Fic. Attack On Titan (Levi x Eren): Last Memory
Chapter 21
ตึก ตึก ตึก !!!!
เสียงกลุ่มคนที่วิ่งไล่ตามเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินเพื่อส่งเข้าห้องผ่าตัดดังระงม รวมทั้งเสียงเรียกและซักถาม รวมถึงเสียงให้กำลังใจดังก้องไปตามทาง จนเหล่าผู้คนที่อยู่ภายในโรงพยาบาลต่างหันมามองด้วยความสนใจ
ชายหนุ่มไม่สูงแต่แข็งแกร่งนอนไร้สติบนเตียงผ้าใบสีขาวพร้อมเครื่องช่วยหายใจ เหล่าพยาบาลและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข็นผู้บาดเจ็บเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเตรียมดำเนินการผ่าตัดเร่งด่วนในการช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยมีเหล่าคนในเครื่องแบบตำรวจกองปราบปรามเดินตาม รวมทั้งเด็กหนุ่มในชุดไปรเวทที่พยายามวิ่งเกาะเตียงด้วยความห่วงและกังวลอาการของคนที่ไม่ได้สติ
“คุณรีไวคุณต้องไม่เป็นอะไรนะครับ!!” สองขาพยายามวิ่งไล่ตามเตียงผู้ป่วย นัยน์ตาสีมรกตรื้นด้วยม่านน้ำตาที่คลอเบ้า
“ทำใจดีดีไวนะรีไว!!” ใบหน้าขรึมและเคร่งเครียดของเอลวินแสดงความกังวลในอาการบาดเจ็บของเพื่อนสนิท
“นายเป็นมนุษย์สุดยอดของความแกร่งนายจะต้องไม่เป็นไรนะ!!” ฮันซี่ที่มักจะหยอกล้อและสนุกสนานมีสีหน้าไม่ต่างจากคนอื่นๆเช่นกันในเวลานี้
“ทุกท่านกรุณาหลีกทางก่อนนะคะเราจะต้องรีบนำผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัดทันทีค่ะ!!” พยาบาลกันผู้ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปก่อนจะปิดประตูลง
สัญญาณไฟของห้อง OR ขึ้นเป็นสีแดงเพื่อบอกว่าตอนนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บกำลังจะได้รับการช่วยเหลือ
เด็กหนุ่มยืนเกาะกระจกประตูห้องผ่าตัด ร่างโปร่งบางสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดวิตก กังวล ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจนสองขาแทบไม่มีแรงจะพยุงตัว ถึงกระนั้นนัยน์ตาสีมรกตก็พยายามเพ่งมองผ่านกระจกที่ขุ่นมัวโดยหวังว่าจะเห็นถึงคนที่อยู่ด้านในบ้าง
“เอเลนลูกมาทำอะไรน่ะ?” เสียงเรียกที่คุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองตามต้นเสียง
คริชา เยเกอร์ ถูกเรียกตัวด่วนเพื่อช่วยผู้บาดเจ็บที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องไม่นานนัก เมื่อผู้เป็นบิดาเห็นในหน้าลูกชายที่ซีดเซียว และตื่นตระหนก คนเป็นพ่อจึงจับไหล่บางแน่นเพื่อเรียกสติของเด็กหนุ่ม
“พ่อ ค…คุณ คุณรีไว เป็นเพราะผม ถ้าผมไม่วิ่งกลับไปตอนนั้น ฮึก ฮึก!” เสียงที่สั่นเครือพยายามพูดให้เป็นปกติ ม่านน้ำตาไหลอาบลงมาทั้งสองแก้ม นัยน์ตาสีมรกตฉายแววความเจ็บปวดและกังวล
สองมือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่วิ่งกลับไป คุณรีไวก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ไม่เป็นไรเอเลน พ่อจะช่วยเขาให้ได้” มือหนาของผู้เป็นพ่อบีบไหล่บางที่กำลังสั่นเพื่อหวังให้กำลังใจ
“ช่วยเขาให้ได้นะครับ เขาเป็นคนสำคัญของผมที่ไม่มีใครมาแทนที่ได้” สองมือเรียวกำชุดเครื่องแบบของผู้เป็นบิดาจนยับยู้ยี้ นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองใบหน้าบิดาด้วยความคาดหวัง
แม้จะแปลกใจและเกิดข้อสงสัยกับคำพูดของลูกชายถึงคำว่า ‘เขาเป็นคนสำคัญ’ แต่ด้วยจรรยาบัน และ หน้าที่หมอ ทำให้คริชาเดินเข้าห้องผ่าตัดไปโดยเก็บคำถามทั้งหมดไว้ในใจ
“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย รีไวจะต้องปลอดภัยแน่เอเลน” เอลวินเข้าโอบไหล่เด็กหนุ่มเพื่อให้กำลังใจ
“หมอนั่นแกร่งและถึกจะตายจะต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้วล่ะ” ฮันซี่พยายามส่งยิ้มอย่างให้กำลังใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ขี้เล่นยังคงฉายแววความกังวลอย่างชัดเจน
เพทร่า ออลโอ้ เอริ์ด กุนเทอร์ และมิเกะ ต่างเข้ามารายล้อมเด็กหนุ่มเพื่อช่วยปลอบโยน เอเลนพยายามคลี่ยิ้มแม้จะยากลำบากให้กับทุกคน อกซ้ายปวดหนึบด้วยความกังวลระคนหวาดกลัว สองมือเรียวกอบกุมบนอกเพื่อภาวนา
ได้โปรด ต่อให้ต้องแลกกับอะไรผมก็ยอม ได้โปรดขอให้คนคนนั้นปลอดภัย…….
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
นัยน์ตาสีขี้เถ้าค่อยๆปรือขึ้นด้วยแสงแดดที่ส่องกระทบเปลือกตา ใบหน้าคมเฉยชาค่อยๆเงยขึ้นมองสำรวจรอบๆก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในห้องที่รายล้อมไปด้วยอิฐบล็อกสีเทาหม่น อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่ดูแปลกตาแตกต่างไปจากเดิม ราวกับย้อนกลับมาในยุคโบราณ
นี่เขากำลังฝันอยู่อีกแล้วงั้นสิ…….
ความฝันที่ฉายวนซ้ำไปมา แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันแจ่มชัดยิ่งกว่าครั้งไหน ราวกับว่าเป็นโลกแห่งความจริง
แกร๊ก…
เสียงเปิดประตูทำให้รีไวหลุดออกจากความคิดของตน ใบหน้าเฉยชาเอ่ยทักทายผู้มาเยือนที่คุ้นเคย
“ว่าไงเอลวิน”
“ฉันมีงานรบกวนให้นายออกนอกกำแพง แต่คราวนี้คงไกลหน่อยนายคงต้องเดินทางสัก2-3วัน” หัวหน้าหน่วยสำรวจยื่นเอกสารให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
รีไวมองเอกสารในมือพลางขมวดคิ้วอย่างนึกรำคาญ “บริเวณนั้นยังมีคนอยู่อย่างเบาบางจำเป็นที่จะต้องไปตรวจตราด้วยงั้นเหรอ?”
ตอนนี้คนเริ่มทยอยออกไปนอกกำแพงอยู่มากก็จริง แต่ยังเป็นบริเวณใกล้ด้วยความคุ้นชินและยังระแวงเรื่องของไททันอยู่ จึงมีน้อยนักที่จะใจกล้าไปอยู่ไกลจากกำแพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไกลถึงขนาดที่ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางที่มากขนาดนี้
“ถึงแม้จะยังเบาบาง แต่เราต้องทำให้เขามั่นใจเพื่อเป็นอีกก้าวที่จะทำให้มนุษย์ออกไปได้ไกลกว่าเดิม ถ้านายไปตรวจตราด้วยตัวเองพวกเขาจะมั่นใจมากขึ้นด้วยนะรีไว” เอลวินพยายามคาดคั้นคนตรงหน้า
คิ้วคมขมวดเข้าหากันอย่างนึกรำคาญ แต่เมื่อมองถึงอนาคตตามที่เอลวินพูดแล้ว การที่สามารถขยายอาณาเขตออกไปได้กว้างมากเท่าไร ก็เท่ากับว่ามนุษย์ได้รับชัยชนะและอิสระมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน และมากกว่าการได้รับชัยชนะของมนุษยชาติ สิ่งที่ตอนนี้เขาปรารถนาคือ สักวันหนึ่งเด็กหนุ่มผู้ที่อยู่เคียงข้างจะได้มีอิสระอยู่นอกกำแพงตามที่เจ้าตัวต้องการมาตลอด แม้ไม่รู้ว่าจะเมื่อไร เพราะเหล่าผู้คนยังคงหวาดหวั่นไม่ยอมรับต่อการมีตัวตนของเหล่าคนที่กลายร่างเป็นไททัน ถ้าวันหนึ่งความปรารถนาของเขาและเด็กหนุ่มได้เป็นจริงคงจะดีไม่น้อย
“ก็ได้ อีกสองวันฉันจะเดินทาง”
“ขอบใจนายนะรีไว แล้วก็…..ต้องขอโทษด้วย” คำขอโทษที่แฝงนัยถึงสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยบอกคนตรงหน้า นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลหลุบลงต่ำมองเอกสารบนโต๊ะอย่างให้ความสนใจ เพื่อซุกซ่อนความหวั่นไหวที่อาจส่งออกมาจนทำให้คนช่างสังเกตอย่างรีไวรับรู้ได้
“หัวหน้าคุณไม่คิดจะบอกรักผมบ้างเหรอครับ?” ร่างเปลือยเปล่ากอดกระชับเข้ากับแผ่นหลังของตน ผมสีน้ำตาลเปลือกไม้คลอเคลียที่ลาดไหล่ ใบหน้าที่ซุกลงกับบ่าแกร่งพยายามส่งสายตาออดอ้อนช่างดูราวกับลูกหมา
มือหนาลูบไล้ไปมาบนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างเอ็นดู “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด นายยังไม่รู้อีกหรือไงไอเด็กเหลือขอ?” คิ้วคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแสร้งทำทีท่าว่าไม่สนใจ
ที่จริงเขาไม่ได้คิดจะไม่บอกเจ้าหนูนี่หรอกนะ เพียงแต่เขาแค่กำลังรอช่วงเวลาที่เหมาะเท่านั้น เพราะเป็นคำพูดที่ไม่อาจพูดออกมาแบบพล่อยๆได้ กับคนที่เฉยชาและไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้อย่างเขา กลับรู้สึกให้ความสำคัญกับแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำได้ขนาดนี้ บางทีเขาคงจะแปลกไปมากจริงๆ
“ผมทราบครับ แต่ก็ยังอยากได้ยินจากหัวหน้าอยู่ดี” ใบหน้ามนหมองลงเล็กน้อย
รีไวแอบขำกับท่าทางน้อยใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า ริมฝีปากคมค่อยๆสัมผัสลงที่ขมับของใบหน้าแอบน้อยใจนั้นอย่างอ่อนโยน
“เมื่อนายได้เป็นอิสระ ฉันจะบอกกับนายเอเลน” แขนแกร่งกอดกระชับร่างโปร่งบางให้เข้าชิดแผ่นอกเปลือยเปล่าของตนมากขึ้น สันจมูกคมกดลงบนซอกคอขาว เมื่อรู้สึกว่าร่างโปร่งบางที่กำลังกอดอยู่สั่นไหวนิดหน่อย แขนแกร่งจึงกอดกระชับให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“นายนี่ขี้แยจังนะไอหนู” ใบหน้าเฉยชาแอบผุดรอยยิ้มบางเมื่อเห็นนัยน์ตาสีมรกตของเด็กหนุ่มเริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำใส
เอเลนแอบอมยิ้มกับท่าทางที่เอาใจใส่ตัวเขาของชายหนุ่ม “พรุ่งนี้หัวหน้าต้องออกไปนอกกำแพงแล้วสินะครับ”
มือหนาลูบไปมาบนผมสีน้ำตาล ใบหน้าคมยังคงคลอเคลียอยู่กันไหล่เนียนของเด็กหนุ่ม
“คราวหน้าเราอาจจะได้ออกไปด้วยกันนะเอเลน” สักวัน วันที่นายจะได้ออกไปสัมผัสกับสิ่งที่ปรารถนา กับอิสรภาพที่นายทุ่มเทและพยายามไขว่คว้า
สักวันฉันกับนายจะได้ยืนอยู่เคียงข้างกันภายใต้ท้องฟ้าและทิวทัศน์ที่ไร้ซึ่งกำแพงกั้นขวาง……
“หัวหน้าผมรักคุณนะครับ” คำบอกรักของเด็กหนุ่มทำให้อกข้างซ้ายอุ่นวาบและเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึก แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินจากปากคนตรงหน้า แต่ทุกครั้งรู้สึกราวกับได้รับคำอวยพรที่ล่ำค่าและแสนสำคัญซึ่งหาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้ว
รีไวดันร่างเด็กหนุ่มจมลงกับฟูกเตียงหนา ริมฝีปาคมทาบทับลงบนกลีบปากบางอย่างเร่าร้อน
“นายนี่ยั่วเก่งชะมัดเลยนะ” เมื่อร่างที่แสนเย้ายวนอยู่ตรงหน้า มีหรือที่คนอย่างเขาจะปล่อยไป ทั้งที่กกกอดร่างกายนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัวเขาไม่เคยรู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน กลับรู้สึกโหยหาจนมิอาจขาดได้ ราวกับว่าถ้าไร้ซึ่งคนคนนี้แล้วตัวเขาเองก็คงไร้ซึ่งชีวิตเช่นกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลายชั่วโมงผ่านไปไฟห้องผ่าตัดยังคงขึ้นสีแดงเพื่อบอกให้รู้ว่าการช่วยเหลือคนบาดเจ็บยังไม่พ้นขีดอันตราย
“เอเลนดื่มอะไรสักหน่อยสิ” มิคาสะยื่นขวดน้ำผลไม้ให้กับเด็กหนุ่มที่นั่งเฝ้ารออยู่หน้าห้องฉุกเฉินนานหลายชั่วโมงโดยไม่ขยับไปไหน
“ขอบใจนะ” เอเลนรับน้ำผลไม้มา ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกกระหาย ความกังวลยังคงเกาะกุม สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้มีแต่ภาวนาขอให้คนข้างในปลอดภัย
“แกพักสักหน่อยไหม?” แจนที่ตามมาดูด้วยความเป็นห่วงเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าสภาพของเพื่อนของตนเองนั้นอิดโรย และเบ้าตาที่แดงช้ำจนน่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน
“ไม่เป็นไร ฉันอยากรออยู่ตรงนี้” อยากอยู่รอเพื่อให้แน่ใจว่าท้ายที่สุดแล้วคุณรีไวจะต้องปลอดภัย
แจนจึงได้แต่นั่งลงข้างเพื่อนของตน มือของเด็กหนุ่มวางลงลบมือของอีกคนบีบหวังให้กำลังใจ อีตาลุงเตี้ยเอ๊ย! ถ้าเป็นอะไรไปฉันจะไม่มีวันยกโทษให้แน่ๆ!! ทั้งที่อุตส่าห์ตัดใจและถอยหลังเพราะเห็นแล้วว่าคนที่จะทำให้หมอนี่มีความสุขได้ไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นอีกคนที่อยู่ๆก็โผล่เข้ามา แล้วทำให้เด็กหนุ่มข้างๆนี้หวั่นไหว ทั้งที่เขายอมปล่อยมือแล้วหวังอยากให้เอเลนมีความสุข แต่ตอนนี้ความสุขนั้นกำลังเลือนราง
ไอเตี้ยนั่น ถ้าไม่ใช่คุณ ผมทำให้หมอนี่มีความสุขไม่ได้หรอกนะ!
แสงไฟของห้องผ่าตัดดับลง พร้อมคริชาที่เปิดประตูออกมา เอเลนรีบลุกเดินไปหาบิดาของตน นัยน์ตาสีมรกตสั่นระริกด้วยความวิตกกังวล คริชาจึงเอื้อมมือวางลงบนบ่าของลูกชาย ใบหน้าของศัลยแพทย์คลี่ยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม
“เขาปลอดภัยแล้ว”
เสียงเฮดังลั่นจากเหล่าคนที่เฝ้ารออยู่หน้าห้อง ฮันซี่เข่าอ่อนล้มตัวลงไปนั่งกับม้านั่งหน้าห้องอีกครั้งอย่างโล่งอก เพทร่า ออลโอ้ต่างกระโดดกอดกันด้วยความดีใจ เอลวินเองก็เริ่มยิ้มได้จากที่ตีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่นาน แจนคว้ากอดคออาร์มินอย่างรู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิด มิคาสะเองก็หายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน
“ผมขอเข้าไปดูได้ไหมครับ?!” นัยน์ตาสีมรกตกลับมาทอประกายอย่างมีความหวัง สองมือบางจับชายเสื้อของผู้เป็นบิดาแน่นด้วยความตื้นตันใจ
“ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้วคงต้องเป็นตอนเช้า”” คริชาสั่งห้ามเหล่าคนที่เตรียมจะกรูเข้าไปดูอาการผู้ป่วย จนฮันซี่ที่กำลังเตรียมบุกเข้าไปคนแรกต้องหยุดชะงักฝีเท้าแล้วเดินคอตกหันหลังกลับไปพร้อมคนอื่นๆ
“ ถึงจะปลอดภัยแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าคนไข้จะฟื้นเมื่อไร อาจพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ หรืออาจนานกว่านั้น”
คำบอกของคริชาทำให้เอเลนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกังวลใจ
แม้ว่าจะปลอดภัยแต่ร่างกายยังคงต้องการพักฟื้น แล้วถึงแม้ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นแล้วแต่กว่าที่สติจะฟื้นขึ้นอีกครั้งก็ยากที่จะคาดการณ์
“ทำใจให้สบาย ยังไงเขาก็ต้องฟื้น เพราะคนผ่าตัดเป็นถึงมือหนึ่งของโรงพยาบาลเชียวนะ” คริชากล่าวอย่างให้กำลังใจลูกชาย เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเริ่มมีสีหน้าวิตก
“ขอบคุณครับพ่อ” เอเลนยิ้มให้กับผู้เป็นบิดา อย่างน้อยตอนนี้คุณรีไวก็ปลอดภัยแล้ว ที่เหลือที่เขาทำได้ก็คือรอเท่านั้น
“พ่อเลิกงานพอดี เอเลนกับมิคาสะกลับบ้านพร้อมพ่อเลยนะ” คริชาพูดพลางถอดชุดเครื่องสีเขียวออกหลังจากปฏิบัติหน้าที่เรียบร้อยให้กับพยาบาลที่อยู่ข้างเคียงแล้วดึงตัวเด็กหนุ่มออกมาจากเหล่ากลุ่มคนที่ออกันอยู่หน้าห้องผ่าตัด
แม้จะอยากอยู่ต่อแต่ด้วยแรงดึงจากผู้เป็นบิดาเลยทำให้เอเลนต้องเดินตามหลังไปอย่างไม่อาจฝืน มิคาสะที่อยู่บ้านใกล้กันและคุ้นเคยกับครอบครัวเยเกอร์ดีจึงเดินตามคำชวนไปเช่นกัน
“พ่อเดินช้าลงกว่านี้หน่อยก็ได้” เอเลนร้องทักเมื่อรู้สึกว่าความเร็วของฝีเท้าคนตรงหน้าเร็วขึ้นจนเขาแทบจะต้องวิ่งตาม
คริชายังคงตีสีหน้านิ่งเฉยจนกระทั่งมาถึงรถยนต์ที่ลานจอดรถประจำของตน เมื่อรีโมทประตูเปิดออกเอเลนจึงเข้าไปนั่งที่ด้านข้างคนขับ โดยมีมิคาสะตามขึ้นมานั่งด้านหลังด้วยความเคยชิน
“พ่อจะรีบไปไหนน่ะ?” เอเลนถามบิดาด้วยความสงสัยกับท่าทางที่เร่งรีบ และใบหน้าที่เริ่มตีขรึมขึ้นมาอย่างสงสัย
คริชาออกรถโดยไม่พูดอะไร ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้เอเลนรู้สึกแปลกใจและอึดอัดกับท่าทีของพ่อตน
“เอเลน” คริชาเอ่ยเรียกชื่อลูกชายของตน
“ครับ?” เอเลนเอียงคอมองบิดาอย่างสงสัย
ชายวัยกลางคนนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด มือหนาที่จับพวงมาลัยเกร็งขึ้นเล็กน้อยกับสิ่งที่สงสัยและอยากรู้จากลูกชาย
คริชาพยายามสูดหายใจลึกเพื่อให้ตัวเองสงบ เพราะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวต่อทั้งกับตัวของเขาเองและของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“พ่อรู้ว่าตอนนี้มันไม่สมควร แต่…..” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
“เรา……. มีเรื่องต้องคุยกัน เรื่องของลูก กับคนชื่อรีไว”
เอเลนและมิคาสะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องทันที ใบหน้ารู้สึกชาราวกับโดนกระแทก เด็กหนุ่มค่อยๆกลืนน้ำลายที่เหนียวคออย่างยากลำบาก
“คุณพ่อคริชาคะ เรื่องนี้มัน”
“ไม่เป็นไรมิคาสะ!” เอเลนพูดแทรกเมื่อมิคาสะพยายามที่หวังจะไกล่เกลี่ย นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองที่บิดาของตนก่อนก้มมองสองมือที่วางเกร็งบนหน้าตัก “เข้าใจแล้วครับพ่อ…..”
ครอบครัวคือสิ่งที่ใกล้ชิดและเป็นดั่งสิ่งที่คอยเกื้อหนุนและสร้างชีวิต กล่าวได้ว่าครอบครัวที่ดีคือพื้นฐานที่สำคัญของคนเรา โดยเฉพาะวัยเด็ก พ่อและแม่ เปรียบได้ว่าคือโลกของลูก ความผูกพันที่หล่อหลอมได้สร้างและพัฒนาเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แม้วันหนึ่งบุคคลนั้นจะแยกจากไปสร้างครอบครัวใหม่ของตน แต่สายเลือดและสายใยที่สำคัญก็ทำให้เราอยากที่จะรักษาความเป็นครอบครัว และไว้ซึ่งความเข้าใจและไว้ใจกัน แม้หลายครั้งที่อาจต้องใช้เหตุผลและเวลา แต่เพราะเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดและผูกพันเหนือสิ่งอื่นใด จึงหวังว่าท้ายสุดแล้วความผูกพันนั้นจะทำให้เหล่าคนสำคัญเข้าใจในสิ่งที่เป็น
ในห้องรับประทานอาหารใหญ่ของบ้านเยเกอร์ โต๊ะไม้สี่น้ำตาลตัวยาวที่มักจะเป็นที่รับประทานอาหาร พูดคุย และใช้เวลาว่างต่างๆร่วมกันของครอบครัว ตอนนี้เอเลนรู้สึกราวกับว่าโต๊ะรับประทานอาหารตัวเดิมนั้น บัดนี้กลายเป็นศาลพิจารณาตัวเขา
เมื่อกลับมาถึงบ้านคราร่าได้ออกมาต้อนรับสามีของเธอเฉกเช่นทุกวันเมื่อได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยเข้ามาในรั้วบ้าน หญิงสาววัยกลางคนต้องแปลกใจเมื่อพบว่าสามีและลูกชายของเธอรวมทั้งเด็กสาวที่คุ้นเคยกันดีต่างมีสีหน้ายุ่งยากลำบากใจเมื่อก้าวลงจากรถ พอได้เอ่ยถามคำตอบจากสามีทำให้คราร่ารู้สึกตกใจไม่น้อยเช่นกัน นัยน์ตาสีเปลือกไม้ของผู้เป็นมารดาฉายแววสับสนระคนตกใจ เมื่อสบมองกับนัยน์ตาสีมรกตของลูกชาย เด็กหนุ่มก็มิอาจมองหน้าผู้เป็นผู้ให้กำเนิดทั้งสองได้ด้วยความลำบากใจไม่ต่างกัน
เอเลนขอให้มิคาสะกลับไปที่บ้านของตนเองระหว่างที่เขาต้องเคลียกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น แม้เด็กสาวจะอิดออดไม่อยากจากไปแต่เพราะสีหน้าลำบากใจของครอบครัวเยเกอร์เลยทำให้เธอยอมที่จะกลับบ้านแต่โดยดี
ความเงียบต่างเข้าครอบคลุม ไม่มีใครเอ่ยพูดสิ่งใด เสียงของเข็มนาฬิกาแขวนพนังที่ไล่เดินตอนนี้ช่างเสียงดังราวกับเสียงกลอง เฉกเช่นเดียวกับในใจของเด็กหนุ่มที่ทั้งบีบรัดระคนเต้นระรัวด้วยความรู้สึกผิด
มาตอนนี้เขาถึงเพิ่งได้รู้สึกตัวว่าตัวเขาเองก็เป็นผู้ชาย คุณรีไวก็เป็นผู้ชาย แม้เพื่อนจะยอมรับและไม่ได้รู้สึกแปลกแยก แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกับบรรดาเพื่อนๆของเขา ตอนนี้สีหน้าลำบากใจของผู้เป็นผู้ให้กำเนิดยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ณ. ตอนนี้คือเรื่องแปลกแยกและผิดปกติ
“เออ” เอเลนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ แต่เสียงของชายหนุ่มผู้เป็นบิดาเอ่ยขัดขึ้นมา
“ตั้งแต่เมื่อไร?” คริชาเงยหน้ามองลูกชายตัวเอง น้ำเสียงเอ่ยถามราบเรียบอย่างใจเย็น
“ประมาณ 2 เดือนครับ” เอเลนค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นบิดา
“ลูกรู้จักเขามานานแค่ไหนเอเลน?!” คราร่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น จนคริชาผู้เป็นสามีต้องวางมือไว้บนไหล่เพื่อกวังให้เธอใจเย็นลง
ใบหน้ามนแสดงสีหน้าลำบากใจก่อนค่อยๆเอ่ยตอบ “ประมาณ 2 เดือนเช่นกันครับ”
หญิงวัยกลางคนยันตัวลุกขึ้นยืน คำตอบของเอเลนทำให้คริชาและคราร่าต่างตกใจ
“มันเร็วไปนะเอเลน ลูกยังไม่รู้จักเขาดีเลยด้วยซ้ำ!” คราร่าเอ่ยด้วยความกังวล
“เขาเป็นคนดีนะครับแม่ และที่เขาบาดเจ็บก็เพราะปกป้องผม!”
“ต.. แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นผู้ชายนะเอเลน”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยว!! ผมรักที่คุณรีไวคือคุณรีไวต่อให้เขาจะเป็นอะไรที่แตกต่างผมก็ยังที่จะเลือกเขา” เช่นเดียวกับที่คุณรีไวเลือกตัวเขาในอดีตที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไททัน เรียกได้ว่าเป็นปีศาจ ถึงอย่างนั้นคนคนนั้นก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธเขา
“แต่แบบนี้มันแปลก” คราร่าก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตาจริงจังของลูกชายที่ดึงดันส่งมาอย่างไม่หยี่ระ สายตาที่แสดงถึงความจริงจังและมั่นใจในคำตอบที่เลือกแล้วของตน
คริชาดึงแขนของภรรยาของตนให้นั่งลง มือหนาของผู้เป็นสามีวางลงบนมือเรียวของภรรยาที่กุมกันจนแน่นเกร็งที่หน้าตัก
“พ่อไม่ได้รังเกียจหรอกนะเอเลน พ่อเคยให้คำปรึกษากับคนที่เป็นอย่างนี้มาก็มากเช่นกัน” คริชาสูดหายใจลึกก่อนพ่นออก “แต่พอเป็นเรื่องของลูกชายตัวเองแล้ว……พ่อเองก็สับสน”
เพราะเป็นเรื่องของคนใกล้ตัว ทั้งที่เข้าใจดีว่าเรื่องของความรู้สึกไม่ใช่สิ่งที่อาจห้าม แต่การที่จะยอมรับเรื่องที่ผิดแปลกเมื่อเป็นเรื่องของลูกชายตนเองก็ยากที่จะทำใจยอมรับได้
“ผม…..ขอโทษครับ” กลีบปากบางบีบเม้มแน่นเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของบุพการีทั้งสอง ใบหน้ามนสะบัดออกด้านข้าง
ร่างโปร่งบางลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเดินมายังด้านข้างผู้เป็นมารดา ขาเรียวทั้งสองคุกเข่าลงต่อหน้าบุพการี ศีรษะสีน้ำตาลก้มลงจนแทบติดพื้นไม้ “แต่ ผมขอร้อง เข้าใจผมด้วย”
การขอร้องคนที่มีนิสัยดื้อรั้นอย่างเอเลน ยิ่งทำให้คราร่าและคริชา ลำบากใจ เพราะน้อยครั้งนักที่เด็กหนุ่มจะยอมขอร้องหรืออ้อนวอน ความทะนงตนก็เป็นนิสัยติดตัวของเอเลน ยิ่งก้มหัวขอร้องเขาทั้งคู่ด้วยแล้วยิ่งแสดงให้เห็นว่าคนที่ชื่อรีไวมีความสำคัญกับเด็กหนุ่มขนาดนั้น
คริชามองมือของตนเองที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใช้ความคิด คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เช่นเดียวกับคราร่าที่เธอพยายามฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาด้วยความรู้สึกสับสนและสงสารลูกชายของตน
“พ่อก็ไม่ได้คิดจะกีดกันลูกกับคุณรีไวหรอกนะ” คริชาหันมามองสบตาภรรยาที่กำลังสับสนพลางยิ้มบาง
คำพูดของบิดาทำให้เอเลนเงยหน้าขึ้นมามองทั้งสองสลับไปมาอย่างมีประกายความหวัง
“ถึงพ่อไม่ได้จะกีดกัน แต่ก็ยังไม่ยอมรับหรอกนะเอเลน” มือหนาบีบลงที่มีของภรรยา ซึ่งคราร่าเองก็บีบตอบเช่นกัน
“ลูกเองยังไม่เคยคบใครมันอาจจะเป็นแค่อารมณ์หวั่นไหวชั่ววูบ” คริชาพูดด้วยสีหน้าและสายตาจริงจังเฉกเช่นเดียวกับเอเลนที่จริงจังไม่ต่างกัน
“เพราะไม่เคยมีใครทำให้ผมรู้สึกแบบนี้” เด็กหนุ่มตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
คราร่ายกมือขึ้นมาปิดปากของตนเองพยายามซ่อนและข่มอารมณ์ที่ทั้งกังวล กลัว และไม่เข้าใจของตนเอง
“แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็อยากให้ลูกลองคิดทบทวนดูให้ดีๆ” พยายามย้ำเพื่อหวังว่าลูกชายของตนอาจจะลังเล
“ผมจะทำให้พ่อยอมรับเรื่องคุณรีไว” นัยน์ตาสีมรกตจ้องกลับอย่างมุ่งมั่น
คริชาถอนหายใจกับความดื้อดึงของลูกชายตนเอง ถึงจะยังสับสน แต่ชักอยากรู้แล้วว่าคนที่ทำให้ลูกชายของเขาหวั่นไหวและเป็นไปได้ขนาดนี้จะเป็นคนแบบไหนกัน ตอนนี้ที่รู้ชายหนุ่มคนนั้นคงไม่ใช่คนเลวร้ายเพราะถึงขนาดยอมรับกระสุนปืนแทนเพื่อป้องกันลูกของตน เพื่อปกป้องเด็กหนุ่มที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข อีกทั้งเรียกได้ว่ายังแทบรู้จักกันไม่มากด้วยซ้ำแต่ชายคนนั้นกลับยอมเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิต
“พ่อครับ แม่ครับ เรื่องนี้คุณรีไวไม่ผิดหรอกนะครับ เพราะคนที่ตามตื้อและขอคบกับเขาก่อนก็คือผม” ใบหน้ามนมองบุพการีของตนอย่างสำนึกผิด
คำบอกของเด็กหนุ่มยิ่งทำให้ทั้งสองแปลกใจ จากที่คาดว่าคนอายุมากกว่าอาจล่อลวงลูกชายของตนแต่กลับกลายเป็นว่าลูกชายเป็นฝ่ายที่วิ่งเข้าหา และนั่นยิ่งทำให้น่าประหลาดใจกับคนที่เรียกได้ว่าไม่เคยสนหรือใส่ใจเรื่องพวกนี้ แม้จะมีมิคาสะที่คอยอยู่เคียงข้างแต่ทั้งคู่ก็ดูออกว่าลูกชายให้ความสำคัญกับเด็กสาวเปรียบดั่งพี่สาวที่ไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านั้น ทางมิคาสะแม้จะดูเหมือนว่ามีใจให้กับเด็กหนุ่มอยู่เนืองๆ ถึงแม้จะคอยกีดกันและขัดขวางคนที่จะเข้าหาเด็กหนุ่มแต่ก็ไม่เคยที่จะทำอะไรคืบหน้า ราวกับว่ากำลังรอบางสิ่งบางอย่าง หรือรอใครบางคน
ความคิดที่แล่นเข้ามาให้หัวทำให้คราร่าส่ายศีรษะเบาๆ บางทีเธอคงจะคิดมากเกินไป
มือเรียวบีบลงที่มือของผู้เป็นสามีแน่น คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความลำบากใจ อกถูกบีบรัดจนปวดหนึบ แต่เมื่อมองใบหน้าของลูกชายของตนแล้วก็เข้าใจดีว่าเด็กหนุ่มคงเจ็บปวดไม่แพ้กัน เพราะเป็นเรื่องที่แปลกแยก แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าก็คือสายเลือดของตน คือชีวิตที่ตนมอบให้ คือสายใยและความผูกพัน คือสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว การจะทำให้ชีวิตที่สร้างขึ้นมาต้องเจ็บปวดด้วยตัวเองก็ไม่ต่างจากการทำร้ายตนเองเช่นกัน
เมื่อใจเย็นลงหญิงสาวจึงค่อยๆคิดวิเคราะห์พยายามทำความเข้าใจถึงเรื่องราว และตัวของเด็กหนุ่มลูกชายของตน
“แม่ก็คิดแบบพ่อ แม่เองก็ยังไม่ยอมรับ” นัยน์ตาสีเปลือกไม้ค่อยๆหันสบตากับลูกชายของตน แววตาความสับสนและเจ็บปวดยังคงฉายแววในตาสีน้ำตาลคู่งาม เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีมรกตที่มุ่งมั่นแต่แฝงไปด้วยความลำบากใจ “แต่แม่ก็จะไม่ห้ามเราหรอกนะเอเลน”
ร่างโปร่งบางกระโจนเข้ากอดพ่อและแม่ของตนแน่น ใบหน้ามนที่เคร่งเครียดยิ้มอย่างปลื้มปิติ ความปวดหนึบที่เกาะกุมหายไปราวกับถูกปลิดทิ้ง ความโล่งอกถาโถมเข้ากับหัวใจที่พองโตของเด็กหนุ่ม
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณ” คำขอบคุณมากมายถูกระรัวพูดออกมา พร้อมทั้งอ้อมกอดของบุตรชายที่โอบกระชับ
ขอบคุณที่พยายามจะเข้าใจ ขอบคุณที่ไม่กีดกัน ขอบคุณที่ให้ผมได้เลือก ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เป็นลูกของพวกคุณไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม ขอบคุณครับ
แรงกอดจากอ้อมกอดของเอเลนทำให้คราร่าแอบขำ แม้จะยังลำบากใจอยู่บ้างแต่สิ่งที่เธอรู้สึกได้คือความโล่งอก แขนเรียวของหญิงสาวจึงกอดกระชับเจ้าลูกชายตัวดีของบ้านตอบ เช่นเดียวกับผู้เป็นบิดาที่ลูบไล้ผมสีน้ำตาลไปมาอย่างอ่อนโยน
“จะพูดขอบคุณไปจนถึงเช้าเลยหรือไง เอเลน เยเกอร์” คราร่าหยอกขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกชายของตนยังไม่หยุดที่จะพูดขอบคุณ
“ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดคำไหนดีแล้วนี่ครับ ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณอีกแล้วนะเรา” มือเรียวบีบลงที่ปลายจมูกเด็กหนุ่มอย่างหยอกล้อ
“แหะๆ” เอเลนยกมือถูจมูกตัวเองไปมาพลางยิ้มขำ ใบหน้ามนหันมองพ่อและแม่ของตนเองก่อนค่อยๆคลี่ยิ้มน้อยๆอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะครับ”
“จากขอบคุณก็เป็นขอโทษเหรอ?” คริชาเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างสงสัย
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ” เด็กหนุ่มพูดพลางดึงมือทั้งสองขึ้นมากอบกุม
คริชาและคราร่าต่างวางมือกุมลงบนมือลูกชายของตน
“เรื่องสร้างความลำบากงานถนัดเราอยู่แล้วนี่” คริชาพูดพลางขยี้ลงบนหัวสีน้ำตาลตรงหน้า
เอเลนแยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นบิดา ก่อนจะค้อนมองด้วยใบหน้างอนๆจนคราร่าแอบนึกขำกับท่าทางหยอกล้อของสองคนพ่อลูก
“มีอีกเรื่องที่อาจสร้างความลำบากให้กับพ่อ แม่ และตัวผมครับ” เอเลนยิ้มแห้งตอบกลับใบหน้าทั้งสองที่มองถามอย่างสงสัย
“ผมอยากเรียนแพทย์ครับ”
คริชามองหน้าลูกชายพลางเลิกคิ้วขึ้น “เพราะรีไวสินะ?”
“ครับ” พยักหน้ารับกับชื่อที่เอ่ย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวที่อาจจะต้องสูญเสียคนสำคัญไปต่อหน้า แล้วความรู้สึกหวาดกลัวระคนสมเพชตนเองที่ไม่อาจช่วยเหลือหรือทำอะไรได้ แม้ตอนนี้คุณรีไวจะปลอดภัยดีเพราะได้รับการช่วยเหลือจากพ่อของเขาแล้ว แต่ในอนาคตก็ไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ตัวเขาที่ได้แต่เฝ้ารอและไม่อาจทำอะไรได้ช่างรู้สึกน่าโมโห ไม่อยากที่จะรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว…
อยากจะเป็นคนที่สามารถเข้าไปช่วยเหลือและรักษาคนคนนั้นได้อย่างทันท่วงที อยากที่จะสามารถทำบางอย่างเพื่อช่วยเหลือคนนั้น รวมถึงคนอื่นๆไม่ให้ต้องพบกับการสูญเสียอย่างที่ไม่คาดคิด
“ถ้าคุณรีไวของลูกฟื้นเร็วๆก็ดีสิ พ่อชักอยากรู้จักเขาแล้ว” คนที่ทำให้ลูกชายของเขาเปลี่ยนความคิดได้
ก่อนช่วงเข้ามหาลัยมีหลายครั้งที่เขาขอให้เด็กหนุ่มลองเลือกสอบแพทย์เพื่อที่จะได้มีคนช่วยสืบทอดกิจการ แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธและมุ่งมั่นที่จะเป็นทนาย เขาเลยต้องถอดใจและให้ลูกชายทำตามที่เจ้าตัวต้องการ จนเขาคิดว่าโรงพยาบาลนี้ถ้าไม่มีผู้รับสืบทอดเขาคงต้องจำใจขายเข้าตลาดหุ้น แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงเบาใจได้แล้ว
คริชาแอบยิ้มบางเมื่อมองลูกชายของตน ถ้าความรู้สึกที่ทั้งสองมีให้กันเป็นเรื่องจริงจังแล้วล่ะก็เขาก็คงคิดไม่ผิดสินะถ้าจะลองเข้าใจและยอมรับสิ่งที่ลูกชายของเขาได้เลือก
TBC.
............................................................................................................................................................
Talk: มาต่อแล้วค่ะ ศึกพ่อตากับแม่ยาย(?) ต้องรอเฮียพระเอกของเราฟื้นอีกทีนะคะฮาๆ
แต่เอาจริงคงไม่ได้ดุเดือดมากค่ะ(มั่ง) เพราะวางใครคราร่าและคริชาเป็นพ่อแม่สมัยใหม่
ที่เปิดโลกกว้างและพยายามเข้าใจลูกค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากยอมรับแต่กลัวที่ลูกจะเสียใจมากกว่า
แต่เมื่อยืนยันและมุ่งมั่นเลยพร้อมที่จะเปิดใจเข้าใจค่ะ
พาทหน้าอดีตชีวิตของรีไวก็จะมาเต็มๆแล้วค่ะ(แต่ถ้ายาวมากอาจตัดสองตอนขอดูก่อนนะ)
ใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีแล้ว ขอบขอบคุณทุกท่านเช่นเคยนะคะ
ฝากเพจเช่นเคยค่ะ ครบ100ไลค์แล้วทำอะไรดีหว่า? เสนอได้นะคะแหะๆ><"""
https://www.facebook.com/beru89club
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ
อย่าปล่อยไปนะค่ะเฮียท่อนขาาาาา
ตอบลบยั่วอย่างวี้ต้องจับกดดอย่างเดียวเท่าน้านน
จะเป็นจะตายยังไงก็ต้องตื่นขุ้นมาน้าาา
เฮห์โจวววว
เจ็บปวดน้ำตาไหลพลากก
เข้าห้องจุกเจินเลยอ่ารีบบฟื้นขึ้นมานะก๊า
คุณพ่อตารออยู่
ฮ่ะๆๆๆๆ
#เสียงหัวเราะของแกมันชั่งชั่วร๊าย isayaaaa
ฮิฮิ กลับแล้วนะค่ะหลังจากหายไปนาน
ชอบค่ะชอบบบ
ยินดีต้อนรับกลับนะคะ ^ ^
ลบโอ่ววว ปัญหาครอบครัวตามมาติดๆ คุณพ่อคุณแม่อย่าจัดหนักตาลุงแก่นั่นเลยนะคะ เห็นแก่ความเตี้ย #เดี๋ยวๆ
ตอบลบดี
ตอบลบ