรับรู้ได้เพียงแค่มองสองคนนั้นก็ได้กระมัง...
ในที่สุดนายก็คว้าความสุขได้เสียทีนะเอเลน........
มือเรียวปิดเล่มหนังสือสำหรับเตรียมสอบเข้าแพทย์ก่อนขึ้นมาท้าวคางประคองใบหน้าคมของตน
สิ่งที่เกิดขึ้นและการรับรู้อดีตของเธอ ราวกับเป็นเครื่องยืนยันถึงสายสัมพันธ์ของทั้งสอง
ยืนยันถึงการมีตัวตนและความรู้สึกที่ผ่านช่วงเวลามายาวนาน ราวกับเป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์ที่รอคอยเพื่อเป็นพยานของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ใบหน้าคมมองหน้าปกหนังสือเตรียมสอบพลางยิ้มบาง
มือเรียวกระชับผ้าพันคอสีแดงที่ได้รับมอบจากเด็กหนุ่ม
ไม่ว่าจะเมื่อไรฉันก็ยังคงที่อยากอยู่ข้างๆนายนะเอเลน
เธอควรหาความสุขของตัวเองได้แล้ว....
คำพูดที่เหมือนกันของทั้งสองยังคงดังก้องในความคิด...
ความสุขของตัวฉันเองงั้นเหรอ.......
RRrrrrrR.....
เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ดังขึ้น
มิคาสะกดรับเบอร์คุ้นเคยของเพื่อนในกลุ่มตน
‘ได้ข่าวว่า
เธอกับเอเลนจะย้ายมาเรียนแพทย์งั้นเหรอ?’
เสียงเด็กสาวที่คุ้นเคยเอ่ยถาม
‘ใช่
พวกฉันคงต้องไปเป็นรุ่นน้องเธอแล้วล่ะนะแอนนี่’
ใบหน้าคมสวยยังคงยิ้มบาง แอบนึกขำเมื่อคนหัวรั้นอย่างเอเลนในที่สุดก็ยอมเรียนแพทย์ตามที่คุณพ่อคริชาเคยหวังไว้
‘พ่อหมอนั่นคงดีใจน่าดู
ถ้าเอเลนเจอไอเตี้ยนั้นเร็วกว่านี้ฉันว่าคุณคริชาคงยิ่งกว่าอ้าแขนรับว่าที่ลูกเขย’ เสียงหัวเราะขำขันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหาได้ยากในตัวเด็กหนุ่มดังขึ้นอย่างเห็นตรงกัน
‘เท่าที่คุยกับคุณฮันซี่สำหรับวิชาพื้นฐานไม่น่ามีปัญหาเพราะสามารถโอนย้ายได้เลย
ถ้าพยายามเก็บวิชาปฏิบัติและวิชาเฉพาะในช่วงเวลาว่างให้ได้มากๆ
เราอาจจบพร้อมกันได้’ ยังไงซะตอนนี้เอเลนคงมีแงผลักดันให้ตัวเองรีบเรียนให้จบตามเงื่อนไขที่บิดาของเจ้าตัวเสนอมา
‘ดีแล้วล่ะนะ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่พอเห็นหมอนั่นมีความสุขฉันก็รู้สึกยินดีกับหมอนั่น น่าแปลกนะทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ’
‘ก็...อาจจะอย่างนั้น’
ความรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นในใจที่ได้เห็นความสุขของเด็กหนุ่มที่ทุกคนต่างสัมผัสได้แม้จะมองไม่เห็น
และไม่รู้ว่าทำไมแต่กลับรู้สึกว่ามีความสุขเช่นกัน
‘นี่ให้ฉันช่วยติวหนังสือสำหรับเตรียมสอบเข้าให้เธอไหม?’ คำถามจากคนที่ปกติไม่ค่อยสนใจใครทำให้มิคาสะรู้สึกแปลกใจ
แต่ก็รู้สึกยินดีเช่นกัน
‘ถ้างั้นขอรบกวนหน่อยแล้วกันนะ
แอนนี่’
บางทีความสุขของเธอเองอาจอยู่ใกล้มากกว่าที่คิดก็ได้.......
TBC.
........................................................................................................................................................................
Talk: ใจหายแปบค่ะ จะบอกว่าตอนหน้าเรื่องนี้จะ Final แล้วค่ะ
แต่จะมีในส่วนของภาคพิเศษเพิ่มเติมตอนนี้คิดไว้ประมาณ 3 ตอน (ซึ่งในภาคพิเศษจะมีคู่ แจนxมิน หรือ มินxแจน หว่า? อยู่ 1 ตอน)
หลังจากจบแล้วจะพยายามรีไรท์อย่างจริงจังอีกครั้งค่ะ เพิ่งได้กลับไปอ่านของตัวเองใหม่อย่างจริงจังมีส่วนที่ต้องแก้ไขอยู่มากเลยทีเดียว แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ
สำหรับรวมเล่มหลังจากปิดบทแล้วคงจะสามารถจัดการได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้วจะแจ้งนักอ่านเป็นระยะๆในเพจนะคะ
ขอฝากเพจกลุ่มเช่นเคยค่ะ https://www.facebook.com/beru89club
รูปเค้กดอกเอลเดอร์ค่ะ
ในไทยหาทานยากสักหน่อยแต่สามารถหาทานได้ที่ร้าน Let them eat cake รูปร่างจะต่างไปแล้วแต่ร้านร้านอยู่ที่สยามหรือสุขุมวิท20ค่ะ อยากบอกว่าเป็นร้านที่เค้กอร่อยมาก เค้กแปลกๆเยอะด้วยค่ะ
แต่เข้าไปทีกระเป๋าอาจฟีบได้ แพงจริง แต่อร่อยจังมาก >/////<
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางและช่วยผลักดันกันมาอย่างยาวนานค่ะ
รักนักอ่านทุกท่าน
Trendy Blood
อุเม่......เปนมิคาสะกะแอนนี่รึคะเนี่ยยยยย
ตอบลบแล้วมิคาสะก็ยังตามไปเรียนแพทย์กะเอเลนอีกด้วยยยยย
แอบคิดไม่ถึงในคู่นี้
แต่ที่ฮาและเด็ดสุดตอนนี้คงจะหนีไม่พ้นฉากพ่อตาแม่ยายที่รัก
ปะทะเขยแก่ตัวสั้นสุดแกร่ง(สาบานได้เก๊ารักเฮย์โจวววว)
คือเฮียแกตรงและฮามากกกกกกค๊าาาา
ทั้งอิเรื่องจะพาหนี ไม่พอๆยังมีแผนพรากผู้เยาว์อีกโด้ยยยยยยย
นี่นับเปนโชคดีของเอเลนซินะที่มีพ่อเปนหมอดูออกและรุทันเหลี่ยมเตี้ยสักแห่ง
ไม่งั้นนะ....เอเลนเอ้ยยยยย....คงเสียจิ้นไปตั้งกะเพิ่งแตกเนื้อสาวอย่างในอดีตแน่ๆ
แล้วก็มาถึงตอนสำคัญ....ฉากบอกรักของเฮียเตี้ย....
โอ้ยยยยยย มันปลื้มมมมม มันฟินนนน มันปริ่มมมมม
ในที่สุด!!! หลังจากเอเลนรอวันนั้นมานาน
รอเปนพันๆปี เฮียก็ได้บอกเสียทีหลายรอบด้วย
ซึ้งใจแทนความรักของทั้งสองจริงๆ งื้อออออ
จริงอย่างที่มิคาสะว่านั้นแหละ คนรอบข้างคงรุสึกได้ถึงความรักที่ทั้งสองมีต่อกัน
น่าเสียดายอีกอย่างนะคะ....
เฮียจะมาอายทำไมอ่าาาาา บอกเอเลนไปจิว่าเกิดไรขึ้น
ไม่เห็นต้องปิดบังเลยภ มันซึ้งมากอะ งุงิๆ
ตัวสั้นสุดแกร่ง พรวด!!!! นี่รักเฮย์โจวจริงๆใช่ไหมคะ? 55555++++
ลบพอรีไวหันมามองย้อนดูก็แอบรู้สึกอายการกระทำที่ไม่เยือกเย็นของตัวเองค่ะ ทคนแก่แอบอยากรักษามาดน่ะค่ะฮาๆ
ส่วนคนเป็นพ่อห่วงสัสดิภาพลูกชายมากมาย กลัวลูกชายเสียตัวมากค่ะ>////<
แต่ก็เสียอยู่ดี เราจะให้เวลาคุณพ่อคริชาทำใจระยะนึง
โว๊ยยย เอเลนลูกรักในที่สุด!!! ในที่สุดเฮห์โจวก็บอกรักแล้วนะก๊าาา
ตอบลบหวานจนน้ำตาลบ้านม๊าตกผลึกแล้ววว
อิอิ...คุณพ่อตาทำไมรู้ทันคุณลูกเขยอย่างนี้ล่ะก๊า...ฮ่าๆๆๆ
โอ๊ยยย ขำจนฟันปลอมแทบร่วง....จำไว้รีไวล์ทีหน้าทีกลังอย่าริหาคุณพ่อตาเป็นหมอออ!!!
///อ้าวแล้วจะให้ตรูหาแบบใหนหว่า??!!??//
บอกคุณพ่อตาเปลี่ยนอาชีพเลยป๊ะ!!!
//ทำไมข้าเจ้าดูชั่วร้ายจังอ่ะ///
ไม่เอาแล้วไม่ไหวขืนยังอยู่มีกวังไปเผาโรงบาลหมอเยเกอร์แน่
ราตรีสวัสดิ์นะก๊าาา...
ไปรักลูกเขาต้องทำใจค่ะ5555 คุณพ่อตาก็อยากรัหษาสวัสดิภาพลูกชายนิดค่ะ
ลบคุณหัวหน้านี่แอบเสี่ยงข้าวเหนียวหนองมลจริงๆนะ 55555555555 เพราะเป็นหัวหน้ามันเลยก้ำกึ่งระหว่างโรแมนติกกะเสี่ยวยังไงไม่รู้ กร๊ากกกกกกกก แต่แฮปปี้แล้ว ดีใจอะ ถึงแม้จะต้องอดทนอดกลั้นจนกว่าจะเรียนจบ ข้ามไปตอนเรียนจบเลยได้มั้ย #ไม่หื่นนะ #จริงจริ๊งงงงงง 55555555
ตอบลบ